เสิ่นป๋อเหลียงมาฝังเข็มให้หลินซวงเอ๋อร์เพื่อขจัดความเย็นในร่างกายตามปกติ ในที่สุดไข้ของนางก็ลดลงแล้ว แต่นางยังคงอ่อนแอมาก และมีสีหน้าที่ซีดเซียวสุดขีด กินอะไรก็ไม่อร่อยเพื่อทำให้หลินซวงเอ๋อร์สามารถกินอะไรได้บ้าง ตงเหมยจึงไปต้มโจ๊กที่ห้องครัวให้หลินซวงเอ๋อร์หนึ่งชามแต่หลินซวงเอ๋อร์ไม่อยากกิน หลังจากกินไปได้คำหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะอาเจียนออกมาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาตั้งแต่นางป่วย ทุกวันนอกจากดื่มน้ำนิดหน่อยแล้ว ก็ไม่ได้กินอาหารหลักอื่นๆเลย ตอนนี้นางจึงท้องว่าง ทำให้ไม่สามารถกินสิ่งเหล่านี้ได้เสิ่นป๋อเหลียงให้ตงเหมยป้อนน้ำให้นางก่อน รอให้พลังงานในร่างกายฟื้นตัวแล้ว ค่อยป้อนอาหารหลักที่ย่อยง่ายให้นางตงเหมยจำคำแนะนำทั้งหมดของเสิ่นป๋อเหลียงเอาไว้ในใจหลินซวงเอ๋อร์นอนอยู่บนเตียง ริมฝีปากซีดเผือด นางมองตงเหมยที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยนัยน์ตาที่เปิดครึ่งหนึ่ง เสียงของนางอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง: " ตงเหมย ท่านอ๋องจะกลับมาเมื่อไหร่? เขาตอบจดหมายของข้าแล้วหรือยัง? "ในเวลานั้น ไป๋อวี้ถังกำลังผลักประตูเข้าไป ทันทีที่เข้าไป ก็ได้ยินสิ่งที่หลินซวงเอ๋อร์พูด และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดใจตอนที่น
หลินซวงเอ๋อร์วิ่งเร็วเกินไป จึงสะดุดล้มลงกับพื้น ทำให้เข่าบวม และฝ่ามือถลอกนางไม่ได้ร้องไห้ ปัดฝุ่นแล้วลุกขึ้นมาจากพื้น ฝืนยิ้มใส่ไป๋อวี้ถังที่กำลังจะรีบเข้าไปช่วยนาง แล้วพูดว่า "พี่ไป๋ ข้าไม่เจ็บ"เดิมทีไป๋อวี้ถังอยากจะเข้าไปพยุงนาง แต่เมื่อเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงรีบวิ่งเข้าหาพวกเขาอย่างเร่งรีบ ก็ระงับความอยากที่จะก้าวไปข้างหน้าของตนเอาไว้ แล้วยืนอยู่ที่เดิม หลังจากนั้นก็มองหลินซวงเอ๋อร์ลุกขึ้นมาจากพื้น แล้ววิ่งไปหาเยี่ยเป่ยเฉิงอย่างโซซัดโซเซและดูเหมือนว่า เขาจะเป็นเพียงคนนอกภายใต้แสงแดด เยี่ยเป่ยเฉิงสวมชุดสีดำและมีผมดำขลับ ใบหน้าของเขาเงียบขรึม ไม่งดงามเย็นชาเหมือนเช่นเคย แถมเนื้อตัวยังเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเนื่องจากเดินทางไกล เนื่องจากเขาเพิ่งจะทำสงครามเสร็จ จึงทำให้มีจิตสังหารอันเย็นยะเยือกทั่วทั้งร่างกายตอนที่เข้าไปในจวนเมื่อสักครู่นี้ ความรู้สึกกดดันที่อยู่บนร่างกายของเขาทำให้สภาพแวดล้อมรอบตัวตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีคนรับใช้ในจวนกล้าเข้ามาพูดคุยกับเขาเลย พวกเขาเอาแต่ก้มหน้า และอยู่ห่างจากเขาเท่านั้นแต่หลินซวงเอ๋อร์ไม่กลัวเขา ในขณะนี้ความกล้าหาญของนางสูงเสียดฟ้า เมื่อเห็นเยี่ยเป่
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ก็มีเสียงฝีเท้าที่มั่นคงเดินเข้ามาหานางทันใดนั้นดวงตาอันมืดมนของหลินซวงเอ๋อร์ก็สว่างขึ้นอีกครั้ง นางเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นร่างของเยี่ยเป่ยเฉิงกำลังเดินเข้ามาหานางไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมสีขาวนวลมาจากที่ไหน ทำให้จิตสังหารอันเยือกเย็นบนร่างกายเบาบางลงเล็กน้อย บนร่างกายยังเผยบุคลิกที่สูงส่งเย็นชาออกมาด้วย เคร้าโครงหน้าเหมือนประติมากรรม ตั้งแต่คิ้วตาไปจนถึงสันจมูก มาจนถึงริมฝีปากเอาเรียวบาง ลายเส้นคมลึกชัดเจน โดดเด่นเป็นสง่ามากหลินซวงเอ๋อร์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายแข็งทื่ออยู่กับที่ ไม่ขยับเขยื้อน แล้วมองดู เยี่ยเป่ยเฉิงเดินไปหานางทีละก้าวลมแห่งสารทฤดูพัดชายเสื้อที่สะอาดสะอ้านของเขา ในรูม่านตาที่ลึกล้ำเหมือนหมึกของเขา มีกระแสน้ำซัดซาด แล้วม้วนซัดตัวนางจากนั้นก็มีคนมาอยู่ที่ตรงหน้า โดยที่ไม่รู้ตัวเยี่ยเป่ยเฉิงมองหลินซวงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า และมองเห็นแสงแห่งความคาดหวังในนัยน์ตาที่บริสุทธิ์สุกใสของนาง“ตอนนี้สามารถกอดได้แล้ว” เขาเอ่ยปากพูด ในน้ำเสียงที่ทุ้มลึกแฝงไปด้วยความแหบแห้งอย่างอธิบายไม่ถูกเขารีบกลับจากหนานหยางแบบไม่ได้แวะพักเลย พอเข้าประต
จู่ๆเยี่ยเป่ยเฉิงก็กลับเมืองหลวง ทำให้ทุกคนที่อยู่ในจวนโหวประหลาดใจเป็นอย่างมากตามแผนการแล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าวันถึงจะสามารถกลับเมืองหลวงได้ ตอนที่พ่อบ้านเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงอยู่นอกประตูจวน เขาก็อดตกใจไม่ได้ จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่เรือนด้านหน้าเพื่อรายงานกงชิงเยวี่ยตามการปฏิบัติที่ผ่านมา เยี่ยเป่ยเฉิงจะต้องกลับวังไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิก่อน จากนั้นค่อยกลับมาที่จวนโหว พอเขากลับมาที่เมืองหลวง คนที่อยู่จวนโหวจะมารอรับอยู่ที่หน้าประตูจวนมีเพียงครั้งนี้ ที่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับมาโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลย จึงทำให้คนที่อยู่ในจวนประหลาดใจเป็นอย่างมาก“ ท่านอ๋องกลับจวนแล้ว ท่านอ๋องกลับจวนแล้ว”ผ่านไปได้ครู่หนึ่ง คนรับใช้ในจวนก็พากันเร่งรีบจนทำอะไรไม่ถูกม้าของเยี่ยเป่ยเฉิงหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนอย่างสบายๆ ขาอันเรียวยาวของเขาก้าวลงมาจากหลังม้า หลินซวงเอ๋อร์ยังไม่ทันได้ตอบสนอง เขาก็เอื้อมมือออกไปโอบเอวแล้วอุ้มนางเอาไว้พอได้อุ้มเขาก็ไม่ปล่อยอีกเลย จากนั้นก็อุ้มนางก้าวเท้าเข้าไปในประตูจวนเขาคิดที่จะอุ้มนางเข้าไปในจวนอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้“ ท่านอ๋อง ท่านรีบปล่อยข้าลงเร็ว ข้าเด
เสียงของเยี่ยเป่ยเฉิงเบามาก เสียงต่ำทุ้มรุ้มเร้าดังก้องอยู่ข้างหูของนาง: " ข้าเหนื่อยมากจริงๆ ดังนั้น ตอนนี้ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ "ในขณะที่พูด เขาก็อุ้มหลินซวงเอ๋อร์เอาไว้แล้วเตะเปิดประตูเรือนอวิ๋นซวน หลังจากเข้าไปในเรือนแล้ว เขาก็ใช้เท้าเกี่ยวอีกครั้ง แล้วปิดประตูอย่างแรงเหลินซวงเอ๋อร์สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาก็วางนางลงบนเตียงแล้วเยี่ยเป่ยเฉิงโน้มตัวลงไป กระซิบข้างหูของนาง: " ซวงเอ๋อร์ เจ้าบอกว่าพอข้ากลับมาแล้ว จะปลอบใจข้าให้เต็มที่ไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ข้ากลับมาแล้ว เจ้าก็ควรจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ใช่หรือไม่? "จากนั้น ม่านเตียงก็ปิดลง เขากดนางไว้ที่บนเตียง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความปรารถนาตอนนี้หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกหวาดกลัวจริงๆ ร่างผอมอันผอมเพรียวอดไม่ได้ที่จะหดตัวอยู่ตรงมุมสายตาของเยี่ยเป่ยเฉิงแทบอยากจะกลืนกินนางทั้งตัวนางเคยบอกว่าจะปลอบใจเขาให้เต็มที่จริงๆ แต่สิ่งที่นางหมายถึงไม่เหมือนกับสิ่งที่เยี่ยเป่ยเฉิงเข้าใจ" ท่านอ๋อง...ข้าหมายถึงว่ จะปรนนิบัติรับใช้ท่านอ๋องเป็นอย่างดี แต่ไม่ใช่การปรนนิบัติรับใช้แบบนี้... "ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาหลังจากที่เยี่ยเป่ยเฉิงจากไปแล้
หลินซวงเอ๋อร์ไอสองสามครั้ง ลมหายใจของนางเริ่มไม่เสถียรเล็กน้อยไข้ของนางเพิ่งลดลง เดิมที่ร่างกายก็อ่อนแออยู่แล้ว จึงไม่สามารถต้านทานการทรมานของเยี่ยเป่ยเฉิงได้เมื่อมองดูสีหน้าที่ซีดเซียวของนาง เยี่ยเป่ยเฉิงจึงทำได้แค่ระงับความปรารถนาที่อยู่ในใจของตนเองเอาไว้เขาพลิกตัวแล้วดึงตัวออกจากบนตัวของหลินซวงเอ๋อร์ แล้วนอนตะแคงข้างนางหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้น และความรู้สึกกดดันนั้นก็หายไปทันทีนางหันศีรษะไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง ก็เห็นว่าเขาหลับตาลงเล็กน้อย ทำท่าทางราวกับว่าเหนื่อยสุดขีด“ ท่านอ๋อง ท่านพักผ่อนก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะออกไปก่อน” ขณะที่หลินซวงเอ๋อร์กำลังจะลุกขึ้น ก็เห็นชายที่อยู่ข้างๆตะแคงข้าง แล้วใช้แขนโอบเอวของนางไว้ทันที จากนั้นก็เอานางมาไว้ในอ้อมแขนเขาค่อยๆลืมตา มองดูนางอย่างลึกซึ้ง และพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า: "ถ้าเจ้ายังขยับอีกครั้ง ข้าอาจจะทนไม่ไหว"ความปรารถนาพุ่งพล่านในดวงตาของเขา และความต้องการที่จะครอบครองนางรุนแรงมากยิ่งขึ้นหลินซวงเอ๋อร์ไม่กล้าขยับตัว แนบตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างเชื่อฟังเยี่ยเป่ยเฉิงหลับตา ในสมองของเขาเต็มไปด้วยรูปร่างหน้าตาของหลินซ
ในตอนดึกจวนหย่งอันในตรอกซอยลานหลังจวน มีร่างร่างหนึ่งมองไปบริเวณรอบๆอย่างลับๆล่อๆ เมื่อไม่เห็นใคร ก็คิดที่จะหลบหนีออกจากจวนผ่านประตูทางด้านหลังคิดไม่ถึงว่า ทันทีที่ผลักประตูไม้หนักๆออก ก็มีดาบอันคบกริบด้ามหนึ่งพาดอยู่บนคอของนางเสวียนอู่เดินออกจากด้านข้างประตู ในมือดืโดยถือดาบยาวไว้ในมือ ดาบยาวอันวาววับภายใต้แสงจันทร์ น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก“ ท่านป้าหลี่ ดึกมากแล้ว ท่านจะไปไหนหรือ?”สีหน้าของท่านป้าหลี่ซีดเผือดลงทันที และไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าอีก ขาทั้งสองข้างก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทา"ไม่...ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลย ขาไม่ได้ขายสาวใช้คนนั้น..."เสวียนอู่พูดอย่างเย็นชาว่า: "ข้ายังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย ท่านก็สารภาพของมาเองแล้วหรือ?"สีหน้าของท่านป้าหลี่ซีดลง น้ำเสียงก็เริ่มสั่น: "เจ้า... เจ้าคิดที่จะทำอะไร? ฉันอยากจะพบนายหญิง... "เสวียนอู่เอาแขนของท่านป้าหลี่ไขว้เอาไว้ด้านหลัง แล้วพานางไปที่ห้องโถงด้านหน้า: "บังเอิญว่า ท่านอ๋องก็อยู่ด้วย ไปพบพร้อมกันเลยดีกว่า!"เมื่อท่านป้าหลี่ได้ยินดังนี้ ก็ตกใจมากจนแทบจะเป็นลมทันที“ไม่ ข้าไม่อยากพบท่านอ๋อง ข้าลาออกกับนายหญิงแล้ว ข้าจะเ
นางพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า: " ท่านอ๋อง... ท่านลืมไปแล้วหรือว่า ตอนที่ท่านยังเป็นเด็ก ข้าน้อยยังเคยอุ้มท่านอยู่เลย..."สายตาของเยี่ยเป่ยเฉิงจับจ้องไปที่นาง แล้วพูดอย่างสงบนิ่งว่า: "แล้วไงล่ะ?"เขาลุกขึ้น ยืนขึ้น เดินเข้าไปหาท่านป้าหลี่อย่างช้าๆ มองนางจากมุมสูง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: "เจ้าคิดว่าข้าจะนึกถึงความสัมพันธ์เก่าแล้วปล่อยเจ้าไปอย่างงั้นหรือ?"ความรู้สึกกดดันประดังเข้ามา ท่านป้าหลี่กล่าวด้วยความตกใจและหวาดกลัวว่า: " ในเมื่อท่านอ๋องไม่นึกถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อน เช่นนั้นข้าก็อยากจะอ้อนวอนท่านอ๋อง เห็นแก่ที่ข้าปรนนิบัตินายหญิงมานานหลายปี ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด...… "เมื่อเห็นท่านป้าหลี่ร้องไห้ เยี่ยเป่ยเฉิงก็ไม่รู้สึกไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะว่าเขาฆ่าคนมามากเกินไป หัวใจของเขาจึงชินชาไปนานแล้ว สำหรับเขาแล้วการฆ่าคน ง่ายพอๆกับการบดขยี้มดตัวหนึ่งให้ตาย!นับประสาอะไรกับคนเก่าแก่ที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้!เขาค่อยๆย่อตัวลง สายตาจับจ้องไปที่ท่านป้าหลี่ และถามคำต่อคำว่า: "เจ้ารู้ไหมว่า ถ้าขายหญิงสาวที่เพิ่งจะอายุครบสิบห้าพี่ให้คนค้ามนุษย์จะมีจุดจบอย่างไร?"ใบหน้าของเ
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก