“เพราะเหตุนี้เจ้าถึงเขียนสั่งบุรุษหน้าเหม็นให้จ่ายเงินค่าจ้างพี่น้องคู่นั้นเท่ากับค่าจ้างรายวันของผู้ใหญ่ และยังสั่งให้ซื้ออาหารเลี้ยงพี่น้องคู่นั้น ทุกครั้งที่เข้าไปหาสมุนไพรด้วยกัน”
อืม...ใช่”
‘ซินซินนางเป็นคนดี นางดีโดยเนื้อแท้ แต่นางไม่ได้ทำดีกับข้าแค่คนเดียว เพราะนางทำดีกับทุกคนที่อยู่รอบกายนาง หรือเป็นเพราะแบบนี้ทั้ง ๆ ที่นางคิดว่าข้าเป็นปีศาจ นางถึงยัง...’ หลี่อวิ้นกุยคิดพร้อมกับมองแผ่นหลังบอบบางของสตรีตรงหน้า ก่อนที่เขาจะหลุดถามสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“ซินซิน เหตุใดวันนั้นเจ้าถึงเลือกช่วยข้าต่อ ทั้ง ๆ ที่หลังจากนั้นเจ้าก็รู้แล้วว่า ข้าหาใช่ลูกกระรอกป่า แต่ข้าเป็นพวกปีศาจ”
“แล้วเหตุใดข้าถึงต้องเลือกไม่ช่วยล่ะ?”
“ก็มนุษย์ส่วนใหญ่ ถ้ารู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังพบเจอหรือกำลังเผชิญหน้าอย
หลี่อวิ้นกุยแอบมองดวงหน้าของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้เขารู้ตัวแล้วว่าตนเองคิดเช่นไรกับนาง แต่ก็ดูเหมือนว่า นางหาได้คิดเช่นเดียวกันกับเขาไม่ ในสายตาของนาง...เขาก็คงไม่ต่างอันใดกับผู้ป่วยคนอื่น ๆ ที่เดินผ่านเข้ามาให้นางช่วยรักษา แล้วอีกไม่นานก็เดินหายออกไปจากชีวิตของนางเท่านั้น หลี่อวิ้นกุยหลุบตาลงไปมองเศษสมุนไพรบนพื้น ก่อนจะคิดไปถึงทุกเหตุการณ์ และทุก ๆ การกระทำที่ผ่านมาระหว่างเขากับเมิ่งเจียงซิน แล้วเมื่อเขานึกไปถึงรอยยิ้ม คำพูด การดูแลเอาใจใส่ ความรู้สึกอบอุ่น และสัมผัสอันอ่อนโยนที่เขาได้รับมันมาจากนาง ถึงแม้ว่ายามนี้เขาจะได้เป็นเพียงแค่ผู้ป่วยคนหนึ่งในสายตาของนาง แต่เขาก็เป็นบุรุษคนแรกที่ได้ใกล้ชิดกับนางขนาดนี้มิใช่หรือ? แต่ทว่า...พอหลี่อวิ้นกุยคิดได้ว่า หลังจากนี้ก็อาจจะมีบุรุษอื่นเข้ามาใกล้ชิดกับนาง จับมือนาง โอบกอดนาง ได้รับรอยยิ้ม รวมไปถึงได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเมิ่งเจียวซินแทนเขา! 
หลี่อวิ้นกุยเมื่อกลับเข้ามาในห้องพัก เขาก็เดินไปนั่งลงบนเตียง ‘หากข้าโคจรลมปราณทะลวงผ่านจุดตันเถียน ตอนที่ซินซินเข้ามาตรวจสภาพร่างกายของข้า นางก็จะรับรู้ทันทีว่า...ยามนี้ร่างกายของข้าดีขึ้นมาก จนเกือบจะกลับมาเป็นปกติแล้วน่ะสิ แต่จะว่าไป...เมื่อครู่นางก็ดูเหมือนจะรู้’หลี่อวิ้นกุยก้มลงไปมองที่เตียงนอน ทุกค่ำคืนที่ผ่านมา เขากับเมิ่งเจียวซินล้วนนอนอยู่บนเตียงหลังนี้ร่วมกัน แต่ทว่า...คืนนี้! หลี่อวิ้นกุยดึงพลังออกมาสร้างเป็นลูกไฟมารบนฝ่ามือข้างขวา เมื่อได้ขนาดลูกไฟตามที่ต้องการ เขาก็ซัดฝ่ามือข้างนั้นเข้ามาที่บริเวณหน้าท้องของตนเองทันที “อึก! อ๊อก!!” หลี่อวิ้นกุยรีบหันหน้าไปทางหน้าต่าง เมื่อรับรู้ได้ถึงการพุ่งตัวเข้ามาขององครักษ์มารตนหนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดลอดไรฟันว่า “อย่าเข้ามา!!”
เมิ่งเจียวซินเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเรือน นางก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากอีกฝั่งหนึ่งว่า “คุณหนู คุณหนูเมิ่งเจ้าคะ นี่บ่าวนะเจ้าคะ ซุนเย่ผิงเองเจ้าค่ะ” “ข้าได้ยินแล้ว รอสักครู่นะ” แม้จะรู้สึกแปลกใจที่ซุนเย่ผิงกลับเรือนในเวลานี้ แล้วไหนจะการที่อีกฝ่ายเลือกเข้าเรือนจากทางประตูหน้าเช่นนี้อีก แต่เมิ่งเจียวซินก็ยอมดึงล็อคออก แล้วเปิดประตูให้กับอีกฝ่าย เมื่อบานประตูเปิดออกนอกจากซุนเย่ผิงแล้ว ยังมีสตรีอีกหนึ่งนาง สตรีนางนี้มีใบหน้าที่ถือว่างดงาม ชุดที่นางสวมใส่ก็ค่อยข้างที่จะหรูหรา “คุณหนูเจ้าคะ สตรีนางนี้มีนามว่า เจินจางลี่หรูเจ้าค่ะ นางเป็นสหายของบ่าว คือ พวกบ่าวได้ยินมาว่า...” เมิ่งเจียวซินเมื่อได้ยินนามของสตรีที่ยืนอยู่ด้านข้างซุนเย
เมื่อเดินเข้าไปในห้องพักของซุนเย่ผิง เมิ่งเจียวซินก็ได้สั่งให้เจ้าของห้องออกไปรอที่ห้องโถงก่อน แล้วหลังจากนั้นนางก็สั่งให้เจินจางลี่หรูนอนลงบนเตียง แต่ทว่า...อีกฝ่ายกลับพูดขึ้นมาว่า “คุณหนูเมิ่งเจ้าคะ คือ...คุณหนูเมิ่งอย่าเล่าเรื่องของข้าให้อาซุนฟังได้หรือไม่เจ้าคะ?” “ได้ ข้ารับปาก” “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้กล่าวอันใดต่อ สตรีตรงหน้าก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นนางก็ปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจากร่างกายจนหมดสิ้น “เหตุใดเจ้า...” เมิ่งเจียวซินมองรอยฟกช้ำ รอยขบกัด รอยนิ้วมือเป็นจ้ำ ๆ บนผิวหนังของร่างอรชรตรงหน้า แล้วไหนจะร่อยเขียวคล้ำเป็นแถบยาวราวกับโดนอะไรฟาดใส่มา ซึ่งมันปรากฎอยู่บนแผ่นหลังบอบบางของนางไม่ต่ำไปกว่าห้ารอย เมื่อเจินจางลี่หรูน
