“มีมี๊...”
“หนูไอซ์...เดี๋ยวเราจะ...เดินทางต่ออีกนิดนะจ๊ะ”
“จาไปไหน?”
พอลืมตาตื่นเต็มที่เด็กหญิงเจ้าของนัยน์ตาสีอำพันวาววามก็หันไปมองชายแปลกหน้าที่ยืนตรงหน้ามารดาและทำให้มนัสวีรีบอธิบาย
“เราจะเดินทางต่ออีกนิดหน่อย แล้วเดี๋ยวเราจะกลับมาพักที่นี่นะจ๊ะ...โอเคนะ”
“โอเคค่ะ”
ไอสวรรค์รับปากมารดาแต่ยังทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจหากก็ได้แต่กอดแม่ไว้แน่น มนัสวีพาลูกสาวเดินตามชายร่างสูงใหญ่ไปยังรถเอสยูวีซึ่งเขาปฏิบัติต่อเธออย่างให้เกียรติด้วยการเปิดประตูให้สองแม่ลูกขึ้นไปนั่งบนเบาะด้านหลังก่อนที่รถคันหรูจะแล่นออกสู่ถนนสายใหญ่
“เราจาไปไหนคะ?”
เด็กน้อยถามมารดาและหญิงสาวยิ้มให้พร้อมทั้งตอบว่า
“มีมี๊ไปธุระแป๊บนะคะ”
“นานแค่ไหนคะ?”
มนัสวีทำสีหน้าครุ่นคิด เธอกำลังกลัวและสงสัยเหมือนกันว่าคนของเฮเดนจะพาเธอไปที่ไหน
“แป๊บเดียวค่ะ...แป๊บเดียว...หลับนะคะ”
หญิงสาวกดศีรษะเล็ก ๆ ไว้กับอก ลูบเรือนผมสีน้ำตาลทองเบา ๆ ด้วยความหวาดหวั่นเกินระงับ มือเธอสั่นหากลูกสาวตัวน้อยก็ไม่ได้รู้สึกแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะไอสวรรค์ยังเล็กเกินไปที่จะรับรู้ถึงความหวั่นกลัวที่กำลังกัดกินหัวใจของคนเป็นแม่ในยามนี้
มนัสวีนั่งกอดลูกสาวที่สงบนิ่งในตักบนเบาะหลังรถเอสยูวีซึ่งภายในตกแต่งอย่างหรูหรากับหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวั่นระแวงเพราะนี่จะเป็นการได้พบกับ ผู้ชายที่เคยรักเธอ หลังจากไม่ได้เจอกันนานกว่าห้าปี เธอรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของตัวเอง รู้สึกถึงแรงสั่นสะท้านทั้งจากภายในและภายนอก มันเหมือนคลื่นใหญ่โหมตัวเข้าหาเธอหลายระลอกและหญิงสาวแทบไม่อาจทานทนไหว เขารู้ว่าเธอมาบอสตัน แล้วเฮเดนจะรู้หรือเปล่าว่าเธอไปเยี่ยมพี่ชายที่เรือนจำมา เขากำลังจะทำอะไรกันแน่ หญิงสาวคิดจนเริ่มปวดหน่วงที่ขมับกระทั่งรถคันนั้นแล่นผ่านรั้วอัลลอยด์ขนาดใหญ่เข้าไปบนถนนขนาบสองข้างทางด้วยต้นไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีบอกให้รู้ว่าห้วงกาลกำลังจะเคลื่อนผ่านเข้าสู่ฤดูหนาวและมันทำให้หัวใจดวงนั้นประหวัดนึกไปถึงคำพูดของเฮเดนในช่วงฤดูกาลนี้เมื่อห้าปีที่แล้ว
“วีนัส...รู้มั้ยว่าผมอยากจัดงานแต่งงานในช่วงฤดูหนาว”
“ทำไมล่ะคะ?”
“เพราะช่วงฤดูหนาวเจ้าสาวจะสวยที่สุด งดงามที่สุดและผมก็จะได้กอดเธอใต้ผ้าห่ม ปกป้องตัวเธอจากลมหนาวยังไงล่ะ”
โดยไม่ได้ตั้งใจที่รอยน้ำเริ่มรื้นรอบขอบตาของหญิงสาว เจ้าสาวในฤดูหนาวอย่างนั้นหรือ...มนัสวีก้มลงจูบบนเรือนผมสีน้ำตาลทองของลูกสาวและมีรอยยิ้มเศร้า ๆ ผุดขึ้นบนมุมปากอิ่มสวย สำหรับเธอมันคงไม่มีช่วงเวลาเช่นนั้นอีกแล้ว
“เชิญครับคุณมนัสวี”
เสียงเรียกเมื่อประตูรถถูกเปิดออกปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากความฝันโดยที่เธอเองก็ไม่รู้เลยว่ารถที่นั่งมาจอดลงตอนไหน ร่างเล็กบอบบางขยับตัวจากเบาะนั่งขณะที่ชายร่างใหญ่ยื่นมือเข้ารับเด็กหญิงตัวน้อยลงจากตัวรถ ไอสวรรค์ทำหน้าตื่นและหันมาพูดกับมนัสวีที่ก้าวลงจากรถตามมาทีหลัง
“มีมี๊...ที่นี่สวยจัง”
หญิงสาวมองไปรอบ ๆ ตามเสียงเจื้อยแจ้วแสดงความตื่นเต้นของเด็กน้อยและคิดว่าเธอไม่เคยมาที่นี่ คฤหาสน์สร้างจากอิฐสีน้ำตาลแดงในสไตล์โคโลเนียลโอบล้อมด้วยต้นไม้เปลี่ยนสีหากทว่าเป็นสถานที่อันโดดเดี่ยวแยกตัวมาจากชุมชนเมือง แม้จะสวยงามเช่นไรหากก็ทำให้มนัสวีรู้สึกราวกับเธอกำลังก้าวเข้ามาในโลกอันหม่นมืดที่มองไม่ชะตากรรมเบื้องหน้า
“เชิญด้านในครับ”
คนของเฮเดนกล่าวอีกครั้งและหญิงสาวต้องรีบจับมือลูกสาวตัวเล็กที่อยู่ในชุดกระโปรงสวมทับด้วยแจ็คเก็ตมีฮู๊ดสีชมพูหวานไว้แน่นก่อนเดินตามชายผู้นั้นเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่ และระหว่างทางที่เดินเข้าไปเธอเห็นว่ามีพวกบอดี้การ์ดยืนเฝ้าอยู่ตลอดทางก่อนถึงห้องโถงใหญ่ซึ่งร่างเล็กบางก้าวเข้าไปหยุดพร้อมไอสวรรค์
“มีมี๊...นี่ที่ไหนคะ?”
เด็กน้องถามด้วยความไร้เดียงสา แววตาคู่นั้นมองไปรอบ ๆ สถานที่โอ่โถงด้วยความตื่นตาโดยไม่รู้เลยว่าผู้เป็นแม่หวั่นกลัวขนาดไหน มนัสวีกระชับมือที่กุมมือน้อยไว้
“เป็นบ้าน...เพื่อนของมี๊เองค่ะ”
เธอตอบไม่เต็มเสียงนักโดยไม่รู้ว่าชายร่างใหญ่ที่เดินเข้ามาพร้อมกันถอยออกไปตอนไหน ไอสวรรค์ยิ้มกว้างอวดฟันขาวแต่แล้วมนัสวีก็รู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นหนูน้อยหุบยิ้มและนัยน์ตากลมโตเลื่อนไปหยุดที่ข้างหลังเธอ หญิงสาวหันกลับไปและแทบลืมหายใจเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของใครอีกคน
“เฮเดน!”
มนัสวีอุทานเสียงแหบเบา มือเรียวบางที่จับมือหนูน้อยไว้เย็นเยียบตอนที่เห็น เขา คนนั้นเป็นครั้งแรก...อีกครั้ง
“สวัสดี...วีนัส”
เสียงกล่าวทักนั้นทุ้มห้าวและราวกับมีพลังหยุดทุกอย่างรอบตัวหญิงสาวแม้แต่ลมหายใจของเธอเอง มนัสวีมองเขาเต็มตา
เฮเดน เจคอป
ไม่มีอะไรในตัวเขาที่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน ร่างสูงใหญ่อยู่ในเสื้อเชิ้ตขาวสวมกางเกงสแล็คสีนิลใบหน้าหล่อเหลาคร้ามคมและเรือนผมสีน้ำตาลเข้มแกมประกายสีทอง นัยน์ตาสีอำพันลึกล้ำเปี่ยมพลังอำนาจ จมูกโด่งยาวรับกับริมฝีปากหยักหนา ผิดก็แต่รอยยิ้มที่มนัสวีเห็นความเหี้ยมเกรียมแฝงอยู่ยามเขาหยัดมุมปากขึ้นน้อย ๆ และสำหรับชายหนุ่มแล้วมนัสวีก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเมื่อก่อน เธอยังคงมีเรือนร่างบอบบาง
ใบหน้ารูปไข่ใต้กรอบเรือนผมดำขลับและยาวตรงยังคงหมดจดไม่ต่างจากสาวแรกรุ่น ทุกกระเบียดนิ้วของเธอคือความผ่องผาดอย่างธรรมชาติแม้ปราศจากเมคอัพฉูดฉาด แค่ริมฝีปากเคลือบ ลิปกลอสสีชมพูอ่อนก็ดึงดูดสายตาคนที่จ้องมองไม่เคยแปรเปลี่ยน...หากเวลาเท่านั้นที่เปลี่ยนไปและอะไรต่อมิอะไรก็ผันแปรไปจนหมดสิ้น“สวัสดีค่ะ...เฮเดน” มนัสวีเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นกลบความเงียบ“นี่เพื่อนมีมี๊หราคะ?”ไอสวรรค์ตั้งคำถามและเสียงเล็ก ๆ นั่นทำให้ชายหนุ่มเจ้าของความสูงกว่าร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรเลื่อนสายตาคมกริบนั้นไปจับจ้องที่ร่างของเด็กหญิงตัวน้อย“ใช่ค่ะ...เขาเป็น...เพื่อนมี๊”“สวัสดีหนูน้อย...หนูชื่ออะไรนะ?”ร่างสูงก้าวเข้าไปหาคนทั้งสอง มันทำให้มนัสวียิ่งประหวั่นพรั่นพรึงเมื่อเห็นสายตาของเฮเดนที่กำลังจ้องมองลูกสาว ไอสวรรค์ยิ้มให้ด้วยไม่เดียงสา เด็กน้อยดึงมือจากการเกาะกุมของมารดาแล้วยกมือพุ่มไหว้พร้อมย่อเข่าลง“สวัสดีค่ะ...คุณลุง”เฮเดนเลิกคิ้วสูง ชั่วขณะของความคิดเขารู้สึกราวกับว่านี่คือ...ความประทับใจแรกเห็น กับเด็กหญิงผิวขาวและผมสีน้ำตาลประกายทองสว่างซึ่งมันเป็นสิ่งบ่งบอกชาติพันธุ์ว่าหนูน้อยไม่ได้มีเลือดเอเชียร้อยเปอร์เซ
ทัณฑ์แค้นบ่วงพิศวาสลมหายใจของเขาคือการแก้แค้น...และเธอต้องรับโทษทัณฑ์แทนพี่ชายเฮเดน เจคอปหนุ่มนักธุรกิจเจ้าของกิจการด้านอากาศยานยักษ์ใหญ่ที่มีความหลังฝังใจเมื่อถูกเพื่อนรักหักหลัง เขาจับ มาร์ค เพชรสงคราม คนทรยศเข้าคุกแต่ยังมีอีกหนึ่งคนหนีไปได้ น้องสาวของเพื่อนตายที่ครั้งหนึ่งเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขา เฮเดนคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเก็บความเคียดแค้นไว้และการได้พบเธออีกครั้งมันคือการเอาคืนอย่างสาสมมนัสวี เพชรสงครามเพราะพี่ชายสร้างปัญหาใหญ่หลวงไว้ให้เธอจึงต้องแบกรับมันไว้พร้อมกับต้องปกป้องหัวใจที่เธอหวงแหน หญิงสาวต้องเอาตัวเข้าแลกกับข้อเสนอจากผู้ชายที่เธอเคยรัก กลายเป็นเมียเก็บที่ถูกบีบคั้นบังคับด้วยพันธะสัญญาทั้งถูกทรมานให้เจ็บปวดทั้งกายใจ...ซึ่งเธอต้องเก็บงำความลับบางอย่างไว้ไม่ให้เขารู้ไอสวรรค์ (หนูไอซ์)หัวใจดวงน้อย สิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่สำหรับมนัสวี เธอไม่อาจบอกใครได้ว่าหัวใจดวงนี้คือจิตวิญญาณแห่งความรักที่เกิดจากการหลอมรวมระหว่าง เธอ และ เขา “มีมี๊...เราจาไปไหนกัน?” คำถามที่ดังขึ้นจากเด็กหญิงอายุสี่ขวบผิวขาวผ่องผมสีน้ำตาลทองซึ่งนอนบนตักของร่างบอบบ
“เฮเดน...ฉันขอโทษ...ฉันผิดไปแล้ว”“ไอ้เพื่อนบัดซบ!”สิ้นเสียงคำรามลั่นกระบอกปืนในมือของเฮเดนก็ฟาดลงบนหน้าของมาร์คจนสะบัด พี่ชายของเธอเลือดกบปากแต่ดูเหมือนมันยังไม่สาแก่ใจคนทำ มนัสวียังจดจำใบหน้าของนักธุรกิจเจ้าของกิจการยักษ์ใหญ่ตอนนั้นได้ดี เขาเหมือนซาตานที่ผุดขึ้นมาจากขุมโลกันต์ไม่ปาน“แกรู้มั้ยว่าทำอะไรลงไป แกกำลังจะทำให้กิจการของฉันพังพินาศเป็นเศษซากแล้วไอ้เพื่อนทรยศ ฉันไม่เคยให้มือของฉันต้องเปื้อนมลทินด้วยการทำผิดกฎหมายแบบนี้ แล้วเงินร้อยห้าสิบล้านดอลล่าห์ของฉันอยู่ที่ไหน...ถ้าแกไม่ยอมคืนฉันจะฆ่าแก ฆ่าทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!”เท่านั้นเองที่มนัสวีถึงกับผงะ เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่านอกจากมาร์คจะทำธุรกิจผิดกฎหมายแล้วเขายังหลอกเอาเงินจากเฮเดนไปไว้ที่ไหน หญิงสาวยังทนฟังต่อไปหลังจากนั้น“ฉันจะแจ้งตำรวจจับแกเข้าคุกเพื่อล้างมลทินให้เจคอป แอร์โรว์คราฟ...ไอ้เพื่อนสารเลว ถ้าฉันรู้แต่แรกว่าแกจะทำเรื่องบัดซบได้ขนาดนี้จะไม่ขอรู้จักกับแกเลย”“แกแจ้งตำรวจให้มาจับฉันก็ได้ แต่อย่าทำอะไรน้องสาวของฉัน...เฮเดน...ฉันขอร้อง”“แกพูดแบบี้หมายความว่ายังไง”เฮเดนกระชากคอเสื้อของมาร์คแล้วถามเสียงดั
“มิ้ม...ฟังพี่นะน้องรัก พี่บอกได้เพียงว่าน้องต้องดูแลรักษาตัวเองกับลูกให้ดี ใช่...ถึงหลานพี่จะมีสายเลือดของ...ของคนที่มิ้มรัก แต่เฮเดนไม่มีวันให้อภัยความผิดที่พี่ทำเอาไว้ และมันก็หมายถึงเธอด้วย”“มาร์ค...”ไม่ทันที่พี่ชายของเธอจะกล่าวต่อก็ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่เตือนว่าหมดเวลาคุย มนัสวีจำต้องพาไอสวรรค์ออกมาซึ่งก่อนกลับเธอได้ให้ลูกสาวตัวเล็กล่ำลาคุณลุงที่ยังต้องใช้ชีวิตในคุกต่อไปอีกนานนับปี แม้ว่ามาร์คจะไม่ได้บอกกล่าวทั้งหมดหากหญิงสาวรู้ดีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ทว่าสิ่งที่ยังค้างคาใจคือเหตุใดผู้ชายที่เธอเคยรักถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ ตัวตนด้านมืดของเฮเดนน่ากลัวอย่างที่เธอไม่เคยคาดคิด ทุกครั้งที่หลับตามนัสวีไม่เคยลืมภาพที่เขาใช้กระบอกปืนฟาดลงบนหน้าของมาร์คได้แม้แต่วินาทีเดียว“ถึงแล้วครับคุณผู้หญิง”เสียงคนขับรถที่ดังขึ้นปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์อันเลื่อนลอย มนัสวีชะโงกหน้ามองไปนอกหน้าต่างรถก็เห็นตึกซึ่งได้รับการตกแต่งในสไตล์แบบเก่า ๆ แต่ดูเก๋ไก๋ด้วยไม้ดอกไม้ประดับสวยงาม“แพลนซี่ เพลส...มันเป็นโรงแรมเล็ก ๆ แต่น่าพักครับคุณผู้หญิง ผมเคยพาผู้โดยสารมาที่นี่หลายครั้งแล้ว ห้องพักสะอาดและรา