เสี้ยวหน้าซีดเซียวดูน่าเวทนาทำเอาใจบุรุษสั่นไหว แม้ดวงตาปิดสนิทแต่มีรอยคราบน้ำตาเปื้อนอยู่ เขานั่งลงริมเตียงอย่างเงียบเฉียบ วันนี้นางเพิ่งยิ้มดีใจราวเด็กเล็กๆ ค่ำมาก็ต้องร้องไห้ที่สูญเสียแพะน้อยไป เขายื่นมือไปหมายจะเช็ดคราบน้ำตาแต่ก็ชะงักและชักมือกลับ ด้วยรู้สึกว่ามือของตนเคยเปื้อนเลือดมากมายเกินกว่าจะเช็ดน้ำตาให้ผู้อื่นได้ เขาถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงเบา“ข้าจะหาแพะตัวใหม่มาให้เจ้าเลี้ยง เอาสักสองสามตัวดีไหม หรือจะเลี้ยงสักฝูงก็ได้”แม้ปิดเปลือกตาแต่หญิงสาวยังไม่หลับ ทุกถ้อยคำของเขาชัดเจนแต่นางได้แต่กัดริมฝีปากตนเองไม่ส่งเสียงใดออกไปแม่ทัพหนุ่มรู้ว่าภรรยาของตนอารมณ์ไม่ดีนัก เขาเองก็ไม่ใช่คนช่างเอาอกเอาใจจึงได้แต่เหน็บผ้าห่มให้นางดูจนมั่นใจแล้วจึงปลดม่านมุ้งลงตามเดิมแล้วเดินจากมาน้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งไปแล้วพลันไหลออกมาอีกครั้ง จ้าวจื่อรั่วพึมพำกับตนเอง“ข้า..ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว”เพราะ…ไม่มีสิ่งใดเป็นของนางอย่างแท้จริง. เสี่ยวฉู่บรรจงปักปิ่นระย้าประดับผมให้จ้าวจื่อรั่ว ปกติ ฮูหยินไม่ชอบแต่งหน้าประทินโฉมนัก แต่เพราะนางต้องออกไปส่งเฉียวฉู่ตามคำสั่งของท่านแม่ทัพ ใบหน้
ภายในรถม้า จ้าวจื่อรั่วนั่งเหยียดแผ่นหลังตั้งตรง ท่วงท่าเรียบง่ายแต่งามสง่าดูขัดหูขัดตาเฉียวฉู่ที่วันนี้ยังคงสวมชุดสีแดงสดใสเช่นเคย นางยังคงแสร้งยิ้มแย้มและชวนคุยแต่จ้าวจื่อรั่วไม่เอ่ยวาจาวางท่าสูงส่งยิ่งทำให้เฉียวฉู่ชิงชัง นางกำมือแน่นจนเล็บจิกไปที่กลางฝ่ามือ แม่นมคนสนิทเข้าใจความรู้สึกของเฉียวฉู่เป็นอย่างดี ยื่นมือมาแตะท่อนแขนของเฉียวฉู่เบาๆเป็นเชิงปลอบโยน “ข้าดีใจที่เจ้า เอ่อ ฮูหยินมาส่งด้วยตนเองเช่นนี้” เฉียวฉู่แย้มยิ้ม “อยู่ที่จวนมานาน ไม่มีโอกาสได้ขอบคุณฮูหยิน ซ้ำยังทำเรื่องให้ท่านไม่สบายใจอีก แต่ข้าปรารถนาดีจริงๆนะ ที่บ้านข้าการกินเนื้อแพะเป็นการบำรุงสุขภาพ ข้าก็เลยคิดว่าฮูหยินเลี้ยงไว้เป็น...” “เรื่องผ่านมาแล้วไม่จำเป็นต้องพูดอีก”จ้าวจื่อรั่วเอ่ยเสียงเรียบ สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ม่านหน้าต่างขยับไหวตามแรงลม ด้านนอกผู้คนขวักไขว่ นางก็เป็นแค่คนแปลกหน้าของเมืองนี้ ไม่รู้เลยว่ามีท่าเรือใหญ่โต ก่อนเดินทางที่นี้นางได้ยินแต่ว่าเป็นชายแดนทุรกันดาร แน่นอนว่าเรื่องเล่าป่าเถื่อนมากมายที่ทำให้บิดาไม่ยินดีส่งคุณหนูตัวจริงมาเป็นฮูหยินของแม่ทัพกู้ นางจ
“จะแตกตื่นไปไย ว่ายน้ำเป็นหรือไม่เป็นไม่เกี่ยวกับข้า นางตกน้ำไปเอง ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย” “เจ้าจงใจ!” โจรหนุ่มไม่คิดว่าเมียสาวจะเลือดเย็นถึงเพียงนี้ แต่นั้นก็ยิ่งย้ำให้เขารู้ว่าสตรีผู้นี้เหมาะสมกับเขายิ่งนัก เฉียวฉู่เบ้ปากใส่แล้วปรายตามองไปยังสาวใช้ที่ร้องโอดครวญอยู่“รำคาญนัก ช่วยจัดการให้มันเงียบทีสิ!” หูหลานยิ้มที่มุมปาก ใครเลยจะรู้ว่าท่าเรือที่เห็นผู้คนคึกคักนั้นแท้จริงเป็นเหล่าโจรที่เหลือรอดจากการจับกุม หัวหน้าโจรยกมือเพื่อส่งสัญญาณให้ลูกน้องจัดการสาวใช้ผู้นี้เสีย ใบหน้าเสี่ยวฉู่เปื้อนเปรอะน้ำตาเพราะความเจ็บปวดและเสียใจที่ไม่อาจช่วยฮูหยินได้ แต่กระนั้นนางก็ขึงตาใส่อย่างดุดัน แม้นางไม่เคยอยู่ในสนามรบ แต่ชีวิตชายแดนเคยผ่านความน่ากลัวของสงครามมาก่อน และสูญเสียคนในครอบครัวไปเหลือนางเพียงคนเดียว นางไม่ได้กลัวตาย แต่นางเสียใจที่ไม่ได้ช่วยฮูหยิน! ลูกน้องโจรแสยะยิ้มแล้วใช้ปลายดาบเชยคางสาวใช้ขึ้นแล้วพูดใส่“กล้าขึงตาใส่แบบนี้! ข้าชอบนัก! มาเป็นเมียคนที่สามของข้าดีกว่า!” “ถุย!” เสี่ยวฉู่ถ่มน้ำลายใส่ “มีผัวเป
ข่าวการหายตัวไปของฮูหยินแม่ทัพกู้ตงหยางแพร่สะพัดไปทั่วเมือง แม้ผ่านมานานสองเดือนชาวบ้านต่างป้องปากกระซิบพูดถึงอยู่ ไม่มีผู้ใดกล้าพูดเสียงดังเพราะเกรงเรื่องจะไปถึงหูแม่ทัพปีศาจผู้นั้น ฉายาแม่ทัพปีศาจนั้นมาจากความโหดเหี้ยมในการทำศึกสงคราม แต่ใครเลยจะรู้ว่าเพียงเพื่อกวาดล้างโจรชั่วถึงกับยอมใช้ฮูหยินของตนเป็นเบี้ยตัวหนึ่งให้อีกฝ่ายตายใจ มาบัดนี้ฮูหยินตกน้ำหาตัวไม่พบ แม้จะใช้ทหารทั้งกองทัพก็ยังไร้ร่องรอย ผ่านมาสองเดือนแม้จะยุติการค้นหาแล้ว แต่ทหารและชาวเมืองต่างรู้ว่า แม่ทัพกู้ยังคงตามหาฮูหยินของตน บาดแผลของเสี่ยวฉู่หายดีแล้ว และทุกวัน สาวใช้ผู้นี้ยังคอยตามหาฮูหยิน และยังคงโทษตนเองที่ทำให้ฮูหยินหายไป เสียงกระดิ่งสายลมทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง เขายังจำรอยยิ้มดีใจไร้เดียงสาในวันนั้นได้ดี เขาไม่เคยเข้าใจว่าทำไมนางต้องดีใจกับแค่กระดิ่งลม‘ท่านแม่ทัพ! ข้า...ข้าแขวนกระดิ่งลมที่เรือนได้ไหมเจ้าคะ’ ‘ตามใจ’ และวันเดียวกัน นางต้องทุกข์ใจที่เจ้าแพะน้อยตายไป เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกกับนางเช่นไร สตรีที่ฮ่องเต้ส่งมาเพื่อจับตาดูเขา ซ้ำคนสก
“อากาศเริ่มเย็นแล้ว ให้นางสวมเสื้อผ้าหนาๆด้วย” “ทราบแล้วขอรับ” “ไม่มีอะไรแล้วก็ออกไปเสีย” พ่อบ้านถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วก้าวออกไป ห้องนี้จึงตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง สายตาของกู้ตงหยางไล่อ่านข้อความบนกระดาษ เขาส่งอ้ายเสิ่นไปสืบประวัติของจ้าวจื่อรั่วที่เมืองหลวง ดูเหมือนว่า...นางจะเป็นแค่ลูกอนุที่ไร้พิษภัยจริงๆ ตั้งแต่เดือนแรกที่นางหายตัวไป ฮ่องเต้ส่งทหารคนสนิทมาสอบถาม อาจไม่เชื่อว่านางหายไปและคิดว่าเขาสังหารนางเพื่อต่อต้านฮ่องเต้ก็เป็นได้ เมื่อเห็นว่าเขายังส่งคนตามหานางไม่หยุดหย่อนจึงได้กลับไป ไม่นานก็สาส์นจากฮ่องเต้ให้เขาตามหาจ้าวจื่อรั่วให้พบ แม้ไม่มีคำสั่งนั้น เขาก็ทำอยู่แล้ว สายลมเหมันต์พัดผ่านอีกระลอก เสียงกระดิ่งลมดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคราวที่อากาศหนาวเย็น ร่างกายเหมือนถูกเข็มเล่มเล็กๆ ทิ่มแทงไปทั่วร่าง ร่างกายเขาถูกพิษตั้งแต่ทำศึกป้องกันชายแดนเมื่อห้าปีก่อน แม้เอาชีวิตรอดมาได้แต่พิษยังอยู่ในร่างไม่อาจขับออกมาได้หมด เขาจึงต้องทนรับความทรมานนี้มานานหลายปี จนกระทั่งข้างกายมีร่างนุ่มนิ่มมานอนเคียงข้าง ใครเลยจะร
ตงเจียวโจวรีบเข้ามาช่วยฉุดนางขึ้นจากน้ำมาบนเรือ สองสามีภรรยาล่องเรือผ่านมาพอดี ไม่รู้โชคชะตาเล่นตลกอันใดกับชีวิตของนาง ได้บังเอิญมาพบตงเจียวโจวฉายาหมอเทวดาที่ตามหาตัวได้ยากยิ่ง ท่านหมอตงพาภรรยาที่สติไม่ค่อยดีท่องเที่ยวทั่วหล้า เพื่อหวังให้ลืมเรื่องที่สูญเสียลูกสาวไป แม้เป็นคนที่ผู้อื่นยกย่องว่าเป็น ‘หมอเทวดา’ แต่กลับไม่สามารถรักษาภรรยาของตนได้ และด้วยสภาพร่างกายของหญิงสาวแปลกหน้าที่อ่อนแอมาก ท่านหมอตงจึงหยุดเดินทางมาพักที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อรักษานาง แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด ซูเม่ยที่สติไม่ดีกลับเปลี่ยนไปเหมือนคนปกติทุกอย่าง เว้นเสียแต่ว่าซูเม่ยคิดว่านางเป็นลูกสาวที่ตายไป ‘ขอโทษเจ้าด้วย เรื่องเป็นเช่นนี้ทำให้เจ้าลำบากใจ’ ‘ไม่เลยเจ้าคะ เป็นข้าที่ติดหนี้บุญคุณท่านทั้งสอง’ ‘นังหนู ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเจอเรื่องใดมา แต่เพื่อรักษาชีวิตในครรภ์นี้ เจ้าต้องอยู่นิ่งๆบนเตียงอย่างน้อยก็หนึ่งเดือน เจ้าอยากให้ข้าติดต่อสามีของเจ้าหรือไม่’ ‘ท่าน...ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ’ ‘ไอ้หย่า! นี่เจ้าไม่รู้รึ เจ้าตั้งท้องอยู่’ ‘ข้า...
หมอตงเจียวโจวแนะนำง่ายๆ และเขาเองก็ไม่เซ้าซี้ถาม หลายปีก่อนเขาเคยพบหมอตงเจียวโจวมาก่อน ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนแนวคิดจนขอคารวะนับถือท่านเป็นอาจารย์ หมอตงไม่เคยรับลูกศิษย์แต่เพราะถูกชะตาจึงรับเขาไว้ หลังจากนั้นหมอตงก็พาภรรยาเดินทางจากไป เขาได้ข่าวคราวอยู่บ้างและกำชับคนของร้านในสาขาต่างๆ หากท่านหมอตงต้องการความช่วยเหลือให้ไม่ว่าเรื่องใดก็สามารถทำได้เต็มที่แล้วค่อยรายเขาทีหลัง ฉินหวังเหล่ยจำนางได้ แต่ในเมื่ออาจารย์เรียกนางว่าลูกบุญธรรม เขาก็ไม่คิดถามหาเหตุผลอีก เรื่องแม่ทัพกู้ใช้ภรรยาตนเองเพื่อจับโจรนั้น เขาไม่อาจก้าวกายการทำงานได้ แต่ก็ไม่อาจนับถือบุรุษเช่นนี้ได้เช่นกัน นางดูอ่อนแอจนน่าสงสารซ้ำยังตั้งครรภ์อีกด้วย ชายผู้นั้นยังทำได้ถึงเพียงนี้ นางเองก็ไม่มีทีท่าว่าอยากพูดถึงเรื่องนั้น เขาจึงไม่เคยปริปากว่ารู้ตัวตนที่แท้จริง หลังจากรักษาตัวจนหายดี เขาจึงเดินทางกลับสกุลฉิน เพราะเถลไถลมานานจึงต้องกลับไปช่วยดูกิจการของครอบครัว แต่ครั้งนี้เขาขอพี่ใหญ่มาทดูแลกิจการสาขาด้วยตนเอง ทำให้เขามาอยู่ชายแดนและเมื่อมีเวลาก็มาเยี่ยมอาจารย์ทั้งสอง นางคลอดลูกเป็นชาย เดิมทีเขาคิดว่านา
ท่าทางอิดโรยของเขาและเสื้อผ้าสกปรกนั้น แสดงให้เห็นว่าเขาเพิ่งกลับมาจากสืบข่าวให้ท่านแม่ทัพกู้ เสี่ยวฉู่รีบวิ่งไปหาด้วยความหวัง“ได้ข่าวฮูหยินบ้างหรือไม่”อ้ายเสิ่นส่ายหน้าไปมา “เจ้าอย่าเพิ่งหมดหวังไป อย่างไรข้าต้องสืบข่าวฮูหยินให้พบ”“ข้าไม่เคยหมดหวัง ข้าเชื่อว่าคนดีอย่างฮูหยินยังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่...นางอาจอยู่ที่ใดที่หนึ่งที่เราหาไม่พบ”“ข้าก็คิดเช่นนั้น” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “ข้าไปพบท่านแม่ทัพก่อน”“อื้ม ข้าจะเตรียมน้ำแกงร้อนๆไว้ให้นะ” เสี่ยวฉู่ยิ้มให้แล้วมองแผ่นหลังของอ้ายเสิ่นเดินจากไป ตั้งแต่ฮูหยินไม่อยู่ ท่านแม่ทัพก็ไม่ได้กลับมานอนที่เรือนอีก มักจะนอนที่ห้องหนังสือหรือไม่ก็อยู่ค่ายทหาร นางเชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทุกข์ใจไม่น้อย เสียงกระดิ่งลมดังเบาๆ ทำให้เสี่ยวฉู่นึกถึงใบหน้าแย้มยิ้มทีความสุขของฮูหยิน ฮูหยินของนางจิตใจดีถึงเพียงนั้น คงแค่...แค่น้อยใจท่านแม่ทัพจึงยังไม่อยากกลับมาก็ได้ นางเชื่อสุดจิตสุดใจว่าฮูหยินยังมีชีวิตอยู่ทุกคนในจวนนี้เฝ้ารอให้ฮูหยินกลับมาเสียงไอโขลกๆ ดังมาจากหลังบานประตู อ้ายเสิ่นชะงักเท้าด้วยใจกังวล เขาสูดลมหายใจลึกก่อนพูดออกไป“ท่านแม่ทัพ ข้าอ้ายเส