หนทางกลับจวนยังอีกไกล ในรถม้าค่อนข้างที่จะแคบ ทันใดนั้นบรรยากาศก็เงียบลงทั้งสองคนไม่มีอะไรที่จะพูดคุยกันหลินซวงเอ๋อร์ซุกตัวอยู่ที่มุมรถม้า เล่นถุงเงินที่อยู่ในมืออย่างเบื่อหน่าย และรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจเยี่ยเป่ยเฉิงเหลือบมองนาง สายตาจับจ้องไปที่สิ่งของที่นางกำลังเล่นอยู่ จึงเลิกคิ้ว แล้วพูดว่า "นอะไรอยู่ในมือของเจ้า?"เมื่อได้ยินเสียงของเขา หลินซวงเอ๋อร์ก็ซ่อนมือของนางเอาไว้ด้านหลังตามสัญชาตญาณเมื่อเห็นนางซ่อนเอาไว้ เยี่ยเป่ยเฉิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย โอบเอวของนางเอาไว้ แล้วดึงนางเข้ามาอยู่ตรงหน้า: "ซ่อนอะไรเอาไว้?"ทันใดนั้นระยะห่างระหว่างทั้งสองคนก็ใกล้กันมากขึ้น หน้าของเขาอยู่ใกล้มาก จนหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขาที่พ่นมาบนใบหน้า หัวใจของนางก็เต้นอย่างควบคุมไม่ได้นางจึงพูดว่า: "มันเป็นเพียงของเล่นชิ้นเล็กๆที่ไม่ได้มีค่าอะไร"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "ให้ข้าดูหน่อยสิ"หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหัวนางไม่อยากแสดงให้เขาดูงานเทศกาลโคมไฟครั้งที่แล้ว สตรีที่มาจากตระกูลเศรษฐีผู้นั้นปักถุงเงินได้อย่างประณีตมาก เยี่ยเป่ยเฉิงยังบอกว่ามันเชยเลย ถุงเงินที่นางเย็บด้วยผ้าลินินหยาบเขา
“ความสำคัญ?”สิ่งนี้ทำให้หลินซวงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรตอนนั้นปักถุงเงินอันนี้ก็เพื่อฝึกฝนการเย็บปักถักร้อย ฉีหมิงมาหาพี่ชายที่บ้านพอดี พอเห็นถุงเงินที่อยู่ในมือของนางก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก เลยเอ่ยปากขอมันจากนางหลินซวงเอ๋อร์เต็มใจให้มันอยู่แล้วแต่ฉีหมิงคิดว่าลวดลายธรรมดามากจนเกินไป ถ้าปักคำสองสามคำลงไปมันจะโดดเด่นไม่เหมือนใครตอนนั้นนางไม่เก่งเรื่องงานฝีมือ และไม่รู้จักตัวอักษร และไม่รู้ว่าจะปักตัวอักษรตัวไหนฉีหมิงจึงสอนนางเขียนชื่อของเขาและชื่อของนางอย่างอดทนแต่ในท้ายที่สุด หลินซวงเอ๋อร์ก็จำได้แค่ตัวอักษรที่ง่ายที่สุดอย่างคำว่า"หลิน"และ"ฉี"เท่านั้นฉีหมิงจึงตัดสินใจเลือกถุงที่มีคำว่า"หลิน"เขาบอกว่า เขาชอบอันที่มีคำว่า"หลิน" เลยพกมันติดตัวไปด้วย เขาจะได้ระลึกถึงมันอยู่ตลอดเวลาตอนนั้นนางยังเด็ก จึงไม่เข้าใจสิ่งที่ฉีหมิงพูด ไม่ต้องพูดถึงคำว่า"คิดถึง"ที่เขาพูดหมายความว่าอะไรเมื่อนางค่อยๆเติบโตขึ้น พ่อแม่ของนางละจากโลกไปแล้ว พี่ชายได้บอกนางว่า ฉีหมิงเป็นคนที่นางสามารถฝากชีวิตเอาไว้กับเขาได้ และบอกให้นางพยายามชื่นชอบเขาในเวลานั้นหลินซวงเอ๋อร์ไม่เคยเข้าใจว่าชื่นชอบคือ
ที่ตรอกซอยทิศประจิมของถนนฉางอาน ชายหนุ่มผู้สง่าอ่อนโยนเฝ้าคอยอยู่ที่นี่ทุกวัน และจ้องมองไปทิศทางใดทิศทางหนึ่งเป็นครั้งคราว แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีร่างของคนที่คุ้นเคย นัยน์ตาของเขาก็ค่อยๆหม่นหมองลงพอหลินซวงเอ๋อร์ออกจากประตูจวนก็วิ่งตรงไปในทิศทางเดียวเยี่ยเป่ยเฉิงให้เวลานางเพียงสองชั่วยามเท่านั้น หากนางกลับจวนไม่ทัน ไม่รู้ว่าเขาจะลงโทษนางอย่างไรบ้างฉีหมิงยืนรออยู่ที่ปากซอยเป็นเวลานาน เมื่อเห็นว่าหลินซวงเอ๋อร์ไม่ปรากฏตัว ก็คิดว่าวันนี้เขาคงจะไม่ได้เจอนางแล้วด้วยความรู้สึกผิดหวัง เขาจึงหันหลังกลับแล้วกำลังจะจากไป ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง"พี่ฉี พี่ฉี…"มันเป็นเสียงที่เขาคิดถึงทุกเมื่อเชื่อวันฉีหมิงดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อหันกลับมา ก็เห็นหลินซวงเอ๋อร์วิ่งมาอยู่ที่ตรงหน้าเขาอย่างหอบเหนื่อย ไรผมของนางก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ“คิดไม่ถึงว่าพี่จะอยู่ที่นี่จริงๆ” หลินซวงเอ๋อร์ดีใจมาก ตอนแรกนางออกมาเพื่อลองเสี่ยงดวงดู คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเขาที่นี่จริงๆฉีหมิงลืมพูดไปครู่หนึ่ง จ้องมองนางอย่างเงียบๆ ภายใต้แสงแดดยามเช้าอันงดงาม ใบหน้าของนางราวกับว่าเป็นหยกที่โปร่งแสงราวชิ้นหนึ่ง
“พี่ฉี อันที่จริงแล้ววันนี้ที่ข้ามา ก็เพื่อแสดงความยินดีกับพี่เป็นหลัก นอกจากนี้ ข้าอยากจะพูดเรื่องบางอย่างกับพี่ให้ชัดเจน”นางรู้สึกว่า ตนไม่ควรเห็นแก่ตัวมากนัก บางทีเขาควรจะมีโลกที่กว้างขวางขึ้นกว่าเดิม และไม่ควรจำกัดเขาไว้กับนางนอกจากนี้ มีเรื่องบางอย่างที่นางอยากจะบอกเขามาตั้งนานแล้ว แต่นางกลัวว่าจะส่งผลต่อการสอบขุนนางของเขา นางจึงเลื่อนมันออกไปจนถึงตอนนี้ตอนนี้นางเห็นเขาคว้าอันดับที่หนึ่งมาได้สมใจ นางก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลใจอีกแล้วฉีหมิงจ้องมองนาง ทันใดนั้นก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอยู่ในใจหลินซวงเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมความกล้ามองไปที่เขา แล้วกล่าวว่า "พี่ฉี คำสัญญานั้น ซวงเอ๋อร์จะคิดเสียว่ามันเป็นแค่คำคำล้อเล่นของพี่"“ล้อเล่น?” ฉีหมิงรู้สึกลนลานอยู่ในใจ: “พี่พูดมันมาจากก้นบึ้งของหัวใจ จะพูดว่าล้อเล่นได้อย่างไร?”หลินซวงเอ๋อร์แอบถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า: "การแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญ ต้องเชื่อฟังคำสั่งพ่อแม่ ที่จัดสรรหาคู่ให้ ตอนนี้พี่ฉีเป็นถึงขุนนางที่สอบได้ที่หนึ่ง คนที่พี่จะต้องแต่งงานด้วยในอนาคต ควรจะเป็นคนที่คู่ควรกับพี่"สรุปคือไม่ควรเป็นคนแบบนางฉีหมิงตกตะลึง
วันเวลาหมุนเปลี่ยนเวียนไป ครึ่งเดือนได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วนางเฝ้ารอฉีหมิงมาหานาง แต่แม่ของเขาเหยาซื่อกลับมาหานางแทน...เหยาซื่อยืนอยู่ที่ประตูจวนหย่งอัน รอเป็นเวลานานถึงเห็นหลินซวงเอ๋อร์ออกมาจากในนั้นในเวลานั้น หลินซวงเอ๋อร์กำลังจะออกจากจวนไปทำธุระ และบังเอิญเห็นเหยาซื่อยืนอยู่ตรงนั้นพอดี นางจึงมีสีหน้าที่ดีใจ และรีบเข้าไปตอนรับทักทาย“ท่านป้า ท่านมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?” นางเหลือบมองไปที่ข้างหลังของเหยาซื่อ แต่ก็ไม่เห็นร่างของฉีหมิง นึกไม่ถึงว่านางจะมาคนเดียวในความทรงจำของนาง เหยาซื่อใจดีกับนางมาโดยตลอด ปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นคนในครอบครัวคนหนึ่งครอบครัวของหลินซวงเอ๋อร์ยากจน พ่อแม่ก็สุขภาพไม่ค่อยจะดี ตอนที่ครอบครัวของนางประสบปัญหา ขาดแคลนอาหาร เหยาซื่อมักจะช่วยเหลือพวกเขา โดยการส่งอาหารให้พวกเขาเป็นครั้งคราวความมีน้ำใจเหล่านี้ หลินซวงเอ๋อร์จดจำเอาไว้ในใจอยู่เสมอเมื่อแม่ของนางยังมีชีวิตอยู่ได้กำชับนางว่า วันหน้าหากมีโอกาส จะต้องรู้จักทดแทนบุญคุณ ตอบแทนความมีน้ำใจของเหยาซื่อให้ดีๆ ถ้านางมีโอกาสเป็นลูกสะใภ้ของนาง นางก็จะต้องเคารพเหยาซื่อให้มากๆเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์
หลินซวงเอ๋อร์ฟังอย่างเงียบๆ ซ่อนมือเอาไว้ในแขนเสื้อ แอบกำหมัดแน่น จนเล็บของนางจิกเข้าไปในฝ่ามือนางรู้ว่าฉีหมิงไม่ใช่คนแบบนี้ แต่ท่าทีของแม่ของเขาได้เผยออกมาชัดเจนแล้วแม้ว่าฉีหมิงจะชื่นชอบนางจริงๆ แต่ดูจากระดับความเคารพที่เขามีต่อเหยาซื่อแล้ว คงจะทำให้เขาเป็นคนกลางที่ลำบากใจท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้มีวาสนาต่อกัน หลินซวงเอ๋อร์รเข้าใจดี และแอบตัดสินใจด้วยตนเองในขณะนี้ เหยาซื่อควักเงินออกมาจากอกสองสามตำลึง พยายามใส่ยัดมันลงไปในมือของหลินซวงเอ๋อร์ แล้วกล่าวว่า: "เจ้ารับเงินเหล่านี้เอาไว้นะ หวังว่าเจ้าจะไม่รบกวนลูกชายของป้าอีก เงินจำนวนนี้ถือเสียว่าป้าให้เป็นค่าสินสิดแก่เจ้า พอออกจากจวนโหวไปแล้ว ก็ให้หาคนดีๆแต่งงานด้วย"หลินซวงเอ๋อร์ขมวดคิ้วถ้าไม่ใช่เพราะว่านางเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดฉีหมิง นางคงจะอยากจะเลิกกับ นาง จริงๆ แต่เพราะความมีน้ำใจในอดีตของเธอ หลินซวงเอ๋อร์ จึงต้องทนกับความอัปยศอดสู: "ไม่จำเป็น ท่านป้าได้โปรดกลับไปบอกพี่ฉีว่า ต่อจากนี้ไป ซวงเอ๋อร์กับเขา เดินทางใครทางมัน และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก"เหยาซื่อดีใจมาก ดูเหมือนนางจะคิดไม่ถึงว่าหลินซวงเอ๋อร์จะคุยง่ายเช่นนี้ เดิมทีนาง
หลายวันมานี้ไม่ได้พบกับหลินซวงเอ๋อร์ ฉีหมิงก็เดินวนอยู่ตามถนนทุกเมื่อเชื่อวัน มันไม่ง่ายเลยที่นางจะออกมาจากจวน นึกไม่ถึงว่าพอนางเห็นเขาก็เดินอ้อมไปอีกทาง ราวกับว่าจงใจหลีกเลี่ยงเขาฉีหมิงรีบตามนางไป“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์รอก่อน!”ทันใดนั้นแขนของนางก็ถูกเขาจับเอาไว้ หลินซวงเอ๋อร์จึงได้หยุดเดิน และมองดูเขาอย่างจนใจ“พี่ฉี ต่อไปไม่ต้องมารอข้าอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว”คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ไม่ได้เจอกันสองสามวัน ประโยคแรกที่นางพูดกับเขาจะเป็นสิ่งนี้ ทำให้ฉีหมิงตื่นตระหนกทันที“แม่ของพี่พูดอะไรกับเจ้าหรือ?”เมื่อเห็นว่าหลินซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไร ฉีหมิงก็เข้าใจทันที เขาจับแขนของนางเอาไว้แน่น และอธิบายอย่างรีบเร่งว่า: "แม่ของพี่เป็นคนที่สักแต่พูดแต่ใจไม่ได้คิดเช่นนั้น นางเป็นคนที่ปากร้ายแต่จิตใจดีมาโดยตลอด เจ้าอย่าไปใส่ใจเลยนะ"สักแต่พูดแต่ใจไม่ได้คิด?เขาคิดเช่นนี้หรือ?หลินซวงเอ๋อร์มองเขาอย่างสงบนิ่ง แล้วพูดว่า "ถ้าแม่ของพี่ไม่ยอมรับข้า ไม่ยอมให้พี่แต่งข้าเข้าเรือน พี่จะทำอย่างไร?"เมื่อเห็นนางจู่ๆก็ถามคำถามนี้ ฉีหมิงก็ไม่ตอบสนองไม่ได้ชั่วขณะ และอยู่ในอาการตกตะลึงเล็กน้อยหลินซวงเอ๋อ
หลินซวงเอ๋อร์ไม่เข้าใจอีกครั้ง: "ความกตัญญูคืออะไร แล้วอะไรคือความกตัญญูที่โง่เขลา? จะแยกแยะได้อย่างไรคะ?"เยี่ยเป่ยเฉิงอธิบายอย่างอดทน: "ความกตัญญูที่โง่เขลาหมายถึงการเชื่อฟังผู้อาวุโสทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ไม่หือไม่อือ คนแบบนี้ ดูไปแล้วกตัญญูรู้คุณมาก แต่จริงๆแล้วไม่มีความคิดเห็นเป็นของตนเอง และใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้อาวุโสตลอด คนเช่นนี้ จะไปฝากชีวิตไว้กับเขาได้อย่างไร?"หลินซวงเอ๋อร์มองเขาอย่างตะลึงงัน และความรู้สึกแปลกๆที่อยู่ในใจก็พุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้งทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าบนตัวชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านาง มีแรงดึงดูดบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ และทำให้นางตกอยู่ในภวังค์โดยที่ไม่รู้ตัวเมื่อมองไปที่เยี่ยเป่ยเฉิง หลินซวงเอ๋อร์ก็ถามเขาอยากแปลกใจว่า: "ถ้าท่านอ๋องเป็นพระเอกในตำรา จะเลือกอย่างไร?"เขาก้มหน้าลง แล้วมองนางด้วยสีหน้าท่าทางที่ยากจะพรรณนาได้ รอยยิ้มบนริมฝีปากไม่ได้ลดลงเลย นัยน์ตาที่ดูไร้คลื่น สงบนิ่งเหมือนน้ำ ลึกล้ำอย่างมิมีที่สิ้นสุด ได้ก่อตัวเป็นกระแสน้ำใต้น้ำ ซัดสาดจนนางไม่อาจต้านทานได้หลินซวงเอ๋อร์ถูกนัยน์ตาสีเข้มที่ยากจะพรรณนาของเขาทำให้รู้ส
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก