“แค่ก แค่ก แค่ก”
หลังจากได้ยินเสียงไอของหมิงลู่ เมิ่งเจียวซินก็รีบดึงสติของตนเองกลับมา จากนั้นนางก็เริ่มทำการสอบถาม และตรวจดูอาการของชายหนุ่ม แล้วหลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินจึงพูดขึ้นว่า
“พี่ชายหมิง ท่านน่าจะป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่เจ้าค่ะ หมิงจิวก็มีอาการคล้ายกับท่านเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“ใช่ แต่อาการป่วยของนางหนักกว่าข้ามาก เพราะนางมีอาการปวดท้องร่วมด้วย เออ...แต่ข้าไม่มั่นใจนะว่า ที่นางปวดท้องจะเป็นเพราะว่านาง...”
“เช่นนั้น พี่ชายหมิงนั่งรอข้าอยู่ตรงนี้สักครู่นะเจ้าคะ ข้าขอเข้าไปจัดยาและเตรียมของอีกเล็กน้อย แล้วเดี๋ยวข้าจะตามท่านไปตรวจดูอาการให้กับหมิงจิวที่เรือน”
“ได้”
เมิ่งเจียวซินเดินกลับเข้าไปในห้องพักก็เห็นเจ้าลูกกระรอกกำลังจ้องมองมาที่ต
หลี่อวิ้นกุยหยิบเอาคำพูดเมื่อครู่ของเมิ่งเจียวซินมานอนคิด เพราะคำว่า ‘คิดถึง’ ของนางเขาไม่รู้ว่า ความหมายของมันจะใช่ในแบบที่เขาคิดหรือไม่? หรือว่ามันจะต้องรู้สึกประมาณไหน? ถึงจะเพียงพอกับการพูดออกไปว่า ‘ข้าคิดถึงเจ้า’ คงเพราะในวัยเด็กเคยมีคนครัวในเรือนตระกูลเซียวถามเขาว่า ‘คุณชายเคยคิดถึงมารดาของท่านหรือไม่?’ ยามนั้นหลี่อวิ้นกุยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่เขาก็คิดในใจว่า...แม้แต่ภาพวาดใบหน้าของนางเขาก็ยังไม่เคยได้เห็นเลย แล้วเขาจะเอาสิ่งใดมาให้คิดถึงนางกัน ซึ่งในบางครั้งหลี่อวิ้นกุยก็ยังแอบคิดในใจว่า...แม้ผู้เป็นมารดาจะมีบุญคุณที่ให้ชีวิตนี้กับเขา แต่ชีวิตอันไร้ค่า เกิดมาแล้วไม่มีผู้ใดต้องการเช่นนี้! ตัวเขาก็หาได้ต้องการมันเช่นกัน!! และหากวันที่นางให้กำเนิดเขา แล้วเป็นตัวเขาที่ต้องตายจากไป! ท่านตากับท่านยาย และคนอื่น ๆ ในเรือนตระกูลเซียวจะเกลียดนาง รุมด่าทอนาง ขับไล่นางให้ไปตายแทนเขา เหมือนกับที่ตัวเขาโดนบ้างหร
แล้วเมื่อหมดระยะเวลาที่ต้องลงไปนั่งแช่ตัวในน้ำสมุนไพรล้างพิษ เมิ่งเจียวซินก็รีบลงมือจัดการช่วยดูแลเจ้าลูกกระรอกเหมือนกับสิบสี่คืนที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้นางเริ่มรู้สึกแล้วว่า อาการพลังและลมปราณปั่นป่วนของเด็กหนุ่มมันดูหนักหนากว่าที่นางคิดเอาไว้มาก เนื่องจากสภาพร่างกายของอีกฝ่ายมันดูไร้ซึ่งเรี่ยวแรง และสีหน้าของเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะเจ็บปวดยิ่งกว่าทุก ๆ คืนที่ผ่านมา ซึ่งคืนนี้แม้ว่าการพาเจ้าลูกกระรอกกลับเข้าไปนอนในห้องพักของนาง มันจะทุลักทุเลมากแค่ไหน แต่สุดท้ายเมิ่งเจียวซินก็สามารถพาอีกฝ่ายกลับเข้าไปนอนพักที่เตียงของนางได้สำเร็จ เมิ่งเจียวซินหลังจากออกมาจัดการเก็บกวาดทุกอย่างในรั้วไม้ไผ่เสร็จ นางก็รีบเดินกลับไปยังห้องพักของตนเองทันที จากนั้นนางก็ตรงเข้าไปดูอาการของเจ้าลูกกระรอกที่เตียง สีหน้าของเจ้าตัวในยามนี้ มันยังไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย นางจึงรีบจัดการถอดเสื้อคลุมกับเส
เมื่อจิ่นสือกลับเข้ามาในห้องพัก หลี่อวิ้นกุยก็ถามไถ่ถึงสถานการณ์ของอีกฝ่ายจนได้รู้ว่า... หลังจากที่จิ่นสือกับจิ่นตั้งพาคนที่เหลือหลอกล่อเหล่านักฆ่าออกห่างจากจุดที่เขาซ่อนตัวอยู่ จากนั้นจิ่นตั้งจึงสั่งให้จิ่นสือนำคนที่เหลืออยู่ทั้งหมดเดินทางไปหาสหายของเจ้าตัวที่เผ่าปีศาจเสือ ส่วนเจ้าตัวก็ลอบย้อนกลับมารับเขาที่ต้นไม้ใหญ่ แต่พอมาถึงจิ่นตั้งกลับพบเพียงคราบเลือดกับรอยเท้าใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นแทน จิ่นตั้งจึงคิดจะสะกดรอยตามรอยเท้าพวกนั้นไป แต่ในขณะนั้นพวกขององค์ชายใหญ่หลี่อวิ้นมู่ก็ไล่สะกดรอยตามจิ่นตั้งมาจนถึงบริเวณนั้นแล้วเช่นกัน จิ่นตั้งจึงตัดสินใจทำลายร่องรอยที่เจ้าตัวเพิ่งจะหาพบทั้งหมด จากนั้นก็รีบควบม้าพุ่งกลับเข้าไปทางฝั่งเขตแดนของเผ่ามารและเผ่าปีศาจทันที โดยหลังจากวันนั้นจิ่นตั้งกับจิ่นสือก็พาคนของเขาที่เหลืออยู่ทั้งหมดซ่อนตัวอยู่ในเผ่าปีศาจเสือ ซึ่งในระหว่างนั้นจิ่นตั้งก็ส่งคนลอบออกมาตามสืบข่าวของเขาเป็นระยะ แต่เมื่อเจ้าตัวนึก
เมิ่งเจียวซินเมื่อจับชีพจรและตรวจร่างกายของเจ้าลูกกระรอกเสร็จ นางก็รีบแต่งกายให้กับตนเอง ก่อนจะเดินไปตักน้ำใส่อ่างน้ำใบเล็กพร้อมกับหยิบผ้าสะอาดกลับมานั่งที่เตียง จากนั้นนางก็ค่อย ๆ ลงมือเช็ดคราบเลือดออก ก่อนจะไล่เช็ดตัวเพื่อระบายความร้อนให้กับเด็กหนุ่ม แม้ยามนี้ร่างกายของอีกฝ่ายจะเพียงแค่ร้อนผ่าว ไม่ได้ร้อนลวกเหมือนดั่งเมื่อคืนแล้ว แต่ชีพจรของเจ้าตัวกลับเต้นเร็วกว่าทุกวันที่ผ่านมามาก แล้วยิ่งยามนี้เด็กหนุ่มยังไม่ได้สติ มันจึงยิ่งทำให้เมิ่งเจียวซินอดที่จะรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้เลย หลังจากเช็ดตัวให้เรียบร้อยแล้ว เมิ่งเจียวซินจึงหันไปหยิบเสื้อตัวในมาสวมใส่ให้กับเด็กหนุ่ม แล้วในขณะที่นางหยิบเสื้อคลุมตัวนอกขึ้นมา นางก็เห็นคราบเลือดส่วนหนึ่งติดอยู่บนเสื้อคลุมตัวนั้น! แม้จะรู้สึกแปลกใจและสงสัย แต่เมิ่งเจียวซินก็ต้องรีบทิ้งความรู้สึกเหล่านั้นไป เพราะด้วยปริมาณของคราบเลือดมันบอกให้นางรู้ว่า เมื่อคืนเจ้าลูกกระรอกกระอักเลือดออกมาอีกไม่น้อย
วันนี้เจ้าลูกกระรอกขอลงมานั่งรับสำรับกับนางที่โต๊ะกลมกลางห้อง ซึ่งเมิ่งเจียวซินก็ยอมตามใจอีกฝ่าย เนื่องจากสามวันมานี้การทรงตัว การเคลื่อนไหวร่างกายของเจ้าตัวก็ได้กลับมาเป็นปกติดีแล้ว และนางก็ได้เปลี่ยนอาหารของเด็กหนุ่มจากข้าวต้มมาเป็นอาหารในสำรับแบบเดียวกันกับนางแล้วเช่นกัน แต่ทว่า...ยังไม่ทันที่เจ้าลูกกระรอกจะได้ลงมานั่งที่เก้าอี้ และนางก็เพิ่งจะตักอาหารเข้าปากได้เพียงแค่หนึ่งคำ เมิ่งเจียวซินก็ได้ยินเสียงเรียกนามของตนเองดังขึ้นจากทางด้านหน้าเรือน ซึ่งครั้งนี้นางได้ยินทั้งเสียงของสตรีและเสียงของบุรุษ แต่ฟังจากน้ำเสียงคล้ายกับว่าคนทั้งคู่กำลังเร่งรีบและร้อนรน เมิ่งเจียวซินจึงหันไปบอกกับเจ้าลูกกระรอกว่าให้อยู่แต่ในห้องพัก ส่วนนางก็รีบเดินออกไปหาพวกหมิงลู่ที่ประตูรั้วด้านหน้าเรือนทันที เมื่อบานประตูรั้วเปิดออกเมิ่งเจียวซินก็เห็นหมิงลู่ยืนอยู่หน้าประตูรั้ว ถั
ระหว่างที่รอคำตอบจากเด็กชาย เมิ่งเจียวซินก็เห็นหมิงลู่ก้มลงไปหยิบเงินของเจ้าตัวออกมาจากถุง แล้วในขณะที่หมิงลู่เงยหน้าขึ้นมามองทางพวกนาง เมิ่งเจียวซินจึงรีบส่ายหน้าให้กับอีกฝ่ายทันที “ข้าจะเข้าไปหาของป่ามาขาย แล้วข้าก็จะไปหารับจ้างทำงานตามโรงเตี๊ยมในตลาดด้วยขอรับ ข้ารับรองว่า...ไม่เกินห้าวัน ข้าจะนำเงินค่ารักษากับค่ายามาจ่ายให้คุณหนูเมิ่งได้แน่นอนขอรับ” เมิ่งเจียวซินมองสายตาที่แสดงให้เห็นถึงความซื่อตรงและความแน่วแน่ของเด็กชายตรงหน้า ก่อนที่นางจะเบนสายตาของตนเองไปมองทางปิงเหยา ซึ่งยามนี้อีกฝ่ายกำลังนั่งน้ำตาคลอมองมาที่นาง คงด้วยเพราะความทรงจำจากร่างนี้ที่เมิ่งเจียวซินได้รับมา สิ่งที่นางรับรู้เกี่ยวกับสองพี่น้องตรงหน้า ยามนี้มันจึงทำให้นางคิดอยากจะช่วยเหลืออีกฝ่าย... แล้วนางก็นึกไปถึงวิธีบางอย่างขึ้นมาได้&nbs
เมื่อกลับเข้ามาในห้องโถงเมิ่งเจียวซินก็นำเงินพร้อมกับรายการสมุนไพรชุดแรกไปยื่นให้กับหมิงลู่ “พี่ชายหมิงเจ้าคะ นี่คือสมุนไพรชุดแรกที่ข้าต้องการ รอบนี้ไม่มีชนิดไหนที่ข้าต้องรีบใช้ ดังนั้นพี่ชายหมิงหาให้ได้ครบทั้งหมดก่อน แล้วค่อยรวบรวมนำมาส่งให้ข้าที่เรือนหลังนี้นะเจ้าคะ แล้วนี่คือเงินค่าจ้างและเงินค่าสมุนไพรรอบนี้เจ้าค่ะ” “เจียวซินเงินที่เจ้าให้ข้ามารอบ...” “เงินส่วนนั้นเป็นค่าจ้างและค่าสมุนไพรของงานในรอบก่อน แต่เงินส่วนนี้คือค่าจ้างและค่าสมุนไพรของงานในรอบนี้เจ้าค่ะ ดังนั้นพี่ชายหมิงอย่านำมารวมกันเลยนะเจ้าคะ แล้วพี่ชายหมิงยังจำที่ข้าพูดในรอบก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ หากขาดก็ขอให้พี่ชายหมิงรีบมาบอกกับข้า แต่หากเหลือก็ขอให้ถือว่าเป็นน้ำใจจากข้า” “แต่ว่าเงินมัน...” “รับไว้เถิดนะเจ้าค่ะ”
“เพราะเหตุนี้เจ้าถึงเขียนสั่งบุรุษหน้าเหม็นให้จ่ายเงินค่าจ้างพี่น้องคู่นั้นเท่ากับค่าจ้างรายวันของผู้ใหญ่ และยังสั่งให้ซื้ออาหารเลี้ยงพี่น้องคู่นั้น ทุกครั้งที่เข้าไปหาสมุนไพรด้วยกัน” อืม...ใช่” ‘ซินซินนางเป็นคนดี นางดีโดยเนื้อแท้ แต่นางไม่ได้ทำดีกับข้าแค่คนเดียว เพราะนางทำดีกับทุกคนที่อยู่รอบกายนาง หรือเป็นเพราะแบบนี้ทั้ง ๆ ที่นางคิดว่าข้าเป็นปีศาจ นางถึงยัง...’ หลี่อวิ้นกุยคิดพร้อมกับมองแผ่นหลังบอบบางของสตรีตรงหน้า ก่อนที่เขาจะหลุดถามสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “ซินซิน เหตุใดวันนั้นเจ้าถึงเลือกช่วยข้าต่อ ทั้ง ๆ ที่หลังจากนั้นเจ้าก็รู้แล้วว่า ข้าหาใช่ลูกกระรอกป่า แต่ข้าเป็นพวกปีศาจ” “แล้วเหตุใดข้าถึงต้องเลือกไม่ช่วยล่ะ?” “ก็มนุษย์ส่วนใหญ่ ถ้ารู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังพบเจอหรือกำลังเผชิญหน้าอย
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเมิ่งเจียวซินก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ เพราะนางนึกไปถึงบทบรรยายในนิยายของอาหวง... ซึ่งเป็นช่วงที่หลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้รู้ตัวแล้วว่า ไม่อาจถอนยาพิษค่ำคืนเหมันต์ออกจากร่างกายได้ แต่เขาก็โชคดีที่ในระหว่างการเดินทางกลับมายังวังราชาปีศาจ เขาได้พบกับหมอท่านหนึ่ง ซึ่งอีกฝ่ายสามารถปรุงยาที่มีฤทธิ์ช่วยลดอาการเจ็บปวดจากยาพิษให้กับเขาได้ หลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้จึงเชิญหมอท่านนั้นเข้ามาพักที่ตำหนัก ในระหว่างที่เจ้าตัวลงมือปรุงยาให้กับเขา แต่ทว่าหมอท่านนั้นกลับถูกนักฆ่าลอบเข้ามาทำร้ายถึงในตำหนัก แล้วก่อนที่เจ้าตัวจะสิ้นใจจากไป ก็ได้มอบสูตรปรุงยาลดอาการเจ็บปวดจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ให้กับหลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้ โดยแลกกับการที่อีกฝ่ายจะต้องรับบุตรเพียงคนเดียวของเจ้าตัวเข้ามาอยู่ในความดูแล โดยในยามนั้นหลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้ก็ได้ตกปา
เมิ่งเจียวซินพอเดินเข้าไปในห้องพักของหลี่อวิ้นกุย นางก็เลือกไปนั่งที่เก้าอี้ของชุดโต๊ะกลมกลางห้อง จากนั้นหลี่อวิ้นกุยก็ตามมาคุกเข่าทั้งสองข้างลงอยู่ตรงหน้านาง แล้วยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้เอ่ยห้าม อีกฝ่ายก็โน้มตัวเข้ามาโอบกอดช่วงเอวของนาง แล้วกล่าวว่า “ซินซิน ข้าขอโทษ...ข้าขอโทษที่ล่วงเกินเจ้าทั้งทางร่างกาย และทางวาจา ข้าขอโทษที่ตัดสินใจทำเรื่องต่าง ๆ โดยไม่ถามความสมัครใจของเจ้าก่อน แล้วข้าก็ขอโทษที่ยัดเยียดตัวเองให้กับเจ้าเช่นนั้น แต่ข้าต้องทำ เพราะข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ อย่างที่เจ้ารับรู้ไปเมื่อครู่...ทางวังได้ฤกษ์วันทำพิธีอาบแสงจันทร์ของข้ามาแล้ว ซึ่งมันก็เท่ากับว่า ได้ฤกษ์วันมงคลสมรสของข้ามาด้วย ชีวิตนี้ข้าก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่า จะมีเพียงหนึ่งภรรยา ซึ่งภรรยาของข้าก็ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น แล้วก็ด้วยเพราะคำพู
เมิ่งเจียวซินลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย หลังจากได้ยินคำตอบของหลี่อวิ้นกุย แต่ทว่าคำตอบต่อมาของอีกฝ่าย ทำให้นางแทบอยากจะหายไปจากตรงนี้! “ส่วนเรื่องพิธีอาบแสงจันทร์ ที่ลูกยินยอมเข้าทำพิธี ก็เพียงเพราะต้องการทำให้เสด็จพ่อ และคนอื่น ๆ สบายใจเท่านั้น ลูกหาได้สนใจเรื่องเพิ่มพลังหยางจากพิธีนั้นไม่ อีกอย่างพลังที่ลูกมีอยู่ในกายยามนี้ มันก็เพียงพอที่จะใช้ปกป้องคุ้มครองคนที่ลูกรักได้แล้ว นี่ยังไม่รวมวรยุทธ และความสามารถด้านอื่น ๆ ของลูกนะพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งลูกขอบอกกับเสด็จพ่อตามตรง หลังจากผ่านเหตุการณ์โดนวางยาพิษครั้งล่าสุด มันสอนให้ลูกรู้ว่า ไม่ควรทุ่มเวลาไปกับการเพิ่มฐานพลังในร่างกายเพียงอย่างเดียว เพราะยามที่เรียกใช้พลังไม่ได้ ลูกก็ไม่ต่างไปจากบุรุษมนุษย์ธรรมดา หลังจากนี้ลูกจึงคิดจะแบ่งเวลาให้กับการฝึกวรยุทธ และการฝึกความสามารถด้านอื่น ๆ เพิ่มพ่ะย่ะค่ะ แล้วที่จริงเมื่อครู่...หากคุณหน
หลังจากได้ยินคำพูดของสตรีตรงหน้า หลี่อวิ้นกุยก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะขยับเข้าไปถามนางใกล้ ๆ “ซินซิน เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ?” เมิ่งเจียวซินมองไปที่หลี่อวิ้นกุย ก่อนจะยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ข้าบอกว่า ข้ายินดีแต่งงานกับเจ้า” คงด้วยเพราะคำถามเมื่อครู่ของหลี่อวิ้นกุย จึงทำให้เมิ่งเจียวซินนึกไปถึงช่วงเวลาที่นางเผชิญหน้ากับโรคระบาดในโลกใบเดิม... โดยช่วงแรกที่โรคระบาดแพร่เข้ามาในประเทศ ยามนั้นผู้ป่วยทุกคนต้องแยกจากคนรัก แยกจากคนในครอบครัว แล้วต้องไปกักตัวตามสถานพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งสำหรับผู้ป่วยบางคนการแยกออกมากักตัวในครั้งนั้น มันคือ...การลาจากตลอดกาล ในช่วงเวลาสุดท้ายของผู้ป่วยบางคนนั้นไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เห็นหน้า หรือบอกลาคนที่ตัวเองรักเลยด้วยซ้ำ พอเมิ่งเจียวซินมองย้อนกลับมาที่เรื่องของนางกั
หลี่อวิ้นกุยจ้องมองตะกร้าใบใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ากลับขึ้นมามองเมิ่งเจียวซิน เมื่อคืนที่ไฟในห้องพักของนางไม่ดับ เป็นเพราะนางทำของที่อยู่ในตะกร้าให้เขาเช่นนั้นหรือ? ความรู้สึกหงุดหงิดใจที่ทำได้แค่เพียงเฝ้ามองห้องพักของนาง และความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกสตรีตรงหน้าทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขาเมื่อคืน ก็ดูเหมือนจะทุเลาลง แต่พอหลี่อวิ้นกุยนึกไปถึงองครักษ์ของโจวหลิวอิงที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก จนทำให้เขาไม่อาจลอบเข้าไปพูดคุยกับสตรีตรงหน้าได้ ถึงแม้ว่า...ในยามนี้จำนวนองครักษ์จะลดลงไปบ้างแล้ว เพราะส่วนหนึ่งต้องตามโจวหลิวอิงไปเข้าเฝ้าราชาปีศาจ ซึ่งที่จริงหลี่อวิ้นกุยได้วางแผนเอาไว้ว่า พอโจวหลิวอิงออกไปเข้าเฝ้าผู้เป็นบิดา ตัวเขาก็จะลอบเข้าไปหาเมิ่งเจียวซินในห้องพัก จากนั้นเขาก็จะ... แต่ในเมื่อคนที่หลี่อวิ้นกุยจะลอบเข้าไปหา ได้ออกมายืนอยู่ที่นี่กับเขาแล้ว
เมิ่งเจียวซินกัดริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ พร้อมกับกำมือที่อยู่ใต้ชายเสื้อทั้งสองข้างจนแน่น ในขณะที่ยืนมองหลี่อวิ้นกุยเดินห่างออกไปจากนางเรื่อย ๆ แม้ว่าภายในใจอยากจะกล่าวบางคำ และอยากจะเอ่ยรั้ง แต่ทว่า...การปล่อยให้ทุกอย่างลงเอยเช่นนี้ ปล่อยมือกันเสียตั้งแต่ในตอนนี้ มันก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับนางกับหลี่อวิ้นกุย แล้วพอเมิ่งเจียวซินดึงสายตาของตัวเองกลับมา นางก็เห็นว่า ยามนี้โจวหลิวอิงกับปิงหลงกำลังจ้องมองมาที่นาง เมิ่งเจียวซินจึงรีบสูดลมหายใจเข้าลึก ปรับอารมณ์ ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา จากนั้นนางก็เดินออกจากศาลา เพื่อไปกล่าวคำอวยพรคนทั้งคู่ รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในเรือนพักชั่วคราวด้วย เนื่องจากยามนี้ได้ล่วงเลยเข้าสู่วันแรกของปีใหม่แล้ว ‘วันแรกของปี!’ เมิ่งเจียวซินนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงรีบหันไปมองยังทิศทางที่
หลี่อวิ้นกุยกัดฟันกรอด แล้วรีบขยับตัวเข้าไปบังร่างกายของเมิ่งเจียวซินเอาไว้ คราแรกเขาคิดว่า ไม่เป็นไรหากเจ้านั่นทำเพียงได้แค่มอง...แต่พอหันกลับไปเห็นสายตา และท่าทีของหลี่อวิ้นหยางเมื่อครู่! ยานนี้หลี่อวิ้นกุยจวนเจียนจะหมดความอดทนเต็มทีแล้ว พอหันกลับมา...เขาก็ได้เห็นสายตาที่คล้ายกับกำลังรู้สึกสงสัยของเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยจึงได้แต่ข่มใจของตัวเอง ก่อนจะฝืนยกยิ้มให้กับนาง จากนั้นเขาก็หันไปถามโจวหลิวอิงว่า “ท่านอาหญิงโจว พวกท่านจะกลับเรือนแล้วหรือ?” “ใช่เพคะ แล้วนี่องค์ชายสามก็กำลังจะกลับตำหนักหรือเพคะ?” “ข้า...พวกท่านไม่อยู่ดูดอกไม้ไฟด้วยกันก่อนหรือ?” “กลับไปนั่งดูที่เรือนพักชั่วคราวก็เห็นเช่นกันเพคะ” ตอนนี้โจวหลิวอิงอยากจะพาเมิ่งเจียวซิน ตัวนางเอง และปิงหลงกลับเรือนพักชั่วครา
เมิ่งเจียวซินมองหลี่อวิ้นกุยที่กำลังแสดงท่าทีไม่พอใจขุนนางคนหนึ่ง เนื่องจากอีกฝ่ายได้เอ่ยพาดพิงมาถึงนาง แล้วในขณะนั้นโจวหลิวอิงก็ขยับเข้ามากระซิบบอกกับนางว่า ให้สังเกตสีหน้าขุนนางคนนั้น พอเมิ่งเจียวซินสังเกต...ก็เห็นว่า ยามนี้ใบหน้าของขุนนางคนนั้นซีดเผือด มีเหงื่อไหลซึมตามกรอบหน้า จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็ได้ยินโจวหลิวอิงอธิบายต่อว่า ตอนนี้หลี่อวิ้นกุยกำลังใช้พลังสายหนึ่งกดข่มให้ขุนนางคนนั้นต้องนั่งคุกเข่า แล้วยังใช้บรรยากาศกดดันที่มีเฉพาะในตัวของคนเผ่ามารโอบล้อมรอบตัวขุนนางคนนั้นเอาไว้ ซึ่งโจวหลิวอิงยังกล่าวติดตลกทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า หากหลี่อวิ้นกุยไม่ชิงลงมือตัดหน้า เมื่อครู่นางคงใช้พลังหักขา และฉีกปากปีศาจเสือตนนั้นไปแล้ว ผ่านไปสักพักเมิ่งเจียวซินก็ได้ยินราชาปีศาจสั่งให้ขุนนางที่กำลังถูกหลี่อวิ้นกุยเล่นงานอยู
หลี่อวิ้นกุยคิดจะใช้โอกาสในขณะที่ยังไม่มีเหล่าขุนนางเอ่ยถามอะไร ลอบหันไปมองทางเมิ่งเจียวซิน แต่ทว่าเหล่าขุนนางที่ลุกขึ้นตั้งคำถามกลับยืนบังสายตา จนเขาไม่เห็นแม้แต่ปลายเส้นผมของนาง หลี่อวิ้นกุยจึงได้แต่ดึงสติ และดึงสายตาของตัวเองกลับมา จดจ่อกับเหล่าขุนนางตรงหน้า&nb