“เพราะเหตุนี้เจ้าถึงเขียนสั่งบุรุษหน้าเหม็นให้จ่ายเงินค่าจ้างพี่น้องคู่นั้นเท่ากับค่าจ้างรายวันของผู้ใหญ่ และยังสั่งให้ซื้ออาหารเลี้ยงพี่น้องคู่นั้น ทุกครั้งที่เข้าไปหาสมุนไพรด้วยกัน”
อืม...ใช่”
‘ซินซินนางเป็นคนดี นางดีโดยเนื้อแท้ แต่นางไม่ได้ทำดีกับข้าแค่คนเดียว เพราะนางทำดีกับทุกคนที่อยู่รอบกายนาง หรือเป็นเพราะแบบนี้ทั้ง ๆ ที่นางคิดว่าข้าเป็นปีศาจ นางถึงยัง...’ หลี่อวิ้นกุยคิดพร้อมกับมองแผ่นหลังบอบบางของสตรีตรงหน้า ก่อนที่เขาจะหลุดถามสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“ซินซิน เหตุใดวันนั้นเจ้าถึงเลือกช่วยข้าต่อ ทั้ง ๆ ที่หลังจากนั้นเจ้าก็รู้แล้วว่า ข้าหาใช่ลูกกระรอกป่า แต่ข้าเป็นพวกปีศาจ”
“แล้วเหตุใดข้าถึงต้องเลือกไม่ช่วยล่ะ?”
“ก็มนุษย์ส่วนใหญ่ ถ้ารู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังพบเจอหรือกำลังเผชิญหน้าอย
หลี่อวิ้นกุยแอบมองดวงหน้าของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้เขารู้ตัวแล้วว่าตนเองคิดเช่นไรกับนาง แต่ก็ดูเหมือนว่า นางหาได้คิดเช่นเดียวกันกับเขาไม่ ในสายตาของนาง...เขาก็คงไม่ต่างอันใดกับผู้ป่วยคนอื่น ๆ ที่เดินผ่านเข้ามาให้นางช่วยรักษา แล้วอีกไม่นานก็เดินหายออกไปจากชีวิตของนางเท่านั้น หลี่อวิ้นกุยหลุบตาลงไปมองเศษสมุนไพรบนพื้น ก่อนจะคิดไปถึงทุกเหตุการณ์ และทุก ๆ การกระทำที่ผ่านมาระหว่างเขากับเมิ่งเจียงซิน แล้วเมื่อเขานึกไปถึงรอยยิ้ม คำพูด การดูแลเอาใจใส่ ความรู้สึกอบอุ่น และสัมผัสอันอ่อนโยนที่เขาได้รับมันมาจากนาง ถึงแม้ว่ายามนี้เขาจะได้เป็นเพียงแค่ผู้ป่วยคนหนึ่งในสายตาของนาง แต่เขาก็เป็นบุรุษคนแรกที่ได้ใกล้ชิดกับนางขนาดนี้มิใช่หรือ? แต่ทว่า...พอหลี่อวิ้นกุยคิดได้ว่า หลังจากนี้ก็อาจจะมีบุรุษอื่นเข้ามาใกล้ชิดกับนาง จับมือนาง โอบกอดนาง ได้รับรอยยิ้ม รวมไปถึงได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเมิ่งเจียวซินแทนเขา! 
หลี่อวิ้นกุยเมื่อกลับเข้ามาในห้องพัก เขาก็เดินไปนั่งลงบนเตียง ‘หากข้าโคจรลมปราณทะลวงผ่านจุดตันเถียน ตอนที่ซินซินเข้ามาตรวจสภาพร่างกายของข้า นางก็จะรับรู้ทันทีว่า...ยามนี้ร่างกายของข้าดีขึ้นมาก จนเกือบจะกลับมาเป็นปกติแล้วน่ะสิ แต่จะว่าไป...เมื่อครู่นางก็ดูเหมือนจะรู้’หลี่อวิ้นกุยก้มลงไปมองที่เตียงนอน ทุกค่ำคืนที่ผ่านมา เขากับเมิ่งเจียวซินล้วนนอนอยู่บนเตียงหลังนี้ร่วมกัน แต่ทว่า...คืนนี้! หลี่อวิ้นกุยดึงพลังออกมาสร้างเป็นลูกไฟมารบนฝ่ามือข้างขวา เมื่อได้ขนาดลูกไฟตามที่ต้องการ เขาก็ซัดฝ่ามือข้างนั้นเข้ามาที่บริเวณหน้าท้องของตนเองทันที “อึก! อ๊อก!!” หลี่อวิ้นกุยรีบหันหน้าไปทางหน้าต่าง เมื่อรับรู้ได้ถึงการพุ่งตัวเข้ามาขององครักษ์มารตนหนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดลอดไรฟันว่า “อย่าเข้ามา!!”
เมิ่งเจียวซินเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเรือน นางก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากอีกฝั่งหนึ่งว่า “คุณหนู คุณหนูเมิ่งเจ้าคะ นี่บ่าวนะเจ้าคะ ซุนเย่ผิงเองเจ้าค่ะ” “ข้าได้ยินแล้ว รอสักครู่นะ” แม้จะรู้สึกแปลกใจที่ซุนเย่ผิงกลับเรือนในเวลานี้ แล้วไหนจะการที่อีกฝ่ายเลือกเข้าเรือนจากทางประตูหน้าเช่นนี้อีก แต่เมิ่งเจียวซินก็ยอมดึงล็อคออก แล้วเปิดประตูให้กับอีกฝ่าย เมื่อบานประตูเปิดออกนอกจากซุนเย่ผิงแล้ว ยังมีสตรีอีกหนึ่งนาง สตรีนางนี้มีใบหน้าที่ถือว่างดงาม ชุดที่นางสวมใส่ก็ค่อยข้างที่จะหรูหรา “คุณหนูเจ้าคะ สตรีนางนี้มีนามว่า เจินจางลี่หรูเจ้าค่ะ นางเป็นสหายของบ่าว คือ พวกบ่าวได้ยินมาว่า...” เมิ่งเจียวซินเมื่อได้ยินนามของสตรีที่ยืนอยู่ด้านข้างซุนเย
เมื่อเดินเข้าไปในห้องพักของซุนเย่ผิง เมิ่งเจียวซินก็ได้สั่งให้เจ้าของห้องออกไปรอที่ห้องโถงก่อน แล้วหลังจากนั้นนางก็สั่งให้เจินจางลี่หรูนอนลงบนเตียง แต่ทว่า...อีกฝ่ายกลับพูดขึ้นมาว่า “คุณหนูเมิ่งเจ้าคะ คือ...คุณหนูเมิ่งอย่าเล่าเรื่องของข้าให้อาซุนฟังได้หรือไม่เจ้าคะ?” “ได้ ข้ารับปาก” “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้กล่าวอันใดต่อ สตรีตรงหน้าก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นนางก็ปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจากร่างกายจนหมดสิ้น “เหตุใดเจ้า...” เมิ่งเจียวซินมองรอยฟกช้ำ รอยขบกัด รอยนิ้วมือเป็นจ้ำ ๆ บนผิวหนังของร่างอรชรตรงหน้า แล้วไหนจะร่อยเขียวคล้ำเป็นแถบยาวราวกับโดนอะไรฟาดใส่มา ซึ่งมันปรากฎอยู่บนแผ่นหลังบอบบางของนางไม่ต่ำไปกว่าห้ารอย เมื่อเจินจางลี่หรูน
หลี่อวิ้นกุยขมวดคิ้วมองเมิ่งเจียวซินเดินออกจากห้องพักไป เมื่อครู่ตอนที่นางเปิดประตูเข้ามาหยิบของในห้อง เขาได้กลิ่นสาบของพวกปีศาจลอยตามนางเข้ามาด้วย ดูท่า...ปีศาจตนนี้ระยะเวลาในการบำเพ็ญเพียรคงยังน้อย หรือไม่ก็คงจะได้รับบาดเจ็บ จนไม่อาจดึงพลังมาใช้กลบกลิ่นสาบของตนลงได้ ‘หึ! ถึงขั้นพาพวกปีศาจกลับมาเรือนของผู้เป็นนายเลยหรือนี่’ ยามนี้ไม่เพียงแค่ความรู้สึกไม่พอใจ แต่หลี่อวิ้นกุยเริ่มคิดแล้วว่า เขาควรไว้ชีวิตบ่าวสตรีนางนี้ให้อยู่รับใช้เมิ่งเจียวซินต่อดีหรือไม่? หลังจากนั้นหลี่อวิ้นกุยจึงคอยรับฟังเสียงความเคลื่อนไหวจากภายนอกห้องต่ออีกสักพักแล้วเมื่อได้ยินสิ่งที่เมิ่งเจียวซินพูดคุยกับผู้ป่วย... เหมือนนางจะรู้แล้วว่า สตรีที่ตนเองกำลังให้การรักษาเป็นพวกปีศาจ แต่นางก็ยัง... ‘ซินซินเจ้าจะใจดีเกินไปแล้ว!’
หลี่อวิ้นกุยหันไปส่งสัญญาณเรียกจิ่นสือเข้ามาในห้องพัก “จิ่นสือ เดี๋ยวเจ้าจัดคนของเราสะกดรอยตามบ่าวสตรีกับสตรีปีศาจที่มาพร้อมกับนาง ข้าอยากรู้ว่าพวกนางกำลังทำอะไร และคิดที่จะทำอะไร?” “พ่ะย่ะค่ะ” “แล้วเรื่องที่ข้าสั่งให้ไปทำ ตอนนี้คืบหน้าไปถึงไหน?” “เรื่องสืบหาเบื้องหลังผู้ที่ลอบวางยาพิษพระองค์ แน่ชัดว่า...ผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือ องค์ชายใหญ่หลี่อวิ้นมู่แต่เรื่องที่พระองค์สงสัยเกี่ยวกับที่มาของความคิดนี้กับที่มาของยาพิษ ยามนี้พี่ใหญ่ช่วยตามสืบจากคนในตำหนักขององค์ชายใหญ่หลี่อวิ้นมู่ให้อยู่พ่ะย่ะค่ะ ส่วนเรื่องยาพิษ...กระหม่อมให้คนออกไปรวบรวมสมุนไพรพิษ ที่ต้องใช้สำหรับปรุงยาพิษค่ำคืนเหมันต์มาได้เกือบครบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ส่วนผู้ที่จะลงมือปรุงยาพิษให้กับเรา ทางพี่รองก็หาได้แล
“กุยกุย คำว่า ‘ครอบครัว’ สำหรับเจ้ามีความหมายว่าอย่างไร?” เมิ่งเจียวซินเอ่ยถามพร้อมกับสังเกตสีหน้าของเจ้าลูกกระรอกไปด้วย “ก็หมายถึงผู้ที่สืบสายเลือดเดียวกันอย่างเช่น ผู้เป็นบิดา มารดา บุตร และญาติพี่น้อง หรือไม่ก็คู่สามีภรรยาที่แต่งงานกัน” “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่นะ” จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็เดินไปหยิบกระดาษเปล่าสามแผ่น พร้อมกับพูกันสองด้าม หมึก และแท่นฝนหมึกกลับมาวางลงบนโต๊ะยาวกลางห้องเก็บสมุนไพร ซึ่งสิ่งที่เมิ่งเจียวซินกำลังจะวาด และจะเขียนให้เจ้าลูกกระรอกดูก็คือ แนวคิดที่นางได้ยินมาจากรายการวิทยุรายการหนึ่ง ซึ่งคำพูดและแนวคิดของดีเจท่านนั้น นางได้นำมาปรับใช้จนสามารถปลดล็อคความหมายของคำว่า‘คนในครอบครัว’ กับ‘คนสำคัญในชีวิต’ ให้กับนางได้ แล้วหลังจากที่นางได้รับการปลดล็อค นางก็รู้สึกว่าการมองโลกและการใช้ชีวิตของนางเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีข
“กุยกุยข้าไม่รู้หรอกนะว่า ครอบครัวของเจ้าเป็นเช่นไร แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้จักครอบครัวในอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นก็คือ ครอบครัวตามความรู้สึก” พอนางพูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็เห็นเมิ่งเจียวซินนำกระดาษแผ่นใหม่มาวาดวงกลมโดยไล่ระดับจากวงเล็กไปหาวงใหญ่ จำนวนสามวง โดยทั้งสามวงได้เรียงซ้อนกันอยู่ แล้วนางก็เขียนนามของตนเองลงไปตรงกลางของวงกลมวงเล็กด้านในสุด จากนั้นนางก็นำกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาวาดวงกลมที่เหมือนกับกระดาษแผ่นที่สอง แต่นางไม่ได้เขียนนามของตนเองลงไป กระดาษแผ่นที่สามจึงมีเพียงวงกลมที่ว่างเปล่า จำนวนสามวง หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินก็นำกระดาษแผ่นที่สามมาวางลงตรงหน้าเขา พร้อมกับพูกัน “ข้าเคยได้ยินแนวคิดเรื่องวงกลมคนสำคัญมาจากคนผู้หนึ่ง ซึ่งข้าได้นำมาปรับใช้กับคำว่า‘ครอบครัว’ ของตนเอง จะว่าอย่างไรดีล่ะ...ข้าเคยเห็นบางคนพยายามทำดีทุกอย่าง เพื่อไขว้คว้าความรักจากคนในครอบครัว แต่สุดท้า
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วขยับเข้าไปนั่งพิงหัวเตียง จากนั้นก็ดึงสตรีข้างกายให้ลงมาซบที่แผงอกของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเส้นผมนุ่ม พร้อมกับเล่าต่อว่า “ซินซิน การที่ข้าต้องการปลดปีศาจทุกตนในตระกูลเฉินออกจากราชการ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องความแค้นส่วนตัว แต่อีกส่วนก็เพราะตระกูลเฉินต่อหน้าทำเป็นสรรเสริญราชาปีศาจ แต่ลับหลังกลับคอยยุแยงปีศาจเผ่าอื่น ๆ ให้กระด้างกระเดื่องต่อการปกครองของคนเผ่ามาร แล้วหลังจากที่ข้าส่งคนไปคอยติดตาม เพื่อหาหลักฐานการกระทำผิดเพิ่มเติม ข้าก็ได้รู้ว่า ปีศาจตระกูลนี้ได้ลักลอบแลกเปลี่ยนอัญมณีต้องห้าม และยังมีความผิดซุกซ่อนอยู่อีกหลายอย่าง แต่...ถึงแม้ยามนี้จะมีหลักฐานเพียงพอให้เอาผิด ทว่าการที่จะปลดขุนนางระดับสูงออกจากตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เพราะมันเชื่อมโยงไปถึงขั้วอำนาจแล้วอีกอย่างไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะมีการแต่งตั้งที่มีผลต่อขั้วอำนาจไปแล้วถึงสองครั้ง
เมิ่งเจียวซินหลังจากต้องนั่งกดข่มความรู้สึกเจ็บ และข่มกลั้นความรู้สึกอาย จนการทายาที่ยาวนานสิ้นสุดลงไปได้ พอสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จ นางก็สังเกตเห็นว่า หลี่อวิ้นกุยยังคงนั่งมองมาที่รอยแดงบนต้นคอของนาง แล้วด้วยสีหน้า และสายตาของเจ้าตัว ทำให้นางรู้ว่า อีกฝ่ายยังรู้สึกผิดกับเรื่องที่เพิ่งผ่านมา เมื่อฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นว่า นางกำลังจ้องมองอยู่...เจ้าตัวก็รีบก้มหน้า หลบตา ซึ่งในขณะนั้นเมิ่งเจียวซินก็สังเกตเห็นว่า ริมฝีปากของหลี่อวิ้นกุยยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา นางจึงกล่าวว่า “กุยกุย เงยหน้าขึ้นมา” พอเห็นบุรุษตรงหน้ายอมทำตามที่นางบอก เมิ่งเจียวซินจึงขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะจับปลายคางของหลี่อวิ้นกุยเอาไว้ แล้วเริ่มลงมือเช็ดคราบเลือด จากนั้นบาดแผลขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาของนาง... แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้ดีว่า ร่างกายของหลี่
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้าขึ้นมองเมิ่งเจียวซิน เขาอยากดึงนางเข้ามาโอบกอด แต่ก็ไม่กล้า...จึงเอ่ยถามเสียงสั่นว่า “ซินซิน ข้า...ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้อยาก...” หลี่อวิ้นกุยพูดต่อไม่ออก เพราะถึงแม้เขาจะไร้ซึ่งสติ แต่ทุกสิ่งที่เขาทำกับเมิ่งเจียวซินล้วนเกิดขึ้นจากความปรารถนาที่ซุกซ่อนอยู่ภายในใจทั้งนั้น โชคดีที่เสียงร้องไห้ของนางหยุดเขาเอาไว้ได้ทัน ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด หากเขาจะแก้ตัวว่า...มันเกิดขึ้นเพราะยา จึงกลายเป็นเรื่องน่าขัน ยามนี้หลี่อวิ้นกุยรู้สึกหวาดกลัว เขากลัวเมิ่งเจียวซินจะเลิกให้ความรัก เลิกไว้ใจ และเลิกเชื่อใจกัน “ซินซิน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าจะตีข้า จะโกรธ หรือจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ แต่เจ้า...อย่าเลิกรักข้า อย่าเกลียดข้าได้หรือไม่?” เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นไปมองหลี่อวิ้นกุย ยามนี้อีกฝ่ายกำลังนั่งคุกเข่าน้ำต