หลี่อวิ้นกุยมองเข้าไปในดวงตากลมโตของสตรีตรงหน้า
“ข้าเล่าจบแล้ว ซินซิน เจ้าอยากจะรู้อะไรจากข้าอีกหรือไม่? ถามมาได้เลยนะ ข้ายินดีตอบเจ้าทุกเรื่อง แต่...ข้าขอเพียงแค่อย่าเพิ่งถามเรื่องข้อเสนอ และสิ่งที่ข้าร้องขอจากราชาปีศาจ เพราะสองเรื่องนี้จะถูกประกาศต่อหน้าทุกคนในงานเลี้ยงคืนข้ามปี
ซินซิน คืนพรุ่งนี้เจ้าไปร่วมงานเลี้ยงกับข้านะ”
เมิ่งเจียวซินสบตากับหลี่อวิ้นกุยนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง นางไม่ตอบ...แต่รีบก้มลงไปจัดการทำแผลให้อีกฝ่ายต่อจนเสร็จ แล้วในขณะที่นางไล่ตรวจดูความเรียบร้อยตามบาดแผลอีกครั้ง นางก็คิดไปถึงทุกเรื่องที่เจ้าตัวบอกเล่าให้นางฟัง แม้มันจะค่อนข้างละเอียด แต่ทว่าในใจของนาง...มันก็ยังมีอีกหนึ่งคำถามที่คาใจ
“องค์ชายสามเพคะ คือ...ถึงยามนี้หม่อมฉันจะเข้าใจแล้วว่า เหตุใดตอนเจอกันครั้งแรกพระองค์ถึงบอกตัวตนที่แท้จริงกับหม่อมฉ
“ตัวตนและหน้าที่ของข้าเช่นนั้นหรือ?” หลี่อวิ้นกุยขมวดคิ้วแน่น แต่เพียงแค่ไม่นานเขาก็เข้าใจว่า เมิ่งเจียวซินกำลังกังวลเรื่องใดอยู่... จากนั้นความรู้สึกร้อนรน และหัวใจที่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อครู่ มันก็เริ่มสงบลง ดวงตาคมจึงจ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยความแน่วแน่ และมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิม แล้วในขณะที่หลี่อวิ้นกุยกำลังจะเอ่ยปาก เขาก็ได้รับสัญญาณจากจิ่นสือ “เหตุใดจึงกลับมาเร็วนัก!” หลี่อวิ้นกุยสบถออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยกับสตรีตรงหน้าว่า “ซินซิน ข้ารักเจ้า เรื่องตัวตนและหน้าที่ของข้า เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ขอเพียงแค่เจ้ารู้สึกเช่นเดียวกันกับข้า และตอบตกลงว่า จะยอมแต่งเข้ามาเป็นชายาเพียงหนึ่งเดียวของข้า ปัญหาอื่น ๆ ข้าจะเป็นคนจัดการมันเอง วันพรุ่งนี้ข้าจะกลับมารับคำตอบ และมารับตัวเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงพร้อมกันกับข้า ห้ามไปก่อนเป็นอันขาด รับปากข้าสิซินซิน”
เมิ่งเจียวซินยืนมอง และคอยบอกวิธีทำแผลให้กับปิงหลง แล้วเมื่อเห็นเด็กชายเริ่มทำเองได้ นางก็ถอยออกมาเล็กน้อย เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าไปทำแผลตามร่างกายของขันทีทั้งสองคนได้สะดวกยิ่งขึ้น แล้วในระหว่างนั้นเมิ่งเจียวซินก็นึกไปถึงการกระทำของตัวเอง เมื่อครู่...ตอนที่นางแยกไปหยิบสมุนไพร และอุปกรณ์ทำแผลในห้องพัก ขณะที่เดินนางก็คิดไปถึงเรื่องความเหมาะสม ระยะห่าง แล้วไหนจะข้อห้ามระหว่างบุรุษกับสตรีในโลกใบนี้ เพราะถึงแม้ว่าคนเจ็บทั้งสองจะเป็นขันที แต่ในสายตาของคนที่นี่...หากนางเป็นผู้ลงมือทำแผลให้ด้วยตัวเอง มันก็อาจจะดูไม่เหมาะสม สุดท้ายนางจึงตัดสินใจขอให้ปิงหลงเป็นผู้ลงมือทำแผลให้กับขันทีทั้งสองนี้แทนนาง แต่พอเมิ่งเจียวซินนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน เพียงแค่นางจับสังเกตได้ว่า...หลี่อวิ้นกุยได้รับบาดเจ็บมา นางก็ไม่แม้แต่จะหยุดคิดเลยด้วยซ้ำ ในยามนั้นนางลืมใส่ใจแม้กระทั่งเรื่องความเหมาะสม และยังหลงลืมเรื่องข้อห้ามระหว่างบุรุษกับสตรีในโลกใบนี้ไปจนหมดสิ้น
พอเห็นสายตาที่องค์ชายรองหลี่อวิ้นหยางจ้องมองมา โจวหลิวอิงก็จ้องอีกฝ่ายกลับไปเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงพลัง และอำนาจในมือของผู้เป็นบิดา หรือพี่ชายของนาง เพียงแค่พลังภายในกายที่นางมีอยู่ในยามนี้ หากคิดจะกำจัดสัตว์ร้ายตรงหน้า คิดหรือว่า...นางจะทำไม่ได้! แล้วถ้าหากโจวหลิวอิงลงมือกำจัดองค์ชายรองหลี่อวิ้นหยางขึ้นมาจริง ๆ นางก็เชื่อว่า บุรุษมากเล่ห์บางคนไม่เพียงไม่ตำหนินาง อีกฝ่ายอาจจะมาขอบคุณนางในภายหลังเลยก็ได้ ‘ท่านอาหญิงโจวสามารถมองทะลุยันต์ลวงตาได้ด้วยหรือนี่? ที่ผ่านมาดูเหมือนว่า...ข้าจะประเมินความสามารถของนางต่ำจนเกินไป’ หลี่อวิ้นหยางคิดในใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนคำนับให้กับโจวหลิวอิง แล้วกล่าวว่า “เป็นข้าที่ล่วงเกินท่านอาหญิงโจว เรื่องในวันนี้ข้าคงต้องขอโทษท่านด้วย แต่ข้าก็มีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้เหมือนกัน คือ...ที่ผ่านมาท่านอาหญิงโจวก็รู้ว่า ยามที่ข้าไปท่อ
“ข้ารู้ผิดแล้วเจ้าค่ะ ข้า...” “ข้าหมดเรื่องที่จะพูดกับเจ้าแล้ว กลับไปทำงานสุดท้ายของเจ้าให้ดีเสีย!” โจวหลิวอิงรีบเอ่ยตัดบททันที อาจเพราะนางเป็นพวกชอบพูดมากกว่าฟังอยู่แล้ว หากนางจะต้องมานั่งเสียเวลารับฟัง...เรื่องนั้นมันจะต้องเป็นเรื่องที่นางให้ความสนใจจริง ๆ หรือถ้าหากจะต้องทนรับฟังคำพูดของผู้อื่น...คนที่พูดจะต้องมีความสำคัญกับชีวิตนางเท่านั้น ดังนั้นคำพูดแก้ต่างจากลมปากหนึ่งบุรุษกับอีกหนึ่งสตรีที่มีแต่ความทะเยอทะยานคู่นี้ นางจึงขี้คร้านจะทนนั่งรับฟังให้เสียเวลา โจวหลิวอิงมองซุนเย่ผิงเอื้อมมือไปเก็บปิ่นปักผมกับถุงหอมของเจ้าตัว แล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้มคำนับให้กับนาง จากนั้นอีกฝ่ายก็หันหลังค่อย ๆ เดินออกไปที่ประตู ในสายตาของโจวหลิวอิง...ช่วงแรกที่ซุนเย่ผิงเข้ามาทำงานในหอโคมเขียว สตรีนางนี้เป็นเพียงคนฉลาด รู้จักเอาตัวรอด อีกฝ่ายมีความทะเยอทะยา
โจวหลิวอิงหันไปมองทางปิงหลงเล็กน้อย ก่อนจะตอบคำถามของเมิ่งเจียวซิน “ปิงหลงยังเด็กเกินกว่าที่จะ...ป้าขอพูดตามตรงนะ คือ ในงานเลี้ยงคืนข้ามปีมีทั้งสุราและสตรี ซึ่งในงานไม่ได้แบ่งแยกที่นั่งระหว่างบุรุษกับสตรี ทางวังราชาปีศาจจะจัดแบ่งที่นั่งให้กับเหล่าเชื้อพระวงศ์กับพวกสนม แยกออกจากเหล่าขุนนางเพียงเท่านั้น ดังนั้นการกระทำบางอย่างในงาน... เจียวซิน ที่จริงแม้แต่ตัวเจ้าเอง ป้าก็ไม่อยากให้ไปเช่นกัน แต่ในเมื่อเจ้าตอบรับคำเชิญจากทางวังราชาปีศาจไปแล้ว ป้าก็เลยต้องยินยอมให้ไป แต่สำหรับปิงหลง ป้าไม่อนุญาต” เมิ่งเจียวซินที่พอจะคาดเดาบรรยากาศในงานเลี้ยงของวังราชาปีศาจได้บ้าง จากการอ่าน... ซึ่งนางก็เข้าใจในเรื่องที่โจวหลิวอิงกำลังเป็นกังวล ทว่าถ้าหากปิงหลงอาศัยอยู่ในโลกใบเดิมที่นางจากมา ด้วยอายุเท่านี้นางคงไม่ช่วยพูด เพื่อขอพาอีกฝ่ายไปร่วมงานเลี้ยงด้วยเป็นแน่ แต่เพราะโลกใบนี้เด็กชายกับเด็กหญิงต
ปึง! พอได้ยินเสียงทุบโต๊ะขององค์ชายรองหลี่อวิ้นหยาง ใบหน้าที่ก้มต่ำอยู่แล้วของซีไถก็ยิ่งก้มลงไปให้ต่ำกว่าเดิม ตั้งแต่ซีไถควบม้ากลับมาถึงวังราชาปีศาจในช่วงเช้า เขาก็ยังไม่ได้แม้แต่จะหยุดพัก หยุดรับอาหาร ดีที่เมื่อครู่คุณหนูเมิ่งมอบซาลาเปา และส่งคนช่วยมาทำแผลให้กับเขา ซึ่งถ้าหากซีไถไม่ได้รับน้ำใจจากอีกฝ่าย ตอนนี้เขาก็คงจะกระอักเลือดออกมาแล้ว เพราะไม่อาจทนรับบรรยากาศกดดันที่ผู้เป็นนายกำลังปล่อยออกมา แล้วยิ่งยามนี้ภายในห้องพักขององค์ชายรองหลี่อวิ้นหยางมีเพียงแค่ซีไถกับผู้เป็นนาย ถ้าหากบุรุษตรงหน้าระงับโทสะของเจ้าตัวลงไม่ได้ ก็คงต้องจะเป็นเขาที่ถูกใช้รองมือรองเท้า ถูกใช้เป็นที่ระบายอารมณ์ของอีกฝ่าย แม้ซีไถจะรู้สึกชินชากับการกระทำเช่นนี้ของผู้เป็นนาย แต่ทว่าเมื่อนึกไปถึงน้ำเสียง คำพูด รวมไปถึงการปฏิบัติต่อเด็กชายผู้นั
เมิ่งเจียวซินหลังจากจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินออกมานั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง มองเงาของตัวเองในกระจก แล้วค่อย ๆ หยิบเครื่องประดับขึ้นมาใส่ โดยชุดที่เมิ่งเจียวซินสวมใส่ไปร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ คือ ชุดสตรีสำเร็จรูปที่หลี่อวิ้นกุยส่งมาตอบแทนความมีน้ำใจของนาง ที่จริงนางหาได้อยากใส่ชุดของบุรุษผู้นั้นไม่ แต่เป็นเพราะโจวหลิวอิงที่เข้ามาช่วยจัดเตรียมชุด เปิดตู้เสื้อผ้าของนาง แล้วเห็นชุดนี้เข้า... เมิ่งเจียวซินนึกไปถึงตอนที่ตัวเองจัดเก็บเสื้อผ้า ก่อนออกเดินทางมาที่นี่...ยามนั้นนางคิดแค่เพียงว่า ชุดสตรีสำเร็จรูปที่เจ้าลูกกระรอกส่งคนนำมาให้ ช่างดูงดงามแปลกตา ซึ่งมันก็น่าจะเป็นชุดที่เหล่าสตรีในฝั่งของคนเผ่ามารและพวกปีศาจ น่าจะกำลังเป็นที่นิยมสวมใส่กัน แล้วก็ด้วยเพราะความคิดนั้น...ครึ่งหนึ่งของชุดที่นางจัดเตรียมมา จึงเป็นชุดสตรีสำเร็จรูปที่ได้รับมาจากหลี่อวิ้นกุย!
“เจียวซิน สนามทดสอบจิตใจของเผ่าปีศาจจิ้งจอก หากสามารถผ่านแต่ละด่านไปได้ ผู้เข้าทดสอบจะได้รับรางวัลเป็นการปรับเพิ่มฐานพลังในกาย แต่ถ้าหากผ่านด่านไม่ได้ หรือได้บาดเจ็บจากการถูกทดสอบ แม้ร่างกายภายนอกจะไม่ได้รับบาดเจ็บตามไปด้วย แต่แกนพลังของผู้เข้าทดสอบจะค่อย ๆ ถูกทำลายลง อย่างเลวร้ายที่สุดก็แค่...วิญญาณจะถูกกักขังอยู่ภายในนั้นตลอดกาล ส่วนร่างกายของผู้เข้าทดสอบจะถูกตรึงอยู่แบบนี้ได้นานสุดเพียงสิบสองชั่วยาม ถ้าหากวิญญาณถูกกักอยู่ในสนามเกินเวลา...ป้าคงไม่ต้องบอกกระมังว่า ร่างกายของผู้เข้าทดสอบจะเป็นเช่นไร ส่วนวิธีที่จะออกมาจากสนามทดสอบจิตใจ ก็มีเพียงแค่สองวิธีเท่านั้น คือ ต้องผ่านให้ได้ทั้งห้าด่าน หรือไม่ก็ต้องให้เจ้าของสนาม หรือปีศาจในตระกูลโจว ซึ่งในที่นี้...ก็คงมีเพียงแค่ป้าที่สามารถพาองค์ชายสามออกมาได้ แต่เจียวซิน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงป้านะ เพราะเมื่อครู่องค์ชายสามได้ส่งคนไปแจ้งราช
เมิ่งเจียวซินนึกอยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้ แต่เพราะนี่คือ ห้องพักของนาง จึงได้พยายามรวบรวมสติของตัวเองกลับมา แล้วเอ่ยถามออกไปว่า “พร้อมแล้ว? เจ้าพร้อมเรื่องอะไร?” “ก็เรื่องให้เจ้าศึกษาร่างกายของข้า ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็ก้มลงไปกระตุกปมผ้าคาดเอวของตัวเองทันที “กุยกุย นั่นเจ้าจะทำอะไร?” “ข้าก็จะเปลื้องผ้า แล้วขึ้นไปนอนรอเจ้าบนเตียงอย่างไรล่ะ” คำพูดของบุรุษตรงหน้าทำเอาเมิ่งเจียวซินอ้าปากค้าง หลี่อวิ้นกุยจงใจค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก เพราะเขาเริ่มรู้สึกสนุกกับสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย ทันทีที่เสื้อคลุมตัวนอกหลุดออกจากตัว เขาก็เตรียมจะถอดเสื้อตัวใน... แต่ทว่าหลี่อวิ้นกุยห
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วขยับเข้าไปนั่งพิงหัวเตียง จากนั้นก็ดึงสตรีข้างกายให้ลงมาซบที่แผงอกของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเส้นผมนุ่ม พร้อมกับเล่าต่อว่า “ซินซิน การที่ข้าต้องการปลดปีศาจทุกตนในตระกูลเฉินออกจากราชการ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องความแค้นส่วนตัว แต่อีกส่วนก็เพราะตระกูลเฉินต่อหน้าทำเป็นสรรเสริญราชาปีศาจ แต่ลับหลังกลับคอยยุแยงปีศาจเผ่าอื่น ๆ ให้กระด้างกระเดื่องต่อการปกครองของคนเผ่ามาร แล้วหลังจากที่ข้าส่งคนไปคอยติดตาม เพื่อหาหลักฐานการกระทำผิดเพิ่มเติม ข้าก็ได้รู้ว่า ปีศาจตระกูลนี้ได้ลักลอบแลกเปลี่ยนอัญมณีต้องห้าม และยังมีความผิดซุกซ่อนอยู่อีกหลายอย่าง แต่...ถึงแม้ยามนี้จะมีหลักฐานเพียงพอให้เอาผิด ทว่าการที่จะปลดขุนนางระดับสูงออกจากตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เพราะมันเชื่อมโยงไปถึงขั้วอำนาจแล้วอีกอย่างไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะมีการแต่งตั้งที่มีผลต่อขั้วอำนาจไปแล้วถึงสองครั้ง
เมิ่งเจียวซินหลังจากต้องนั่งกดข่มความรู้สึกเจ็บ และข่มกลั้นความรู้สึกอาย จนการทายาที่ยาวนานสิ้นสุดลงไปได้ พอสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จ นางก็สังเกตเห็นว่า หลี่อวิ้นกุยยังคงนั่งมองมาที่รอยแดงบนต้นคอของนาง แล้วด้วยสีหน้า และสายตาของเจ้าตัว ทำให้นางรู้ว่า อีกฝ่ายยังรู้สึกผิดกับเรื่องที่เพิ่งผ่านมา เมื่อฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นว่า นางกำลังจ้องมองอยู่...เจ้าตัวก็รีบก้มหน้า หลบตา ซึ่งในขณะนั้นเมิ่งเจียวซินก็สังเกตเห็นว่า ริมฝีปากของหลี่อวิ้นกุยยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา นางจึงกล่าวว่า “กุยกุย เงยหน้าขึ้นมา” พอเห็นบุรุษตรงหน้ายอมทำตามที่นางบอก เมิ่งเจียวซินจึงขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะจับปลายคางของหลี่อวิ้นกุยเอาไว้ แล้วเริ่มลงมือเช็ดคราบเลือด จากนั้นบาดแผลขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาของนาง... แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้ดีว่า ร่างกายของหลี่