ปึง!
พอได้ยินเสียงทุบโต๊ะขององค์ชายรองหลี่อวิ้นหยาง ใบหน้าที่ก้มต่ำอยู่แล้วของซีไถ ก็ยิ่งก้มลงไปให้ต่ำกว่าเดิม
ตั้งแต่ซีไถควบม้ากลับมาถึงวังราชาปีศาจในช่วงเช้า เขาก็ยังไม่ได้แม้แต่จะหยุดพัก หยุดรับอาหาร ดีที่เมื่อครู่คุณหนูเมิ่งมอบซาลาเปา และส่งคนช่วยมาทำแผลให้กับเขา ซึ่งถ้าหากซีไถไม่ได้รับน้ำใจจากอีกฝ่าย ตอนนี้เขาก็คงจะกระอักเลือดออกมาแล้ว เพราะไม่อาจทนรับบรรยากาศกดดันที่ผู้เป็นนายกำลังปล่อยออกมา
แล้วยิ่งยามนี้ภายในห้องพักขององค์ชายรองหลี่อวิ้นหยางมีเพียงแค่ซีไถกับผู้เป็นนาย ถ้าหากบุรุษตรงหน้าระงับโทสะของเจ้าตัวลงไม่ได้ ก็คงต้องจะเป็นเขาที่ถูกใช้รองมือรองเท้า ถูกใช้เป็นที่ระบายอารมณ์ของอีกฝ่าย แม้ซีไถจะรู้สึกชินชากับการกระทำเช่นนี้ของผู้เป็นนาย
แต่ทว่าเมื่อนึกไปถึงน้ำเสียง คำพูด รวมไปถึงการปฏิบัติต่อเด็กชายผู้นั
เมิ่งเจียวซินหลังจากจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินออกมานั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง มองเงาของตัวเองในกระจก แล้วค่อย ๆ หยิบเครื่องประดับขึ้นมาใส่ โดยชุดที่เมิ่งเจียวซินสวมใส่ไปร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ คือ ชุดสตรีสำเร็จรูปที่หลี่อวิ้นกุยส่งมาตอบแทนความมีน้ำใจของนาง ที่จริงนางหาได้อยากใส่ชุดของบุรุษผู้นั้นไม่ แต่เป็นเพราะโจวหลิวอิงที่เข้ามาช่วยจัดเตรียมชุด เปิดตู้เสื้อผ้าของนาง แล้วเห็นชุดนี้เข้า... เมิ่งเจียวซินนึกไปถึงตอนที่ตัวเองจัดเก็บเสื้อผ้า ก่อนออกเดินทางมาที่นี่...ยามนั้นนางคิดแค่เพียงว่า ชุดสตรีสำเร็จรูปที่เจ้าลูกกระรอกส่งคนนำมาให้ ช่างดูงดงามแปลกตา ซึ่งมันก็น่าจะเป็นชุดที่เหล่าสตรีในฝั่งของคนเผ่ามารและพวกปีศาจ น่าจะกำลังเป็นที่นิยมสวมใส่กัน แล้วก็ด้วยเพราะความคิดนั้น...ครึ่งหนึ่งของชุดที่นางจัดเตรียมมา จึงเป็นชุดสตรีสำเร็จรูปที่ได้รับมาจากหลี่อวิ้นกุย!
“เจียวซิน สนามทดสอบจิตใจของเผ่าปีศาจจิ้งจอก หากสามารถผ่านแต่ละด่านไปได้ ผู้เข้าทดสอบจะได้รับรางวัลเป็นการปรับเพิ่มฐานพลังในกาย แต่ถ้าหากผ่านด่านไม่ได้ หรือได้บาดเจ็บจากการถูกทดสอบ แม้ร่างกายภายนอกจะไม่ได้รับบาดเจ็บตามไปด้วย แต่แกนพลังของผู้เข้าทดสอบจะค่อย ๆ ถูกทำลายลง อย่างเลวร้ายที่สุดก็แค่...วิญญาณจะถูกกักขังอยู่ภายในนั้นตลอดกาล ส่วนร่างกายของผู้เข้าทดสอบจะถูกตรึงอยู่แบบนี้ได้นานสุดเพียงสิบสองชั่วยาม ถ้าหากวิญญาณถูกกักอยู่ในสนามเกินเวลา...ป้าคงไม่ต้องบอกกระมังว่า ร่างกายของผู้เข้าทดสอบจะเป็นเช่นไร ส่วนวิธีที่จะออกมาจากสนามทดสอบจิตใจ ก็มีเพียงแค่สองวิธีเท่านั้น คือ ต้องผ่านให้ได้ทั้งห้าด่าน หรือไม่ก็ต้องให้เจ้าของสนาม หรือปีศาจในตระกูลโจว ซึ่งในที่นี้...ก็คงมีเพียงแค่ป้าที่สามารถพาองค์ชายสามออกมาได้ แต่เจียวซิน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงป้านะ เพราะเมื่อครู่องค์ชายสามได้ส่งคนไปแจ้งราช
หลี่อวิ้นกุยเมื่อสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของสตรีที่เขารัก และรับรู้ได้ถึงแรงตบเบา ๆ ที่บริเวณแผ่นหลัง เขาก็ค่อย ๆ ดึงสติ ปรับอารมณ์ ไปพร้อมกับค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา แต่ยังไม่ทันที่หลี่อวิ้นกุยจะได้รวบรวมสติกลับมาครบ เขาก็ได้ยินเสียงเรียกนามของตัวเอง ดังมาจากทางด้านหลังของเมิ่งเจียวซิน “เจ้าสาม” แม้จะรู้สึกตกใจ แต่หลี่อวิ้นกุยก็ค่อย ๆ คลายอ้อมแขน ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งจับมือของเมิ่งเจียวซินเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้นยืน จากนั้นหลี่อวิ้นกุยก็ก้าวขึ้นไปยืนด้านหน้าเมิ่งเจียวซิน แล้วก้มคำนับให้กับผู้เป็นบิดา “ถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้องมากพิธี เจ้าสาม เรื่องที่เจ้าลอบเข้ามาหาคุณหนูเมิ่งเมื่
โจวหลิวอิงตรวจดูความเรียบร้อยให้กับสตรีที่นางเอ็นดูดุจดั่งหลานสาวแท้ ๆ ของตัวเอง ก่อนจะกล่าว “อืม...เรียบร้อยแล้ว เจียวซิน เจ้ารีบเอายาไปให้องค์ชายสามเถิด ป้าฝากบอกพระองค์ด้วยว่า มีเวลาให้พักอีกเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น” “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านป้าโจว” เมิ่งเจียวซินพูดพร้อมกับยกยิ้มให้กับโจวหลิวอิง จากนั้นนางก็เห็นอีกฝ่ายเดินไปเปิดประตู แล้วในขณะที่โจวหลิวอิงกำลังจะเดินออกไปจากห้องของนาง เจ้าตัวก็หันกลับมาขอยืมปิงหลงไปช่วยงานที่เรือนเล็กด้านหลัง ซึ่งเมิ่งเจียวซินก็ยินดีให้เด็กชายไปช่วยงานของอีกฝ่าย เพราะถ้าหากไม่ติดว่า นางอยากไปตรวจดูอาการของหลี่อวิ้นกุย ตัวนางเองก็คงจะตามไปช่วยงานของโจวหลิวอิงด้วยเช่นกัน เมิ่งเจียวซินพอเห็นโจวหลิวอิงพาปิงหลงเดินออกจากห้องพักไปแล้ว นางจึงลุกสำรวจเครื่องแต่งกายของตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็เดินไปหยิบห่อยา และอุปกรณ์ทำแผลที่วางอยู่โต๊ะข้างเตียง ก่อนจะรีบออกไปหา
หลี่อวิ้นกุยหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตอบ “เพราะเจ้าเคารพท่านอาหญิงโจวเปรียบดั่งญาติผู้ใหญ่ ดังนั้นข้าก็ต้องแสดงความจริงใจต่อเจ้า ให้นางได้รับรู้ และได้เห็นด้วยตาของตัวเอง” แม้จะยังมีเหตุผลอย่างอื่นร่วมด้วยอีกสองสามข้อ แต่ทว่าหลี่อวิ้นกุยก็ไม่สามารถเล่าให้สตรีตรงหน้าฟังได้ในยามนี้ ตั้งแต่เมิ่งเจียวซินเอ่ยคำถาม นางก็มองหลี่อวิ้นกุยอยู่ตลอดเวลา แม้ในใจจะเชื่อว่า อีกฝ่ายไม่ได้โกหกนาง และคำตอบของบุรุษตรงหน้าก็ยังทำให้หัวใจของเมิ่งเจียวซินเต้นผิดจังหวะไปครู่หนึ่งเลย แต่ทว่าการที่เจ้าตัวหยุดคิด และหลบสายตาของนางในขณะที่กล่าวตอบ มันก็ทำให้รู้ว่า สิ่งที่หลี่อวิ้นกุยตอบมา มันหาใช่เหตุผลทั้งหมดไม่ แต่ก็เอาเถิด...เพราะสิ่งที่เอ่ยถามไปเมื่อครู่เป็นเพียงคำถามที่เมิ่งเจียวซินใช้เปิดประเด็นเท่านั้น นางจึงไม่คิดจะคาดคั้นเอาคำตอบจากหลี่อวิ้นกุยต่อ เนื่องจากสิ่งที่เมิ่งเจียวซินอยากจะรู้จากปากของบุรุษ
พอเมิ่งเจียวซินเดินเข้าไปในบริเวณที่จัดงานเลี้ยง การปรากฏตัวของพวกนางก็ทำให้ผู้ที่มาร่วมงานคนอื่น ๆ หันมาให้ความสนใจไม่น้อยเลย จากนั้นเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงก็ถูกโจวหลิวอิงพาไปแนะนำให้กับคนในครอบครัวของเจ้าตัวได้รู้จัก โดยมีหลี่อวิ้นกุยคอยเดินตามนางไปทุกที่ ในขณะที่เมิ่งเจียวซินยืนพูดคุยอยู่กับคนในครอบครัวของโจวหลิวอิง นางก็รับรู้ได้ถึงสายตาของเหล่าบุรุษ และเหล่าสตรีจำนวนไม่น้อยที่กำลังจ้องมองมาที่นางกับหลี่อวิ้นกุย และเมิ่งเจียวซินก็ยังรับรู้ได้ว่า หลี่อวิ้นกุยได้ขยับเข้ามายืนประกบอยู่ทางด้านหลังของนาง ซึ่งเมิ่งเจียวซินก็ไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะชุดที่นางกับหลี่อวิ้นกุยใส่อยู่เหมือนกัน หรือเป็นเพราะหน้าตาอันโดดเด่นของบุรษที่ยืนทางด้านหลัง จึงทำให้ดึงดูดสายตาของผู้ที่มาร่วมงานเช่นนี้ หลังจากเมิ่งเจียวซินกั
หลี่อวิ้นกุยมองท่าทีของเมิ่งเจียวซินด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ เหตุใดนางถึงดูไม่ดีใจสักนิด เมื่อได้รับรู้ในสิ่งที่เขาพยายามทุ่มเท เพื่อให้ได้ออกไปใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันกับนาง... แต่ทว่ายามนี้หลี่อวิ้นกุยต้องทำรีบดึงสติของตัวเองกลับมาก่อน เพื่อเตรียมรับมือกับความคิดเห็น และคำวิจารณ์จากเหล่าขุนนาง เมื่อรางวัลชนะศึกถูกประกาศเป็นพระราชโองการ การลุกขึ้นมายื่นมติคัดค้านโดยตรง ยามนี้มันก็คงจะเกินกว่าตำแหน่งของเหล่าขุนนาง แต่เนื่องจากเขตแดนในส่วนของคนเผ่ามารและพวกปีศาจ ซึ่งถูกปกครองโดยคนเผ่ามาร ได้มีการแต่งตั้งตระกูลหลี่ของเผ่ามารขึ้นเป็นราชวงศ์ และแต่งตั้งผู้นำปีศาจแต่ละเผ่าขึ้นเป็นขุนนางในตำแหน่งต่าง ๆ ถึงแม้ส่วนใหญ่ราชาปีศาจเกือบทุกพระองค์มักจะใช้อำนาจ และพลังในกายของเจ้าตัวในการปกครองผู้คน ท
หลี่อวิ้นกุยคิดจะใช้โอกาสในขณะที่ยังไม่มีเหล่าขุนนางเอ่ยถามอะไร ลอบหันไปมองทางเมิ่งเจียวซิน แต่ทว่าเหล่าขุนนางที่ลุกขึ้นตั้งคำถามกลับยืนบังสายตา จนเขาไม่เห็นแม้แต่ปลายเส้นผมของนาง หลี่อวิ้นกุยจึงได้แต่ดึงสติ และดึงสายตาของตัวเองกลับมา จดจ่อกับเหล่าขุนนางตรงหน้า&nb
เมิ่งเจียวซินลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย หลังจากได้ยินคำตอบของหลี่อวิ้นกุย แต่ทว่าคำตอบต่อมาของอีกฝ่าย ทำให้นางแทบอยากจะหายไปจากตรงนี้! “ส่วนเรื่องพิธีอาบแสงจันทร์ ที่ลูกยินยอมเข้าทำพิธี ก็เพียงเพราะต้องการทำให้เสด็จพ่อ และคนอื่น ๆ สบายใจเท่านั้น ลูกหาได้สนใจเรื่องเพิ่มพลังหยางจากพิธีนั้นไม่ อีกอย่างพลังที่ลูกมีอยู่ในกายยามนี้ มันก็เพียงพอที่จะใช้ปกป้องคุ้มครองคนที่ลูกรักได้แล้ว นี่ยังไม่รวมวรยุทธ และความสามารถด้านอื่น ๆ ของลูกนะพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งลูกขอบอกกับเสด็จพ่อตามตรง หลังจากผ่านเหตุการณ์โดนวางยาพิษครั้งล่าสุด มันสอนให้ลูกรู้ว่า ไม่ควรทุ่มเวลาไปกับการเพิ่มฐานพลังในร่างกายเพียงอย่างเดียว เพราะยามที่เรียกใช้พลังไม่ได้ ลูกก็ไม่ต่างไปจากบุรุษมนุษย์ธรรมดา หลังจากนี้ลูกจึงคิดจะแบ่งเวลาให้กับการฝึกวรยุทธ และการฝึกความสามารถด้านอื่น ๆ เพิ่มพ่ะย่ะค่ะ แล้วที่จริงเมื่อครู่...หากคุณหน
หลังจากได้ยินคำพูดของสตรีตรงหน้า หลี่อวิ้นกุยก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะขยับเข้าไปถามนางใกล้ ๆ “ซินซิน เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ?” เมิ่งเจียวซินมองไปที่หลี่อวิ้นกุย ก่อนจะยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ข้าบอกว่า ข้ายินดีแต่งงานกับเจ้า” คงด้วยเพราะคำถามเมื่อครู่ของหลี่อวิ้นกุย จึงทำให้เมิ่งเจียวซินนึกไปถึงช่วงเวลาที่นางเผชิญหน้ากับโรคระบาดในโลกใบเดิม... โดยช่วงแรกที่โรคระบาดแพร่เข้ามาในประเทศ ยามนั้นผู้ป่วยทุกคนต้องแยกจากคนรัก แยกจากคนในครอบครัว แล้วต้องไปกักตัวตามสถานพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งสำหรับผู้ป่วยบางคนการแยกออกมากักตัวในครั้งนั้น มันคือ...การลาจากตลอดกาล ในช่วงเวลาสุดท้ายของผู้ป่วยบางคนนั้นไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เห็นหน้า หรือบอกลาคนที่ตัวเองรักเลยด้วยซ้ำ พอเมิ่งเจียวซินมองย้อนกลับมาที่เรื่องของนางกั
หลี่อวิ้นกุยจ้องมองตะกร้าใบใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ากลับขึ้นมามองเมิ่งเจียวซิน เมื่อคืนที่ไฟในห้องพักของนางไม่ดับ เป็นเพราะนางทำของที่อยู่ในตะกร้าให้เขาเช่นนั้นหรือ? ความรู้สึกหงุดหงิดใจที่ทำได้แค่เพียงเฝ้ามองห้องพักของนาง และความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกสตรีตรงหน้าทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขาเมื่อคืน ก็ดูเหมือนจะทุเลาลง แต่พอหลี่อวิ้นกุยนึกไปถึงองครักษ์ของโจวหลิวอิงที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก จนทำให้เขาไม่อาจลอบเข้าไปพูดคุยกับสตรีตรงหน้าได้ ถึงแม้ว่า...ในยามนี้จำนวนองครักษ์จะลดลงไปบ้างแล้ว เพราะส่วนหนึ่งต้องตามโจวหลิวอิงไปเข้าเฝ้าราชาปีศาจ ซึ่งที่จริงหลี่อวิ้นกุยได้วางแผนเอาไว้ว่า พอโจวหลิวอิงออกไปเข้าเฝ้าผู้เป็นบิดา ตัวเขาก็จะลอบเข้าไปหาเมิ่งเจียวซินในห้องพัก จากนั้นเขาก็จะ... แต่ในเมื่อคนที่หลี่อวิ้นกุยจะลอบเข้าไปหา ได้ออกมายืนอยู่ที่นี่กับเขาแล้ว
เมิ่งเจียวซินกัดริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ พร้อมกับกำมือที่อยู่ใต้ชายเสื้อทั้งสองข้างจนแน่น ในขณะที่ยืนมองหลี่อวิ้นกุยเดินห่างออกไปจากนางเรื่อย ๆ แม้ว่าภายในใจอยากจะกล่าวบางคำ และอยากจะเอ่ยรั้ง แต่ทว่า...การปล่อยให้ทุกอย่างลงเอยเช่นนี้ ปล่อยมือกันเสียตั้งแต่ในตอนนี้ มันก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับนางกับหลี่อวิ้นกุย แล้วพอเมิ่งเจียวซินดึงสายตาของตัวเองกลับมา นางก็เห็นว่า ยามนี้โจวหลิวอิงกับปิงหลงกำลังจ้องมองมาที่นาง เมิ่งเจียวซินจึงรีบสูดลมหายใจเข้าลึก ปรับอารมณ์ ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา จากนั้นนางก็เดินออกจากศาลา เพื่อไปกล่าวคำอวยพรคนทั้งคู่ รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในเรือนพักชั่วคราวด้วย เนื่องจากยามนี้ได้ล่วงเลยเข้าสู่วันแรกของปีใหม่แล้ว ‘วันแรกของปี!’ เมิ่งเจียวซินนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงรีบหันไปมองยังทิศทางที่
หลี่อวิ้นกุยกัดฟันกรอด แล้วรีบขยับตัวเข้าไปบังร่างกายของเมิ่งเจียวซินเอาไว้ คราแรกเขาคิดว่า ไม่เป็นไรหากเจ้านั่นทำเพียงได้แค่มอง...แต่พอหันกลับไปเห็นสายตา และท่าทีของหลี่อวิ้นหยางเมื่อครู่! ยานนี้หลี่อวิ้นกุยจวนเจียนจะหมดความอดทนเต็มทีแล้ว พอหันกลับมา...เขาก็ได้เห็นสายตาที่คล้ายกับกำลังรู้สึกสงสัยของเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยจึงได้แต่ข่มใจของตัวเอง ก่อนจะฝืนยกยิ้มให้กับนาง จากนั้นเขาก็หันไปถามโจวหลิวอิงว่า “ท่านอาหญิงโจว พวกท่านจะกลับเรือนแล้วหรือ?” “ใช่เพคะ แล้วนี่องค์ชายสามก็กำลังจะกลับตำหนักหรือเพคะ?” “ข้า...พวกท่านไม่อยู่ดูดอกไม้ไฟด้วยกันก่อนหรือ?” “กลับไปนั่งดูที่เรือนพักชั่วคราวก็เห็นเช่นกันเพคะ” ตอนนี้โจวหลิวอิงอยากจะพาเมิ่งเจียวซิน ตัวนางเอง และปิงหลงกลับเรือนพักชั่วครา
เมิ่งเจียวซินมองหลี่อวิ้นกุยที่กำลังแสดงท่าทีไม่พอใจขุนนางคนหนึ่ง เนื่องจากอีกฝ่ายได้เอ่ยพาดพิงมาถึงนาง แล้วในขณะนั้นโจวหลิวอิงก็ขยับเข้ามากระซิบบอกกับนางว่า ให้สังเกตสีหน้าขุนนางคนนั้น พอเมิ่งเจียวซินสังเกต...ก็เห็นว่า ยามนี้ใบหน้าของขุนนางคนนั้นซีดเผือด มีเหงื่อไหลซึมตามกรอบหน้า จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็ได้ยินโจวหลิวอิงอธิบายต่อว่า ตอนนี้หลี่อวิ้นกุยกำลังใช้พลังสายหนึ่งกดข่มให้ขุนนางคนนั้นต้องนั่งคุกเข่า แล้วยังใช้บรรยากาศกดดันที่มีเฉพาะในตัวของคนเผ่ามารโอบล้อมรอบตัวขุนนางคนนั้นเอาไว้ ซึ่งโจวหลิวอิงยังกล่าวติดตลกทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า หากหลี่อวิ้นกุยไม่ชิงลงมือตัดหน้า เมื่อครู่นางคงใช้พลังหักขา และฉีกปากปีศาจเสือตนนั้นไปแล้ว ผ่านไปสักพักเมิ่งเจียวซินก็ได้ยินราชาปีศาจสั่งให้ขุนนางที่กำลังถูกหลี่อวิ้นกุยเล่นงานอยู
หลี่อวิ้นกุยคิดจะใช้โอกาสในขณะที่ยังไม่มีเหล่าขุนนางเอ่ยถามอะไร ลอบหันไปมองทางเมิ่งเจียวซิน แต่ทว่าเหล่าขุนนางที่ลุกขึ้นตั้งคำถามกลับยืนบังสายตา จนเขาไม่เห็นแม้แต่ปลายเส้นผมของนาง หลี่อวิ้นกุยจึงได้แต่ดึงสติ และดึงสายตาของตัวเองกลับมา จดจ่อกับเหล่าขุนนางตรงหน้า&nb
หลี่อวิ้นกุยมองท่าทีของเมิ่งเจียวซินด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ เหตุใดนางถึงดูไม่ดีใจสักนิด เมื่อได้รับรู้ในสิ่งที่เขาพยายามทุ่มเท เพื่อให้ได้ออกไปใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันกับนาง... แต่ทว่ายามนี้หลี่อวิ้นกุยต้องทำรีบดึงสติของตัวเองกลับมาก่อน เพื่อเตรียมรับมือกับความคิดเห็น และคำวิจารณ์จากเหล่าขุนนาง เมื่อรางวัลชนะศึกถูกประกาศเป็นพระราชโองการ การลุกขึ้นมายื่นมติคัดค้านโดยตรง ยามนี้มันก็คงจะเกินกว่าตำแหน่งของเหล่าขุนนาง แต่เนื่องจากเขตแดนในส่วนของคนเผ่ามารและพวกปีศาจ ซึ่งถูกปกครองโดยคนเผ่ามาร ได้มีการแต่งตั้งตระกูลหลี่ของเผ่ามารขึ้นเป็นราชวงศ์ และแต่งตั้งผู้นำปีศาจแต่ละเผ่าขึ้นเป็นขุนนางในตำแหน่งต่าง ๆ ถึงแม้ส่วนใหญ่ราชาปีศาจเกือบทุกพระองค์มักจะใช้อำนาจ และพลังในกายของเจ้าตัวในการปกครองผู้คน ท
พอเมิ่งเจียวซินเดินเข้าไปในบริเวณที่จัดงานเลี้ยง การปรากฏตัวของพวกนางก็ทำให้ผู้ที่มาร่วมงานคนอื่น ๆ หันมาให้ความสนใจไม่น้อยเลย จากนั้นเมิ่งเจียวซินกับปิงหลงก็ถูกโจวหลิวอิงพาไปแนะนำให้กับคนในครอบครัวของเจ้าตัวได้รู้จัก โดยมีหลี่อวิ้นกุยคอยเดินตามนางไปทุกที่ ในขณะที่เมิ่งเจียวซินยืนพูดคุยอยู่กับคนในครอบครัวของโจวหลิวอิง นางก็รับรู้ได้ถึงสายตาของเหล่าบุรุษ และเหล่าสตรีจำนวนไม่น้อยที่กำลังจ้องมองมาที่นางกับหลี่อวิ้นกุย และเมิ่งเจียวซินก็ยังรับรู้ได้ว่า หลี่อวิ้นกุยได้ขยับเข้ามายืนประกบอยู่ทางด้านหลังของนาง ซึ่งเมิ่งเจียวซินก็ไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะชุดที่นางกับหลี่อวิ้นกุยใส่อยู่เหมือนกัน หรือเป็นเพราะหน้าตาอันโดดเด่นของบุรษที่ยืนทางด้านหลัง จึงทำให้ดึงดูดสายตาของผู้ที่มาร่วมงานเช่นนี้ หลังจากเมิ่งเจียวซินกั