หลังจากหลี่อวิ้นกุยเดินทางกลับมาถึงเผ่ามารวันแรก เขาก็ได้รับรายงานมาว่า มีทหารมารในกองทัพสามตน นำเรื่องที่เขาสั่งห้าม...ไปเล่าให้กับคนในครอบครัวของเจ้าตัวฟัง จึงส่งผลให้เขาจำเป็นต้องทำตามที่ได้เคยประกาศเอาไว้
หลี่อวิ้นกุยสั่งลูกน้องของเขาไปลอบจับตัวทหารมารทั้งสามตนนั้น รวมไปถึงทุกคนในครอบครัว และญาติสนิทมิตรสหายของทหารมารทั้งสามตนนั้นมาอย่างเงียบ ๆ จากนั้นเขาก็ใช้วิชาดูดกลืนจิตวิญญาณกับมารเหล่านั้นทั้งหมด พร้อมกับออกคำสั่งให้เผ่าทำลายศพของมารเหล่านั้นทันที
แล้วหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา หลี่อวิ้นกุยก็ไม่ได้รับรายงานว่า มีทหารในกองทัพเผ่ามารตนใดกล้านำเรื่องที่เกิดขึ้นในการต่อสู้ครั้งนั้นออกมาพูดคุยกันอีกเลย แต่ทว่า...ผ่านไปเพียงแค่สองวัน เขากลับได้รับรายงานมาว่า มีมารหลายกลุ่มได้กล่าวเยินยอเรื่องที่เขาสามารถโค่นล้มเผ่าปีศาจมังกรน้ำจนสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ แล้วก็ยังมีมารบางกลุ่มได้เอ่ยสรรเสริญเรื่องที่เขาพาลูกน้องกลุ่มหนึ่งออกไปช่วยตามหาองค์ช
ตอนที่เมิ่งเจียวซินอ่านบทบรรยายเกี่ยวกับการไล่ล้างแค้นศัตรูของหลี่อวิ้นกุย... เริ่มแรกแม้นางจะรู้สึกสงสารพระเอกของนิยายเรื่องนี้มาก แต่หลังจากที่เจ้าตัวก้าวขาเข้าไปในด้านมืด ความรู้สึกสงสารที่เมิ่งเจียวซินเคยมี มันก็เริ่มหล่นหายไปทีละเล็กทีละน้อย โดยเฉพาะในบทหลัง ๆ ของนิยาย...ที่หลี่อวิ้นกุยเริ่มเอาความแค้นของตนเองเป็นที่ตั้ง แล้วก็เพราะการแก้แค้นแบบเหมารวมของเจ้าตัวนั้น ทำให้มีผู้บริสุทธิ์มากมายได้รับผลกระทบจากการแก้แค้นของหลี่อวิ้นกุยไปด้วย แล้วไหนจะการสังหารเพียงเพราะต้องการจะปิดปาก เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ และการยอมรับจากผู้อื่นอีก แล้วในบางครั้งพระเอกของนิยายเรื่องนี้อย่างหลี่อวิ้นกุยก็ถึงกับไปหาเรื่องลงมือทำร้ายผู้บริสุทธิ์ เพียงเพราะเจ้าตัวอยากจะเฝ้ามอง...สีหน้าที่แสดงออกถึงความรู้สึกเจ็บปวดของคนผู้นั้น ในความคิดของเมิ่งเจียวซิ
หลี่อวิ้นกุยรู้สึกสะท้านในอก เมื่อนึกไปว่าจะมีผู้ใดส่งนักฆ่ามาลอบสังหารสตรีตรงหน้า แต่ถ้าหากมันเกิดขึ้นจริง...ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นผู้ใด! เขาขอสัญญาเลยว่า...เขาจะตามไปลากคอพวกมันมา จากนั้นก็จะสั่งคนของเขาแล่เนื้อเถือหนังของพวกมันออกมาให้ได้อย่างต่ำสามพันชิ้น แล้วในระหว่างนั้นเขาก็จะให้คนมาคอยสาดน้ำเกลือ และคอยฝังเข็มด้านชา แม้ว่าพวกมันอยากจะตาย เขาก็จะไม่มีวันให้พวกมันได้ตายสมใจ จนกว่าร่างกายของพวกมันจะแหลกคาตาของเขา แล้วทุกคนในครอบครัวของพวกมันก็อย่าหวังว่าจะรอด เพราะเขาจะให้คนไปลากทุกคนในครอบครัวของพวกมันมา จากนั้นก็จะให้คนของเขาจับทุกคนในครอบครัวของพวกมันมานั่งถ่างตา...คอยเฝ้าดูทุกครั้งที่เขามีคำสั่งให้ลงใบมีดเฉือน! แต่ทว่า...เมื่อหลี่อวิ้นกุยคิดตามที่เมิ่งเจียวซินถาม หากยามนี้เขาไม่ได้รู้จักกับนาง แล้วสามคนนั้นมาทำเช่นนั้นกับเขา ตัวเขาก็อาจจะ... เมิ่งเจียวซ
“ส่วนคำว่า ‘คู่ครอง’ สำหรับข้าคือ คนที่ข้าจะครองคู่อยู่ร่วมกับคนผู้นั้นไปตลอดชีวิต คอยแบ่งปันทั้งความทุกข์และความสุข ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ยอมรับทั้งข้อดีและข้อเสียของกันได้ แล้วที่สำคัญจะต้องมีข้าเป็นคู่ครองเพียงหนึ่งเดียว เพราะข้าไม่คิดจะใช้สามีร่วมกับสตรีนางใด” พูดมาถึงตรงนี้ เมิ่งเจียวซินก็นึกได้ว่า...ในโลกใบนี้หาได้มีความเท่าเทียมระหว่างบุรุษกับสตรีดั่งโลกใบเดิมที่นางจากมา นางจึงกล่าวต่อว่า “เจ้าฟังเมื่อครู่ เจ้าอาจจะมองว่าข้าเป็นสตรีที่ใจแคบ ซึ่งใช่! ข้าเป็นสตรีที่ใจแคบมากในเรื่องพวกนี้ และข้าก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า หากหาคนรักที่จะมาเป็นคู่ครองในแบบที่ข้าต้องการไม่ได้ ตัวข้าก็ไม่คิดที่จะแต่งงาน” แล้วนี่ก็คือหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ชีวิตในโลกใบเดิมของเมิ่งเจียวซินยังไม่มีแม้แต่คำว่า ‘แฟน’ เพราะถึงแม้ว่าชีวิตในโลกใบเดิมของนางจะมีบุรุษแวะเวียนเข้ามาทักทายอยู่บ่อยครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีผู้ใดทำให้เมิ่งเจี
เช้าวันรุ่งขึ้น วันนี้อาการของเจ้าลูกกระรอกดีขึ้นมาก สีหน้าของเจ้าตัวก็ดีกว่าทุกวันที่ผ่านมา และเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายดูเหมือนจะเริ่มกลับมาบ้างแล้วด้วย “ซินซิน วันนี้ข้าน่าจะตักข้าวกินเองได้แล้ว เจ้าส่งถ้วยข้าวต้มมาให้ข้าเถิด ส่วนตัวเจ้าก็ลงไปจัดการกับสำรับของตนเองได้เลย” “เจ้าแน่ใจหรือ?” “อืม...ข้าแน่ใจ” เมื่อได้รับคำยืนยัน เมิ่งเจียวซินจึงประคองถ้วยข้าวต้มวางลงบนฝ่ามือข้างซ้ายของเด็กหนุ่ม จากนั้นนางก็เห็นอีกฝ่ายยกมือข้างขวาขึ้นมาจับที่ช้อน ก่อนจะค่อย ๆ ตักข้าวต้มขึ้นไปที่ริมฝีปากของตนเอง ซึ่งในระหว่างนั้นมือของเจ้าลูกกระรอกก็เริ่มมีอาการสั่นเทา จนเข้าสู่คำที่สาม...ข้าวต้มในช้อนก็กระฉอกใส่เสื้อคลุมของเจ้าตัว พอเห็นเช่นนั้นเมิ่งเจียวซินจึงตัดสินใจยื่นมือเข้าไปจับช้อนออกมาจากมือของ
“แค่ก แค่ก แค่ก” หลังจากได้ยินเสียงไอของหมิงลู่ เมิ่งเจียวซินก็รีบดึงสติของตนเองกลับมา จากนั้นนางก็เริ่มทำการสอบถาม และตรวจดูอาการของชายหนุ่ม แล้วหลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินจึงพูดขึ้นว่า “พี่ชายหมิง ท่านน่าจะป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่เจ้าค่ะ หมิงจิวก็มีอาการคล้ายกับท่านเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ?” “ใช่ แต่อาการป่วยของนางหนักกว่าข้ามาก เพราะนางมีอาการปวดท้องร่วมด้วย เออ...แต่ข้าไม่มั่นใจนะว่า ที่นางปวดท้องจะเป็นเพราะว่านาง...” “เช่นนั้น พี่ชายหมิงนั่งรอข้าอยู่ตรงนี้สักครู่นะเจ้าคะ ข้าขอเข้าไปจัดยาและเตรียมของอีกเล็กน้อย แล้วเดี๋ยวข้าจะตามท่านไปตรวจดูอาการให้กับหมิงจิวที่เรือน” “ได้” เมิ่งเจียวซินเดินกลับเข้าไปในห้องพักก็เห็นเจ้าลูกกระรอกกำลังจ้องมองมาที่ต
หลี่อวิ้นกุยหยิบเอาคำพูดเมื่อครู่ของเมิ่งเจียวซินมานอนคิด เพราะคำว่า ‘คิดถึง’ ของนางเขาไม่รู้ว่า ความหมายของมันจะใช่ในแบบที่เขาคิดหรือไม่? หรือว่ามันจะต้องรู้สึกประมาณไหน? ถึงจะเพียงพอกับการพูดออกไปว่า ‘ข้าคิดถึงเจ้า’ คงเพราะในวัยเด็กเคยมีคนครัวในเรือนตระกูลเซียวถามเขาว่า ‘คุณชายเคยคิดถึงมารดาของท่านหรือไม่?’ ยามนั้นหลี่อวิ้นกุยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่เขาก็คิดในใจว่า...แม้แต่ภาพวาดใบหน้าของนางเขาก็ยังไม่เคยได้เห็นเลย แล้วเขาจะเอาสิ่งใดมาให้คิดถึงนางกัน ซึ่งในบางครั้งหลี่อวิ้นกุยก็ยังแอบคิดในใจว่า...แม้ผู้เป็นมารดาจะมีบุญคุณที่ให้ชีวิตนี้กับเขา แต่ชีวิตอันไร้ค่า เกิดมาแล้วไม่มีผู้ใดต้องการเช่นนี้! ตัวเขาก็หาได้ต้องการมันเช่นกัน!! และหากวันที่นางให้กำเนิดเขา แล้วเป็นตัวเขาที่ต้องตายจากไป! ท่านตากับท่านยาย และคนอื่น ๆ ในเรือนตระกูลเซียวจะเกลียดนาง รุมด่าทอนาง ขับไล่นางให้ไปตายแทนเขา เหมือนกับที่ตัวเขาโดนบ้างหร
แล้วเมื่อหมดระยะเวลาที่ต้องลงไปนั่งแช่ตัวในน้ำสมุนไพรล้างพิษ เมิ่งเจียวซินก็รีบลงมือจัดการช่วยดูแลเจ้าลูกกระรอกเหมือนกับสิบสี่คืนที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้นางเริ่มรู้สึกแล้วว่า อาการพลังและลมปราณปั่นป่วนของเด็กหนุ่มมันดูหนักหนากว่าที่นางคิดเอาไว้มาก เนื่องจากสภาพร่างกายของอีกฝ่ายมันดูไร้ซึ่งเรี่ยวแรง และสีหน้าของเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะเจ็บปวดยิ่งกว่าทุก ๆ คืนที่ผ่านมา ซึ่งคืนนี้แม้ว่าการพาเจ้าลูกกระรอกกลับเข้าไปนอนในห้องพักของนาง มันจะทุลักทุเลมากแค่ไหน แต่สุดท้ายเมิ่งเจียวซินก็สามารถพาอีกฝ่ายกลับเข้าไปนอนพักที่เตียงของนางได้สำเร็จ เมิ่งเจียวซินหลังจากออกมาจัดการเก็บกวาดทุกอย่างในรั้วไม้ไผ่เสร็จ นางก็รีบเดินกลับไปยังห้องพักของตนเองทันที จากนั้นนางก็ตรงเข้าไปดูอาการของเจ้าลูกกระรอกที่เตียง สีหน้าของเจ้าตัวในยามนี้ มันยังไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย นางจึงรีบจัดการถอดเสื้อคลุมกับเส
เมื่อจิ่นสือกลับเข้ามาในห้องพัก หลี่อวิ้นกุยก็ถามไถ่ถึงสถานการณ์ของอีกฝ่ายจนได้รู้ว่า... หลังจากที่จิ่นสือกับจิ่นตั้งพาคนที่เหลือหลอกล่อเหล่านักฆ่าออกห่างจากจุดที่เขาซ่อนตัวอยู่ จากนั้นจิ่นตั้งจึงสั่งให้จิ่นสือนำคนที่เหลืออยู่ทั้งหมดเดินทางไปหาสหายของเจ้าตัวที่เผ่าปีศาจเสือ ส่วนเจ้าตัวก็ลอบย้อนกลับมารับเขาที่ต้นไม้ใหญ่ แต่พอมาถึงจิ่นตั้งกลับพบเพียงคราบเลือดกับรอยเท้าใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นแทน จิ่นตั้งจึงคิดจะสะกดรอยตามรอยเท้าพวกนั้นไป แต่ในขณะนั้นพวกขององค์ชายใหญ่หลี่อวิ้นมู่ก็ไล่สะกดรอยตามจิ่นตั้งมาจนถึงบริเวณนั้นแล้วเช่นกัน จิ่นตั้งจึงตัดสินใจทำลายร่องรอยที่เจ้าตัวเพิ่งจะหาพบทั้งหมด จากนั้นก็รีบควบม้าพุ่งกลับเข้าไปทางฝั่งเขตแดนของเผ่ามารและเผ่าปีศาจทันที โดยหลังจากวันนั้นจิ่นตั้งกับจิ่นสือก็พาคนของเขาที่เหลืออยู่ทั้งหมดซ่อนตัวอยู่ในเผ่าปีศาจเสือ ซึ่งในระหว่างนั้นจิ่นตั้งก็ส่งคนลอบออกมาตามสืบข่าวของเขาเป็นระยะ แต่เมื่อเจ้าตัวนึก
หลังจากบอกเจ้าลูกกระรอกให้ออกเดินทางกลับไปหาครอบครัวในวันพรุ่งนี้เช้า เมิ่งเจียวซินก็แอบรู้สึกเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้ารวมไปถึงรองเท้าที่เจ้าตัวจะใช้สวมใส่ยามออกเดินทาง เพราะนางไม่อาจพาอีกฝ่ายออกไปหาซื้อในตลาดอย่างที่นัดกันเอาไว้ได้แล้ว ดังนั้นก็เหลือเพียงต้องหยิบยืมของเมิ่งเจียวฉือไปใช้ก่อนเท่านั้น แล้วในขณะที่นางกำลังคิดไม่ตกว่า จะหาทางหลบจูมี่กับซุนเย่ผิงเข้ามาหาของให้อีกฝ่ายได้อย่างไร ซุนเย่ผิงก็หยิบยื่นโอกาสมาให้ด้วยการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ซึ่งในยามนั้นเมิ่งเจียวซินมั่นใจไปถึงแปดในสิบส่วนเลยว่า เจ้าตัวน่าจะต้องการขอออกไปข้างนอก นางจึงรีบเล่นตามน้ำไปกับซุนเย่ผิงทันที แล้วก็ด้วยเพราะการขอออกไปข้างนอกของซุนเย่ผิง ทำให้นางฉวยโอกาสจัดการเรื่องอาหารมื้อเย็นให้กับเจ้าลูกกระรอกไปได้ด้วย ซึ่งพอเหลือเพียงแค่ตัวนางกับจูมี่ เมิ่งเจียวซินก็รีบใช้ข้ออ้าง อย่างเรื่องการอยากให้อีกฝ่ายไปพักผ่อน ซึ่งกว่าที่นางจะส่งจูมี่เข้าห้องพักไปได้...
เมิ่งเจียวซินเดินออกมาถึงห้องโถง คนขับเกวียนกับบุรุษที่มาด้วยกันก็ได้ลำเลียงตะกร้าของฝากเสร็จพอดี นางจึงเดินไปหาคนทั้งคู่ เพื่อจ่ายค่าแรง แต่ทว่าจูมี่ก็รีบขยับเข้ามาขวาง เพราะเจ้าตัวได้จ่ายค่าจ้างพร้อมกับค่าแรงที่ช่วยยกของไปแล้ว เมื่อรู้เช่นนั้นนางจึงเดินนำจูมี่ออกไปส่งบุรุษทั้งสองที่ประตูรั้วด้านหน้าเรือน ในขณะที่ยืนมองเกวียนขับออกไป พวกนางก็เห็นซุนเย่ผิงวิ่งสวนเข้ามาหา จูมี่จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายว่า “อาซุนเจ้าไปไหนมา?” “ข้า... คือ ข้าไป...” แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้สึกแปลกใจ...ซุนเย่ผิงรู้ได้เช่นไรว่าจูมี่กลับมาแล้ว? แต่พอได้เห็นท่าทีละล่ำละลักคิดหาคำตอบไม่ทันของอีกฝ่าย นางจึงกล่าวสิ่งที่ตนช่วยคิดแก้ต่างแทนเจ้าตัวเอาไว้เมื่อครู่ออกมา “พอดี
หลี่อวิ้นกุยนั่งปรับอารมณ์ตัวเองอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็หันไปส่งสัญญาณเรียกจิ่นสือเข้ามาสั่งการ ทว่าผู้ที่เข้ามารับคำสั่งหาได้มีเพียงแค่จิ่นสือ แต่ยังมีจิ่นตั้งที่เข้ามาพร้อมกับผู้เป็นน้องชายด้วย หลังจากสอบถามหลี่อวิ้นกุยก็ได้รู้ว่า จิ่นสือส่งสารไปบอกจิ่นตั้งเรื่องที่เขาสั่งย้ายเจ้าตัวไปเป็นองครักษ์เงาให้กับเมิ่งเจียวซิน จิ่นตั้งจึงรีบออกเดินทางมาเป็นองครักษ์ข้างกายของเขาแทนผู้เป็นน้องชายต่อทันที ซึ่งจิ่นตั้งเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมื่อเช้านี้ และกำลังหาจังหวะเข้ามารายงานตัวกับเขาอยู่ แล้วเมื่อได้รับสัญญาณเรียก...จิ่นตั้งเลยตามผู้เป็นน้องชายเข้ามาด้วย จากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มรายงานเรื่องที่เขาสั่งให้ไปทำ... เรื่องการแก้แค้น...หลี่อวิ้นกุยได้เลือกทำตามที่เมิ่งเจียวซินเคยขอ โดยเริ่มจากการส่งคนไปสืบหาข้อมูลให้แน่ชัดก่อน จากนั้นเขาก็เลือกลงมือเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง และมีส่วนร่วมกับการวางยาพิษเขาครั้งล่าสุดจริง ๆ เท่านั้น ซึ่งยามนี้จิ่นตั
เมิ่งเจียวซินนอนส่งมอบพลังหยินให้กับเจ้าลูกกระรอก ซึ่งภายในใจของนางยังคงมีความรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับท่าทีของเด็กหนุ่มติดค้างอยู่ เนื่องจากวันนี้ทั้งวันเจ้าตัวพยายามแย่งงานจากนางไปทำแทบจะทุกอย่าง แล้วก็ด้วยเพราะความอยากทำงานมาก ๆ ของอีกฝ่าย ตอนนี้ชุดสมุนไพร และยารักษาโรคทั่วไปที่นางตั้งใจจะจัดเตรียมให้กับเจ้าตัว รวมไปถึงผู้คนรอบกายนางได้ถูกจัดใส่ห่อรอที่จะส่งมอบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตลอดทั้งวันเมิ่งเจียวซินก็พยายามเอ่ยถามเด็กหนุ่มว่าเป็นอะไร แต่ทว่าเจ้าตัวก็ใช้ความเงียบ หรือไม่ก็มักจะเอ่ยของานจากนางขัดขึ้นมาเสียก่อนทุกครั้ง จนผ่านล่วงเลยมาถึงยามนี้...แต่เมิ่งเจียวซินก็หาได้คิดที่จะยอมแพ้ไม่ นางจึงขยับร่างกาย แล้วเอนตัวไปทางด้านหลังเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยถามว่า “กุยกุย คือ...ข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าขยันแปลก ๆ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? หรือว่า...มีเรื่องอะไรกวนใจเจ้า? เจ้าพอจะ...” ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้พูดจนจบประโยค อีกฝ่ายก็ขยับเข้ามาโอบกอดร่างกายขอ
เมื่อดึงสติกลับมาได้ หลี่อวิ้นกุยก็รีบขยับเอาร่างกายของตนเองถอยออกมา จากนั้นเขาก็เห็นริมฝีปากของคนตรงหน้ามีรอยช้ำเล็ก ๆ ซึ่งแน่นอนว่า มันเกิดขึ้นจากการถูกเขาจุมพิตเมื่อครู่ หลี่อวิ้นกุยรีบดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นเขาก็คิดจะลงไปเอายามาทาบริเวณริมฝีปากตรงจุดที่เกิดรอยช้ำให้กับนาง แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า หากเมิ่งเจียวซินตื่นขึ้นมา แล้วรับรู้ได้ถึงยาที่เขาทาให้กับนางล่ะ? หลังจากนั่งชั่งใจมาสักพัก หลี่อวิ้นกุยก็ยื่นนิ้วมือเข้าไปลูบไล้และนวดคลึง พร้อมกับก้มลงไปมองริมฝีปากของเมิ่งเจียวซินอีกครั้ง แล้วเมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผล มีเพียงรอยช้ำเล็ก ๆ สี่ห้าจุดเท่านั้น เขาจึงตัดสินใจล้มตัวลงไปนอน แล้วจัดท่านอนให้เป็นท่าที่เขากับนางใช้นอนร่วมกันบนเตียงหลังนี้ทุกคืน โดยคิดเอาไว้ว่า...พรุ่งนี้เช้าเขาค่อยรอดูท่าทีของนางตอนเห็นรอยช้ำ ยามนั้นเขาค่อยคิดอีกทีว่า ควรจะทำเช่นไรต่อ? ซึ่งหลี่อวิ้นกุยไ
หลี่อวิ้นกุยลืมตาขึ้นมากลางดึก ยามนี้แม้ทุกสิ่งรอบกายจะยังคงตกอยู่ในความมืด แต่เหตุใดในสายตาของเขาจึงยังเห็นศีรษะ ใบหู เส้นผม ลำคอ ไหล่ ฯลฯ ของสตรีในอ้อมแขนได้อย่างชัดเจน มันช่างน่าแปลก! เพราะตั้งแต่จำความได้ทุกสิ่งที่อยู่รอบกายเขา มันมักจะเต็มไปด้วยความมืดมิดเสมอ ตั้งแต่ในวัยเยาว์ แม้หลี่อวิ้นกุยจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนในครอบครัวฝั่งมารดา แต่ชีวิตในสถานที่แห่งนั้นมันช่างเงียบเหงา และเดียวดาย ไร้ซึ่งคำว่า‘ความอบอุ่น’ จากผู้คนที่ได้นามว่าเป็นคนในครอบครัวของเขา แล้วเมื่อเขาเติบใหญ่พอรู้ความ จิ่นโซวก็เข้ามาพูดคุยเพื่อรับตัวเขาจากคนเหล่านั้น โดยหลี่อวิ้นกุยยังจำสีหน้าที่แสดงออกถึงความรู้สึกโล่งใจ ยินดีที่เขากำลังจะจากไป ในวันสุดท้ายที่เขาก้าวเท้าออกมาจากเรือนที่ตนเองถือกำเนิด และเติบโตมาของผู้คนที่ได้นามว่าเป็นคนในครอบครัวของเขาได้อย่างชัดเจน แล้วในวันที่หลี่อวิ้นกุย
“ขอบคุณที่เดินมาส่งนะเจ้าคะ ข้าฝากบอกพี่ชายฟางด้วยว่า ขอให้หายเร็ว ๆ” “ได้” หมิงลู่ตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเมิ่งเจียวซิน จากนั้นเขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแปลก ๆ อีกครั้ง “ไว้เจอกันใหม่นะเจียวซิน” “อืม” “เจ้ารีบเข้าเรือนเถิด พวกข้าจะไปแล้ว” เมิ่งเจียวซินทำเพียงพยักหน้าตอบหมิงลู่ ก่อนจะหันหลัง แล้วเดินเข้าเรือนของตนเอง หมิงลู่ยืนมองส่งเมิ่งเจียวซิน แล้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้าเรือนไปแล้ว เขาก็เดินนำน้องสาวไปทางเรือนของพวกตนต่อ “มองไม่วางตาเลยนะเจ้าคะ” หมิงจิวเอ่ยเย้าผู้เป็นพี่ชาย “เจ้านี่!” หมิงล
เมิ่งเจียวซินก้มมองเจ้าลูกกระรอกบนตัก ตั้งแต่ช่วงบ่ายอีกฝ่ายได้กินเพียงแค่ขนมรองท้องเท่านั้น ไม่แน่ว่า ยามนี้เจ้าตัวอาจจะเริ่มรู้สึกหิวไม่น้อยแล้วก็ได้ นางจึงหยิบขนมในจานส่งไปให้เจ้าลูกกระรอกอีกหนึ่งชิ้น ซึ่งในขณะนั้นคนของโรงเตี๊ยมก็เข้ามาเติมน้ำชาให้กับพวกนางพอดี เมิ่งเจียวซินจึงหันไปสั่งอาหารกับอีกฝ่าย “เสี่ยวเอ้อร์ ข้าขอซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานกับปลานึ่งซีอิ๊วอย่างละหนึ่งที่ และข้าวสวยจำนวนสองถ้วยด้วยเจ้าค่ะ ชุดนี้ข้ารบกวนจัดใส่ห่อนะเจ้าคะ แล้วก็...ข้ารบกวนห่อขนมแบบจานนี้เพิ่มให้ข้าในชุดอาหารด้วยเจ้าค่ะ” “ได้ขอรับ รอสักครู่นะขอรับ” “เจียวซิน เจ้าอย่าบอกนะว่า...เจ้าจะซื้อไปฝากบ่าวสตรีนางนั้น” หมิงลู่เอ่ยถามเสียงเข้ม “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าซื้อไปกินเอง” “พี่ใหญ่ข้าขอซื้ออาหาร แล้วฝ
หลังจากได้ยินคำถาม ซึ่งไม่มีที่มาที่ไปของหมิงจิว เมิ่งเจียวซินจึงหันกลับไปมองอีกฝ่าย เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกโมโหเรื่องเล่าจากในรั้วในวังอยู่หรอกหรือ? แต่เมื่อได้เห็นสายตาที่แสดงออกราวกับว่า อยากจะรู้จริง ๆ จากสหาย นางจึงหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า “หากถามว่าเคยคิดหรือไม่? ในวัยเด็กข้าก็เหมือนจะเคยคิดนะ คงอาจจะด้วยเพราะช่วงวัย แล้วก็อาจจะด้วยเพราะความคิดแบบเด็ก ๆ ที่ว่า ตนเองจะได้เข้าไปอยู่ในเรือนหลังใหญ่ จะได้แต่งกายด้วยชุดที่สวยหรู และก็จะได้ชิมอาหารอร่อย ๆ จากโรงเตี๊ยมดัง ๆ ทุกวัน แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดในวัยเยาว์ เพราะข้าในยามนี้ไม่คิดจะนำความสุขที่ตนเองมี ไปแลกกับความสุขที่ได้มาเพียงชั่วคราวแน่นอน” “อะไรคือ ความสุขเพียงชั่วคราว?” หมิงจิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังแบบง่าย ๆ ให้เจ้าได้รับรู้ และได้เห็นภาพเลยนะ” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็เอ