หลินซวงเอ๋อร์ยืนอยู่ที่ประตูเป็นเวลานาน เมื่อเห็นว่าเยี่ยเป่ยเฉิงไม่ยอมให้นางเข้าไป ก็คิดว่าจะวิ่งตากฝนกลับไปตอนที่นางกำลังจะวิ่งลุยฝน ประตูห้องหนังสือก็เปิดออก จากนั้นเสวียนอู่ก็เดินออกมา“แม่นางหลิน ท่านอ๋องบอกว่าให้เจ้าเข้าไปได้”หลินซวงเอ๋อร์ชะงักไป: " ท่านอ๋องยอมให้ข้าเข้าไปแล้วหรือ? "เสวียนอู่พยักหน้า หันหลังกลับแล้วจากไปหลินซวงเอ๋อร์ก้าวเท้า เดินเข้าไปอย่างช้าๆภายในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง หลินซวงเอ๋อร์จึงมองเห็นเขาทันทีเขาไม่ได้อ่านตำราเลย ในมือถือถ้วยชาใบหนึ่งอยู่ ท่าทางดูผ่อนคลายมาก ไม่เหมือนอย่างที่เสวียนอู่พูดเลยว่า เขามัวแต่ยุ่งงานราชการ จนลืมกินลืมนอนไม่นาน หลินซวงเอ๋อร์ก็สังเกตเห็นชุดเครื่องนอนใหม่ปูอยู่บนเก้าอี้ มันเป็นชุดเดียวกันกับที่เสวียนอู่ นำเข้ามาเมื่อสักครู่นี้ เขาวางแผนที่จะค้างคืนอยู่ในห้องหนังสือจริงๆหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงนาง?เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ จมูกของหลินซวงเอ๋อร์ก็ปวดแสบ ก็รู้สึกเศร้าใจมากไม่ควรจะติดเขาเกินไปจริงๆ นี่เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่นาน เขาก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายตนเองเสียแล้วหลินซวงเอ๋อร์ยืนรออยู่นอกประ
ในรถม้าเยี่ยเป่ยเฉิงกำลังนั่งอยู่บนเบาะนั่งอันนุ่มนวล เสื้อคลุมทับซ้อนกันอย่างพิถีพิถัน ห้อยสลวยอยู่บนเบาะนั่งอย่างเป็นธรรมชาติ มือทั้งสองข้างของเขาวางลงบนเข่าอย่างสบายๆ และหลับตาเพื่อพักผ่อนม่านรถม้าถูกปิดลง ทำให้ปิดกั้นภาพที่อยู่ภายใน กลิ่นไม้จันทน์เย็นจางๆลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ หลินซวงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งตกใจ เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เขาทรมานนางครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อคืนนี้ ร่างกายจึงอดที่จะสั่นเทาไม่ได้ อาการปวดท้องน้อยก็เพิ่มมากขึ้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายรถม้าแล่นไปบนถนนอย่างราบรื่น และค่อยๆมุ่งหน้าไปยังพระราชวังเห็นได้ชัดว่าพลังของเยี่ยเป่ยเฉิงดีขึ้นกว่าสองวันที่แล้วมาก หลินซวงเอ๋อร์คิดว่า ยานั้นมีประสิทธิภาพดีจริงๆ ดูเหมือนว่าจะต้องให้เขากินมันต่อไป...ระหว่างทาง หลินซวงเอ๋อร์ไม่กล้าพูด หรือแม้แต่จะหายใจ เยี่ยเป่ยเฉิงก็ไม่ได้ลืมตามองนางเช่นเดียวกันม่านรถปลิวไสว แสงจากภายนอกลอดเล็ดผ่านหน้าต่างแล้วสาดส่องเข้ามาในรถม้า หลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นหัวใจของนางก็เต้นไม่เป็นจังหวะจากมุมที่นางอยู่ สามารถเห็นโครงหน้าด้านข้างของเยี่ยเป่ยเฉิงได้พอดี
ดูเหมือนว่าเขาจะโอ๋นางจนเสียนิสัย“ หลินซวงเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าข้าเป็นสัตว์ร้ายหรือ?”" ก็ใช่... " หลินซวงเอ๋อร์เกือบจะโพล่งออกมา แต่เมื่อเห็นสายตาที่ดุร้ายของเยี่ยเป่ยเฉิง นางก็กลืนน้ำลายลงไปตามสัญชาตญาณ และกล่าวเสริมทันที: " ไม่ใช่สักหน่อย... " แต่การเคลื่อนไหวของมือกลับไม่เป็นเช่นนั้น นางแกะนิ้วของเยี่ยเป่ยเฉิงออกทีละนิ้ว และพยายามเอามือขนาดใหญ่ของเขาออกจากร่างของตนเองแต่แม้นางจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถขยับนิ้วของเขาได้เลยหลังจากนั้นไม่นาน นางก็เลิกดิ้นรน และปล่อยให้เขาโอบกอดนางเอาไว้ตลอดทางโชคดีที่เยี่ยเป่ยเฉิงซื่อสัตย์ ตลอดทางเขาแค่กอดนางเอาไว้เท่านั้น และไม่ได้ทำอะไรนางอีกขณะที่รถม้าแล่นไปอย่างช้าๆ จู่ๆเขาก็ถามนางขึ้นมาอย่างลอยๆหนึ่งประโยค“ร่างกายรู้สึกดีขึ้นหรือยัง?” เขาถามด้วยน้ำเสียปกหติ แต่หยั่งลึกเข้าไปในใจ มีเสน่ห์น่าดึงดูด ฟังไปแล้วไพเราะเพราะพริ้งเป็นอย่างมาก“อืม?” หลินซวงเอ๋อร์หันไปมองเขา ดูไปแล้วน่ารักเล็กน้อยเยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้พูดอะไร ยื่นมือออกไปแตะหน้าผากของนาง ริมฝีปากอันเรียวบางของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย: "ดูเหมือนว่าจะหายดีแล้ว"ที่แท้เขาก็ถามถึงอาการป
เยี่ยเป่ยเฉิงไปที่ตำหนักหลวนจินเพียงลำพังเพื่อรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ ขันทีเว่ยได้เตรียมรถเกี้ยวคันหนึ่งให้หลินซวงเอ๋อร์เป็นพิเศษรถเกี้ยวพาหลินซวงเอ๋อร์เดินผ่านสวนจักรพรรดิ ผ่านตำหนักวิจิตรงดงามมากมาย และตรงไปที่ตำหนักคุนหนิงตำหนักคุนหนิง เป็นที่ประทับของไทเฮาในพระตำหนัก มุมชายคาพระตำหนักยกสูงขึ้น ดูเหมือนจะกำลังจะหลุดลอยออกไป ตรงทางเดินประดับไปด้วยอัญมณีภาพวาดอันวิจิตร ดูหรูหรางดงามเป็นอย่างยิ่งบังเอิญว่า องค์หญิงฮุ่ยอี๋เพิ่งกลับมาจากถวายพระพรพระสนมเอกเซียวตอนที่รถเกี้ยวเข้าไปในตำหนักคุนหนิง ก็บังเอิญเห็นนางเข้าพอดีรถเกี้ยวถูกคลุมด้วยผ้าทุกด้าน เหลือเพียงหน้าต่างเล็กๆบานหนึ่งเท่านั้น มืออันเรียวงาม เปิดผ้าม่านขึ้นครึ่งหนึ่ง ทำให้เผยใบหน้าด้านข้างครึ่งหนึ่งออกมา แต่กลับงดงามเป็นที่สุดฮุ่ยยี่หยุดเดิน มองจากระยะไกล แต่ก็ทำได้แค่มองคร่าวๆเท่านั้นนางจึงถามจ้าวชิงชิงที่ตามมาอยู่ข้างหลังว่า "นั่นใคร?"จ้าวชิงชิงจะจำหลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้ได้อย่างไร แม้ว่านางจะกลายเป็นขี้เถ้า นางก็สามารถจำได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น" องค์หญิงไม่รู้หรือเพคะ นั่นก็สาวใช้ที่ไร้ยางอาย จากจวนหย่งอัน
จ้าวชิงชิงคิดไม่ถึงว่าไม่เพียงแต่จะกระตุ้นให้ฮุ่ยอี๋โกรธเคืองหลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้ นางยังพูดดูถูกตนเอง นางจึงรีบอธิบายทันทีว่า: "องค์หญิง ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนี้ ข้าแค่รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับท่านเฉยๆ "ฮุยยี่เยาะเย้ยแล้วกล่าวว่า: " ข้าเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ต้องการเจ้ามาทวงความยุติธรรมให้ข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าดูแลตนเองให้ดีก่อนเถิด ระวังจะเป็นปลาหมอตายเพราะปาก !"ฮุยยี่รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง จ้าวชิงชิงก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ก็ปิดปากเงียบอย่างชาญฉลาด จากนั้นก็หาข้ออ้างแล้วรีบจากไปหลังจากที่จ้าวชิงชิงจากไปแล้ว สาวใช้ข้างกายก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "องค์หญิง ท่านไม่เกลียดสาวใช้คนนั้นจริงๆหรือ? เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ท่านหญิงพูดก็เป็นความจริง ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ท่านจ้วงหยวนก็คงจะไม่ปฏิเสธงานสมรสกับท่าน "ฮุ่ยอี๋กล่าวว่า: " หรือว่าเจ้ามองไม่ออกว่า จ้าวชิงชิงต้องการใช้มือของข้า เพื่อระบายความโกรธให้นาง? เจ้าไม่รู้จักนิสัยใจคอของของท่านลุง แล้วข้าจะไม่รู้เลยหรือ?ในเมื่อเขากล้าเฆี่ยนตีจ้าวชิงชิง กล้าทำร้ายจ้าวเจาหยางจนพิการ ถ้าข้ากล้าทำร้ายหลินซวงเอ๋อร์แม้แต่เพียงปลายเล็บ ต
เยี่ยเป่ยเฉิงเดินตามขันทีที่นำทางไปตำหนักหลวนจินขณะนั้น องค์จักรพรรดิอยู่ในตำหนักแล้ว และกำลังเปิดอ่านหนังสือที่อยู่ในมือเยี่ยเป่ยเฉิงเข้าไปในตำหนัก ขันทีก็ถอยออกไป ในตำหนักเหลือแค่เยี่ยเป่ยเฉิงและองค์จักรพรรดิสองคนเท่านั้นองคฺจักรพรรดินั่งอยู่ข้างโต๊ะ สายตายังคงจับจ้องไปที่หนังสือที่อยู่ในมือ และกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า: "ครั้งนี้ที่ข้าเรียกเจ้ามาพบตามลำพัง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "กระหม่อมเดาว่า เพราะเรื่องที่ท่านอ๋องหนิงร้องเรียนกระหม่อม"องค์จักรพรรดิจึงค่อยๆวางหนังสือที่อยู่ในมือลง เงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วกล่าวว่า: " จ้าวเจาหยาง เป็นบุตรชายเอกของท่านอ๋องหนิง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ท่านอ๋องหนิงจะมีบุตรชาย แต่เจ้ากลับทำให้จ้าวเจาหยางไม่สามารถมีทายาทได้ ก็เท่ากับว่าทำให้จวนหนิงหวังไม่มีทายาทสืบสกุล เจ้าลงมือรุนแรงเกินไป "“ด้วยเหตุนี้ เหล่าขุนนางทั้งหลายจึงร่วมมือกันประท้วง และยื่นหนังสือกล่าวโทษเจ้า ต่างก็บอกว่าเจ้าไม่เห็นใครอยู่ในสายตา โหดเหี้ยมทารุณ ไร้ความเมตตาปราณี! ทำให้ข้า ลำบากใจยิ่งนัก…”เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่ง และกล่าวอย่าง
จักรพรรดิ:"....."ในที่สุด จักรพรรดิก็ลุกขึ้นจากที่ประทับ แล้วมาที่ข้างแท่นนั่งเพื่อเชิญเยี่ยเป่ยเฉิงนั่ง จากนั้นก็ให้นางกำนัลเตรียมชาชั้นเยี่ยมให้เขาจักรพรรดิพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า: " สิ่งที่ข้าเพิ่งพูดไปเมื่อสักครู่นี้ไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนก่อน มันเป็นความผิดของข้าเอง ท่านอย่าไปใส่ใจเลย ท่านยังคงเป็นเสาหลักของต้าซ่ง ข้าจะไม่ยอมให้ท่านวางมือจากการงานเด็ดขาด "เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "แต่กระหม่อมไม่เข้าใจมนุษยสัมพันธ์ และเป็นคนที่ตรงไปตรงมาตลอด สิ่งที่ขุนนางทั้งหลายพูดนั้นถูกต้อง กระหม่อมโหดเหี้ยมจนเป็นนิสัย ไร้ความเมตตาปราณี เป็นปีศาจที่สังหารผู้คนโดยที่ไม่กะพริบตา"จักรพรรดิกล่าวปลอบใจว่า: " พวกเขาทั้งหมดเป็นล้วนเป็นขุนนางที่ร่ำเรียนได้อย่างถ่องแท้แต่ประยุกต์ใช้ไม่เป็น ทำได้แค่อ่านตำรานักปราชญ์เท่านั้น ท่านยังคงเป็นเทพแห่งสงครามของต้าซ่ง คนที่สังหารล้วนเป็นคนที่สมควรตาย! หากพวกเขายังคงใส่ร้ายเจ้าต่อไป มาดูกันว่าข้าจะจัดการกับพวกเขาอย่างไร! "เยี่ยเป่ยเฉิงจิบชา แล้วกล่าวว่า "แต่กระหม่อมยังอยากที่จะวางมือจากการงาน"จักรพรรดิรู้สึกกระวนกระวานใจเล็กน้อย: “ท่านกังวลอะไรหรือ?”เย
หลังจากนั้นไม่นาน ไทเฮาก็ยิ้มแล้วให้นางกำนัลช่วยพยุงหลินซวงเอ๋อร์ขึ้นมา แล้วให้นางนั่งลงหลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองไทเฮาที่นั่งอยู่บนที่ประทับหงส์ทอง เมื่อเห็นสีหน้าที่ใจดีมีเมตตา และท่าทางที่เป็นมิตรของนาง ความไม่สบายที่อยู่ในใจก็ค่อยๆหายไปไทเฮาคงรู้ว่านางรู้สึกวิตกกังวลใจเล็กน้อย อย่างไรเสียนางก็มีสถานะที่ต่ำต้อย ในชีวิตนี้คงจะไม่มีโอกาสได้เข้าวัง ไม่ต้องพูดถึงการเรียกนางเข้าเฝ้าตามลำพัง นี่เป็นสิ่งที่ผู้อื่นปรารถนาแต่ก็ทำไม่ได้ไทเฮาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องในจวนก่อนสักสองสามประโยค จุดประสงค์ก็คือเพื่อทำให้หลินซวงเอ๋อร์วางกำแพงที่อยู่ในใจลงไทเฮาถามหนึ่งคำถาม หลินซวงเอ๋อร์ก็ตอบหนึ่งประโยค และไม่พูดอะไรอีกเมื่อเห็นว่าหลินซวงเอ๋อร์ค่อย ลดกำแพงในใจลง ไทเฮาก็เปลี่ยนเรื่อง และกล่าวว่า "ข้าได้ยินว่าเยี่ยเป่ยเฉิงอยากจะสมรสกับเจ้า?"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: " ท่านอ๋องกล่าวเช่นนั้นเพคะ"ไทเฮากล่าวว่า: " แต่สถานะของเจ้าแตกต่างกันมากเกินไป หากเจ้ายืนกรานที่จะสมรสกับเขา แม้ว่าเจ้าจะเข้าไปในจวนหย่งอันแล้ว คนที่มีสถานะด้อยกว่าก็ใช่ว่ายอมรับพระชายาอย่างเจ้า "หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: " ซวงเอ๋อร
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