เยี่ยเป่ยเฉิงไปที่ตำหนักหลวนจินเพียงลำพังเพื่อรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ ขันทีเว่ยได้เตรียมรถเกี้ยวคันหนึ่งให้หลินซวงเอ๋อร์เป็นพิเศษรถเกี้ยวพาหลินซวงเอ๋อร์เดินผ่านสวนจักรพรรดิ ผ่านตำหนักวิจิตรงดงามมากมาย และตรงไปที่ตำหนักคุนหนิงตำหนักคุนหนิง เป็นที่ประทับของไทเฮาในพระตำหนัก มุมชายคาพระตำหนักยกสูงขึ้น ดูเหมือนจะกำลังจะหลุดลอยออกไป ตรงทางเดินประดับไปด้วยอัญมณีภาพวาดอันวิจิตร ดูหรูหรางดงามเป็นอย่างยิ่งบังเอิญว่า องค์หญิงฮุ่ยอี๋เพิ่งกลับมาจากถวายพระพรพระสนมเอกเซียวตอนที่รถเกี้ยวเข้าไปในตำหนักคุนหนิง ก็บังเอิญเห็นนางเข้าพอดีรถเกี้ยวถูกคลุมด้วยผ้าทุกด้าน เหลือเพียงหน้าต่างเล็กๆบานหนึ่งเท่านั้น มืออันเรียวงาม เปิดผ้าม่านขึ้นครึ่งหนึ่ง ทำให้เผยใบหน้าด้านข้างครึ่งหนึ่งออกมา แต่กลับงดงามเป็นที่สุดฮุ่ยยี่หยุดเดิน มองจากระยะไกล แต่ก็ทำได้แค่มองคร่าวๆเท่านั้นนางจึงถามจ้าวชิงชิงที่ตามมาอยู่ข้างหลังว่า "นั่นใคร?"จ้าวชิงชิงจะจำหลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้ได้อย่างไร แม้ว่านางจะกลายเป็นขี้เถ้า นางก็สามารถจำได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น" องค์หญิงไม่รู้หรือเพคะ นั่นก็สาวใช้ที่ไร้ยางอาย จากจวนหย่งอัน
จ้าวชิงชิงคิดไม่ถึงว่าไม่เพียงแต่จะกระตุ้นให้ฮุ่ยอี๋โกรธเคืองหลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้ นางยังพูดดูถูกตนเอง นางจึงรีบอธิบายทันทีว่า: "องค์หญิง ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนี้ ข้าแค่รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับท่านเฉยๆ "ฮุยยี่เยาะเย้ยแล้วกล่าวว่า: " ข้าเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ต้องการเจ้ามาทวงความยุติธรรมให้ข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าดูแลตนเองให้ดีก่อนเถิด ระวังจะเป็นปลาหมอตายเพราะปาก !"ฮุยยี่รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง จ้าวชิงชิงก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ก็ปิดปากเงียบอย่างชาญฉลาด จากนั้นก็หาข้ออ้างแล้วรีบจากไปหลังจากที่จ้าวชิงชิงจากไปแล้ว สาวใช้ข้างกายก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "องค์หญิง ท่านไม่เกลียดสาวใช้คนนั้นจริงๆหรือ? เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ท่านหญิงพูดก็เป็นความจริง ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ท่านจ้วงหยวนก็คงจะไม่ปฏิเสธงานสมรสกับท่าน "ฮุ่ยอี๋กล่าวว่า: " หรือว่าเจ้ามองไม่ออกว่า จ้าวชิงชิงต้องการใช้มือของข้า เพื่อระบายความโกรธให้นาง? เจ้าไม่รู้จักนิสัยใจคอของของท่านลุง แล้วข้าจะไม่รู้เลยหรือ?ในเมื่อเขากล้าเฆี่ยนตีจ้าวชิงชิง กล้าทำร้ายจ้าวเจาหยางจนพิการ ถ้าข้ากล้าทำร้ายหลินซวงเอ๋อร์แม้แต่เพียงปลายเล็บ ต
เยี่ยเป่ยเฉิงเดินตามขันทีที่นำทางไปตำหนักหลวนจินขณะนั้น องค์จักรพรรดิอยู่ในตำหนักแล้ว และกำลังเปิดอ่านหนังสือที่อยู่ในมือเยี่ยเป่ยเฉิงเข้าไปในตำหนัก ขันทีก็ถอยออกไป ในตำหนักเหลือแค่เยี่ยเป่ยเฉิงและองค์จักรพรรดิสองคนเท่านั้นองคฺจักรพรรดินั่งอยู่ข้างโต๊ะ สายตายังคงจับจ้องไปที่หนังสือที่อยู่ในมือ และกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า: "ครั้งนี้ที่ข้าเรียกเจ้ามาพบตามลำพัง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "กระหม่อมเดาว่า เพราะเรื่องที่ท่านอ๋องหนิงร้องเรียนกระหม่อม"องค์จักรพรรดิจึงค่อยๆวางหนังสือที่อยู่ในมือลง เงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วกล่าวว่า: " จ้าวเจาหยาง เป็นบุตรชายเอกของท่านอ๋องหนิง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ท่านอ๋องหนิงจะมีบุตรชาย แต่เจ้ากลับทำให้จ้าวเจาหยางไม่สามารถมีทายาทได้ ก็เท่ากับว่าทำให้จวนหนิงหวังไม่มีทายาทสืบสกุล เจ้าลงมือรุนแรงเกินไป "“ด้วยเหตุนี้ เหล่าขุนนางทั้งหลายจึงร่วมมือกันประท้วง และยื่นหนังสือกล่าวโทษเจ้า ต่างก็บอกว่าเจ้าไม่เห็นใครอยู่ในสายตา โหดเหี้ยมทารุณ ไร้ความเมตตาปราณี! ทำให้ข้า ลำบากใจยิ่งนัก…”เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่ง และกล่าวอย่าง
จักรพรรดิ:"....."ในที่สุด จักรพรรดิก็ลุกขึ้นจากที่ประทับ แล้วมาที่ข้างแท่นนั่งเพื่อเชิญเยี่ยเป่ยเฉิงนั่ง จากนั้นก็ให้นางกำนัลเตรียมชาชั้นเยี่ยมให้เขาจักรพรรดิพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า: " สิ่งที่ข้าเพิ่งพูดไปเมื่อสักครู่นี้ไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนก่อน มันเป็นความผิดของข้าเอง ท่านอย่าไปใส่ใจเลย ท่านยังคงเป็นเสาหลักของต้าซ่ง ข้าจะไม่ยอมให้ท่านวางมือจากการงานเด็ดขาด "เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "แต่กระหม่อมไม่เข้าใจมนุษยสัมพันธ์ และเป็นคนที่ตรงไปตรงมาตลอด สิ่งที่ขุนนางทั้งหลายพูดนั้นถูกต้อง กระหม่อมโหดเหี้ยมจนเป็นนิสัย ไร้ความเมตตาปราณี เป็นปีศาจที่สังหารผู้คนโดยที่ไม่กะพริบตา"จักรพรรดิกล่าวปลอบใจว่า: " พวกเขาทั้งหมดเป็นล้วนเป็นขุนนางที่ร่ำเรียนได้อย่างถ่องแท้แต่ประยุกต์ใช้ไม่เป็น ทำได้แค่อ่านตำรานักปราชญ์เท่านั้น ท่านยังคงเป็นเทพแห่งสงครามของต้าซ่ง คนที่สังหารล้วนเป็นคนที่สมควรตาย! หากพวกเขายังคงใส่ร้ายเจ้าต่อไป มาดูกันว่าข้าจะจัดการกับพวกเขาอย่างไร! "เยี่ยเป่ยเฉิงจิบชา แล้วกล่าวว่า "แต่กระหม่อมยังอยากที่จะวางมือจากการงาน"จักรพรรดิรู้สึกกระวนกระวานใจเล็กน้อย: “ท่านกังวลอะไรหรือ?”เย
หลังจากนั้นไม่นาน ไทเฮาก็ยิ้มแล้วให้นางกำนัลช่วยพยุงหลินซวงเอ๋อร์ขึ้นมา แล้วให้นางนั่งลงหลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองไทเฮาที่นั่งอยู่บนที่ประทับหงส์ทอง เมื่อเห็นสีหน้าที่ใจดีมีเมตตา และท่าทางที่เป็นมิตรของนาง ความไม่สบายที่อยู่ในใจก็ค่อยๆหายไปไทเฮาคงรู้ว่านางรู้สึกวิตกกังวลใจเล็กน้อย อย่างไรเสียนางก็มีสถานะที่ต่ำต้อย ในชีวิตนี้คงจะไม่มีโอกาสได้เข้าวัง ไม่ต้องพูดถึงการเรียกนางเข้าเฝ้าตามลำพัง นี่เป็นสิ่งที่ผู้อื่นปรารถนาแต่ก็ทำไม่ได้ไทเฮาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องในจวนก่อนสักสองสามประโยค จุดประสงค์ก็คือเพื่อทำให้หลินซวงเอ๋อร์วางกำแพงที่อยู่ในใจลงไทเฮาถามหนึ่งคำถาม หลินซวงเอ๋อร์ก็ตอบหนึ่งประโยค และไม่พูดอะไรอีกเมื่อเห็นว่าหลินซวงเอ๋อร์ค่อย ลดกำแพงในใจลง ไทเฮาก็เปลี่ยนเรื่อง และกล่าวว่า "ข้าได้ยินว่าเยี่ยเป่ยเฉิงอยากจะสมรสกับเจ้า?"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: " ท่านอ๋องกล่าวเช่นนั้นเพคะ"ไทเฮากล่าวว่า: " แต่สถานะของเจ้าแตกต่างกันมากเกินไป หากเจ้ายืนกรานที่จะสมรสกับเขา แม้ว่าเจ้าจะเข้าไปในจวนหย่งอันแล้ว คนที่มีสถานะด้อยกว่าก็ใช่ว่ายอมรับพระชายาอย่างเจ้า "หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: " ซวงเอ๋อร
หลินซวงเอ๋อร์ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด: "แต่หม่อมฉันชอบท่านอ๋องคนเดียวเท่านั้น คนอื่น หม่อมฉันไม่ชอบสักคนเลย"ไทเฮายังคงมีสีหน้าท่าทางที่ใจดีมีเมตตา แต่น้ำเสียงไม่ได้ใจดีเหมือนเมื่อสักครู่นี้: " ข้ายังหาคนมาวาดภาพเหมือนให้โดยเฉพาะเลยนะ ล้วนแล้วแต่เป็นชายหนุ่มที่งดงามมีความสามารถ แม่นางซวงเอ๋อร์ลองเลือกดูดีๆสิ บางทีอาจจะเจอคนที่ชื่นชอบก็ได้? "หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหัว: "หม่อมฉันบอกแล้วว่า หม่อมฉันชอบท่านอ๋องคนเดียวเท่านั้น คนเหล่านี้ที่ไทเฮาเลือกมา หม่อมฉันไม่ชอบเลยสักคน"“บังอาจ!” ขันทีเว่ยที่ยืนอยู่ด้านข้าง ตะโกนออกมาอย่างตกใจ คิดในใจว่า สาวใช้คนนี้ไร้ระเบียบกฎเกณฑ์มากเกินไปแล้ว ถึงได้กล้าพูดจาไม่มีหูรูดต่อหน้าไทเฮา!ถ้าเป็นคนอื่น คงจะโดนลากไปประหารแล้ว! เพราะว่ามีเยี่ยเป่ยเฉิงคอยปกป้อง ไทเฮาจึงไม่กล้าทำอะไรนางด้วยกลัวว่านางจะพูดอะไรที่ไม่เคารพอีกครั้ง ขันทีเว่ยจึงรีบตะโกนห้ามปราม และหวังว่าไทเฮาจะปล่อยตัวนางให้เร็วที่สุดเพื่อที่เขาจะได้ส่งตัวสาวน้อยคนนี้กลับไปให้เยี่ยเป่ยเฉิงอย่างปลอดภัยเขาไม่อยากถูกเยี่ยเป่ยเฉิงสับทั้งเป็น เพราะตนเองยังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายปีหลินซวงเอ๋อร์รู้สึก
ตำหนักหลวนจินจักรพรรดิทรงสนทนากับเยี่ยเป่ยเฉิงเป็นเวลานาน สุดท้ายก็เว้าวอนเยี่ยเป่ยเฉิงให้เล่นหมากรุกกับเขาสักสองสามเกมดูเหมือนจะเล่นหมากรุก แต่อันที่จริงแล้วกำลังพูดคุยเรื่องสำคัญบางอย่างกับเขาอยู่จักรพรรดิกล่าวว่า: " ก่อนหน้านี้ จักรพรรดิเป่ยหรงส่งสาส์นมาแจ้งข้าว่า ราชินีแห่งเป่ยหรงเสด็จออกจากพระราชวังโดยไม่บอกเขา เขาค้นหาทุกที่แล้วแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว จึงขอให้ข้าช่วยสอดส่องดูแลอีกแรง หากต้าซ่งมีเบาะแสของราชินีแห่งเป่ยหรง รีบส่งสาส์นแจ้งให้เขาทราบทันที "ใบหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงไร้ซึ่งความรู้สึก และวางหมากลงเป็นครั้งคราวเท่านั้นจักรพรรดิไม่สนใจว่าเขาจะได้ยินหรือไม่ กล่าวต่อไปว่า: " เป่ยหรงเป็นหนึ่งในบรรดาแว่นแคว้นมหาอำนาจ ปีที่แล้วเพิ่งจะขุดพบเหมืองทองคำ มีทรัพยากรทางการเงินที่แข็งแกร่ง โชคดีที่เป่ยหรงและต้าซ่งสร้างพันธสัญญากันมาช้านาน และเป็นพันธมิตรกันมาหลายร้อยปีแล้ว ไม่ง่ายเลยที่จักรพรรดิเป่ยหรงจะขอความช่วยเหลือจากข้า หากราชินีเป่ยหรงมายังดินแดนของพวกเราจริงๆ หวังว่าท่านจะช่วยสอดส่องดูแลมากขึ้น จะปล่อยให้ราชินียอดดวงใจของจักรพรรดิเป่ยหรงเป็นอะไรในต้าซ่งไม่ได้เด็ดขาด "เยี่ย
นางมองไปที่หลินซวงเอ๋อร์อีกครั้ง หมอกควันในนัยน์ตาได้จางหายไปเล็กน้อย ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความสงบนิ่งเหมือนเดิมจากนั้นก็เอ่ยปากพูดอย่างเป็นมิตรเหมือนก่อนหน้านี้: "ดูเหมือนว่า เยี่ยเป่ยเฉิงจะใส่ใจเจ้ามากจริงๆ เพิ่งจะมาหาข้าได้ไม่นาน เขาก็อดรนทนไม่ไหวถึงขั้นต้องมาตามหาเจ้าเลย หรือว่า เขากลัวว่าข้าจะกินเจ้า? "เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเป่ยเฉิงกำลังรีบมาทางนี้ นัยน์ตาที่มืดมนของหลินซวงเอ๋อร์ก็เป็นประกายขึ้นมาทันทีไทเฮาโบกไม้โบกมือ ยกมือนวดคลึงระหว่างคิ้ว แล้วกล่าวว่า: " ช่างเถิด เจ้าออกไปได้แล้ว แต่ข้ายังหวังว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจ แล้วช่วยโน้มน้าวใจเยี่ยเป่ยเฉิงแทนข้า ชิงชิงจริงใจกับเขา อย่าปล่อยให้ชิงชิงต้องผิดหวังเสียใจเลย "หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: " แต่ท่านอ๋องไม่ชอบนาง หม่อมฉันโน้มน้าวใจไปก็ไม่มีประโยชน์ "ไทเฮาขมวดคิ้วลึก“แม่เจ้าประคุณรุนช่อง ท่านหยุดพูดเร็ว อย่าทำให้ไทเฮาต้องเกรี้ยวโกรธไปมากกว่านี้…” ขันทีเว่ยรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วพานางออกไปเมื่อออกมาจากตำนักของไทเฮา ก็เดินทางปลอดภัยมาโดยตลอดทาง ความอึดอัดที่อยู่ในใจของขันทีเว่ยก็ค่อยๆหายไปในที่สุดก็สามารถนำตัวสาวน้อยคนนี้คืนให้กับม
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก