นางมองไปที่หลินซวงเอ๋อร์อีกครั้ง หมอกควันในนัยน์ตาได้จางหายไปเล็กน้อย ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความสงบนิ่งเหมือนเดิมจากนั้นก็เอ่ยปากพูดอย่างเป็นมิตรเหมือนก่อนหน้านี้: "ดูเหมือนว่า เยี่ยเป่ยเฉิงจะใส่ใจเจ้ามากจริงๆ เพิ่งจะมาหาข้าได้ไม่นาน เขาก็อดรนทนไม่ไหวถึงขั้นต้องมาตามหาเจ้าเลย หรือว่า เขากลัวว่าข้าจะกินเจ้า? "เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเป่ยเฉิงกำลังรีบมาทางนี้ นัยน์ตาที่มืดมนของหลินซวงเอ๋อร์ก็เป็นประกายขึ้นมาทันทีไทเฮาโบกไม้โบกมือ ยกมือนวดคลึงระหว่างคิ้ว แล้วกล่าวว่า: " ช่างเถิด เจ้าออกไปได้แล้ว แต่ข้ายังหวังว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจ แล้วช่วยโน้มน้าวใจเยี่ยเป่ยเฉิงแทนข้า ชิงชิงจริงใจกับเขา อย่าปล่อยให้ชิงชิงต้องผิดหวังเสียใจเลย "หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: " แต่ท่านอ๋องไม่ชอบนาง หม่อมฉันโน้มน้าวใจไปก็ไม่มีประโยชน์ "ไทเฮาขมวดคิ้วลึก“แม่เจ้าประคุณรุนช่อง ท่านหยุดพูดเร็ว อย่าทำให้ไทเฮาต้องเกรี้ยวโกรธไปมากกว่านี้…” ขันทีเว่ยรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วพานางออกไปเมื่อออกมาจากตำนักของไทเฮา ก็เดินทางปลอดภัยมาโดยตลอดทาง ความอึดอัดที่อยู่ในใจของขันทีเว่ยก็ค่อยๆหายไปในที่สุดก็สามารถนำตัวสาวน้อยคนนี้คืนให้กับม
องค์ชายสิบเจ็ดมีนิสัยที่ซุกซน สร้างความเดือดร้อนในพระราชวังไม่น้อย แต่อย่างไรเสียก็เป็นโอรสที่มีพระชนมายุน้อยที่สุดขององค์จักรพรรดิ และพระสนมซูเฟยก็ได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิเป็นอย่างมาก ดังนั้น องค์ชายสิบเจ็ดที่พระชนมายุยังน้อยจึงกำเริบเสิบสานอยู่ในวังมากขึ้นเรื่อยๆปกติแล้วการดุด่าทุบตีนางกำนัลขันทีถือว่าเป็นเรื่องเล็ก ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เขายังกลั่นแกล้งนางสนมที่อยู่ในพระราชวังอีกด้วย เมื่อทุกคนในวังพบเจอองค์ชายท่านนี้ต่างก็พากันเดินหลบเลี่ยงเห็นได้ชัดว่าขันทีเว่ยพยายามประจบม้า เมื่อสักครู่นี้ที่เห็นองค์ชายสิบเจ็ด เขาควรจะรีบอยู่ห่างจากเขาเอาไว้ แทนที่จะรออยู่ตรงนี่ให้เขากลั่นแกล้งเย้าแหย่หลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไร นางพยายามยืนอยู่ด้านข้าง และพยายามทำให้ตนเองมีตัวตนน้อยที่สุดแต่องค์ชายสิบเจ็ดเห็นนางตั้งแต่แวบแรก“เจ้า! เป็นนางสนมของตำหนักไหน? เหตุใดข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนเลย” องค์ชายสิบเจ็ดเงยหน้าขึ้น พูดพร้อมชี้ไปที่หลินซวงเอ๋อร์ขันทีเว่ยรู้สึกหวาดกลัวจนอกสั่นขวัญแขวนทันที เขารีบไปขวางอยู่ตรงหน้าหลินซวงเอ๋อร์ แล้วกล่าวว่า " องค์ชายน้อย จะยุ่งกับคนนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะ
“สร้อยข้อมือของข้า...”เมื่อองค์ชายสิบเจ็ดแย่งสร้อยข้อมือได้แล้ว ก็ชูมันเอาไว้ในมือแล้วเขย่าไปมา จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจว่า: " ใครใช้ให้เจ้าไม่เอาให้ข้า สุดท้ายก็ถูกข้าแย่งมาจนได้! "“ข้าก็คิดว่ามันเป็นของหายากอะไร ก็แค่แค่สร้อยกระดิ่งเน่าๆเส้นหนึ่งก็เท่านั้น!”หลังจากเขย่าไปสองสามครั้ง จู่ๆเขาก็รู้สึกเบื่อหน่าย จึงยกมือขึ้นแล้วโยนสร้อยข้อมือลงไปในทะเลสาบหลินซวงเอ๋อร์มองสร้อยข้อมือเส้นนั้นที่ถูกโยนเป็นเส้นโค้งต่อหน้าต่อ นางรีบกระโจนเข้าไปรับมันเอาไว้ตามสัญชาตญาณ แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง สุดท้ายก็ได้ยินเสียงดัง "จ๋อม" สร้อยข้อมือกระทบผิวทะเลสาบจนทำให้น้ำกระเซ็นเป็นฝอย สุดท้ายก็จมลงไปในทะเลสาบหลินซวงเอ๋อร์สูดจมูกอันปวดแสบ น้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุดนางยังไม่ทันจะได้หันหลังกลับ ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงแรงผลักที่มาจากทางด้านหลัง ร่างครึ่งหนึ่งของนางอยู่นอกสะพาน นางไม่ได้มีการป้องกันใดๆ จึงตกลงไปในทะเลสาบทันทีตอนที่นางตกลงไปในน้ำ นางได้ยินเสียงขององค์ชายสิบเจ็ดดังมาจากข้างหลังว่า: "กล้าปฏิเสธข้า ข้าจะทำให้เจ้าจมน้ำให้ตายไปเลย!"ขันทีเว่ยอกสั่นขวัญแขวนเป็นอย่างมากเขากระโจนออก
ดวงตาของหลินซวงเอ๋อร์จับจ้องไปที่ผิวน้ำ คิดไม่ถึงคำพูดแค่ประโยคเดียวของนาง จะทำให้ไป๋อวี้ถังกระโดดลงไปสู่ก้นทะเลสาบเพื่อนางอีกครั้งคลื่นขนาดเล็กกระเพื่อมบนพื้นผิวของทะเลสาบ เวลาผ่านไปเรื่อยๆ แต่ไป๋อวี้ถังยังไม่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเลยนัยน์ตาของหลินซวงเอ๋อร์เปลี่ยนไปเป็นสีแดง นางตะโกนไปทางทะเลสาบว่า: "พี่ไป๋ ท่านไม่ต้องงมเสร้อยข้อมือให้ข้าแล้ว ท่านรีบขึ้นมาเถิดี้... "ผิวน้ำยังคงสงบนิ่ง หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกกระวนกระวายใจมากยิ่งขึ้นในทะเลสาบมีพืชน้ำเติบโตมากมาย เมื่อสักครู่ตอนที่ตกลงไปในน้ำ มือและเท้าของนางเกี่ยวพันกับพืชน้ำ จึงไม่สามารถขยับตัวใต้น้ำได้เลยเมื่อมองดูพื้นผิวทะเลสาบอันเงียบสงบ หลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกหวาดกลัวหรือว่าเท้าทั้งสองข้างของเขาจะถูกพืชน้ำเกี่ยวเอาไว้ จึงไม่สามารถสลัดได้?เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หลินซวงเอ๋อร์ก็ไม่สนใจอะไร ร่างของนางไร้ซึ่งเรี่ยวแรง จึงทำได้แค่ขยับร่างกายคลานไปทางทะเลสาบทีละเล็กทีละน้อย“พี่ไป๋ พี่ไป๋รีบขึื้นมาเร็วเข้า…”น้ำตาไหลอาบแก้มของนาง ถ้าไป๋อวี้ถังจะเสียชีวิตเพราะนาง นางคงจะไม่สบายใจไปตลอดชีวิตขณะที่นางกำลังจะเข้าใกล้ริมน้ำ ทันใดนั้นก็มีน้
หลินซวงเอ๋อร์สะอื้นไห้ ยังไม่ทันได้พูดอะไรมาก นางก็ถูกเขาอุ้มขึ้นมาหลินซวงเอ๋อร์แนบตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเยี่ยเป่ยเฉิง ทำให้ความหนาวเย็นที่อยู่บนร่างกายบรรเทาลงไม่น้อย แต่ภายในหน้าอกของนางยังคงรู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมาก นางระงับอาการไอเอาไว้ ร่างกายรู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อยเยี่ยเป่ยเฉิงลดสายตามองใบหน้าที่ซีดเผือดลงไปเรื่อยๆของหลินซวงเอ๋อร์ พร้อมกับร่องรอยความโกรธที่อยู่ในนัยน์ตาเดิมทีร่างกายของนางก็บอบบางอยู่แล้ว และทนความหนาวเย็นไม่ได้แม้แต่น้อย เมื่อสองสามวันก่อนไม่ง่ายเลยที่จะฟื้นฟูสุขภาพให้ดีขึ้น ตอนนี้ดันมาตกน้ำอีก...สายตาของเขาเหลือบมององค์ชายสิบเจ็ดที่ยืนอยู่บนสะพานหิน ด้วยดวงตาที่เย็นชา และเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าทันใดนั้นองค์ชายสิบเจ็ดที่ได้สบตากับเยี่ยเป่ยเฉิง ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทา ความเกรี้ยวโกรธเมื่อสักครู่นี้ได้มลายหายไปในทันที เหลือเพียงใบหน้าเล็กๆที่ซีดเซียว“ข้าข้าข้า...ข้าอยากกลับไปหาเสด็จแม่ของข้า...” ปากเล็กๆของเขาพึมพำ หันหลังกลับแล้วคิดจะจากไป แต่ที่ที่เยี่ยเป่ยเฉิงยืนอยู่นั้นเป็นทางเดียวที่เขาจะต้องผ่าน หากต้องการจะจากไป ก็จะต้องเดินผ่านเขาไปอย่างเปิดเผยองค์ช
ร่างกายครึ่งหนึ่งขององค์ชายสิบเจ็ดลอยอยู่ในอากาศ ใบหน้าของเขาอยู่ห่างจากผิวทะเลสาบแค่สองสามเซนติเมตรเมื่อลมทะเลสาบพัดมา ก็เกิดระลอกคลื่นบนผิวทะเลสาบใบหน้าที่หวาดกลัวขององค์ชายสิบเจ็ดสะท้อนให้เห็นบนทะเลสาบ เขาสามารถมองเห็นสีหน้าท่าทางของเยี่ยเป่ยเฉิงได้อย่างชัดเจนผ่านพื้นผิวทะเลสาบเส้นโครงร่างบนใบหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงคมชัดมาก ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวโกรธเขาโกรธแล้ว!ตอนนี้เกรี้ยวโกรธเป็นอย่างมาก!องค์ชายสิบเจ็ดตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นไหลออกมาเขาคิดว่าไม่มีใครในวังสามารถทำอะไรเขาได้ แม้ว่าเขาจะสร้างปัญหาใหญ่หลวงเพียงใดก็มีเสด็จพ่อเสด็จแม่ของเขาคอยหนุนหลังอยู่เขาคิดว่าครั้งนี้ก็คงจะเหมือนกัน“ท่านปล่อยข้านะ ฉันจะไปหาเสด็จพ่อ ข้าจะไปหาเสด็จแม่ของข้า! ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมด...” องค์ชายสิบเจ็ดดิ้นรนสุดฤทธิ์ เพราะความหวาดกลัว ร่างกายของเขาจึงสั่นเทาไม่หยุดช่วงเวลาต่อมา เขาก็ถูกกดลงไปในน้ำอย่างแรงเยี่ยเป่ยเฉิงเอาหัวของเขากดลงไปในทะเลสาบเย็นยะเยือกโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ แม้ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่แยแสองค์ชายสิบเจ็ดกลืนกินน้ำไปหลายอึก มือเล็กๆของเขาก็ตบลงไปที่ผิวน้ำอย่างม
แต่องค์ชายสิบเจ็ดร้องไห้หนักมาก เสียงของเขาดังก้องกังวาน จนทำให้เขาแสบแก้วหูหลินซวงเอ๋อร์ถูกเสียงร้องไห้นี้ดึงดูด กำลังจะลุกขึ้นยืน และพยายามที่จะมาทางนี้เยี่ยเป่ยเฉิงลดสายตาลง มององค์ชายสิบเจ็ดด้วยสายตาที่เย็นชา และพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มลึกว่า: " ห้ามร้องไห้! "ทันทีที่พูดจบ เสียงร้องไห้ก็หยุดลงทันทีตอนนี้องค์ชายสิบเจ็ดกลัวเยี่ยเป่ยเฉิงมากจริงๆ แม้แต่ร้องไห้ก็ไม่กล้า ว่านอนสอนง่ายราวกับว่าเป็นกระต่ายตัวหนึ่ง และสะอึกสะอื้นเป็นบางครั้งเท่านั้นเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวอย่างเย็นชาว่า: " ข้าได้ยินมาว่าเจ้าอยากจะขังคนของข้าเอาไว้ในพระราชวัง เพื่อชุบเลี้ยงให้เป็นภรรยาตอนที่เจ้าเติบใหญ่? "องค์ชายสิบเจ็ดส่ายหัวราวกับว่าเป็นกลองป๋องแป๋ง: "ข้า... ข้าแค่พูดจาไร้สาระ นางเป็นคนของท่านลุง ข้าไม่กล้ารังแกนางอีกต่อไปแล้ว... "เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วลึก เขาย่อตัวลงไป จัดระเบียบเสื้อผ้าให้องค์ชายสิบเจ็ด แล้วพูดอย่างสงบนิ่งว่า: " วันนี้ เจ้าลื่นล้มลงไปในน้ำเอง ถ้าเจ้ากล้าพูดจาเหลวไหลอะไร ข้าจะดึงลิ้นของเจ้าออกมาเสีย จากนั้นก็สับให้ละเอียด แล้วโยนลงไปในทะเลสาบเพื่อให้เป็นอาหารปลา เจ้าเข้าใจไหม? "มุม
เยี่ยเป่ยเฉิงโอบเอวนางเอาไว้อย่างเผด็จการ แล้วกอดนางเอาไว้แน่น จากนั้นก็ใช้มือขนาดใหญ่อีกข้างหนึ่ง ถอดเสื้อผ้าของนางออกทันทีหลินซวงเอ๋อร์หดตัวลง ไม่ยอมปฏิบัติตาม พอถอดเสื้อคลุมด้านนอกออก นางก็เหลือแค่เสื้อซับในบางๆหนึ่งตัวเท่านั้น...“ ท่านอ๋อง ข้าไม่หนาวแล้ว ข้าอยากกลับไปแล้วค่อยเปลี่ยน...”ยังไม่ทันได้พูดจบ นางก็จามหลายครั้งอย่างไม่ได้ตั้งตัว จมูกของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที ในนัยน์ตาก็มีน้ำเล็ดลอดออกมาเยี่ยเป่ยเฉิงเกลี้ยกล่อมอย่างอดทน: " ซวงเอ๋อร์คนดี ถ้าสวมเสื้อผ้าที่เปียกชื้นจะทำให้เป็นหวัด ดังนั้นเจ้าถอดมันออกมาดีกว่า"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: " พระราชวังอยู่ห่างจากจวนโหวเป็นเวลาแค่ธูปดอกเดียวเท่านั้น ดังนั้นข้าสามารถทนได้ "เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย: "ถ้าเจ้าไม่ถอด แล้วเจ็บป่วยขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร?"มันไม่ง่ายเลยที่นางจะฟื้นฟูสุขภาพให้ดีขึ้นมาได้! ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาพยายามที่จะไม่แตะต้องนางมาโดยตลอด ถึงกับยอมให้ตนเองลำบากไปพักผ่อนที่ห้องหนังสือ ตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่นางจะร่างกายแข็งแรง ถ้านางป่วยขึ้นมาอีกครั้งล่ะก็! ตนเองก็จะต้อง...“ หลินซวงเอ๋อร์ ความอดทนของข้ามีจ
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก