จนเวลาผ่านล่วงเลยไปถึงช่วงเย็น สภาพร่างกายของเจ้าลูกกระรอกก็ยังคงไม่ดีขึ้น และอุณหภูมิร่างกายของเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมด้วย ถึงแม้ว่าตลอดทั้งวันที่ผ่านมา เมิ่งเจียวซินจะพยายามเช็ดตัวและคอยป้อนน้ำ เพื่อระบายความร้อนให้อีกฝ่ายแล้วก็ตาม
“กุยกุย ลุกขึ้นมากินข้าวต้มสักหน่อยเถิดนะ” เมิ่งเจียวซินประคองเด็กหนุ่มลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง จากนั้นนางก็ค่อย ๆ ตักข้าวต้มป้อนอีกฝ่ายไปทีละคำ ทีละคำจนหมด
หลังจากป้อนข้าวและป้อนน้ำเสร็จ เมิ่งเจียวซินก็เช็ดตัวระบายความร้อนให้กับเจ้าลูกกระรอก ก่อนที่นางจะปล่อยให้เจ้าตัวนอนพักอยู่ในห้อง ส่วนตัวนางก็ออกไปจัดเตรียมสมุนไพรที่อีกฝ่ายจะต้องใช้แช่ตัวในคืนนี้
เมื่อเตรียมสมุนไพรล้างพิษ และเตรียมของที่ต้องใช้สำหรับในคืนนี้เสร็จ เมิ่งเจียวซินก็กลับเข้าไปเช็ดตัวให้กับเจ้าลูกกระรอกอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้นางได้จัดการเปลี่ยนให้
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นน้ำตากำลังรินไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของเมิ่งเจียวซิน ‘ซินซิน...ซินซินร้องไห้! นางร้องไห้ทำไม? เกิดอะไรขึ้นกับนาง?’ “ใบหน้าข้ามีอะไรติดอยู่เช่นนั้นหรือ?” เมิ่งเจียวซินเอ่ยถาม เมื่อเห็นเจ้าลูกกระรอกจ้องมองมาที่ใบหน้าของนาง แล้วก็ด้วยสายตาแปลก ๆ ของอีกฝ่าย เมิ่งเจียวซินจึงวางช้อนลงไปในถ้วย ก่อนจะยกมือข้างนั้นขึ้นมาไล่สัมผัสบริเวณแก้มข้างขวาของตนเอง แล้วพอเมิ่งเจียวซินสัมผัสถูกน้ำตานางก็รีบวางถ้วยข้าวต้ม จากนั้นนางจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาของตนเองออกแบบลวก ๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้เป็นอะไร สงสัยเมื่อครู่ควันไฟคงจะลอยเข้าตาของข้าน่ะ เจ้ากินข้าวต่อเถิดนะกุยกุย” จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็ยกถ้วยข้าวต้มขึ้นมา แล้วค่อย ๆ ตักป้อนเด็กหนุ่มตร
หลังจากดูแลร่างกายของตนเองเสร็จ เมิ่งเจียวซินก็เดินกลับเข้าไปตรวจดูอาการของเจ้าลูกกระรอกต่อ ซึ่งตอนนี้อุณหภูมิร่างกายของเด็กหนุ่มเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมอีกแล้ว เมิ่งเจียวซินจึงรีบลงมือเช็ดตัวระบายความร้อน จากนั้นนางก็ประคองร่างของเด็กหนุ่มลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง เพราะนางต้องการจะให้อีกฝ่ายดื่มน้ำ แต่ในระหว่างที่นางก้มลงไปจัดท่านั่งให้กับเจ้าลูกกระรอก เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงลมหายใจอันร้อนผ่าวสาดรดลงมาที่บริเวณลำคอของนาง แล้วในขณะที่นางจะเงยหน้ากลับขึ้นไปมอง... เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสัมผัสอันอุ่นร้อนและอ่อนนุ่มตรงบริเวณข้างแก้ม ก่อนที่สัมผัสนั้นจะค่อย ๆ เลื่อนแล้วลงมาหยุดที่บริเวณลำคอของนาง! ในขณะที่เมิ่งเจียวซินยังทำอะไรต่อไม่ถูก นางก็รับรู้ได้ถึงการเกร็งตัวของเด็กหนุ่ม ก่อนที่ร่างกายของอีกฝ่ายจะทรุดฮวบลงมาพิงที่ตัวของนาง ด้วยความรู้สึกตกใจ เมิ่งเจียวซินจึงรีบรับร่างของอีกฝ่ายเ
เมิ่งเจียวซินพอจัดการงานในส่วนของช่วงเช้าเสร็จ นางก็เดินกลับเข้ามาป้อนข้าวและป้อนน้ำให้กับเจ้าลูกกระรอก หลังจากนั้นนางจึงถอยลงมาจัดการกับสำรับของตนเอง เมื่อจัดเก็บและทำทุกอย่างเสร็จ เมิ่งเจียวซินก็เดินเข้าไปที่เตียง จากนั้นนางจึงสั่งให้เจ้าลูกกระรอกหลับตา แล้วนางก็ลงมือถอดเสื้อคลุมและเสื้อตัวในของเด็กหนุ่มกับของตนเองออก ก่อนที่นางจะลงไปนอนซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเจ้าลูกกระรอก ซึ่งในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่นางเข้าไปนอนในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ในขณะที่เจ้าตัวยังคงมีสติ ยังไม่หลับ และยังอยู่ในช่วงเวลากลางวันด้วย! เมิ่งเจียวซินพยายามกดข่มความรู้สึกอาย ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้กับตนเองและคนที่นอนอยู่ข้างกาย แล้วหลังจากนั้นนางจึงขยับไปดึงแขนข้างขวาของเด็กหนุ่มให้มาโอบกอดรอบแขนของตนเองเอาไว้ 
หลังจากวันนั้น ร่างกายของเจ้าลูกกระรอกก็มีแต่ทรงกับทรุด เมิ่งเจียวซินจึงตัดสินใจส่งมอบพลังหยินให้กับเจ้าตัวเพิ่มในช่วงเช้าอีกวันละครึ่งชั่วยาม เท่ากับในแต่ละวันนางจะต้องส่งมอบพลังหยินให้กับเด็กหนุ่มวันละสี่ครั้ง คือ ช่วงเช้ากับช่วงบ่ายครั้งละครึ่งชั่วยาม และช่วงกลางดึกตอนที่พิษในร่างกายของเด็กหนุ่มกำเริบกับตอนที่เจ้าตัวกำลังนอนพัก จึงส่งผลให้ร่างกายของนางเริ่มรู้สึกอ่อนล้าและอ่อนแรง จนทำให้ในทุกครั้งหลังจากที่นางส่งมอบพลังหยิน เมิ่งเจียวซินก็มักจะเผลอหลับไปในอ้อมแขนของเด็กหนุ่มต่อไม่ต่ำกว่าครั้งละหนึ่งชั่วยาม จนเวลาผ่านล่วงเลยเข้าสู่วันที่สิบสองที่เจ้าลูกกระรอกจะต้องลงไปแช่ตัวในน้ำสมุนไพรล้างพิษ วันนี้สภาพร่างกายของเด็กหนุ่มถือว่าดีขึ้นมาก เพราะเจ้าตัวสามารถลุกขึ้นมานั่งพูดคุ
เมิ่งเจียวซินนอนแลกเปลี่ยนพลังหยินหยางกับเจ้าลูกกระรอกมาได้สักพัก คืนนี้นางก็รู้สึกว่า การดูดซับพลังหยินของเด็กหนุ่มมันดูเบาบาง นางจึงลองขยับแผ่นหลังของตนเองแนบชิดไปกับหน้าอกและกล้ามหน้าท้องของอีกฝ่ายให้มากขึ้น ทว่า...การดูดซับพลังหยินก็ยังคงบางเบาเหมือนเดิม แล้วเมื่อเมิ่งเจียวซินนึกไปถึงอาการของเด็กหนุ่มตั้งแต่ในช่วงเช้า หรือจะเป็นเพราะว่า...ยามนี้ยาพิษที่อยู่ในร่างกายของเจ้าตัวมันถูกถอนออกมาจนเกือบหมดแล้ว! แต่จะว่าไป...เจ้าลูกกระรอกของนางก็ถูกวางยาพิษตัวเดียวกับหลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้แล้วเมื่อเมิ่งเจียวซินนึกไปถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่เด็กหนุ่มได้รับจากยาพิษ รวมไปถึงความรู้สึกเจ็บปวดจากการถอนพิษออกจากร่างกายตลอดระยะเวลาสิบกว่าคืนที่ผ่านมา... ‘ขนาดปีศาจกระรอกยังผ่านมันมาอย่างสาหัส แล้วหลี่อวิ้นกุยที่เป็นคนของเผ่ามารล่ะ เจ้าตัวจะรู้สึกเจ็บปวดภายในร่างกายมากขนาดไหนกันนะ?
หลังจากการสูญเสียในครั้งนั้น หลี่อวิ้นกุยก็ได้ตัดสินใจเริ่มกระบวนการล้างแค้นของตนเองทันที โดยเขาเลือกการเอาคืนแบบเหมารวม ซึ่งเขาได้เริ่มต้นที่องค์ชายใหญ่หลี่อวิ้นมู่... หลี่อวิ้นกุยใช้เวลาวางแผนและลงมือตระเตรียมแผนการเกือบเจ็ดวัน โดยเขาเลือกใช้ประโยชน์จากสารที่เขาได้รับมาตั้งแต่เมื่อห้าเดือนก่อน นั่นก็คือ สารเกี่ยวกับเผ่าปีศาจมังกรน้ำเนื่องจากเผ่าดังกล่าวทำตัวไม่ต่างไปจากกลุ่มโจรที่คอยลอบดักปล้น ฉุดคร่า เหล่าขบวนนักเดินทางที่สัญจรผ่านเส้นทางน้ำใกล้บริเวณที่ตั้งเผ่า เมื่อเขาจัดการเรื่องพิธีศพของหมอท่านนั้นเสร็จ หลี่อวิ้นกุยจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าผู้เป็นบิดา แล้วทูลขอกองกำลังทหารเพิ่มจากอีกฝ่าย เพื่อออกไปจัดการกับเผ่าปีศาจมังกรน้ำ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเผ่ามาร โดยหลี่อวิ้นกุยก็ไม่ลืมทูลขอองค์ชายใหญ่หลี่อวิ้นมู่พร้อมกับกองกำลังทหารในสังกัดของเจ้าตัว ให้ร่วมออกเดินทางไปกับเขาในครั้งนี้ด้วย&n
หลังจากหลี่อวิ้นกุยเดินทางกลับมาถึงเผ่ามารวันแรก เขาก็ได้รับรายงานมาว่า มีทหารมารในกองทัพสามตน นำเรื่องที่เขาสั่งห้าม...ไปเล่าให้กับคนในครอบครัวของเจ้าตัวฟัง จึงส่งผลให้เขาจำเป็นต้องทำตามที่ได้เคยประกาศเอาไว้ หลี่อวิ้นกุยสั่งลูกน้องของเขาไปลอบจับตัวทหารมารทั้งสามตนนั้น รวมไปถึงทุกคนในครอบครัว และญาติสนิทมิตรสหายของทหารมารทั้งสามตนนั้นมาอย่างเงียบ ๆ จากนั้นเขาก็ใช้วิชาดูดกลืนจิตวิญญาณกับมารเหล่านั้นทั้งหมด พร้อมกับออกคำสั่งให้เผ่าทำลายศพของมารเหล่านั้นทันที แล้วหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา หลี่อวิ้นกุยก็ไม่ได้รับรายงานว่า มีทหารในกองทัพเผ่ามารตนใดกล้านำเรื่องที่เกิดขึ้นในการต่อสู้ครั้งนั้นออกมาพูดคุยกันอีกเลย แต่ทว่า...ผ่านไปเพียงแค่สองวัน เขากลับได้รับรายงานมาว่า มีมารหลายกลุ่มได้กล่าวเยินยอเรื่องที่เขาสามารถโค่นล้มเผ่าปีศาจมังกรน้ำจนสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ แล้วก็ยังมีมารบางกลุ่มได้เอ่ยสรรเสริญเรื่องที่เขาพาลูกน้องกลุ่มหนึ่งออกไปช่วยตามหาองค์ช
ตอนที่เมิ่งเจียวซินอ่านบทบรรยายเกี่ยวกับการไล่ล้างแค้นศัตรูของหลี่อวิ้นกุย... เริ่มแรกแม้นางจะรู้สึกสงสารพระเอกของนิยายเรื่องนี้มาก แต่หลังจากที่เจ้าตัวก้าวขาเข้าไปในด้านมืด ความรู้สึกสงสารที่เมิ่งเจียวซินเคยมี มันก็เริ่มหล่นหายไปทีละเล็กทีละน้อย โดยเฉพาะในบทหลัง ๆ ของนิยาย...ที่หลี่อวิ้นกุยเริ่มเอาความแค้นของตนเองเป็นที่ตั้ง แล้วก็เพราะการแก้แค้นแบบเหมารวมของเจ้าตัวนั้น ทำให้มีผู้บริสุทธิ์มากมายได้รับผลกระทบจากการแก้แค้นของหลี่อวิ้นกุยไปด้วย แล้วไหนจะการสังหารเพียงเพราะต้องการจะปิดปาก เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ และการยอมรับจากผู้อื่นอีก แล้วในบางครั้งพระเอกของนิยายเรื่องนี้อย่างหลี่อวิ้นกุยก็ถึงกับไปหาเรื่องลงมือทำร้ายผู้บริสุทธิ์ เพียงเพราะเจ้าตัวอยากจะเฝ้ามอง...สีหน้าที่แสดงออกถึงความรู้สึกเจ็บปวดของคนผู้นั้น ในความคิดของเมิ่งเจียวซิ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเมิ่งเจียวซินก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ เพราะนางนึกไปถึงบทบรรยายในนิยายของอาหวง... ซึ่งเป็นช่วงที่หลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้รู้ตัวแล้วว่า ไม่อาจถอนยาพิษค่ำคืนเหมันต์ออกจากร่างกายได้ แต่เขาก็โชคดีที่ในระหว่างการเดินทางกลับมายังวังราชาปีศาจ เขาได้พบกับหมอท่านหนึ่ง ซึ่งอีกฝ่ายสามารถปรุงยาที่มีฤทธิ์ช่วยลดอาการเจ็บปวดจากยาพิษให้กับเขาได้ หลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้จึงเชิญหมอท่านนั้นเข้ามาพักที่ตำหนัก ในระหว่างที่เจ้าตัวลงมือปรุงยาให้กับเขา แต่ทว่าหมอท่านนั้นกลับถูกนักฆ่าลอบเข้ามาทำร้ายถึงในตำหนัก แล้วก่อนที่เจ้าตัวจะสิ้นใจจากไป ก็ได้มอบสูตรปรุงยาลดอาการเจ็บปวดจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ให้กับหลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้ โดยแลกกับการที่อีกฝ่ายจะต้องรับบุตรเพียงคนเดียวของเจ้าตัวเข้ามาอยู่ในความดูแล โดยในยามนั้นหลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้ก็ได้ตกปา
เมิ่งเจียวซินพอเดินเข้าไปในห้องพักของหลี่อวิ้นกุย นางก็เลือกไปนั่งที่เก้าอี้ของชุดโต๊ะกลมกลางห้อง จากนั้นหลี่อวิ้นกุยก็ตามมาคุกเข่าทั้งสองข้างลงอยู่ตรงหน้านาง แล้วยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้เอ่ยห้าม อีกฝ่ายก็โน้มตัวเข้ามาโอบกอดช่วงเอวของนาง แล้วกล่าวว่า “ซินซิน ข้าขอโทษ...ข้าขอโทษที่ล่วงเกินเจ้าทั้งทางร่างกาย และทางวาจา ข้าขอโทษที่ตัดสินใจทำเรื่องต่าง ๆ โดยไม่ถามความสมัครใจของเจ้าก่อน แล้วข้าก็ขอโทษที่ยัดเยียดตัวเองให้กับเจ้าเช่นนั้น แต่ข้าต้องทำ เพราะข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ อย่างที่เจ้ารับรู้ไปเมื่อครู่...ทางวังได้ฤกษ์วันทำพิธีอาบแสงจันทร์ของข้ามาแล้ว ซึ่งมันก็เท่ากับว่า ได้ฤกษ์วันมงคลสมรสของข้ามาด้วย ชีวิตนี้ข้าก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่า จะมีเพียงหนึ่งภรรยา ซึ่งภรรยาของข้าก็ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น แล้วก็ด้วยเพราะคำพู
เมิ่งเจียวซินลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย หลังจากได้ยินคำตอบของหลี่อวิ้นกุย แต่ทว่าคำตอบต่อมาของอีกฝ่าย ทำให้นางแทบอยากจะหายไปจากตรงนี้! “ส่วนเรื่องพิธีอาบแสงจันทร์ ที่ลูกยินยอมเข้าทำพิธี ก็เพียงเพราะต้องการทำให้เสด็จพ่อ และคนอื่น ๆ สบายใจเท่านั้น ลูกหาได้สนใจเรื่องเพิ่มพลังหยางจากพิธีนั้นไม่ อีกอย่างพลังที่ลูกมีอยู่ในกายยามนี้ มันก็เพียงพอที่จะใช้ปกป้องคุ้มครองคนที่ลูกรักได้แล้ว นี่ยังไม่รวมวรยุทธ และความสามารถด้านอื่น ๆ ของลูกนะพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งลูกขอบอกกับเสด็จพ่อตามตรง หลังจากผ่านเหตุการณ์โดนวางยาพิษครั้งล่าสุด มันสอนให้ลูกรู้ว่า ไม่ควรทุ่มเวลาไปกับการเพิ่มฐานพลังในร่างกายเพียงอย่างเดียว เพราะยามที่เรียกใช้พลังไม่ได้ ลูกก็ไม่ต่างไปจากบุรุษมนุษย์ธรรมดา หลังจากนี้ลูกจึงคิดจะแบ่งเวลาให้กับการฝึกวรยุทธ และการฝึกความสามารถด้านอื่น ๆ เพิ่มพ่ะย่ะค่ะ แล้วที่จริงเมื่อครู่...หากคุณหน
หลังจากได้ยินคำพูดของสตรีตรงหน้า หลี่อวิ้นกุยก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะขยับเข้าไปถามนางใกล้ ๆ “ซินซิน เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ?” เมิ่งเจียวซินมองไปที่หลี่อวิ้นกุย ก่อนจะยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ข้าบอกว่า ข้ายินดีแต่งงานกับเจ้า” คงด้วยเพราะคำถามเมื่อครู่ของหลี่อวิ้นกุย จึงทำให้เมิ่งเจียวซินนึกไปถึงช่วงเวลาที่นางเผชิญหน้ากับโรคระบาดในโลกใบเดิม... โดยช่วงแรกที่โรคระบาดแพร่เข้ามาในประเทศ ยามนั้นผู้ป่วยทุกคนต้องแยกจากคนรัก แยกจากคนในครอบครัว แล้วต้องไปกักตัวตามสถานพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งสำหรับผู้ป่วยบางคนการแยกออกมากักตัวในครั้งนั้น มันคือ...การลาจากตลอดกาล ในช่วงเวลาสุดท้ายของผู้ป่วยบางคนนั้นไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เห็นหน้า หรือบอกลาคนที่ตัวเองรักเลยด้วยซ้ำ พอเมิ่งเจียวซินมองย้อนกลับมาที่เรื่องของนางกั
หลี่อวิ้นกุยจ้องมองตะกร้าใบใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ากลับขึ้นมามองเมิ่งเจียวซิน เมื่อคืนที่ไฟในห้องพักของนางไม่ดับ เป็นเพราะนางทำของที่อยู่ในตะกร้าให้เขาเช่นนั้นหรือ? ความรู้สึกหงุดหงิดใจที่ทำได้แค่เพียงเฝ้ามองห้องพักของนาง และความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกสตรีตรงหน้าทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขาเมื่อคืน ก็ดูเหมือนจะทุเลาลง แต่พอหลี่อวิ้นกุยนึกไปถึงองครักษ์ของโจวหลิวอิงที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก จนทำให้เขาไม่อาจลอบเข้าไปพูดคุยกับสตรีตรงหน้าได้ ถึงแม้ว่า...ในยามนี้จำนวนองครักษ์จะลดลงไปบ้างแล้ว เพราะส่วนหนึ่งต้องตามโจวหลิวอิงไปเข้าเฝ้าราชาปีศาจ ซึ่งที่จริงหลี่อวิ้นกุยได้วางแผนเอาไว้ว่า พอโจวหลิวอิงออกไปเข้าเฝ้าผู้เป็นบิดา ตัวเขาก็จะลอบเข้าไปหาเมิ่งเจียวซินในห้องพัก จากนั้นเขาก็จะ... แต่ในเมื่อคนที่หลี่อวิ้นกุยจะลอบเข้าไปหา ได้ออกมายืนอยู่ที่นี่กับเขาแล้ว
เมิ่งเจียวซินกัดริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ พร้อมกับกำมือที่อยู่ใต้ชายเสื้อทั้งสองข้างจนแน่น ในขณะที่ยืนมองหลี่อวิ้นกุยเดินห่างออกไปจากนางเรื่อย ๆ แม้ว่าภายในใจอยากจะกล่าวบางคำ และอยากจะเอ่ยรั้ง แต่ทว่า...การปล่อยให้ทุกอย่างลงเอยเช่นนี้ ปล่อยมือกันเสียตั้งแต่ในตอนนี้ มันก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับนางกับหลี่อวิ้นกุย แล้วพอเมิ่งเจียวซินดึงสายตาของตัวเองกลับมา นางก็เห็นว่า ยามนี้โจวหลิวอิงกับปิงหลงกำลังจ้องมองมาที่นาง เมิ่งเจียวซินจึงรีบสูดลมหายใจเข้าลึก ปรับอารมณ์ ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา จากนั้นนางก็เดินออกจากศาลา เพื่อไปกล่าวคำอวยพรคนทั้งคู่ รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในเรือนพักชั่วคราวด้วย เนื่องจากยามนี้ได้ล่วงเลยเข้าสู่วันแรกของปีใหม่แล้ว ‘วันแรกของปี!’ เมิ่งเจียวซินนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงรีบหันไปมองยังทิศทางที่
หลี่อวิ้นกุยกัดฟันกรอด แล้วรีบขยับตัวเข้าไปบังร่างกายของเมิ่งเจียวซินเอาไว้ คราแรกเขาคิดว่า ไม่เป็นไรหากเจ้านั่นทำเพียงได้แค่มอง...แต่พอหันกลับไปเห็นสายตา และท่าทีของหลี่อวิ้นหยางเมื่อครู่! ยานนี้หลี่อวิ้นกุยจวนเจียนจะหมดความอดทนเต็มทีแล้ว พอหันกลับมา...เขาก็ได้เห็นสายตาที่คล้ายกับกำลังรู้สึกสงสัยของเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยจึงได้แต่ข่มใจของตัวเอง ก่อนจะฝืนยกยิ้มให้กับนาง จากนั้นเขาก็หันไปถามโจวหลิวอิงว่า “ท่านอาหญิงโจว พวกท่านจะกลับเรือนแล้วหรือ?” “ใช่เพคะ แล้วนี่องค์ชายสามก็กำลังจะกลับตำหนักหรือเพคะ?” “ข้า...พวกท่านไม่อยู่ดูดอกไม้ไฟด้วยกันก่อนหรือ?” “กลับไปนั่งดูที่เรือนพักชั่วคราวก็เห็นเช่นกันเพคะ” ตอนนี้โจวหลิวอิงอยากจะพาเมิ่งเจียวซิน ตัวนางเอง และปิงหลงกลับเรือนพักชั่วครา
เมิ่งเจียวซินมองหลี่อวิ้นกุยที่กำลังแสดงท่าทีไม่พอใจขุนนางคนหนึ่ง เนื่องจากอีกฝ่ายได้เอ่ยพาดพิงมาถึงนาง แล้วในขณะนั้นโจวหลิวอิงก็ขยับเข้ามากระซิบบอกกับนางว่า ให้สังเกตสีหน้าขุนนางคนนั้น พอเมิ่งเจียวซินสังเกต...ก็เห็นว่า ยามนี้ใบหน้าของขุนนางคนนั้นซีดเผือด มีเหงื่อไหลซึมตามกรอบหน้า จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็ได้ยินโจวหลิวอิงอธิบายต่อว่า ตอนนี้หลี่อวิ้นกุยกำลังใช้พลังสายหนึ่งกดข่มให้ขุนนางคนนั้นต้องนั่งคุกเข่า แล้วยังใช้บรรยากาศกดดันที่มีเฉพาะในตัวของคนเผ่ามารโอบล้อมรอบตัวขุนนางคนนั้นเอาไว้ ซึ่งโจวหลิวอิงยังกล่าวติดตลกทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า หากหลี่อวิ้นกุยไม่ชิงลงมือตัดหน้า เมื่อครู่นางคงใช้พลังหักขา และฉีกปากปีศาจเสือตนนั้นไปแล้ว ผ่านไปสักพักเมิ่งเจียวซินก็ได้ยินราชาปีศาจสั่งให้ขุนนางที่กำลังถูกหลี่อวิ้นกุยเล่นงานอยู
หลี่อวิ้นกุยคิดจะใช้โอกาสในขณะที่ยังไม่มีเหล่าขุนนางเอ่ยถามอะไร ลอบหันไปมองทางเมิ่งเจียวซิน แต่ทว่าเหล่าขุนนางที่ลุกขึ้นตั้งคำถามกลับยืนบังสายตา จนเขาไม่เห็นแม้แต่ปลายเส้นผมของนาง หลี่อวิ้นกุยจึงได้แต่ดึงสติ และดึงสายตาของตัวเองกลับมา จดจ่อกับเหล่าขุนนางตรงหน้า&nb