หลี่อวิ้นกุยขมวดคิ้วมองเมิ่งเจียวซินเดินออกจากห้องพักไป เมื่อครู่ตอนที่นางเปิดประตูเข้ามาหยิบของในห้อง เขาได้กลิ่นสาบของพวกปีศาจลอยตามนางเข้ามาด้วย ดูท่า...ปีศาจตนนี้ระยะเวลาในการบำเพ็ญเพียรคงยังน้อย หรือไม่ก็คงจะได้รับบาดเจ็บ จนไม่อาจดึงพลังมาใช้กลบกลิ่นสาบของตนลงได้ ‘หึ! ถึงขั้นพาพวกปีศาจกลับมาเรือนของผู้เป็นนายเลยหรือนี่’ ยามนี้ไม่เพียงแค่ความรู้สึกไม่พอใจ แต่หลี่อวิ้นกุยเริ่มคิดแล้วว่า เขาควรไว้ชีวิตบ่าวสตรีนางนี้ให้อยู่รับใช้เมิ่งเจียวซินต่อดีหรือไม่? หลังจากนั้นหลี่อวิ้นกุยจึงคอยรับฟังเสียงความเคลื่อนไหวจากภายนอกห้องต่ออีกสักพักแล้วเมื่อได้ยินสิ่งที่เมิ่งเจียวซินพูดคุยกับผู้ป่วย... เหมือนนางจะรู้แล้วว่า สตรีที่ตนเองกำลังให้การรักษาเป็นพวกปีศาจ แต่นางก็ยัง... ‘ซินซินเจ้าจะใจดีเกินไปแล้ว!’
หลี่อวิ้นกุยหันไปส่งสัญญาณเรียกจิ่นสือเข้ามาในห้องพัก “จิ่นสือ เดี๋ยวเจ้าจัดคนของเราสะกดรอยตามบ่าวสตรีกับสตรีปีศาจที่มาพร้อมกับนาง ข้าอยากรู้ว่าพวกนางกำลังทำอะไร และคิดที่จะทำอะไร?” “พ่ะย่ะค่ะ” “แล้วเรื่องที่ข้าสั่งให้ไปทำ ตอนนี้คืบหน้าไปถึงไหน?” “เรื่องสืบหาเบื้องหลังผู้ที่ลอบวางยาพิษพระองค์ แน่ชัดว่า...ผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือ องค์ชายใหญ่หลี่อวิ้นมู่แต่เรื่องที่พระองค์สงสัยเกี่ยวกับที่มาของความคิดนี้กับที่มาของยาพิษ ยามนี้พี่ใหญ่ช่วยตามสืบจากคนในตำหนักขององค์ชายใหญ่หลี่อวิ้นมู่ให้อยู่พ่ะย่ะค่ะ ส่วนเรื่องยาพิษ...กระหม่อมให้คนออกไปรวบรวมสมุนไพรพิษ ที่ต้องใช้สำหรับปรุงยาพิษค่ำคืนเหมันต์มาได้เกือบครบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ส่วนผู้ที่จะลงมือปรุงยาพิษให้กับเรา ทางพี่รองก็หาได้แล
“กุยกุย คำว่า ‘ครอบครัว’ สำหรับเจ้ามีความหมายว่าอย่างไร?” เมิ่งเจียวซินเอ่ยถามพร้อมกับสังเกตสีหน้าของเจ้าลูกกระรอกไปด้วย “ก็หมายถึงผู้ที่สืบสายเลือดเดียวกันอย่างเช่น ผู้เป็นบิดา มารดา บุตร และญาติพี่น้อง หรือไม่ก็คู่สามีภรรยาที่แต่งงานกัน” “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่นะ” จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็เดินไปหยิบกระดาษเปล่าสามแผ่น พร้อมกับพูกันสองด้าม หมึก และแท่นฝนหมึกกลับมาวางลงบนโต๊ะยาวกลางห้องเก็บสมุนไพร ซึ่งสิ่งที่เมิ่งเจียวซินกำลังจะวาด และจะเขียนให้เจ้าลูกกระรอกดูก็คือ แนวคิดที่นางได้ยินมาจากรายการวิทยุรายการหนึ่ง ซึ่งคำพูดและแนวคิดของดีเจท่านนั้น นางได้นำมาปรับใช้จนสามารถปลดล็อคความหมายของคำว่า‘คนในครอบครัว’ กับ‘คนสำคัญในชีวิต’ ให้กับนางได้ แล้วหลังจากที่นางได้รับการปลดล็อค นางก็รู้สึกว่าการมองโลกและการใช้ชีวิตของนางเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีข
“กุยกุยข้าไม่รู้หรอกนะว่า ครอบครัวของเจ้าเป็นเช่นไร แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้จักครอบครัวในอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นก็คือ ครอบครัวตามความรู้สึก” พอนางพูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็เห็นเมิ่งเจียวซินนำกระดาษแผ่นใหม่มาวาดวงกลมโดยไล่ระดับจากวงเล็กไปหาวงใหญ่ จำนวนสามวง โดยทั้งสามวงได้เรียงซ้อนกันอยู่ แล้วนางก็เขียนนามของตนเองลงไปตรงกลางของวงกลมวงเล็กด้านในสุด จากนั้นนางก็นำกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาวาดวงกลมที่เหมือนกับกระดาษแผ่นที่สอง แต่นางไม่ได้เขียนนามของตนเองลงไป กระดาษแผ่นที่สามจึงมีเพียงวงกลมที่ว่างเปล่า จำนวนสามวง หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินก็นำกระดาษแผ่นที่สามมาวางลงตรงหน้าเขา พร้อมกับพูกัน “ข้าเคยได้ยินแนวคิดเรื่องวงกลมคนสำคัญมาจากคนผู้หนึ่ง ซึ่งข้าได้นำมาปรับใช้กับคำว่า‘ครอบครัว’ ของตนเอง จะว่าอย่างไรดีล่ะ...ข้าเคยเห็นบางคนพยายามทำดีทุกอย่าง เพื่อไขว้คว้าความรักจากคนในครอบครัว แต่สุดท้า
หลังจากบอกเจ้าลูกกระรอกให้ออกเดินทางกลับไปหาครอบครัวในวันพรุ่งนี้เช้า เมิ่งเจียวซินก็แอบรู้สึกเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้ารวมไปถึงรองเท้าที่เจ้าตัวจะใช้สวมใส่ยามออกเดินทาง เพราะนางไม่อาจพาอีกฝ่ายออกไปหาซื้อในตลาดอย่างที่นัดกันเอาไว้ได้แล้ว ดังนั้นก็เหลือเพียงต้องหยิบยืมของเมิ่งเจียวฉือไปใช้ก่อนเท่านั้น แล้วในขณะที่นางกำลังคิดไม่ตกว่า จะหาทางหลบจูมี่กับซุนเย่ผิงเข้ามาหาของให้อีกฝ่ายได้อย่างไร ซุนเย่ผิงก็หยิบยื่นโอกาสมาให้ด้วยการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ซึ่งในยามนั้นเมิ่งเจียวซินมั่นใจไปถึงแปดในสิบส่วนเลยว่า เจ้าตัวน่าจะต้องการขอออกไปข้างนอก นางจึงรีบเล่นตามน้ำไปกับซุนเย่ผิงทันที แล้วก็ด้วยเพราะการขอออกไปข้างนอกของซุนเย่ผิง ทำให้นางฉวยโอกาสจัดการเรื่องอาหารมื้อเย็นให้กับเจ้าลูกกระรอกไปได้ด้วย ซึ่งพอเหลือเพียงแค่ตัวนางกับจูมี่ เมิ่งเจียวซินก็รีบใช้ข้ออ้าง อย่างเรื่องการอยากให้อีกฝ่ายไปพักผ่อน ซึ่งกว่าที่นางจะส่งจูมี่เข้าห้องพักไปได้...
เมิ่งเจียวซินเดินออกมาถึงห้องโถง คนขับเกวียนกับบุรุษที่มาด้วยกันก็ได้ลำเลียงตะกร้าของฝากเสร็จพอดี นางจึงเดินไปหาคนทั้งคู่ เพื่อจ่ายค่าแรง แต่ทว่าจูมี่ก็รีบขยับเข้ามาขวาง เพราะเจ้าตัวได้จ่ายค่าจ้างพร้อมกับค่าแรงที่ช่วยยกของไปแล้ว เมื่อรู้เช่นนั้นนางจึงเดินนำจูมี่ออกไปส่งบุรุษทั้งสองที่ประตูรั้วด้านหน้าเรือน ในขณะที่ยืนมองเกวียนขับออกไป พวกนางก็เห็นซุนเย่ผิงวิ่งสวนเข้ามาหา จูมี่จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายว่า “อาซุนเจ้าไปไหนมา?” “ข้า... คือ ข้าไป...” แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้สึกแปลกใจ...ซุนเย่ผิงรู้ได้เช่นไรว่าจูมี่กลับมาแล้ว? แต่พอได้เห็นท่าทีละล่ำละลักคิดหาคำตอบไม่ทันของอีกฝ่าย นางจึงกล่าวสิ่งที่ตนช่วยคิดแก้ต่างแทนเจ้าตัวเอาไว้เมื่อครู่ออกมา “พอดี
หลี่อวิ้นกุยนั่งปรับอารมณ์ตัวเองอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็หันไปส่งสัญญาณเรียกจิ่นสือเข้ามาสั่งการ ทว่าผู้ที่เข้ามารับคำสั่งหาได้มีเพียงแค่จิ่นสือ แต่ยังมีจิ่นตั้งที่เข้ามาพร้อมกับผู้เป็นน้องชายด้วย หลังจากสอบถามหลี่อวิ้นกุยก็ได้รู้ว่า จิ่นสือส่งสารไปบอกจิ่นตั้งเรื่องที่เขาสั่งย้ายเจ้าตัวไปเป็นองครักษ์เงาให้กับเมิ่งเจียวซิน จิ่นตั้งจึงรีบออกเดินทางมาเป็นองครักษ์ข้างกายของเขาแทนผู้เป็นน้องชายต่อทันที ซึ่งจิ่นตั้งเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมื่อเช้านี้ และกำลังหาจังหวะเข้ามารายงานตัวกับเขาอยู่ แล้วเมื่อได้รับสัญญาณเรียก...จิ่นตั้งเลยตามผู้เป็นน้องชายเข้ามาด้วย จากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มรายงานเรื่องที่เขาสั่งให้ไปทำ... เรื่องการแก้แค้น...หลี่อวิ้นกุยได้เลือกทำตามที่เมิ่งเจียวซินเคยขอ โดยเริ่มจากการส่งคนไปสืบหาข้อมูลให้แน่ชัดก่อน จากนั้นเขาก็เลือกลงมือเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง และมีส่วนร่วมกับการวางยาพิษเขาครั้งล่าสุดจริง ๆ เท่านั้น ซึ่งยามนี้จิ่นตั
เมิ่งเจียวซินนอนส่งมอบพลังหยินให้กับเจ้าลูกกระรอก ซึ่งภายในใจของนางยังคงมีความรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับท่าทีของเด็กหนุ่มติดค้างอยู่ เนื่องจากวันนี้ทั้งวันเจ้าตัวพยายามแย่งงานจากนางไปทำแทบจะทุกอย่าง แล้วก็ด้วยเพราะความอยากทำงานมาก ๆ ของอีกฝ่าย ตอนนี้ชุดสมุนไพร และยารักษาโรคทั่วไปที่นางตั้งใจจะจัดเตรียมให้กับเจ้าตัว รวมไปถึงผู้คนรอบกายนางได้ถูกจัดใส่ห่อรอที่จะส่งมอบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตลอดทั้งวันเมิ่งเจียวซินก็พยายามเอ่ยถามเด็กหนุ่มว่าเป็นอะไร แต่ทว่าเจ้าตัวก็ใช้ความเงียบ หรือไม่ก็มักจะเอ่ยของานจากนางขัดขึ้นมาเสียก่อนทุกครั้ง จนผ่านล่วงเลยมาถึงยามนี้...แต่เมิ่งเจียวซินก็หาได้คิดที่จะยอมแพ้ไม่ นางจึงขยับร่างกาย แล้วเอนตัวไปทางด้านหลังเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยถามว่า “กุยกุย คือ...ข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าขยันแปลก ๆ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? หรือว่า...มีเรื่องอะไรกวนใจเจ้า? เจ้าพอจะ...” ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้พูดจนจบประโยค อีกฝ่ายก็ขยับเข้ามาโอบกอดร่างกายขอ
เมื่อดึงสติกลับมาได้ หลี่อวิ้นกุยก็รีบขยับเอาร่างกายของตนเองถอยออกมา จากนั้นเขาก็เห็นริมฝีปากของคนตรงหน้ามีรอยช้ำเล็ก ๆ ซึ่งแน่นอนว่า มันเกิดขึ้นจากการถูกเขาจุมพิตเมื่อครู่ หลี่อวิ้นกุยรีบดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นเขาก็คิดจะลงไปเอายามาทาบริเวณริมฝีปากตรงจุดที่เกิดรอยช้ำให้กับนาง แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า หากเมิ่งเจียวซินตื่นขึ้นมา แล้วรับรู้ได้ถึงยาที่เขาทาให้กับนางล่ะ? หลังจากนั่งชั่งใจมาสักพัก หลี่อวิ้นกุยก็ยื่นนิ้วมือเข้าไปลูบไล้และนวดคลึง พร้อมกับก้มลงไปมองริมฝีปากของเมิ่งเจียวซินอีกครั้ง แล้วเมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผล มีเพียงรอยช้ำเล็ก ๆ สี่ห้าจุดเท่านั้น เขาจึงตัดสินใจล้มตัวลงไปนอน แล้วจัดท่านอนให้เป็นท่าที่เขากับนางใช้นอนร่วมกันบนเตียงหลังนี้ทุกคืน โดยคิดเอาไว้ว่า...พรุ่งนี้เช้าเขาค่อยรอดูท่าทีของนางตอนเห็นรอยช้ำ ยามนั้นเขาค่อยคิดอีกทีว่า ควรจะทำเช่นไรต่อ? ซึ่งหลี่อวิ้นกุยไ
หลี่อวิ้นกุยลืมตาขึ้นมากลางดึก ยามนี้แม้ทุกสิ่งรอบกายจะยังคงตกอยู่ในความมืด แต่เหตุใดในสายตาของเขาจึงยังเห็นศีรษะ ใบหู เส้นผม ลำคอ ไหล่ ฯลฯ ของสตรีในอ้อมแขนได้อย่างชัดเจน มันช่างน่าแปลก! เพราะตั้งแต่จำความได้ทุกสิ่งที่อยู่รอบกายเขา มันมักจะเต็มไปด้วยความมืดมิดเสมอ ตั้งแต่ในวัยเยาว์ แม้หลี่อวิ้นกุยจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนในครอบครัวฝั่งมารดา แต่ชีวิตในสถานที่แห่งนั้นมันช่างเงียบเหงา และเดียวดาย ไร้ซึ่งคำว่า‘ความอบอุ่น’ จากผู้คนที่ได้นามว่าเป็นคนในครอบครัวของเขา แล้วเมื่อเขาเติบใหญ่พอรู้ความ จิ่นโซวก็เข้ามาพูดคุยเพื่อรับตัวเขาจากคนเหล่านั้น โดยหลี่อวิ้นกุยยังจำสีหน้าที่แสดงออกถึงความรู้สึกโล่งใจ ยินดีที่เขากำลังจะจากไป ในวันสุดท้ายที่เขาก้าวเท้าออกมาจากเรือนที่ตนเองถือกำเนิด และเติบโตมาของผู้คนที่ได้นามว่าเป็นคนในครอบครัวของเขาได้อย่างชัดเจน แล้วในวันที่หลี่อวิ้นกุย
“ขอบคุณที่เดินมาส่งนะเจ้าคะ ข้าฝากบอกพี่ชายฟางด้วยว่า ขอให้หายเร็ว ๆ” “ได้” หมิงลู่ตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเมิ่งเจียวซิน จากนั้นเขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแปลก ๆ อีกครั้ง “ไว้เจอกันใหม่นะเจียวซิน” “อืม” “เจ้ารีบเข้าเรือนเถิด พวกข้าจะไปแล้ว” เมิ่งเจียวซินทำเพียงพยักหน้าตอบหมิงลู่ ก่อนจะหันหลัง แล้วเดินเข้าเรือนของตนเอง หมิงลู่ยืนมองส่งเมิ่งเจียวซิน แล้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้าเรือนไปแล้ว เขาก็เดินนำน้องสาวไปทางเรือนของพวกตนต่อ “มองไม่วางตาเลยนะเจ้าคะ” หมิงจิวเอ่ยเย้าผู้เป็นพี่ชาย “เจ้านี่!” หมิงล
เมิ่งเจียวซินก้มมองเจ้าลูกกระรอกบนตัก ตั้งแต่ช่วงบ่ายอีกฝ่ายได้กินเพียงแค่ขนมรองท้องเท่านั้น ไม่แน่ว่า ยามนี้เจ้าตัวอาจจะเริ่มรู้สึกหิวไม่น้อยแล้วก็ได้ นางจึงหยิบขนมในจานส่งไปให้เจ้าลูกกระรอกอีกหนึ่งชิ้น ซึ่งในขณะนั้นคนของโรงเตี๊ยมก็เข้ามาเติมน้ำชาให้กับพวกนางพอดี เมิ่งเจียวซินจึงหันไปสั่งอาหารกับอีกฝ่าย “เสี่ยวเอ้อร์ ข้าขอซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานกับปลานึ่งซีอิ๊วอย่างละหนึ่งที่ และข้าวสวยจำนวนสองถ้วยด้วยเจ้าค่ะ ชุดนี้ข้ารบกวนจัดใส่ห่อนะเจ้าคะ แล้วก็...ข้ารบกวนห่อขนมแบบจานนี้เพิ่มให้ข้าในชุดอาหารด้วยเจ้าค่ะ” “ได้ขอรับ รอสักครู่นะขอรับ” “เจียวซิน เจ้าอย่าบอกนะว่า...เจ้าจะซื้อไปฝากบ่าวสตรีนางนั้น” หมิงลู่เอ่ยถามเสียงเข้ม “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าซื้อไปกินเอง” “พี่ใหญ่ข้าขอซื้ออาหาร แล้วฝ
หลังจากได้ยินคำถาม ซึ่งไม่มีที่มาที่ไปของหมิงจิว เมิ่งเจียวซินจึงหันกลับไปมองอีกฝ่าย เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกโมโหเรื่องเล่าจากในรั้วในวังอยู่หรอกหรือ? แต่เมื่อได้เห็นสายตาที่แสดงออกราวกับว่า อยากจะรู้จริง ๆ จากสหาย นางจึงหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า “หากถามว่าเคยคิดหรือไม่? ในวัยเด็กข้าก็เหมือนจะเคยคิดนะ คงอาจจะด้วยเพราะช่วงวัย แล้วก็อาจจะด้วยเพราะความคิดแบบเด็ก ๆ ที่ว่า ตนเองจะได้เข้าไปอยู่ในเรือนหลังใหญ่ จะได้แต่งกายด้วยชุดที่สวยหรู และก็จะได้ชิมอาหารอร่อย ๆ จากโรงเตี๊ยมดัง ๆ ทุกวัน แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดในวัยเยาว์ เพราะข้าในยามนี้ไม่คิดจะนำความสุขที่ตนเองมี ไปแลกกับความสุขที่ได้มาเพียงชั่วคราวแน่นอน” “อะไรคือ ความสุขเพียงชั่วคราว?” หมิงจิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังแบบง่าย ๆ ให้เจ้าได้รับรู้ และได้เห็นภาพเลยนะ” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็เอ