พอกงชิงเยวี่ยได้ยินเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดของท่านป้าหลี่ก็เข้ามาเมื่อนางเข้ามาดู ท่านป้าหลี่ก็สิ้นลมแล้ว ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด และตายอย่างน่าสยดสยองแม้ว่ากงชิงเยวี่ยจะรู้มานานแล้วว่า ลูกชายของตนโหดเหี้ยมมาตั้งแต่กำเนิด ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน และเป็นเทพแห่งดุร้ายมีชื่อเสียง!แต่เขาก็ไม่เคย สังหารคนในจวนมาก่อนเลย! มีเพียงช่วงเวลานี้เท่านั้น เขาลงมือที่จวนอย่างต่อเนื่อง และได้สังหารคนไปสองคนแล้ว แถมยังใช้วิธีการที่โหดเหี้ยมมาก!ดังนั้น เมื่อเห็นสภาพที่น่าเวทนาของท่านป้าหลี่ กงชิงเยวี่ยก็ตกใจมาก และต้องใช้เวลาสักพักจึงจะสงบสติอารมณ์ได้ระหว่างทางที่มา นางได้ยินต้นสายปลายเหตุทั้งหมดจากท่านป้าจ้าวแล้ว จึงได้รู้ว่าครั้งนี้ที่เยี่ยเป่ยเฉิงโกรธมาก เป็นเพราะสาวใช้ที่ชื่อหลินซวงเอ๋อร์คนนั้นอีกแล้วกงชิงเยวี่ยเกรี้ยวโกรธสุดขีด! ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในห้องโถงด้านหน้า ก็ได้ยินนางต่อว่าด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจว่า: " เยี่ยเอ๋อร์! ท่านป้าหลี่อายุมากแล้ว! นางเป็นแค่หญิงชราคนหนึ่ง ที่เข้าสู่วัยเกษียณแล้ว เหตุใดเจ้าถึงทำได้ลงคอ?"เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้พูดอยู่ครู่หนึ่ง ข้อนิ้วของเขาเคาะโต๊ะที่อยู่ข้างกายเบาๆ
ตอนดึกเมื่อเยี่ยเป่ยเฉิงกลับไปที่เรือนอวิ๋นซวน หลินซวงเอ๋อร์ก็กำลังงีบหลับอยู่บนโต๊ะตอนกลางวันนางหลับไปจนถึงช่วงบ่าย เสวียนอู่นำอาหารเย็นมาให้นาง หลังจากที่นางทานอาหารเย็นเสร็จแล้วก็ฝึกคัดอักษรอยู่ในเรือยเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ตอนที่ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง นางอยากจะกลับไปที่ห้องของตน แต่เสวียนอู่เฝ้าประตูไม่ยอมให้นางออกไปหลังจากสอบถาม ถึงรู้ว่าเป็นคำสั่งของเยี่ยเป่ยเฉิงหลินซวงเอ๋อร์อ้างว่าอยากจะกลับไปอาบน้ำเสวียนอู่จึงเอาน้ำร้อนมาให้นาง และให้นางอาบน้ำที่เรือนอวิ๋นซวนตลอดทั้งวันนี้ นางไม่ได้ออกไปจากเรือนอวิ๋นซวนเลยนางรู้สึกเบื่อหน่ายมากจึงอ่านตำราอยู่ที่ในเรือนสักพัก เพื่อรอเยี่ยเป่ยเฉิงกลับมา และอยากจะถามว่าเหตุใดถึงขังตนเองไว้ในเรือนแต่รอไปรอมา ก็รอไปจนถึงตอนกลางคืนจากนั้นหลินซวงเอ๋อร์ก็ค่อยๆง่วงนอนอีกครั้ง จึงคว่ำหน้านอนอยู่บนโต๊ะเมื่อเยี่ยเป่ยเฉิงผลักเปิดประตู ก็เห็นว่าหน้าต่างในห้องเปิดอยู่ ลมหนาวจึงพัดเข้ามาทางหน้าต่างอย่างเต็มที่ หลินซวงเอ๋อร์สวมเสื้อผ้าค่อนข้างบาง เอาหัวหนุนแขนนอนคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะเยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยเดิมทีร่างกายของนางก็อ่อนแออยู่แ
สมองของหลินซวงเอ๋อร์งุนงง อันที่จริงนางไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังพูดถึงการเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆไหน แต่ภายใต้การจ้องมองของเขา นางจึงทำได้แค่เพียงพยักหน้าตอบสนองทันทีที่ตอบตกลง นางก็รู้สึกประหม่า และเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวอีกครั้งเยี่ยเป่ยเฉิงจึงเอานางเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเขาทันทีและลงโทษอย่างรุนแรงหนหนึ่ง“ยังเลียอีก? ทำเป็นหูทวนลมกับคำพูดของข้าหรือ?”หลินซวงเอ๋อร์ถูกจูบอย่างแรง จนทำลมหายใจไม่ค่อยเสถียรอีกครั้งแต่คราวนี้ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้ว ท่าทางเล็กๆน้อยๆที่เยี่ยเป่ยเฉิงพูดถึง คือการเลียริมฝีปาก?เหตุใดถึงเลียมันไม่ได้?หลินซวงเอ๋อร์มองเขาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย นัยน์ตาชุ่มชื้นเป็นประกาย: " เหตุใดถึงทำไม่ได้?คนอื่นก็เลีย ตงเหมยก็เลีย เหตุใดข้าถึงเลียไม่ได้? "เยี่ยเป่ยเฉิงกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน กระซิบข้างหูนางแล้วกล่าวว่า: "เจ้าลองยั่วข้าอีกสิ ข้าก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะทนต่อความยั่วยวนของเจ้าได้สักกี่ครั้ง! หากเจ้ายังไม่เชื่อฟัง ข้าก็ไม่สนใจร่างกายที่เจ็บป่วยของเจ้า... "หลินซวงเอ๋อร์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ตอบสนองได้ จากนั้นสีหน้าก็เ
ในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เลย ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าจะมีใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้า แถมยังมีรอยดำจางๆใต้ตาอีกด้วย พอหลินซวงเอ๋อร์เห็นสิ่งเหล่านี้ ก็รู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมากเขาออกไปสู้รบก็ลำบากมากแล้ว กลับจวนยังไม่สามารถนอนหลับได้อย่างเต็มที่อีก ตอนที่อยู่หนานหยางคงจะลำบากมากเกินไป ตอนนี้ถึงยังไม่คุ้นชินเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลินซวงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจเขามากขึ้นช่วงเวลาสาย ตงเหมยก็มาหานาง เมื่อเห็นนางวิตกกังวล ตงเหมยก็หย่อนก้นลงบนเตียงอันนุ่มนวล แล้วถามนางด้วยท่าทางที่เกียจคร้านว่า: " ท่านอ๋องกลับมาแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดูวิตกกังวลใจอยู่? "หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: " ช่วงนี้ท่านอ๋องมักจะพักผ่อนได้ไม่เต็มที่ สภาพจิตใจของเขาไม่เต็มเปี่ยมเหมือนเมื่อก่อน ตงเหมย เจ้าคิดว่าช่วงนี้ท่านอ๋องทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า เขาถึงนอนหลับได้ไม่เต็มที่? "เมื่อได้ยินคำพูดของหลินซวงเอ๋อร์ ตงเหมยก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า: " ท่านอ๋องออกทัพจับศึกจะต้องเหนื่อยอย่างแน่นอน ข้าได้ยินมาว่าสิ่งที่เหนื่อยที่สุดก็คือการสู้รบ! บางทีอาจจะเหนื่อยล้าจ
ตงเหมยเดินเร็วมาก ไม่นานก็เดินไปถึงถนน จากนั้นนางก็หาร้านยาที่อยู่บริเวณใกล้เคียงร้านหนึ่ง ทันทีที่เข้าไปพนักงานขายก็ถามว่า: "แม่นางอยากจะซื้อยาอะไรหรือ?"ตงเหมยคิดก็ไม่คิด กล่าวว่า: "ออกยาบำรุงร่างกาย ช่วงนี้พลังจิตใจนายท่านของข้าไม่ค่อยดี อาจจะทำงานหนักจนเกินไป ออกยาบำรุงร่างกายก็พอแล้ว"พนักงานขายจึงถามว่า “พลังจิตใจไม่ดีในตอนกลางคืนหรือ?”ตงเหมยพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง: "ใช่ใช่ใช่ แค่ตอนกลางคืนที่นอนไม่ค่อยหลับ พลังจิตใจไม่เต็มเปี่ยม เจ้าออกออกยาที่ดีที่สุดให้ข้าก็พอแล้ว เพราะจะต้องบำรุงให้เยอะๆ"คนขายเข้าใจ และไม่ได้ถามเพิ่มเติม หันกลับมาเอายาให้ตงเหมยไม่นานก็จัดยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว พนักงานขายก็บรรจุยาตามสัดส่วนปริมาณ แล้วกำชับว่า " ยาเหล่านี้ล้วนเป็นยาที่ดีที่สุด นำกลับไปต้มที่จวน รับประทานวันละครั้ง อย่ากินเยอะ อีกอย่าง ทุกอย่างควรจะอยู่ในกรอบของความพอดี พึงระลึกไว้ว่าอย่าหักโหมจนเกินไป "ตงเหมยจ่ายเงิน เดินไปหยิบยา ตอนที่นางหันหลังกลับแล้วจากไป นางก็บ่นพึมพำว่า: "ทุกอย่างควรจะอยู่ในกรอบของความพอดี ? คำพูดบ้าบออะไรกัน ไม่เข้าใจเลยสักนิด..."ไม่นาน ตงเหมยก็เอายามอบให้หลินซว
พอหลินซวงเอ๋อร์เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงดื่มยาทุกหยดที่อยู่ในชามแล้ว ก็รู้สึกโล่งใจอย่างเงียบๆกลิ่นของยานี้ค่อนข้างที่จะเหม็นจริงๆ นางยังคิดว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะไม่ยอมดื่มมันคิดไม่ถึงว่า เขาไม่เพียงแต่ดื่มมันเท่านั้น แต่ยังดื่มมันหมดเกลี้ยง ไม่เสียแรงที่นางควักกระเป๋าเงินตนเองซื้อยาอันล้ำค่าเหล่านี้มาหลินซวงเอ๋อร์รับชามเปล่าที่เยี่ยเป่ยเฉิงส่งมาให้ ด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส: "คืนนี้ท่านอ๋องจะได้นอนหลับอย่างสบายแล้ว"เยี่ยเป่ยเฉิงมองไปที่นาง พร้อมรอยยิ้มที่อยู่บนมุมปากไฟในใจยังไม่ได้ระบายออกมา เขาจะหลับสบายได้อย่างไร?แต่ก็ไม่เป็นไร พักผ่อนอีกสองวัน ร่างกายของนางก็น่าจะหายดีแล้ว“พรุ่งนี้เข้าวังไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิกับข้า คืนนี้เจ้าพักผ่อนเร็วๆก็แล้วกัน”เยี่ยเป่ยเฉิงคิดว่า เรื่องบางอย่างจะต้องเผชิญหน้าไม่ช้าก็เร็ว หากเผชิญหน้าเร็ว ก็จะสามารถมอบสถานะให้นางได้เร็วขึ้น“เข้าวัง?” หลินซวงเอ๋อร์ตกตะลึงเล็กน้อยตั้งแต่เข้าร่วมงานเลี้ยงในวังครั้งที่แล้ว นางก็ไม่เคยไปพระราชวังอีกเลย นางไม่ชอบสถานที่เงียบขรึมเย็นชาอย่างพระราชวัง มันเหมือนกับกรงเหล็ก ที่ทำให้คนรู้สึกอึดอัดจนหาย
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้วหลังจากที่เยี่ยเป่ยเฉิงกินข้าวเย็นแล้วก็ไปห้องตำราเพื่อจัดการงานราชการบางอย่างแสงเทียนที่ริบหรี่ ทำให้โครงหน้าด้านข้างของเยี่ยเป่ยเฉิงคมราวกับมีดมากยิ่งขึ้นลมหนาวที่อยู่นอกหน้าต่างผสมฝนตกปรอยๆ พัดผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่ เข้ามาในจวนอย่างอิสระเดิมทีควรจะเป็นคืนฤดูใบไม้ร่วงที่สดชื่น แต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกร้อนรุ่มร้อนไปทั้งตัวเขาขมวดคิ้ว ใช้นิ้วอันเรียวยาวกดขมับเอาไว้ และพยายามจะสงบสติอารมณ์แต่ทันทีที่เขาหลับตาลง สิ่งที่ผุดขึ้นมาในสมองของเขาล้วนเป็นใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์บ้าฉะมัดเลย!เขาลุกขึ้น และรินชาดับไฟให้ตนเองหนึ่งแก้วหลังจากดื่มไปหนึ่งแก้วก็ไม่ประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย แรงกระตุ้นในร่างกายของเขากลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นร้อน…อากาศช่างร้อนสุดขีดจริงๆเยี่ยเป่ยเฉิงถอดเสื้อคลุมด้านนอกของตนเองออกจากนั้นความร้อนเหล่านั้นก็ค่อยๆไปรวมกันที่ใต้ท้องน้อย...เยี่ยเป่ยเฉิงค่อยๆรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป จากนั้น ไอร้อนก็พุ่งออกมาจากจมูกของเขาเขาค่อยๆเหยียดนิ้วออกไป เช็ดถูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลดสายตามอง ก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจคิดไม่ถึงว่าเข
ต่อมา เสวียนอู่ก็ไม่โน้มน้าวใจ หันหลังกลับแล้วจากไปหลังจากนั้นไม่นาน เสวียนอู่ก็กลับมาอีกครั้ง อุ้มผ้าปูที่นอนและหมอนใหม่เอาไว้ในมือ เดินผ่านหลินซวงเอ๋อร์ ผลักเปิดประตูห้องหนังสือ แล้วเดินเข้าไปหลินซวงเอ๋อร์จ้องมองการกระทำของเสวียนอู่อย่างงุนงงเมื่อเสวียนอู่ออกมา หลินซวงเอ๋อร์ก็ถามเขาอย่างงุนงงว่า: " คืนนี้ท่านอ๋องไม่กลับไปที่ห้องหรือ?"เสวียนอู่กล่าวว่า: " ท่านอ๋องบอกว่า คืนนี้จะนอนที่ห้องหนังสือ แม่นางหลินไม่ต้องรอท่าน และให้รีบกลับไปพักผ่อน "หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกเศร้ามากยิ่งขึ้นหรือว่า เป็นเพราะตนเอง เขาถึงไม่อยากกลับไปนอน?แต่หลินซวงเอ๋อร์ไม่เข้าใจเล็กน้อยในเมื่อเบื่อนางแล้ว เหตุใดต้องนอนห้องหนังสือให้ลำบากด้วย? ขับไล่นางออกไปไม่ดีกว่าหรือ?อันที่จริงแล้วไม่ต้องขับไล่ก็ได้ คืนนี้นางจะกลับไปที่นอนที่ห้องของตนเอง และจะไม่ย่างกรายเข้าไปในเรือนอวิ๋นซวนอีก...จมูกของหลินซวงเอ๋อร์ปวดแสบ น้ำตาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่อล้นในนัยน์ตานางกำลังจะหันหลังกลับแล้วจากไป แต่หลังจากที่ได้ครุ่นคิดแล้ว ก็รู้สึกว่าควรจะชี้แจงต่อหน้าเขาให้ชัดเจนในเวลานั้น เยี่ยเป่ยเฉิงกำลังนั่งอยู่บนเก้ากี้ที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก