จ้าวเล่อซีในวัยสิบสองปี มองแม่ทัพถานปิงผู้เป็นตาด้วยสายตาที่ยากคาดเดาความนัย ใบหน้าซึ่งสวมหน้ากากปกปิดไว้บ่งบอกไม่ได้ว่าเขายิ้มอยู่ หรือกำลังมีอารมณ์เคียดแค้น“หากไม่ฆ่าเขา เจ้าคงไม่อาจขึ้นเป็นใหญ่นั่งบัลลังก์แคว้นชิง อย่าลืมว่าเทียนฉางกำลังจะมีราชโองการแต่งตั้งมู่จิ้นเป็นรัชทายาทแทนเจ้าคนอย่างมันอาจโง่เขลา แต่เกากงกงและเหออี้คือผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง”เด็กชายอึดอัดในใจเหลือล้น ก่อนทำมือเพื่อสื่อสารกับท่านตา‘แล้วเขาต้องตายเท่านั้นหรือ ข้าถึงจะนั่งบนบัลลังก์มังกรเหมือนบิดา มู่จิ้นไม่ใช่ญาติของข้าหรือ ข้าควรมีเขาเป็นเพื่อน’ถานปิงเก็บความฉุนเฉียวแทบไม่มิด หลานชายคนนี้จิตใจเมตตาเหมือนบิดาของมัน อยากเป็นจักรพรรดิที่มีผู้คนกราบไหว้เยี่ยงนั้น โลกนี้ไม่มีที่ว่างสำหรับคนเช่นนั้นหรอก มังกรควรมีไว้ให้คนยำเกรงและหวาดกลัว!“ซีเอ๋อร์ โลกนี้มีแต่คนแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอด ตาแก่มากแล้ว บรรดาลุงของเจ้าล้วนมีครอบครัว เขาต้องดูแลคนของเขา ตัวเจ้าหากไม่ลุกขึ้นจับดาบแล้วฟันคอศัตรู เจ้าก็เป็นเพียงรัชทายาทในนาม ถึงจะมีราชโองการจากจักรพรรดิองค์ก่อนระบุไว้ให้ลูกชายของกุ้ยเฟยผิงเสียนเป็นรัชทายาทและสืบอำ
ณ อารามหลวงบนภูเขาสูง เป็นสถานที่ซึ่งคนในวังต้องมากลิ้งแตงโม และเล่นสนุกด้วยการปาแตงโมใส่กัน แต่ด้านหนึ่งของหอสูงที่มีแต่ความเงียบสงบเป็นส่วนที่ใช้สำหรับพักผ่อนของจ้าวเทียนฉาง ยามนั้นร่างผอมบางขององค์ชายน้อยสั่นเทาด้วยความตื่นตกใจ เขาไม่ควรเชื่อคำพูดยุยงของนางกำนัลผู้นั้น เขาไม่ควรเลย...หาไม่แล้วคงไม่ต้องรับรู้เรื่องชวนให้อึดอัดใจเยี่ยงนี้มู่จิ้นฉงนฉงายต่อสิ่งที่เขาเห็นด้วยสองตาจ้าวเทียนฉาง ผู้เป็นทั้งบิดาและจักรพรรดิแคว้นชิงกำลังทำเรื่องที่เขาไม่อาจอธิบายได้ แต่สองหูสองตาเขาเห็นภาพดังกล่าวแล้วได้แต่ยืนตัวแข็งค้าง“เสด็จพ่อ...” เสียงของมู่จิ้นไม่ได้หลุดลอดออกจากลำคอ ตัวเขาเย็นเยียบไปหมด ผิดแต่ที่เป้ากางเกงเขากลับพองขึ้น มันพองอย่างนี้ในตอนเช้าตรู่และเวลาที่เขาปวดเบา ทว่าอาการพองขยายทำให้แท่งหยกน้อยชี้ชัน อีกทั้งเขารู้สึกคันมากๆ ที่ปลายหัวหยักจ้าวเทียนฉางกำลังขึ้นคร่อมร่างขาวเนียนอยู่ อีกฝ่ายอ้าขากว้างและนั่งอยู่บนโต๊ะกลมๆ ซึ่งเสียงที่เปล่งออกมาไม่ได้อ่อนหวาน หากมันดังด้วยจริตเกินหญิง“ฝ่าบาท แทงลึกๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพร้อม พร้อมให้พระองค์ตักตวงความสุขอย่างเต็มที่”แน่แล้ว คนที่
อดีตของหลิวฟ่าน หลิวฟ่านอยู่ในเรือนสุนัขด้วยความสุข นางคบหาสหายมามากมาย เรียกได้ว่าเป็นที่รู้จักของชาวเมืองกุ้ยโจว แต่พอได้อยู่ที่นี่ กลับรู้สึกว่าสุนัขป่าตัวโตของคฤหาสน์สัตตบงกชมีความเป็นมิตรมากกว่าคนที่เคยคบค้า กระนั้นพวกมันก็ดุกร้าว กัดศัตรูไม่เลือกหน้าตามนิสัยของสัตว์ป่าและเมื่อขึ้นชื่อว่าสัตว์เดรัจฉาน อย่างไรก็สมสู่ไม่เลือกที่ นอกจากการสมสู่เร่าร้อนรุนแรง พวกมันยังรักเจ้านายและพวกพ้องในแบบที่เรียกว่าตายแทนกันได้และลูกสาวเจ้าบ้านหลิวที่คนทั้งเมืองนิยมในความเก่งกล้าสามารถ นางเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ได้อย่างไร ต้นสายปลายเหตุนั้น หลิวฟ่านย่อมรู้ดีแก่ใจอดีต เทศกาลโคมไฟ เมืองกุ้ยโจวหลิวฟ่านวิ่งหนีตายอย่างไม่คิดชีวิต นางตื่นตระหนกสุดขีด ภาพที่เห็นเมื่อครู่คือแขนข้างหนึ่งของชายรูปงามจากหอสังคีตถูกโยนมาหล่นตุ้บที่ปลายเท้านาง เขาเป็นคนที่นางจ้างมาดีดพิณและร้องเพลงขับกล่อมในเรือที่จอดอยู่กลางน้ำ ซึ่งนางจัดไว้สำหรับเริงสวาทค่ำคืนนี้ ทว่ากลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน ด้วยไม่ทันได้ก้าวขึ้นเรือด้วยซ้ำ ก็มีผู้ร้ายโผล่มาขวางทางนางแล้วไล่ฆ่าคน ชวนให้ตื่นตระหนกยิ่งนักเมื่อเห็นภัยใกล้ตัว มือสังหารร
ม่านซือซืออยู่ในห้วงความฝัน เป็นฝันร้ายที่แสนน่ากลัว ทำให้นางหวีดร้องไม่หยุด ทว่าเหตุใดนางถึงไม่สะดุ้งตื่นเสียทีความเสียใจก่อขึ้นอย่างมหาศาล นางไม่คาดคิดว่าเอี๊ยะถังจะทำเรื่องเลวทรามต่อนางได้ เขารักนาง ปรารถนาดี และต้องการให้นางเป็นฮูหยินมิใช่หรอกหรือภาพต่างๆ ที่เขาเคยกระทำดีด้วยย้อนมาให้เห็น ก่อนจะเป็นภาพของเขาที่ใช้ท่อนเนื้อร้อนที่กลายร่างเป็นงูยักษ์เลื้อยรัดร่างกายนางและมันเป็นงูปีศาจมีสองหัวม่านซือซือดิ้นพล่าน แต่ยิ่งดิ้นก็เหมือนยิ่งถูกรัดหนักหน่วง งูปีศาจสีดำมันมีดวงตาสีแดง หัวหนึ่งเลื้อยพันรอบคอนางและกำลังขู่ฟ่อๆ อย่างน่ากลัว ส่วนหัวที่สองพันที่โคนขาและอ้าปากกว้าง เห็นลิ้นสองแฉกที่แลบเลีย ลิ้นที่ยาวๆ นั้นแสดงท่าคล้ายจะจู่โจมกลีบสวาทนางหญิงสาวขวัญหนีดีฝ่อ นางกลัว กลัวจนแทบสิ้นสติงูร้ายมันไม่หยุดเท่านั้น ในขณะที่ม่านซือซืออกสั่นขวัญแขวนหัวด้านบนก็บีบรัดลำคอนาง พลอยให้นางหายใจไม่ออกและต้องหวีดร้องลั่น เป็นตอนนั้นที่มันอาศัยโอกาสชั่วช้าพุ่งหัวดำอันใหญ่โตเข้ามาในโพรงปากนางม่านซือซือทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากการดิ้นรนขัดขืน และความอึดอัดคับแน่นในโพรงปากยังไม่หนักหนาเท่ากับกลีบสวาท ด
เป็นนางที่วางยาข้า ม่านซือซือพยายามไม่พูดกับใครในคฤหาสน์แห่งนี้ ไม่ใช่เพราะนางรักสงบหรือไม่อยากสุงสิงผู้คน แต่เพราะนางรู้ว่าอาจก่อให้เกิดปัญหาบานปลายในภายหลังและเมื่ออยู่ที่นี่นานวันเข้า นางต้องพยายามทำความเข้าใจว่าจ้าวเล่อซีเป็นชายที่มักมาก และยังชอบบังคับให้นางร่วมรักอย่างเปิดเผย นอกจากนั้นดูเหมือนเขาจะหาทางกลั่นแกล้งนางให้เจ็บตัว เขาเป็นมารร้ายที่มาจากขุมนรกอย่างไม่ต้องสงสัย และหลังจากที่นางอุ่นเตียงกับเขาอย่างเร่าร้อนเมื่อสองวันก่อน ม่านซือซือมีอาการตัวร้อนจัด ก่อนจะมีระดู ทว่าเป็นระดูที่มีสีคล้ำราวกับสีน้ำหมึก และเหนืออื่นใดมันมีกลิ่นที่ชวนให้ม่านซือซือครั่นคร้ามใจ นางกลัวว่ามันจะทำร้ายร่างกายของตนระดูนั้นไหลออกมาราวๆ หนึ่งวันหนึ่งคืนก่อนจะหายไป ทว่านางกลับรู้สึกไม่สบายตัว ร้อนๆ หนาวๆ ราวกับคนจับไข้นางพยายามจะต้มยาสมุนไพรเพื่อรักษาตนเอง ทว่าพิษ หอมหมื่นลี้ที่อยู่ในร่างกายมันประหลาด ด้วยสร้างภาพหลอนแปลกๆ ให้นาง อีกทั้งบางคราเกิดหน้ามืด และหลังจากนางดื่มยาเคี่ยวไปสี่ชามนางก็ได้ยินเสียงเหม่ยหลานพร้อมทาสหญิงอีกหลายคนร้องเรียกหญิงรับใช้ประจำเรือนต่างๆ ออกไปรวมตั
“ใคร... ใครเป็นคนวางยานางจนแทบจะเสียผู้เสียคนอย่างนี้” เหม่ยหลานถามย้ำอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีใครปริปากเอ่ย กระทั่งเหม่ยหลานชี้ไปยังซ่งถิงอี้“ถิงอี้ เป็นเจ้าหรือไม่”ซ่งถิงอี้ในวันนี้ไม่ค่อยมีปากมีเสียงนัก นางเป็นสตรีนับว่ารูปโฉม งามและสูงโปร่ง การถูกส่งตัวไปอยู่ที่เรือนม้าไม้คงกำราบความพยศนางลงไม่น้อย“แน่นอน ย่อมไม่ใช่ข้าหรอกแม่นมหลาน”“แล้วเจ้าคิดว่าเป็นใคร” เหม่ยหลานเอ่ยถามซ่งถิงอี้“คงจะเป็นคนที่เสียประโยชน์ หากคุณชายเอาแต่ขลุกอยู่ที่เรือนวิหค” “สามหาว คุณชายจะเข้าออกเรือนใด เจ้ามีสิทธิ์รู้เห็นรึ”“แต่ที่แน่ๆ ตั้งแต่ข้าก้าวเข้ามาในคฤหาสน์สัตตบงกช ข้าไม่เคยรับใช้คุณชายสักครั้ง!” ซ่งถิงอี้กล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ และคำพูดของนางทำให้ม่านซือซือคิดเข้าข้างตัวเองว่าจ้าวเล่อซีพึงใจต่อนางเพียงใด“หึๆๆ นั่นเพราะ เจ้าไม่คู่ควร” เหม่ยหลานไม่อยากเสวนากับซ่งถิงอี้ นางจึงเดินไปสำรวจสาวใช้แต่ละเรือนทีละคน กระทั่งมาหยุดที่ม่านซือซือ“หรือจะเป็นเจ้า ซือซือ...”ม่านซือซือเหงื่อแตกเต็มหน้าผาก ภายในร่างกายนางปั่นป่วนไปหมด ยามนั้นลำคอแห้งผาก มันเป็นผลจากยาที่นางเคี่ยวและใช้ดื่มเพื่อกำจัดพิษหอมหมื่นลี้“
การออกล่าสัตว์ของจักรพรรดิเทียนฉางและเหล่าขุนนางเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง บางคราเป็นการปล่อยให้เสือไล่กัดเชลยศึกที่จับตัวไว้ได้ แม้แต่การยิงธนูเพื่อปลิดชีวิตนักโทษคดีร้ายแรงก็เป็นที่ชื่นชอบของเขา “เฮ้อ ไหนว่าพวกเจ้ามีเรื่องบันเทิงใจกว่านี้ แต่เท่าที่เห็นมันก็แค่นักโทษไม่กี่คน เราอยากยิงหมี หรือไม่ก็จิ้งจอกขาว พวกเจ้าไม่มีปัญญาหามาให้หรืออย่างไร”“โอ้ ฝ่าบาท ของแบบนั้นต้องเสาะหาสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้ถึงจะมีแค่ทาสและเสือ แต่รับรองว่าพระองค์จะต้องพอพระทัยแน่ๆ”จักรพรรดิเทียนฉางไม่อยากสนใจคำพูดประจบของขุนนาง เขาลุกยืนแล้วขึ้นขี่ม้าออกไปพร้อมองครักษ์จำนวนหนึ่ง กระทั่งพบกับธรรมชาติร่มรื่น และเบื้องหน้าเห็นน้ำตกจากภูเขาสูง“เราอยากล้างหน้าสักหน่อย พวกเจ้าอย่าได้กวนใจ”สิ้นคำสั่ง องครักษ์ก็ถอยออกไปอารักขาอยู่ห่างๆจักรพรรดิหนุ่มหย่อนใจกับธรรมชาติและวักน้ำเย็นล้างหน้า ซึ่งเป็นตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงขับร้องเพลงเบาๆ เสียงดังกล่าวทุ้มนุ่ม หากเจือด้วยความสดใสมากล้นเมื่อได้ยินแล้วก็เหมือนต้องมนตร์สะกด เขาก้าวตามไป กระทั่งพบร่างขาวนวลเนียนที่ว่ายน้ำอยู่ ผิวน้ำใสจนแลเห็นเรือนร่างเปลือยเปล่านั
“ฝ่าบาท แต่เมื่อครู่มันจะทำร้ายพระองค์”“จับตัวไปก็พอ!” จักรพรรดิหนุ่มเอ่ยเสียงเข้ม แต่อาเฟยอาศัยโอกาสที่มี จัดการองครักษ์คนดังกล่าวให้พ้นทาง ก่อนจะหมายมั่นทำตามคำสั่งของจ้าวเล่อซี“ใครส่งเจ้ามา อาเฟย”ขันทีหนุ่มปั้นสีหน้าเรียบเฉย ไม่ทันได้เอ่ยคำใดก็มีร่างสูงใหญ่ปรากฏ บุรุษผู้นั้นมีไอสังหารรุนแรง ซึ่งมันแผ่มาโอบคลุมร่างของจักรพรรดิเทียนฉางดวงตาเรียวเล็กจ้องมองอีกฝ่าย ละม้ายเห็นร่างพี่ชายของตนและกุ้ยเฟยผิงเสียนในคราเดียวกัน“เจ้าคือ!”จ้าวเล่อซีไม่ได้ตอบแต่มีอีกเสียงเอ่ยแทน มันเป็นเสียงอาเฟย“เขาคือคนที่ฝ่าบาทควรคืนบัลลังก์ให้อย่างไรเล่า”สิ้นคำพูดอาเฟย จ้าวเล่อซีก็สั่งให้คนจับตัวจักรพรรดิเทียนฉาง และทั้งที่เหมือนจะสำเร็จโดยง่าย แต่กลับกลายเป็นว่าโชคไม่เข้าข้างฝ่ายของจ้าวเล่อซี เมื่อจู่ๆ กลับมีเหล่าองครักษ์เสื้อแพรแอบซุ่มอยู่และโผล่ออกมาจ้าวเล่อซีมั่นใจว่าตนเองไม่มีไส้ศึกภายในเป็นแน่แท้ ทั้งหมดนี้คงเป็นเพราะอาของเขาเป็นคนขี้ขลาด ถึงได้มีคนคอยอารักขามากมายยอมตายแทน‘ท่านช่างเก่ง ช่างสรรหามดปลวกมาให้ข้าลับคมดาบ’จักรพรรดิเทียนฉางไม่เข้าใจภาษาใบ้ของหลานชาย เพียงแต่มองบุรุษหน้ากากขาวที่ท
อิ่นสิงอี้อยากร้องประท้วงคนตัวโต ทั้งซักถามสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย แต่เขายังเล่นบทคนใบ้เฉกเช่นเดิม “ท่านคืออาหลุน... องค์ชายรอง... เป็นเหรินอ๋องอีกด้วย” ถานป๋อหยางไม่สนใจเสียงนางสักนิด เขาเหนื่อยกับการไล่ล่าคนของรัชทายาท และกำจัดพวกคิดก่อกบฏไปมิน้อย พอได้พบหน้าอิ่นสิงอี้ สิ่งเดียวที่อยากทำคือกอดนาง และขบเม้มร่างบอบบางนี้ให้หายคิดถึง “อย่าทำเป็นไขสือ แม้พูดไม่ได้ แต่ท่านสื่อสารได้ และเข้าใจสิ่งที่ข้าบอกใช่หรือไม่” ชายหนุ่มจูบหลังตนคอนางไปแรงๆ ก่อนทำมือทำไม้ส่งข้อความที่นางเข้าใจเพียงแค่ครึ่งเดียว “ล้วนเป็นข้าทั้งหมด แล้วอาอี้เล่า... ยังเป็นคนเดิมที่ชอบกลืนน้ำหวานของคนใบ้หรือไม่”นางไม่เข้าใจทั้งหมดที่เขาพยายามสื่อสารหรอก แต่คาดเดาได้ว่า เป็นเรื่องสัปดนของคนไร้ยางอายแน่นอน “ทะ ท่าน... หลอกลวงข้ามาโดยตลอด กี่ครั้งแล้วที่ทำให้สตรีผู้หนึ่งเสี่ยงอันตราย เพื่อให้ท่าน จับผู้ร้ายได้” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง เขาหรือจะไร้มนุษย์ธรรม และทำสร้างเรื่องที่น่ารังเกียจเช่นนั้น “อาอี้ ล้วนเข้าใจผิด ข้าไม่เคยทำสิ่งอย่างที่เจ้ากล่าวหา
กระทั่งจู่ๆ ขบวนรถม้าของอิ่นสิงอี้ ที่มุ่งตรงไปยังเรือนของเจ้าบ่าวก็หยุดชะงัก “คุณหนูรอง... มาหลบข้างหลังข้า” แม่สื่อผู้นั้น เป็นห่วงอิ่นสิงอี้ และอย่างที่กล่าว นางต้องส่งอีกฝ่ายให้ถึงมือเจ้าบ่าว นี่คือคำสั่งที่ต้องทำให้สำเร็จ เสียงโห่ร้อง เสียงการใช้อาวุธดังอยู่หลายอึดใจ ก่อนที่ประตูรถม้าจะถูกเปิดเข้ามา แต่แม่สื่อใช้เท้าถีบคนที่มุ่งร้ายหมายชิงตัวอิ่นสิ่งอี้ ฝ่ายแม่สื่อนางเป็นวรยุทธ์อยู่บ้าง และคนว่าจ้างบอกให้นางอารักขาชีวิตของอิ่นสิงอี้ ห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้เป็นอันขาด “อย่ากังวล นอกจากพวกรับจ้างดูแลรถม้า ยังมีกำลังเสริมที่ติดตามเราอยู่ไม่ไกล ตอนนี้สัญญาณถูกส่งออกไปแล้ว อย่างไรพวกเขาย่อมมาช่วยทัน” แม่สื่อกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด พลอยให้อิ่นสิงอี้สบายใจได้เปลาะหนึ่ง สุดท้ายอิ่นสิงอี้ต้องอึ้งมาก นางเห็นบุรุษที่ขี่ม้าตัวโต เขาโดดเด่นสง่างามกว่าใคร และทั้งที่ผู้อื่นสวมชุดเกราะ แต่เขากลับสวมเสื้อผ้าสีแดง ไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าเป็นชุดของเจ้าบ่าว “ทุกคน จะให้เสียฤกษ์ไม่ได้ งานนี้อย่างไรต้องส่งเจ้าสาวเข้าหอกับเหรินอ๋อง”
อิ่นสิงอี้เดินเข้าไปในเรือนของตน ยามนั้นซูซินดีใจมาก และร้องไห้ไม่หยุด ส่วนตงหย่วนไม่ได้ถูกทำร้าย เนื่องจากนางยอมเปิดปากเล่าเรื่องอาหลุนที่ทำหมั่นโถว ไม่ใช่ฝีมือนางหรืออิ่นสิงอี้ ทว่ายามนี้มีเรื่องให้ต้องปวดหัวหนัก ด้วยก่อนหน้านั้น ลู่เหวยให้แม่สื่อมาช่วยจัดแจงสิ่งต่างๆ และบอกว่า อีกสามวันจะส่งตัวอิ่นสิงอี้ไปเป็นฮูหยินของคุณชายที่ร่ำรวยคนหนึ่ง หญิงสาวไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้อีก หลายวันที่ผ่านมานางได้มอบร่างกายและใจให้กับอาหลุนแล้ว ซึ่งตอนที่มาถึงจวนอิ่น นางได้รับคำมั่นสัญญาจากเขาว่า จะมาให้คนมารับตัว ไปอยู่ในที่ปลอดภัย ก่อนออกไปงานเลี้ยงลู่เหวย และอิ่นหลิวหลิงวางแผนชั่วร้าย เนื่องจากสืบรู้ว่าอิ่นสิงอี้ ต้องการหลบหนีออกจากจวนอิ่น และเพื่อตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมจึงขังอิ่นสิงอี้ไว้ที่เรือนสำนึกตน ซ้ำร้ายซูซินถูกขายออกไป ส่วนตงหย่วน นางล้มป่วยลงไม่ทราบสาเหตุ เมื่อคนของตนไม่ได้อยู่รับใช้ ทั้งมีชะตากรรมน่าสงสาร อิ่นสิงอี้ก็ทุกข์ใจ นางไม่กินข้าวหลับแทบไม่ลง จนเช้าวันใหม่ นางถูกปลุกด้วยการสาดน้ำเย็นๆ ใส่ร่าง ก่อนจับแต่งตัว ฝ่ายอิ่นหลิวหลิงเข้ามาเผช
อิ่นสิงอี้ได้พบคนของตนในอีกเกือบสิบวันต่อมา ระยะเวลาดังกล่าวทำให้นางเปลี่ยนความคิดไปอีกด้านหนึ่ง หญิงสาวเข้าใจโลกนี้มากกว่าเดิม นางตายแล้วฟื้นกลับมา เรื่องนี้คือสิ่งที่ตระหนักถึงเสมอ และอิ่นสิงอี้คนเดิม ที่แสนดี โง่เขลา ได้สาบสูญไปแล้ว ยามนี้ ร่างกายขับพิษออกหมด สุขภาพดีขึ้นเป็นลำดับ โดยภายหลัง นางมาอยู่ที่กระท่อมนายพรานซึ่งอาหลุนพามาอาศัย อีกทั้งมีคนรับใช้คอยช่วยเหลืองานทั่วไป ส่วนอาหลุนได้บอกว่า มีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ และเขาให้สัญญากับนางไว้ “จงอยู่ที่นี่สักพัก อย่ากังวลเรื่องใด อาอี้ย่อมปลอดภัยแน่นอน” นางพยักหน้าเข้าใจ ก่อนเอ่ยถามเขา “มีสิ่งหนึ่งที่อยากกระจ่างใจ อาหลุนของข้าเป็นผู้ใดกันแน่” และนี่คือสิ่งที่นางสมควรรู้ สตรีที่มอบกายและใจให้เขา และนางไม่อาจหันเหไปทางใดอีก ในสายตาอิ่นสิงอี้ ยามนี้มีแต่อาหลุน แม้เขาจะแสดงตนว่าไร้แซ่ เป็นเพียงคนใบ้ ทว่านางกลับไม่คิดรังเกียรติ แต่ปรารถนาให้เขาอย่าหลอกลวงกัน นางไม่อยากเป็นแค่สตรีซึ่งทำหน้าที่อุ่นเตียงให้ชายใด “อาอี้ เมื่อวันนั้นมาถึงสามีจะบอกเจ้าเอง ตอนนี้ขอเจ้า มี
หลี่ซือซิงแทบจะเต้นรอบโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนั้น นางแค่อยากอยู่อย่างสงบ ทว่าเหตุใดทหารพร้อมองครักษ์เกราะเหล็กถึงได้โผล่มาที่นี่ “เปิดประตูเถิดอย่าได้ขัดขวางการทำงาน จงรู้ไว้ แค่ข้าหายใจแรงสักหน่อย ที่นี่ก็พังราบเป็นหน้ากองแล้ว” เสียงที่ดังก้องอยู่ด้านนอกจะเป็นใครได้ เขาคือโหวเจียกวงนั่นเอง คนผู้นี้หลี่ซือซิงชังน้ำหน้ายิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน พบเขาหลายหน และดวงตาของอีกฝ่าย แจ้งชัดว่าอยากได้นางไปเป็นฮูหยินของตน ทว่าเขาเป็นเพียงแค่แม่ทัพจับดาบออกรบเก่งกาจ ได้เลื่อนขั้นเร็ว เพราะเป็นพวกกระหายสงคราม และเถรตรงไม่เอาพวกพ้อง ฆ่าได้ฆ่า และไฉนเขาจะอยากกินเนื้อหงส์ คนอย่างเขา เป็นได้แค่ทหารเฝ้าหน้าประตูจวนหลี่ก็เท่านั้น “ข้ามาพักผ่อน และอยากอยู่อย่างสงบ เหตุใด พวกปัญญาหาทึบ มือเปื้อนเลือดถึงต้องมารบกวน” “ฮึๆ ๆ หากท่านหญิงยังพยายามถ่วงเวลาอยู่เช่นนี้ และตัวข้า ตามน้องสาวของสหายไม่พบ เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่!” “บัดซบ แม่ทัพโหว... ถือว่ามีกำลังทหารในมือ ท่านจะใช้วาจาพล่อยๆ กับข้าได้หรือ ข้าถ่วงเวลาอันใด ในเมื่อที่นี่ข้ากำลังใช้เวลาพักผ่อนอย่างเป็นส่
ดวงตาก็พร่าเบลอ รับรู้เพียงแต่บุรุษตรงหน้ามีกลิ่นกายหอมจางๆ ช่วยให้นางผ่อนคลาย ยามนั้นนางจึงผุดลุกขึ้นยืน แล้วเป็นฝ่ายโน้มศีรษะเขาลงมาช้าๆ แรกเริ่มอาหลุนขัดขืน ทำท่าเหมือนหวงเนื้อตัว แต่นางหรือจะยอมให้เขาทำเช่นนั้น อิ่นสิงอี้ ส่งเสียงคำรามพร้อมกับสายตาดุกร้าวให้เขา “คนใบ้ย่อมพูดไม่ได้ เช่นนั้น ท่านคงเก็บความลับระหว่างเราได้ดีที่สุด” นางเอ่ยจบ จึงประกบริมฝีปากบดเบียดกับอีกฝ่าย คราแรกมันจืดชืด กระทั่งเขาเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย นางก็อาศัยโอกาสดังกล่าว แทรกลิ้นเข้าไปกวาดโพรงปากด้านในเขา ทั้งคู่แลกลิ้นกัน ส่งความหวานเย้าหยอกต่ออีกฝ่าย หัวใจนางสั่นไหวระรัวแรง ปรารถนาเรือนกายของอาหลุนยิ่งนัก อยากตกเป็นของเขา อยากครอบครอง ต้องการรุกอีกฝ่ายให้หนัก และทั้งหมดคือแรงพิศวาสที่เกิดจากพิษร้ายที่สะสมในร่างกายบอบบาง แต่ใจนางก็ปรารถนาเช่นนั้นไม่ต่างกัน กระทั่งนางปล่อยริมฝีปากเขาให้เป็นอิสระ ก็เห็นว่า เขากำลังสื่อสาร โดยไม่มีท่าทียั่วล้อ หากจริงจัง “คุณหนูรองแซ่อิ่น ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า...แต่ก่อนที่จะมีสิ่งที่ข้ามขั้นไปมากกว่านี้ คนต่ำต้อย
การยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออิ่นสิงอี้ของอาหลุน แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ซึ่งหญิงสาวรู้ดี นางสังหรณ์ใจตั้งแต่ออกมาจากอารามไผ่เงิน อีกทั้งสายตาชายหนุ่มยามมองนาง รวมถึงการยกยิ้มตรงมุมปาก แจ้งให้รู้ว่า เขาสนใจอิ่นสิงอี้ แล้วตัวนางเล่า คิดอย่างไรต่อเขา แน่นอนในหัวไม่ถึงกับว่างเปล่า แต่นางเชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่า ไม่ได้รังเกียจ ก็เพียงแต่ยังไม่พร้อมเปิดรับใครก็เท่านั้น นางเพิ่งฟื้นจากความตาย ไฉนต้องรีบตกลงปลงใจกับบุรุษถึงเพียงนั้น นางอยากรู้จักหลายๆ สิ่งให้มาก รวมถึงผู้คนด้วย อย่างที่เคยกล่าว นางกับเขาเสมือนมีสายใยบางเบาผูกร้อยเข้าไว้ด้วยกัน จึงทำให้ได้พบกันบ่อยครั้ง นับแต่นางกลับมามีลมหายใจครั้ง และก่อนซางไป๋จงจะวิ่งหนีตายจากฝ่าเท้าของอาหลุน เขาได้ขว้างระเบิดควันออกมา ระเบิดซึ่งมีพิษนอกระคายเคืองดวงตา สร้างความมึนงง ยังกระตุ้นกำหนัดต่อสตรีเพศ คนที่มีอาวุธร้ายแรงเช่นนี้ ย่อมคบค้ากับพวกนอกด่าน และซางไป๋จง คือบุรุษขี้ขลาด ทั้งยังเป็นอันตรายและภายภาคหน้าย่อมสร้างปัญหาต่อบ้านเมือง อาหลุนตั้งใจตามไปจัดการอีกฝ่าย ทว่าอิ่นสิงอี้ไม่อาจประคองตัวไหว ร่างนางสั่น พยายามคว้าต้นไม้ยึดไว้
คนผู้นั้นคือซางไป๋จง แม้ใบหน้าหล่อเหลา ปากนิด จมูกหน่อย ทว่านิสัย กับท่าทางแจ้งชัดว่าเป็นคนร้ายกาจ ขณะที่ถูกกุมตัวแยกจากคนของตน อิ่นสิงอี้ได้แต่คิดหาทางเอาตัวรอด นางเริ่มเข้าใจหลายสิ่ง รู้ว่าตนพาเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เรื่องนี้นับว่าเป็นความผิดพลาดมหันต์ กระทั่งเสียงของทหารนายหนึ่งเอ่ยถาม ฉุดนางออกจากภวังค์ “แม่นาง พวกเราไม่ต้องการสิ่งใดหรอก แค่ได้ชมความงาม ภายในร่มผ้าของเจ้าสักเล็กน้อย นับว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ดี รู้หรือไม่ หากไม่รีบตกลงเป็นของพวกข้า เจ้าอาจต้องไปเป็นของเล่นนายน้อยซาง หมู่นี้เขาหงุดหงิดง่าย คงตั้งแต่พาท่านหญิงหลี่ ออกจากเมืองหลวง เพื่อตามหาคนผู้นั้น” ทหารคนหนึ่งเอ่ย ท่าทางเขาไม่ได้ดูเหมือนคนร้าย ทว่าสุราที่ดื่ม และการมีลูกคู่คอยยุยง จึงทำให้พูดจาแทะโลมอิ่นสิงอี้ และการเล่าถึงเรื่องต่างๆ ของพวกเขา ก็ทำให้อิ่นสิงอี้ ทราบความเป็นมาของหลี่ซือซิง กับซางไป๋จง “เอาล่ะ... แม่นางผู้งดงาม อยากเปลื้องผ้าให้ข้าชมก่อน หรือว่า ให้เจ้านิ้วก้อยดูดนม ใช้ลิ้นแทงกลีบงามเจ้า สักจ๊วบ สองจ๊วบ เพื่อให้ชื่นใจดี” คนที่ถูกเรียกว่านิ้วก้อย ยิ้มให้อิ่นสิ
อิ่นสิงอี้ไม่อยากมีเรื่อง อีกทั้งการใช้สติให้มาก และหลบปัญหาที่เกินตัวย่อมสงผลดีที่สุด “ขอเวลาสักครึ่งชั่วยาม ข้าจะคืนห้องพักให้” นางเอ่ยได้เท่านั้น และไม่ทันได้ทำสิ่งใดอีก คนพวกนั้นก็บุกรุกเข้ามาในห้องพักนาง “พวกเจ้าเป็นผู้ใด” ซูซินเอ่ยถาม และพยายามขวางทางไว้ แต่เด็กสาวตัวเล็ก แรงแม้มีมาก แต่คงไม่อาจสู้กับองครักษ์หญิงเหล่านั้นได้ “ถอยไป...” เสียงหนึ่งดังขึ้น และซูซินถูกผลักอย่างแรง อิ่นสิงอี้ใจเดือดพล่าน นางอดทนแล้วและยอมถอย แต่ดูเหมือนคนพวกนี้ถนัดหาเรื่อง ทั้งชอบใช้กำลัง “ข้าแบ่งที่พักให้พวกท่าน แต่เหตุใดถึงได้มีนิสัยต่ำทรามนัก” เสียงของอิ่นสิงอี้ดังพอสมควร และมันไปเข้าหู สตรีนางหนึ่ง อีกฝ่ายแม้ปิดบังใบหน้า ด้วยหมวกสวมตาข่าย แต่ยังสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตจากดวงตานางที่ส่งมาถึงอิ่นสิงอี้ “พวกชั้นต่ำที่ไหนมาส่งเสียงให้ข้ารำคาญใจ” อีกฝ่ายคือหลี่ซือซิงลูกสาวอมาตย์ใหญ่แห่งแคว้นอัน “ท่านหญิง อย่าได้สนใจเสียงนกเสียงกาเลย พวกข้าจะจัดการไล่ไปให้พ้นๆ หน้าเดี๋ยวนี้” คนของหลี่ซือซิงเอ่ย “ฮึ แค