ฉีหมิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เรียกองครักษ์ที่ติดตามมา และกล่าวว่า: "นี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆที่กระหม่อมเตรียมไว้ให้องค์หญิง หวังว่าองค์หญิงจะไม่รังเกียจ"องครักษ์ยื่นกล่องไม้กล่องหนึ่งให้ฮุ่ยอี๋ด้วยความเคารพนบนอบฮุยอี๋มีสีหน้าที่ดีใจ และมีความสุขใจเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากเป็นสตรีจึงต้องรู้จักสำรวมท่าทีเลยไม่อาจแสดงความรู้สึกออกมาได้ จึงทำได้แค่ยิ้มเบาๆและรับกล่องนั้นมา แล้วกล่าวว่า "ขอบใจใต้เท้าฉีมาก"นางแทบอยากจะดูว่าข้างในบรรจุอะไรใจจะขาด แต่ฉีหมิงยังอยู่ที่นั่น นางจึงอายที่จะเปิดมันทันทีฉีหมิงกล่าวว่า "องค์หญิงไม่รังเกียจก็พอแล้ว กระหม่อมเป็นคนหยาบกระด้าง จึงไม่รู้ว่าหญิงสาวชื่นชอบอะไร ดังนั้นจึงเลือกมาแบบสุ่มๆ"ฮุ่ยอี๋กล่าวว่า: " มันเป็นไร ใต้เท้าฉีมีน้ำใจมอบให้ก็พอแล้ว "ทันทีที่ฉีหมิงจากไป ฮุ่ยอี๋ก็อุ้มกล่องของขวัญเข้าไปในกระโจมทันที นางแทบจะรอไม่ไหวที่จะเปิดกล่อง แต่ก็ต้องตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในข้างในมีเพียงรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมหน้าตาใจดีมีเมตตาหนึ่งองค์วางอยู่ในกล่องเท่านั้นเมื่อนางกำนัลจื่อหลันที่อยู่ข้างๆเห็นสิ่งนี้ ก็อดสงสัยไม่ได้: " องค
ไป๋อวี้ถังก็เตรียมของขวัญให้ฮุ่ยอี๋เช่นกันเพียงแต่ว่าฮุ่ยอี๋ไม่ค่อยสนใจ ของขวัญของเขามากเท่าไหร่นัก จึงให้จื่อหลันเอาของไปวางที่ในกระโจมจื่อหลันถามว่า: "องค์หญิงไม่อยากเห็นสิ่งที่สมุหราชเลขาธิการมอบให้หรือ?"ฮุ่ยอี๋โบกไม้โบกมือ แล้วกล่าวว่า: " เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ เขาจะมอบของดีๆอะไรให้ได้ล่ะ? บางทีอาจจะเลือกของแบบสุ่มๆแล้วเอามามอบให้กับข้า "จื่อหลันกล่าวว่า: "ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะไม่ค่อยชอบท่านสมุหราชเลขาธิการมากเท่าไหร่นัก? เขาทำให้องค์หญิงขุ่นเคืองใจหรือ?"จื่อหลันจำได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อก่อนองค์หญิงชื่นชอบไป๋อวี้ถังมาก ชอบมากจนตั้งเกาะติดเขาทุกเมื่อเชื่อวัน แต่อยู่มาวันหนึ่ง องค์หญิงก็ไม่ค่อยสนใจไป๋อวี้ถังแล้ว จื่อหลันก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แค่คิดว่าองค์หญิงอาจจะรู้สึกเบื่อแล้วอย่างไรเสีย หญิงสาวที่ชื่นชอบไป๋อวี้ถังก็มีจำนวนไม่น้อย ไป๋อวี้ถังไม่เหมือนฉีหมิง ที่มีใบหน้าที่เย็นชาเหมือนภูเขาน้ำแข็งกับทุกคน เมื่อไป๋อวี้ถังเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่งดงามเหล่านั้นก็มักจะพูดคุยหัวเราะได้อย่างสนุกสนาน แต่แค่ไม่รู้ว่าในใจของเขาชื่นชอบคนไหนกันแน่เมื่อได้ยินคำพูดของจื่อหลัน ฮุ่ยอี
ในขณะนี้จ้าวชิงชิงยืนอยู่นอกกระโจม มองเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงจากระยะไกลเยี่ยเป่ยเฉิงกระโดดลงมาจากม้าที่สูงใหญ่ เขาสวมชุดสีดำ และรัศมีแห่งความเย็นชาแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายเขามีรูปร่างที่ตรงสง่า หน้าตาหล่อเหลาคล้ายมาร นัยน์ตาสดใสประดุจดารายามราตรีอันหนาวเหน็บ คิ้วอันคมเข้มเชิดไปจนถึงขมับ อกผายไหล่ผึ่ง และมีสง่าบารมีที่คนยากจะต้านทานได้เพียงแค่เขายืนอยู่ตรงนั้น ก็เปล่งรัศมีของราชาผู้เป็นใหญ่ในใต้หล้า เขาทำให้ผู้คนหวาดเกรงกลัวโดยไม่มีสาเหตุ ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะมองเขาหลายหนหากไป๋อวี้ถังและฉีหมิงเป็นความฝันอันแสนหวานในใจของหญิงสาวนับไม่ถ้วนในเมืองหลวง เยี่ยเป่ยเฉิงก็ถือว่า เป็นความฝันที่พวกนางมิอาจเอื้อมถึงได้มีข่าวลือว่าเยี่ยเป่ยเฉิงเป็นคนเย็นชารักสันโดษ ไม่ฝักใฝ่ในอิสตรี องอาจห้าวหาญในสนามรบ ราวกับเทพแห่งความชั่วร้าย โหดร้ายเลือดเย็นต่อสตรี สาวงามมากมายในเมืองหลวง ไม่มีใครเข้าใกล้เขาได้เลยสักคนแต่ถึงกระนั้น ก็ไม่มีใครสามารถต้านทานความหล่อเหลาของเขาได้ แค่มองดูครู่หนึ่ง ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกหลงใหล แม้ว่าจะต้องตายในอ้อมกอดของเขา พวกนางก็ยินยอมบรรดาหญิงสาวที่อยู่ข้างๆต
ฮุ่ยอี๋เดินออกจากในกระโจม แค่แวบแรกก็เห็นหลินซวงเอ๋อร์แล้วก่อนหน้านี้เคยเห็นนางจากระยะไกลเท่านั้น จึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษกว่าคนทั่วไปแต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นด้านหน้า นางกลับไม่คิดเช่นนั้นความประหลาดใจผุดแวบขึ้นมาในนัยน์ตาของฮุ่ยอี๋แม้ว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าจะแต่งกายเรียบง่ายสง่างาม แต่กลับโดดเด่นกว่าหญิงสาวคนอื่นๆนางเกิดมาพร้อมกับรูปร่างหน้าตาที่งดงาม มีผิวพรรณที่ขาวใสราวกับหยก ผิวเนียนละเอียดนุ่มน่าถนอมเป็นอย่างมาก แค่นางยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย ก็มีเสน่ห์น่าหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนัยน์ตาที่สะอาดสุกใสคู่นั้น บวกกับแสงสีแดงเข้มที่สะท้อนอยู่ในรูม่านตา ราวกับว่าสูงส่งสง่างามมาต้งแต่กำเนิดเห็นได้ชัดว่านางเป็นเพียงสาวใช้ แต่กลับเกิดมาพร้อมกับความสูงส่ง!ฮุ่ยอี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย“มิน่าฉีหมิงถึบงได้ชื่นชอบนางมากขนาดนี้…” นางพึมพำโดยไม่รู้ตัววันนี้ล่าสัตว์ นางไม่จำเป็นต้องแต่งตัวหรูหราเกินไป เดิมทีนางได้เตรียมชุดขี่ม้าสีแดงแบบทะมัดทะแมงเอาไว้หนึ่งชุด แต่นางคิดว่าชุดนั้นขี้เหร่เกินไป ถึงได้ยืนกรานสวมชุดที่ตนเองชื่นชอบจนกระทั่งตอนนี้ที่นางได้เห็นหลินซวงเอ๋อร์ เสื้อ
จ้าวชิงชิงคิดว่าตกเองสนิทสนมกับฮุ่ยอี๋ จึงไร้ระเบียบกฏเกณฑ์มากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่ก้าวไปข้างหน้าแล้วคล้องแขนฮุ่ยอี๋เอาไว้ ยังพูดจาอย่างไม่มีหูรูดว่า: " วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดขององค์หญิง จะปล่อยให้คนที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมมาทำให้องค์หญิงไม่เบิกบานใจได้อย่างไร คนที่มาที่นี่ล้วนเป็นคนที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี อย่าปล่อยให้เป็นสาวใช้ชั้นต่ำเหล่านั้นมาเข้าใกล้องค์หญิงเด็ดขาด "สิ่งที่นางพูดมีนัยความหมายบางอย่าง เห็นได้อย่างชัดเจนว่ากำลังพูดถึงหลินซวงเอ๋อร์ก่อนที่ฮุ่ยอี๋จะเอ่ยปากพูด จ้าวชิงชิงก็พูดอีกครั้งว่า: " ข้าว่านะ คนเราควรจะรู้จักประเมินตนเอง ถ้าข้าเป็นนาง จะซ่อนตัวอยู่ที่ในจวนไม่ออกมาให้อับอายขายขี้หน้าหรอก! นังสาวใช้ชั้นต่ำ! ไม่คู่ควรมางานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดองค์หญิงเลย!ช่างไร้ยางอายจริงๆ! "ฮุ่ยอี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อยแม้ว่านางจะไม่ชอบหลินซวงเอ๋อร์ แต่คำพูดของจ้าวชิงชิงแหลมสูง ทำให้นางฟังแล้วรู้สึกหงุดหงิด เหมือนอีกาตัวหนึ่งที่น่ารำคาญ ร้องจ้อกแจ้กจอแจอยู่ข้างหูนางไม่หยุดช่างน่ารำคาญมากจริงๆ!ด้วยความหงุดหงิดนางจึงดึงแขนออกมาจากที่ในมือของจ้าวชิงชิง ฮุ่ยอี๋มีสีหน้าที่ดูส
ในอดีตไม่ว่าจะวาระโอกาสใดก็ตาม เหล่าขุนนางไม่เคยเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงมีพาสมาชิกในจวนที่เป็นหญิงมาด้วยเลย วันนี้เมื่อพวกเขาเห็นสาวงามที่อยู่ข้างกายเขา ก็อดรู้สึกสงสัยไม่ได้เว่ยหวยซานชี้ไปที่หลินซวงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างเยี่ยเป่ยเฉิง ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: " ท่านอ๋อง แม่นางท่านนี้เป็นบุตรีของขุนนางจวนไหนหรือ ถึงได้งดงามมีเสน่ห์เช่นนี้ แต่มองก็สามารถทำให้ผู้คนชื่นชอบแล้ว"เว่ยหวยซานติดตามเยี่ยเป่ยเฉิงมาหลายปีแล้ว เมื่อสองปีก่อนเขาถูกย้ายไปที่ชายแดนเพื่อปกป้องป้อมปราการ ภายใต้การสนับสนุนของเยี่ยเป่ยเฉิง เขาจึงได้เลื่อนขั้นเป็นนายพลหลังจากปราบจราจลที่ป้อมปราการชายแดนได้แล้ว ก็เพิ่งจะกลับมาเมืองหลวงเมื่อไม่กี่วันก่อนเนื่องจากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้ติดตามเยี่ยเป่ยเฉิง เว่ยหวยซานจึงไม่รู้อะไรมากมาย รวมถึงเรื่องที่เยี่ยเป่ยเฉิงมีผู้หญิงอยู่ข้างกายตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาก็ไม่รู้เช่นกันหลินซวงเอ๋อร์มองไปที่เว่ยหวยซาน ก็รู้สึกหวาดกลัวบนโลกใบนี้ มีคนกำยำล่ำสันขนาดนี้ได้อย่างไร! หลินซวงเอ๋อร์ไม่อยากจะเชื่อเลยเขามีร่างกายที่สูงใหญ่กำยำล่ำสัน หนวดเคราที่อยู่บนหน้าทำให้เขาจึงดุร้ายป่าเถื่อนมา
ในเวลานี้ ขุนนางที่พอจะรู้เรื่องก็เข้ามาอธิบายเหตุผลที่ข้างหูของเขาว่า: "นายพลเว่ย แม้แต่พระชายาท่านก็กล้าล้อเล่นด้วยหรือ?"“ พระชายา?” เว่ยหวยซานมีสีหน้าที่ดูตกใจคิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องที่สันโดษเย็นชามาโดยตลอดจะสมรสพระชายาโดยที่ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย?เว่ยหวยซานไม่อยากจะเชื่อเลย เหตุใดเขาไม่ได้ยินข่าวคราวใดๆเลย?ไม่น่าแปลกใจเลยที่เยี่ยเป่ยเฉิงจะเกรี้ยวโกรธ เว่ยหวยซานแทบอยากจะตบปากตนเองสักสองสามครั้ง จึงรีบพูดกับหลินซวงเอ๋อร์ว่า: " พระชายาได้โปรดอย่าคิดจริงจังเลย ข้าเป็นคนหยาบกระด้าง เมื่อกี้ข้าก็แค่ล้อเล่นไปเรื่อยเปื่อย ข้าไม่เคยกินคน พระชายาอย่าได้หวาดกลัวไปเลย "เพื่อแสดงไมตรีจิต เว่ยหวยซานได้แสดงรอยยิ้มที่เขาคิดว่าเป็นที่เป็นมิตรที่สุดให้หลินซวงเอ๋อร์เห็น แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำให้หลินซวงเอ๋อร์กลัวแทบตายตอนที่เขาไม่ยิ้มยังพอรับได้ แต่พอเขายิ้มขึ้นมาดูน่าหวาดกลัวยิ่งกว่า เมื่อปากกว้างๆอ้าขึ้น ก็จะเผยให้เห็นฟันขาวอันน่าขนลุกของเขา จึงทำให้ดูเหมือนภูตผีแห่งขุนเขาที่กินคนมากกว่า“สวามี…” ทันใดนั้นหลินซวงเอ๋อร์ก็ซุกหน้าเข้าไปในอ้อมแขนของเยี่ยเป่ยเฉิง ด้วยร่างกายที่สั่นเทามากยิ่งขึ้นเย
นับตั้งแต่ที่ได้ยินคำพูดขององค์ชายใหญ่ทั่วป๋าจิ่น หลินซวงเอ๋อร์ก็มีจิตใจที่ย่ำแย่เป็นอย่างมาก สีหน้าจึงดูซีดเผือดลงเล็กน้อยตอนที่นางตกอยู่ในมือของอู๋เต๋อไห่ แทบจะถูกทรมานจนตาย ฝันร้ายที่ยืดเยื้อนั้นรังควานนางมาเป็นเวลานานในเวลานั้น นางเองก็ไม่เข้าใจ ตนเองไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไรกับขันทีผู้โหดร้ายคนนั้น เหตุใดเขาถึงทรมานนางทุกรูปแบบจนกระทั่งในเวลาต่อมาได้ยินคำพูดของเยี่ยเป่ยเฉิงโดยไม่ทันได้ตั้งใจ จึงเข้าใจได้ในทันทีที่แท้ เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นคนมอบนางให้กับอู๋เต๋อไห่ด้วยตนเอง...ตอนที่นางรู้ความจริง นางก็รับไม่ได้ จนกระทั่งผ่านไปเป็นเวลานาน ถึงได้เก็บเรื่องราวในอดีตเอาไว้ในใจเดิมที นางไม่อยากให้อภัยเยี่ยเป่ยเฉิงแต่ว่า เขาดีกับตนเองมากจริงๆ ดีจนทำให้นางต้องสงสัยว่า ตอนนั้นคนที่ส่งตนเองไปไม่ใช่เขา บางทีอาจจะเป็นแค่ความเข้าใจผิด...เมื่อเวลาผ่านไป นางก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีกจนกระทั่งตอนนี้ ได้หยิบยกเรื่องในอดีตขึ้นมาพูดอีกครั้ง ทั่วป๋าจิ่นได้พูดเรื่องนี้ต่อหน้าหน้านางและเยี่ยเป่ยเฉิง ทำให้หลินซวงเอ๋อร์ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้หลินซวงเอ๋อร์พบว่า แท้จริงแล้วมีเรื่องมากมาย ไม่ใช่ว่
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก