“เจ้านี่ช่าง!” หลี่อวิ้นกุยยามนี้ทั้งรู้สึกโมโห ทั้งเสียหน้า และรู้สึกอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากเป็นสตรีนางอื่นมาทำกับเขาแบบนี้ เขารับรองได้เลยว่า...สตรีนางนั้นไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ยืนหายใจต่อ แต่พอเป็น...
“ซินซิน เจ้าห้ามยิ้มแบบเมื่อครู่ให้ผู้อื่นเห็นเด็ดขาด โดยเฉพาะกับบุรุษหน้าเหม็นพวกนั้น” หลี่อวิ้นกุยพยายามปรับลมหายใจของตัวเองขณะกล่าว แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย
“เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?”
“ข้ารู้แล้ว ข้าก็เพิ่งจะเคยลองยิ้มแบบนี้เป็นครั้งแรก แล้วก็ยิ้มให้กับเจ้าเป็นคนแรกด้วย แต่...ใบหน้ากับใบหูของเจ้ายังคงแดงอยู่เลยนะ”
“ซินซิน...เจ้านี่ช่างน่าตายเสียจริง!”
หลี่อวิ้นกุยมองสตรีที่ยังคงหัวเราะใส่เขาไม่หยุดอย่างอ่อนใจ
เมื่อกลับเข้ามาในห้องพัก เมิ่งเจียวซินก็ขอตัวออกไปจัดการดูแลตัวเองที่ห้องน้ำด้านหลังเรือน หลังจากจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็กลับเข้ามาให้ห้องพร้อมกับเสื้อคลุมบุรุษตัวใหญ่หนึ่งตัว “กุยกุยหลังจากเจ้าจัดการดูแลตัวเองเสร็จแล้ว เจ้าก็ใส่เสื้อคลุมตัวนี้เพียงแค่ตัวเดียวนะ” หลี่อวิ้นกุยทำเพียงพยักหน้า จากนั้นเขาก็เข้าไปรับเสื้อคลุมจากมือของเมิ่งเจียวซิน ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องพักไป เมิ่งเจียวซินเมื่อเห็นว่าเจ้าลูกกระรอกถอยออกจากห้องไปแล้ว นางจึงเดินเข้าไปเตรียมผ้าซับน้ำ ผ้าห่มผืนบาง ชุดคลุม และชุดบุรุษไว้ให้กับเด็กหนุ่มอย่างละหนึ่งชุด เพื่อให้เจ้าตัวไว้ใช้เปลี่ยนหลังจากลงไปแช่สมุนไพรล้างพิษเสร็จ จากนั้นนางก็ยังแอบเตรียมกระบอกไม้ไผ่สำหรับใช้ถ่ายเบา กระโถน ผ้าซับน้ำ และผ้าห่มผืนบางเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งผืน เผื่อเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน &n
เมิ่งเจียวซินมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความเข้าใจ ที่ผ่านมาอีกฝ่ายพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดที่ได้รับจากยาพิษ โดยที่เจ้าตัวไม่เคยแม้แต่จะฟูมฟายหรือแสดงอาการสิ้นหวังออกมาให้นางได้เห็นเลยสักครั้ง เพียงเท่านี้นางก็แอบชื่นชมเด็กหนุ่มในใจมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างไรเจ้าลูกกระรอกในสายตาของเมิ่งเจียวซินก็ยังคงเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มวัยสิบสี่หนาวเท่านั้นเอง แม้ในโลกใบนี้จะผลักดันให้เด็กหนุ่มและเด็กสาวเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เร็วกว่าโลกใบเดิมของนางมากแค่ไหน แต่การที่เด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องเผชิญหน้ากับการถูกวางยาพิษที่หมายจะทำลายชีวิตของเจ้าตัว ซึ่งนี่ก็ยังนับไม่รวมไปเรื่องที่ว่า...ผู้ใดเป็นผู้วางยาพิษเจ้าลูกกระรอกเลยนะ เนื่องจากในครั้งแรกที่เมิ่งเจียวซินได้พูดคุยกับเด็กหนุ่มเกี่ยวกับเรื่องยาพิษในร่างกาย ยามนั้นนางสัมผัสได้ถึงรังสีฆ่าฟันที่แผ่ออกมาจากเจ้าตัว แล้วไหนจะสีหน้าและสายตาที่แสดงออกมาให้นางได้รู้ว่า อีกฝ่ายกำลังรู้สึกเจ็บปวดและเคียดแค้นผู้ที่วางยาพิษ
เมื่อหันหลังกลับไป เมิ่งเจียวซินก็เห็นว่าเจ้าลูกกระรอกกำลังจับขอบถังน้ำโก่งคอกระอักเลือดออกมาอึกใหญ่ นางจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปช่วยประคองร่างของเด็กหนุ่มเอาไว้ จากนั้นนางก็ค่อย ๆ กดร่างกายของอีกฝ่ายให้ลงไปนั่งแช่ตัวในน้ำสมุนไพรล้างพิษ หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินจึงก้มลงไปมองที่น้ำในถัง ยามนี้สมุนไพรที่นางเทลงไปผสมกับน้ำเมื่อครู่ มันได้กระจายตัวลอยขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำ แล้วก็ด้วยเพราะการแช่สมุนไพรล้างพิษต้องใช้แสงจากพระจันทร์เป็นส่วนประกอบ พวกนางจึงไม่ได้ถือตะเกียงเข้ามาภายในรั้วไม้ไผ่นี้ด้วย แล้วยามนี้ก็เป็นช่วงเวลากลางคืน แม้จะมีแสงจากพระจันทร์ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยเรื่องการมองเห็นของพวกนางมากนัก เมื่อเห็นเช่นนั้นเมิ่งเจียวซินจึงคุกเข่าลงไปใกล้ตัวเด็กหนุ่ม แล้วกล่าวว่า “กุยกุย ยามนี้ข้าไม่สามารถมองเห็นร่างกายของเจ้าที่แช่อยู่ในถังน้ำ เพราะด้วยสมุนไพรที่ลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำ แล้วก็ด้วยเพราะความมืดใน
จนเวลาผ่านล่วงเลยมาจนครบหนึ่งชั่วยาม ตอนนี้แม้จะรู้สึกอ่อนแรงมากแค่ไหน แต่เมิ่งเจียวซินก็รู้ว่าเด็กหนุ่มในอ้อมแขนอาการหนักกว่านางมาก เมิ่งเจียวซินจึงพยายามรวบรวมกำลังของตนเองแล้วจับร่างกายของเด็กหนุ่มให้เอนหลังพิงตัวไปกับถังน้ำเอาไว้ก่อน จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็เอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมบุรุษกลับมาสวมใส่ให้กับเด็กหนุ่มในน้ำ แล้วหลังจากนั้นนางจึงหยิบเสื้อตัวในกับเสื้อคลุมตัวนอกของตนเองกลับขึ้นมาสวมใส่แบบลวก ๆ ก่อนที่นางจะเข้าไปช่วยโอบประคองร่างของเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวว่า “กุยกุยเจ้าพอจะมีแรงก้าวเท้าเดินหรือไม่?” หลี่อวิ้นกุยสบตากับเมิ่งเจียวซิน... ยามนี้ร่างกายทุกส่วนของเขาเจ็บปวดราวกับกำลังถูกหนอนชอนไชไปทั่วทั้งร่าง แล้วในทุกครั้งที่เขาขยับตัว...หลี่อวิ้นกุยก็จะรู้สึกราวกับว่า มีเข็มนับหมื่นนับพันคอยทิ่มแทงร่างกายของเขา
หลี่อวิ้นกุยมองตามแผ่นหลังบอบบางของเมิ่งเจียวซินที่กำลังเดินห่างออกไป จากนั้นเขาก็หลับตาของตนเองลงอย่างช้า ๆ หลี่อวิ้นกุยนึกไปถึงตอนที่เขาลงไปนั่งแช่ตัวในน้ำสมุนไพรล้างพิษ ยามนั้นหาใช่เพียงแค่ยาพิษกับฤทธิ์จากสมุนไพรที่มันกำลังหักล้างกันภายในร่างกายของเขาเท่านั้น แต่มันยังมีพลังหยางที่ปั่นป่วนขึ้นมาจนยากเกินกว่าที่เขาจะระงับ แล้วในแต่ละครั้งที่หลี่อวิ้นกุยกระอักเลือดออกมา มันก็ทำให้เขารู้สึกหมดเรี่ยวแรงจนแทบจะสิ้นสติ ซึ่งในยามนั้นหากเขาไม่มีเมิ่งเจียวซินที่คอยส่งพลังหยินเข้ามาปรับสมดุลในร่างกายให้ ไม่แน่ว่า...ยามนี้หลี่อวิ้นกุยก็อาจจะสิ้นใจลงไปแล้วก็ได้ จากนั้นหลี่อวิ้นกุยก็นึกไปถึงทุกเรื่องและทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเขากับเมิ่งเจียวซิน ‘เหตุใดนางถึงยอมทำเพื่อข้าได้ถึงขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่ตัวข้าก็หาได้มี...’“อึก!” คงด้วยเพราะสภาพจิตใจที่กำลังฟุ้งซ่านและปั่นป่วนเลือดลม
หลี่อวิ้นกุยลืมตาขึ้นมา เขาก็เห็นศีรษะของสตรีนางหนึ่งอยู่ตรงหน้า แล้วเมื่อมองต่ำลงไปอีกนิด เขาก็เห็นว่าสตรีนางนี้ได้เข้ามานอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วย! แล้วในขณะนั้นเขาก็ได้กลิ่นสมุนไพรอ่อน ๆ โชยออกมาจากตัวนาง ‘ซินซิน! นี่ข้ากำลังนอนกอดเจ้าอยู่เช่นนั้นหรือ?’ จากความรู้สึกตกใจเมื่อครู่จนคิดที่จะถอยหนี แต่พอมาในยามนี้หลี่อวิ้นกุยกลับมีความคิดอยากจะขยับร่างกายเข้าไปแนบชิดยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ด้วยเพราะความอ่อนแรงและความเจ็บปวดที่เขากำลังเผชิญอยู่ ทำให้หลี่อวิ้นกุยไม่อาจขยับร่างกายของตนเองได้ ซึ่งในตอนนี้นอกจากต้นแขนและศีรษะที่เขาสามารถมองเห็นได้แล้ว ร่างกายส่วนอื่น ๆ ของพวกเขาก็ดูเหมือนว่า... หลี่อวิ้นกุยลองไล่การรับรู้ผ่านสัมผัสตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่อยู่ภายใต้ผ้าห่ม ‘ข้าไม่ได้สวมเสื้อ! แล้วแผ่นหลังเปลือยเปล่าของซินซินก็กำลังแนบชิดอยู่กับร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าของข้าด้วย
หลี่อวิ้นกุยรู้สึกตกใจไม่น้อยเลย หลังจากได้ยินที่เมิ่งเจียวซินพูด... ‘เรื่องการถ่ายหนักถ่ายเบาเช่นนั้นหรือ?’ เขาคิดใคร่ครวญกับตัวเองในใจ ที่ผ่านมาใช่ว่าหลี่อวิ้นกุยจะไม่เคยถูกวางยาพิษ ได้รับบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยอย่างหนัก เพียงแต่ครั้งนี้มันอาจจะหนักหนาเกินกว่าทุกครั้งเท่านั้นเอง แต่เรื่องการถ่ายหนักถ่ายเบา...ถึงกับต้องให้ผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือ! แล้วยิ่งผู้ที่ช่วยเป็นสตรี!! แม้แต่กับคนสนิทของเขาที่เป็นบุรุษเหมือนกัน เพียงแค่คิด...หลี่อวิ้นกุยก็ยังไม่เคยคิดที่จะให้อีกฝ่ายเข้ามาช่วยเหลือเขาในเรื่องเช่นนี้เลยด้วยซ้ำ แต่พอมาในยามนี้... แล้วเมื่อได้ยินสตรีตรงหน้าเอ่ยถามซ้ำ ‘ซินซินเจ้าเป็นสตรีนะ!’ หลี่อวิ้นกุยตวาดอีกฝ่ายกลับในใจ แต่เมื่อนึกไปถึงสิ่งที่นางทำ แล
จนเวลาผ่านล่วงเลยไปถึงช่วงเย็น สภาพร่างกายของเจ้าลูกกระรอกก็ยังคงไม่ดีขึ้น และอุณหภูมิร่างกายของเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมด้วย ถึงแม้ว่าตลอดทั้งวันที่ผ่านมา เมิ่งเจียวซินจะพยายามเช็ดตัวและคอยป้อนน้ำ เพื่อระบายความร้อนให้อีกฝ่ายแล้วก็ตาม “กุยกุย ลุกขึ้นมากินข้าวต้มสักหน่อยเถิดนะ” เมิ่งเจียวซินประคองเด็กหนุ่มลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง จากนั้นนางก็ค่อย ๆ ตักข้าวต้มป้อนอีกฝ่ายไปทีละคำ ทีละคำจนหมด หลังจากป้อนข้าวและป้อนน้ำเสร็จ เมิ่งเจียวซินก็เช็ดตัวระบายความร้อนให้กับเจ้าลูกกระรอก ก่อนที่นางจะปล่อยให้เจ้าตัวนอนพักอยู่ในห้อง ส่วนตัวนางก็ออกไปจัดเตรียมสมุนไพรที่อีกฝ่ายจะต้องใช้แช่ตัวในคืนนี้ เมื่อเตรียมสมุนไพรล้างพิษ และเตรียมของที่ต้องใช้สำหรับในคืนนี้เสร็จ เมิ่งเจียวซินก็กลับเข้าไปเช็ดตัวให้กับเจ้าลูกกระรอกอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้นางได้จัดการเปลี่ยนให้
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วขยับเข้าไปนั่งพิงหัวเตียง จากนั้นก็ดึงสตรีข้างกายให้ลงมาซบที่แผงอกของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเส้นผมนุ่ม พร้อมกับเล่าต่อว่า “ซินซิน การที่ข้าต้องการปลดปีศาจทุกตนในตระกูลเฉินออกจากราชการ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องความแค้นส่วนตัว แต่อีกส่วนก็เพราะตระกูลเฉินต่อหน้าทำเป็นสรรเสริญราชาปีศาจ แต่ลับหลังกลับคอยยุแยงปีศาจเผ่าอื่น ๆ ให้กระด้างกระเดื่องต่อการปกครองของคนเผ่ามาร แล้วหลังจากที่ข้าส่งคนไปคอยติดตาม เพื่อหาหลักฐานการกระทำผิดเพิ่มเติม ข้าก็ได้รู้ว่า ปีศาจตระกูลนี้ได้ลักลอบแลกเปลี่ยนอัญมณีต้องห้าม และยังมีความผิดซุกซ่อนอยู่อีกหลายอย่าง แต่...ถึงแม้ยามนี้จะมีหลักฐานเพียงพอให้เอาผิด ทว่าการที่จะปลดขุนนางระดับสูงออกจากตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เพราะมันเชื่อมโยงไปถึงขั้วอำนาจแล้วอีกอย่างไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะมีการแต่งตั้งที่มีผลต่อขั้วอำนาจไปแล้วถึงสองครั้ง
เมิ่งเจียวซินหลังจากต้องนั่งกดข่มความรู้สึกเจ็บ และข่มกลั้นความรู้สึกอาย จนการทายาที่ยาวนานสิ้นสุดลงไปได้ พอสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จ นางก็สังเกตเห็นว่า หลี่อวิ้นกุยยังคงนั่งมองมาที่รอยแดงบนต้นคอของนาง แล้วด้วยสีหน้า และสายตาของเจ้าตัว ทำให้นางรู้ว่า อีกฝ่ายยังรู้สึกผิดกับเรื่องที่เพิ่งผ่านมา เมื่อฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นว่า นางกำลังจ้องมองอยู่...เจ้าตัวก็รีบก้มหน้า หลบตา ซึ่งในขณะนั้นเมิ่งเจียวซินก็สังเกตเห็นว่า ริมฝีปากของหลี่อวิ้นกุยยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา นางจึงกล่าวว่า “กุยกุย เงยหน้าขึ้นมา” พอเห็นบุรุษตรงหน้ายอมทำตามที่นางบอก เมิ่งเจียวซินจึงขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะจับปลายคางของหลี่อวิ้นกุยเอาไว้ แล้วเริ่มลงมือเช็ดคราบเลือด จากนั้นบาดแผลขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาของนาง... แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้ดีว่า ร่างกายของหลี่
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้าขึ้นมองเมิ่งเจียวซิน เขาอยากดึงนางเข้ามาโอบกอด แต่ก็ไม่กล้า...จึงเอ่ยถามเสียงสั่นว่า “ซินซิน ข้า...ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้อยาก...” หลี่อวิ้นกุยพูดต่อไม่ออก เพราะถึงแม้เขาจะไร้ซึ่งสติ แต่ทุกสิ่งที่เขาทำกับเมิ่งเจียวซินล้วนเกิดขึ้นจากความปรารถนาที่ซุกซ่อนอยู่ภายในใจทั้งนั้น โชคดีที่เสียงร้องไห้ของนางหยุดเขาเอาไว้ได้ทัน ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด หากเขาจะแก้ตัวว่า...มันเกิดขึ้นเพราะยา จึงกลายเป็นเรื่องน่าขัน ยามนี้หลี่อวิ้นกุยรู้สึกหวาดกลัว เขากลัวเมิ่งเจียวซินจะเลิกให้ความรัก เลิกไว้ใจ และเลิกเชื่อใจกัน “ซินซิน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าจะตีข้า จะโกรธ หรือจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ แต่เจ้า...อย่าเลิกรักข้า อย่าเกลียดข้าได้หรือไม่?” เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นไปมองหลี่อวิ้นกุย ยามนี้อีกฝ่ายกำลังนั่งคุกเข่าน้ำต