“ซินซิน ยามนี้ข้าขอเปลี่ยนไปอยู่ร่างมนุษย์ก่อน แล้วช่วงหัวค่ำข้าค่อยเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างกระรอกอีกครั้งได้หรือไม่?” หลี่อวิ้นกุยเอ่ยถาม เมื่อพวกเขากลับเข้ามาภายในเรือนแล้ว “ได้สิ เช่นนั้นข้าก็ขอเข้าไปเอาของในห้องพักบิดาสักครู่นะ” เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กพยักหน้าตอบกลับมา เมิ่งเจียวซินก็เดินเข้าไปในห้องพักของตนเอง เพื่อเข้าไปหยิบกุญแจ จากนั้นนางก็เดินกลับออกมา โดยปล่อยให้เจ้าลูกกระรอกอยู่เปลี่ยนร่างในห้องนั้นเพียงลำพัง หลังจากเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ และจัดการแต่งกายจนเรียบร้อย หลี่อวิ้นกุยก็คิดจะออกไปตามหาสตรีประหลาดด้านนอก แล้วเมื่อเขาเปิดประตูห้องพักออกมา เขาก็เห็นอีกฝ่ายกำลังกลิ้งถังน้ำขนาดหนึ่งคนแช่มุ่งหน้าไปยังบริเวณโถงทางเดิน เขาจึงรีบเดินเข้าไปหานางทันที “ซินซิน ข้าช่วย” “เจ้าไหวหรือ?” “ไหวสิ ตอนนี้ข้ายังสามารถใช้พลังกับลมปราณที่มีอยู่ได้ใช่หรือไม่?” “ยังใช้ได้ แต่เจ้า...” เมิ่งเจียวซินกล่าวยังไม่ทันจบ เด็กหนุ่มตรงหน้าก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน “เมื่อคืนเจ้าช่วยแลกเปลี่ยนพลังหยินหยางกับข้า ตัวข้าจึงพอมีแรงขึ้นมาบ้าง แล้วยามนี้ข้
หลี่อวิ้นกุยรับตำราจากสตรีตรงหน้ามาดู แล้วก็ให้รู้สึกเอะใจ เขาจึงพลิกกลับไปดูที่หน้าปก “ตำราพิษ!” “ใช่ แต่พวกข้าพ่อลูกไม่เคยคิดที่จะปรุงยาพิษตามตำราเล่มนี้ขึ้นมาหรอกนะ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ที่พวกข้าต้องมีตำราเล่มนี้ในมือ ก็เพื่อที่จะศึกษาและหาวิธีสร้างยาถอนพิษขึ้นมาเท่านั้น” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าตอบกลับมา เมิ่งเจียวซินจึงดันตำราสมุนไพรไปตรงหน้าเด็กหนุ่มเพิ่มอีกหนึ่งเล่ม ซึ่งตำราเล่มนี้นางก็ได้ใช้เศษกระดาษคั่นหน้าที่มีสมุนไพรเกี่ยวกับยาพิษค่ำคืนเหมันต์เอาไว้แล้วเช่นกัน จากนั้นนางจึงพูดต่อ “กุยกุย เจ้าลองสังเกตสมุนไพรพิษทุกตัวที่ใช้ทำยาพิษค่ำคืนเหมันต์ให้ดีสิ แล้วเจ้าจะเห็นว่าสมุนไพรทุกตัวต่างมุ่งเน้นไปที่การสร้างความปั่นป่วนให้กับแกนพลัง และจุดตันเถียนของผู้ที่ถูกวางยาพิษโดยตรง ซึ่งหากเจ้าดูสูตรยาบรรเทาอาการจากยาพิษในบันทึกบิดาของข้า สมุนไพรส่วนใหญ่ที่ใช้จะเน้นเพียงช่วยขับความหนาวเย็นออกจากร่างกาย โดยต้องกินก่อนที่ยาพิษจะสำแดงอาการครึ่งชั่วยาม แล้วเมื่อผู้ที่ได้รับพิษกินยาบรรเทาอาการจากยาพิษเข้าไป ข้าคิดว่า...ยามที่พิษในร่างกายสำแดงอาการ ผู้ที่ได้รับพิษน่า
เมิ่งเจียวซินล้มตัวลงไปนอน โดยมีลูกกระรอกน้อยนอนซบอยู่บนบ่าข้างขวาของนาง ซึ่งนางก็ยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง ‘ยามนี้เท่ากับว่า...ข้าสามารถคลายข้อสงสัยเรื่องที่พระเอกของนิยายเรื่องนี้เป็นผู้ฆ่าบิดาของตนเองจริงหรือไม่ออกมาได้แล้ว แต่ก็ยังมีเพียงข้าที่เลิกสงสัยในตัวหลี่อวิ้นกุยแล้ว เช่นนั้นจะถือว่าข้าทำภารกิจที่ห้าสำเร็จหรือไม่นะ?’ ‘แต่...ภารกิจทุกข้อที่ได้รับมา ล้วนมุ่งเน้นให้ข้าทำเพื่อหลี่อวิ้นกุยทั้งสิ้นเช่นนั้นสิ่งที่ระบบต้องการก็คงไม่ใช่เพียงแค่ข้าที่คลายความสงสัย แต่คงจะหมายถึงคนอื่น ๆ ในโลกใบนี้ด้วยเป็นแน่’ยามนี้แม้ว่าเมิ่งเจียวซินจะหาคำตอบบางอย่างให้กับตัวเองได้แล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่านางจะเจอเข้ากับปัญหาที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ‘แล้วข้าควรจะทำอย่างไร...ให้คืนนั้นหลี่อวิ้นกุยไม่เข้าไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาดีล่ะ?’
ซึ่งหลังจากจัดเตรียมสำรับในห้องพักเสร็จ เจ้าลูกกระรอกก็เดินออกมาจากฉากกั้นด้วยร่างมนุษย์พอดี เมิ่งเจียวซินกับเด็กหนุ่มจึงนั่งรับสำรับเช้าร่วมกัน โดยเมิ่งเจียวซินได้บอกให้เด็กหนุ่มรับอาหารให้มากขึ้นอีกหน่อย เนื่องจากในช่วงเที่ยงเจ้าตัวจะไม่สามารถกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ เพื่อเข้าร่วมรับสำรับกับพวกนางได้ ซึ่งอีกฝ่ายก็อาจจะได้กินเพียงขนมกับผลไม้เท่านั้น แล้วหลังจากรับสำรับเช้าเสร็จ คนทั้งสองก็นั่งอ่านตำราด้วยกันที่โต๊ะกลมกลางห้อง จนเวลาผ่านล่วงเลยไปได้สักพัก คนทั้งสองก็ได้ยินเสียงเรียกนามของเมิ่งเจียวซินดังขึ้นมาจากด้านหน้าเรือน เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นไปมองเด็กหนุ่มฝั่งตรงข้าม ซึ่งยามนี้เจ้าตัวก็ได้ลุกแล้วเดินออกไปนั่งเปลี่ยนร่างที่เตียงนอน เพียงไม่นานลูกกระรอกตัวน้อยก็มุดออกมาจากชุดคลุมบุรุษ เมื่อเห็นเช่นนั้นเมิ่งเจียวซินจึงลุกออกจากเก้าอี้แล้วย่อตัวลงไปนั่งยอง ๆ กับพื้น ก่อนจะยื่นมือไปให้เจ้าตัวเล็กไต่ขึ้นมาเกาะอยู่บนไหล่ข
เมิ่งเจียวซินแม้จะยังสลัดเรื่องที่พูดคุยกับเจ้าลูกกระรอกออกจากความคิดของตนเองไม่ได้ แต่เมื่อเห็นหมิงจิวเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าและท่าทางแปลก ๆ มันก็ทำให้นางเริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา หรือว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาทันได้ยินเสียงพูดคุยของเจ้าตัวเล็กเมื่อครู่ “เจียวซิน ในเมื่อยามนี้เราสองคนเป็นสหายกันแล้ว ข้าขอพูดอะไรกับเจ้าตรง ๆ ได้หรือไม่?” “อืม...ได้สิ” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็รู้สึกเป็นกังวลมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะคาดเดาได้ว่า เจ้าลูกกระรอกเป็นปีศาจ เพราะถึงแม้ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่จะรับเรื่องที่พวกปีศาจกับพวกมารแฝงตัวเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกมนุษย์ได้แล้ว แต่ก็ยังมีมนุษย์ส่วนไม่น้อยเลยที่ยังคงแบ่งแยก และต่อต้านเรื่องนี้อยู่ “เจ้าปักปิ่นปีนี้ใช่หรือไม่?”
เมิ่งเจียวซินถอนหายใจออกมาเบา ๆ หนึ่งครั้ง เมื่อเห็นว่าหมิงจิวยังคงพยายามพูดโน้มน้าวใจของนางไม่หยุด นางจึงตัดสินใจกล่าวสิ่งที่คิดออกมาทันที “หมิงจิว ข้าขอพูดกับเจ้าตรง ๆ นะ เรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ แล้วอย่างที่ข้าบอกกับเจ้าไปเมื่อครู่...ข้ากับพี่ชายหมิงพูดคุยกันยังไม่ถึงห้าครั้งเลยด้วยซ้ำ ที่สำคัญก็เหลืออีกเกือบสองเดือนข้าถึงจะปักปิ่น และหากปักปิ่นแล้ว ก็ใช่ว่าข้าจะต้องแต่งงานทันทีเลยมิใช่หรือ?” “ข้า...” “ข้าเข้าใจในความหวังดีของเจ้านะหมิงจิว แต่ข้าขอให้มันเป็นเรื่องของภายภาคหน้า ตอนนี้ข้ายังไม่อยากคิดเรื่องคู่ครอง” “อืม...ข้าขอโทษ ข้าเข้าใจแล้ว แต่เจียวซินหากวันไหนเจ้าคิดเรื่องคู่ครอง เจ้าช่วยรับพี่ชายของข้าไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกแรก ๆ ได้หรือไม่?” เมื่อเห็นว่าตน
เมื่อหาข้อสรุปให้กับตนเองได้แล้ว เมิ่งเจียวซินจึงปรับน้ำเสียงของนางให้อ่อนโยนลง ก่อนจะกล่าว “กุยกุยฟังข้านะ ข้าไม่รู้และข้าก็ไม่เข้าใจด้วยว่า อะไรทำให้เจ้าคิดไปว่าการที่สตรีนางหนึ่งส่งยิ้มให้กับบุรุษเป็นการกระทำที่ไร้ยางอาย เพราะสำหรับข้ารอยยิ้มเป็นเพียงการแสดงความรู้สึก แล้วในบางครั้งข้าก็ใช้การส่งยิ้มแทนการสื่อสาร เพราะการที่ข้าส่งยิ้มให้กับผู้อื่น บางครั้งมันช่วยให้ข้าได้สิ่งในที่ตัวเองต้องการ แล้วในบางครั้งมันก็ยังช่วยให้ข้าสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย” “เจ้าใช้การส่งยิ้มแทนการสื่อสารเช่นนั้นหรือ?” “ใช่ เจ้าดูนี่นะ” กล่าวจบ เมิ่งเจียวซินก็ยิ้มแบบไม่ถึงดวงตาให้เด็กหนุ่มดู “ยิ้มแบบนี้ ข้าเรียกว่าเป็นการยิ้มผูกมิตร ข้ามักจะใช้ในยามที่ข้าพบเจอกับผู้อื่นเป็นครั้งแรก คล้ายกับการเปิดทางเพื่อให้ตัวข้าได้เข้าไปพูดคุย และทำความรู
“เจ้านี่ช่าง!” หลี่อวิ้นกุยยามนี้ทั้งรู้สึกโมโห ทั้งเสียหน้า และรู้สึกอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากเป็นสตรีนางอื่นมาทำกับเขาแบบนี้ เขารับรองได้เลยว่า...สตรีนางนั้นไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ยืนหายใจต่อ แต่พอเป็น... “ซินซิน เจ้าห้ามยิ้มแบบเมื่อครู่ให้ผู้อื่นเห็นเด็ดขาด โดยเฉพาะกับบุรุษหน้าเหม็นพวกนั้น” หลี่อวิ้นกุยพยายามปรับลมหายใจของตัวเองขณะกล่าว แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย “เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?” “ข้ารู้แล้ว ข้าก็เพิ่งจะเคยลองยิ้มแบบนี้เป็นครั้งแรก แล้วก็ยิ้มให้กับเจ้าเป็นคนแรกด้วย แต่...ใบหน้ากับใบหูของเจ้ายังคงแดงอยู่เลยนะ” “ซินซิน...เจ้านี่ช่างน่าตายเสียจริง!” หลี่อวิ้นกุยมองสตรีที่ยังคงหัวเราะใส่เขาไม่หยุดอย่างอ่อนใจ
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วขยับเข้าไปนั่งพิงหัวเตียง จากนั้นก็ดึงสตรีข้างกายให้ลงมาซบที่แผงอกของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเส้นผมนุ่ม พร้อมกับเล่าต่อว่า “ซินซิน การที่ข้าต้องการปลดปีศาจทุกตนในตระกูลเฉินออกจากราชการ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องความแค้นส่วนตัว แต่อีกส่วนก็เพราะตระกูลเฉินต่อหน้าทำเป็นสรรเสริญราชาปีศาจ แต่ลับหลังกลับคอยยุแยงปีศาจเผ่าอื่น ๆ ให้กระด้างกระเดื่องต่อการปกครองของคนเผ่ามาร แล้วหลังจากที่ข้าส่งคนไปคอยติดตาม เพื่อหาหลักฐานการกระทำผิดเพิ่มเติม ข้าก็ได้รู้ว่า ปีศาจตระกูลนี้ได้ลักลอบแลกเปลี่ยนอัญมณีต้องห้าม และยังมีความผิดซุกซ่อนอยู่อีกหลายอย่าง แต่...ถึงแม้ยามนี้จะมีหลักฐานเพียงพอให้เอาผิด ทว่าการที่จะปลดขุนนางระดับสูงออกจากตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เพราะมันเชื่อมโยงไปถึงขั้วอำนาจแล้วอีกอย่างไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะมีการแต่งตั้งที่มีผลต่อขั้วอำนาจไปแล้วถึงสองครั้ง
เมิ่งเจียวซินหลังจากต้องนั่งกดข่มความรู้สึกเจ็บ และข่มกลั้นความรู้สึกอาย จนการทายาที่ยาวนานสิ้นสุดลงไปได้ พอสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จ นางก็สังเกตเห็นว่า หลี่อวิ้นกุยยังคงนั่งมองมาที่รอยแดงบนต้นคอของนาง แล้วด้วยสีหน้า และสายตาของเจ้าตัว ทำให้นางรู้ว่า อีกฝ่ายยังรู้สึกผิดกับเรื่องที่เพิ่งผ่านมา เมื่อฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นว่า นางกำลังจ้องมองอยู่...เจ้าตัวก็รีบก้มหน้า หลบตา ซึ่งในขณะนั้นเมิ่งเจียวซินก็สังเกตเห็นว่า ริมฝีปากของหลี่อวิ้นกุยยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา นางจึงกล่าวว่า “กุยกุย เงยหน้าขึ้นมา” พอเห็นบุรุษตรงหน้ายอมทำตามที่นางบอก เมิ่งเจียวซินจึงขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะจับปลายคางของหลี่อวิ้นกุยเอาไว้ แล้วเริ่มลงมือเช็ดคราบเลือด จากนั้นบาดแผลขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาของนาง... แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้ดีว่า ร่างกายของหลี่
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้าขึ้นมองเมิ่งเจียวซิน เขาอยากดึงนางเข้ามาโอบกอด แต่ก็ไม่กล้า...จึงเอ่ยถามเสียงสั่นว่า “ซินซิน ข้า...ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้อยาก...” หลี่อวิ้นกุยพูดต่อไม่ออก เพราะถึงแม้เขาจะไร้ซึ่งสติ แต่ทุกสิ่งที่เขาทำกับเมิ่งเจียวซินล้วนเกิดขึ้นจากความปรารถนาที่ซุกซ่อนอยู่ภายในใจทั้งนั้น โชคดีที่เสียงร้องไห้ของนางหยุดเขาเอาไว้ได้ทัน ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด หากเขาจะแก้ตัวว่า...มันเกิดขึ้นเพราะยา จึงกลายเป็นเรื่องน่าขัน ยามนี้หลี่อวิ้นกุยรู้สึกหวาดกลัว เขากลัวเมิ่งเจียวซินจะเลิกให้ความรัก เลิกไว้ใจ และเลิกเชื่อใจกัน “ซินซิน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าจะตีข้า จะโกรธ หรือจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ แต่เจ้า...อย่าเลิกรักข้า อย่าเกลียดข้าได้หรือไม่?” เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นไปมองหลี่อวิ้นกุย ยามนี้อีกฝ่ายกำลังนั่งคุกเข่าน้ำต
“อ๊ะ...!” ในระหว่างที่เมิ่งเจียวซินกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้บุรุษบนกายรู้สึกตัว หลี่อวิ้นกุยก็ใช้ริมฝีปากโลมเลีย ดูดดึง และขบกัดบริเวณลำคอ จากนั้นก็ค่อย ๆ เลื่อนต่ำลงไปที่เนินอกของนาง ในขณะที่มือข้างที่ว่างก็ขยับกลับเข้ามากอบกุมใต้ทรวงอกของนางอีกครั้ง หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ลงมือบีบเคล้นมันอย่างรุนแรง “ฮึ ฮึก! จะ...เจ็บ!” เมิ่งเจียวซินได้ยินเสียงดูดดึงผิวหนังเปียกชื้นจากเนินอก ยอดอกของนางถูกละเลงลิ้น บดขยี้ และกดอยู่ภายในปากของหลี่อวิ้นกุย โดยทุกครั้งที่ฟันของเจ้าตัวกัดหนุบหนับอยู่ที่ส่วนของยอดอก ร่างกายของนางก็จะแอ่นรับ และสั่นสะท้าน ซึ่งเกิดความรู้สึกหวาดกลัว...นางกลัวว่า จะถูกกัดจนขาด “ฮึก! เจ็บ! กุยกุย...ช่วย...ช่วยหยุดสักที...ข้าเจ็บ!” ยามนี้เมิ่งเจียวซินทั้งรู้สึ