หลี่อวิ้นกุยแอบมองดวงหน้าของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้เขารู้ตัวแล้วว่าตนเองคิดเช่นไรกับนาง แต่ก็ดูเหมือนว่า นางหาได้คิดเช่นเดียวกันกับเขาไม่ ในสายตาของนาง...เขาก็คงไม่ต่างอันใดกับผู้ป่วยคนอื่น ๆ ที่เดินผ่านเข้ามาให้นางช่วยรักษา แล้วอีกไม่นานก็เดินหายออกไปจากชีวิตของนางเท่านั้น
หลี่อวิ้นกุยหลุบตาลงไปมองเศษสมุนไพรบนพื้น ก่อนจะคิดไปถึงทุกเหตุการณ์ และทุก ๆ การกระทำที่ผ่านมาระหว่างเขากับเมิ่งเจียงซิน แล้วเมื่อเขานึกไปถึงรอยยิ้ม คำพูด การดูแลเอาใจใส่ ความรู้สึกอบอุ่น และสัมผัสอันอ่อนโยนที่เขาได้รับมันมาจากนาง ถึงแม้ว่ายามนี้เขาจะได้เป็นเพียงแค่ผู้ป่วยคนหนึ่งในสายตาของนาง แต่เขาก็เป็นบุรุษคนแรกที่ได้ใกล้ชิดกับนางขนาดนี้มิใช่หรือ?
แต่ทว่า...พอหลี่อวิ้นกุยคิดได้ว่า หลังจากนี้ก็อาจจะมีบุรุษอื่นเข้ามาใกล้ชิดกับนาง จับมือนาง โอบกอดนาง ได้รับรอยยิ้ม รวมไปถึงได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเมิ่งเจียวซินแทนเขา!
 
หลี่อวิ้นกุยเมื่อกลับเข้ามาในห้องพัก เขาก็เดินไปนั่งลงบนเตียง ‘หากข้าโคจรลมปราณทะลวงผ่านจุดตันเถียน ตอนที่ซินซินเข้ามาตรวจสภาพร่างกายของข้า นางก็จะรับรู้ทันทีว่า...ยามนี้ร่างกายของข้าดีขึ้นมาก จนเกือบจะกลับมาเป็นปกติแล้วน่ะสิ แต่จะว่าไป...เมื่อครู่นางก็ดูเหมือนจะรู้’หลี่อวิ้นกุยก้มลงไปมองที่เตียงนอน ทุกค่ำคืนที่ผ่านมา เขากับเมิ่งเจียวซินล้วนนอนอยู่บนเตียงหลังนี้ร่วมกัน แต่ทว่า...คืนนี้! หลี่อวิ้นกุยดึงพลังออกมาสร้างเป็นลูกไฟมารบนฝ่ามือข้างขวา เมื่อได้ขนาดลูกไฟตามที่ต้องการ เขาก็ซัดฝ่ามือข้างนั้นเข้ามาที่บริเวณหน้าท้องของตนเองทันที “อึก! อ๊อก!!” หลี่อวิ้นกุยรีบหันหน้าไปทางหน้าต่าง เมื่อรับรู้ได้ถึงการพุ่งตัวเข้ามาขององครักษ์มารตนหนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดลอดไรฟันว่า “อย่าเข้ามา!!”
เมิ่งเจียวซินเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเรือน นางก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากอีกฝั่งหนึ่งว่า “คุณหนู คุณหนูเมิ่งเจ้าคะ นี่บ่าวนะเจ้าคะ ซุนเย่ผิงเองเจ้าค่ะ” “ข้าได้ยินแล้ว รอสักครู่นะ” แม้จะรู้สึกแปลกใจที่ซุนเย่ผิงกลับเรือนในเวลานี้ แล้วไหนจะการที่อีกฝ่ายเลือกเข้าเรือนจากทางประตูหน้าเช่นนี้อีก แต่เมิ่งเจียวซินก็ยอมดึงล็อคออก แล้วเปิดประตูให้กับอีกฝ่าย เมื่อบานประตูเปิดออกนอกจากซุนเย่ผิงแล้ว ยังมีสตรีอีกหนึ่งนาง สตรีนางนี้มีใบหน้าที่ถือว่างดงาม ชุดที่นางสวมใส่ก็ค่อยข้างที่จะหรูหรา “คุณหนูเจ้าคะ สตรีนางนี้มีนามว่า เจินจางลี่หรูเจ้าค่ะ นางเป็นสหายของบ่าว คือ พวกบ่าวได้ยินมาว่า...” เมิ่งเจียวซินเมื่อได้ยินนามของสตรีที่ยืนอยู่ด้านข้างซุนเย
เมื่อเดินเข้าไปในห้องพักของซุนเย่ผิง เมิ่งเจียวซินก็ได้สั่งให้เจ้าของห้องออกไปรอที่ห้องโถงก่อน แล้วหลังจากนั้นนางก็สั่งให้เจินจางลี่หรูนอนลงบนเตียง แต่ทว่า...อีกฝ่ายกลับพูดขึ้นมาว่า “คุณหนูเมิ่งเจ้าคะ คือ...คุณหนูเมิ่งอย่าเล่าเรื่องของข้าให้อาซุนฟังได้หรือไม่เจ้าคะ?” “ได้ ข้ารับปาก” “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้กล่าวอันใดต่อ สตรีตรงหน้าก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นนางก็ปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจากร่างกายจนหมดสิ้น “เหตุใดเจ้า...” เมิ่งเจียวซินมองรอยฟกช้ำ รอยขบกัด รอยนิ้วมือเป็นจ้ำ ๆ บนผิวหนังของร่างอรชรตรงหน้า แล้วไหนจะร่อยเขียวคล้ำเป็นแถบยาวราวกับโดนอะไรฟาดใส่มา ซึ่งมันปรากฎอยู่บนแผ่นหลังบอบบางของนางไม่ต่ำไปกว่าห้ารอย เมื่อเจินจางลี่หรูน
หลี่อวิ้นกุยขมวดคิ้วมองเมิ่งเจียวซินเดินออกจากห้องพักไป เมื่อครู่ตอนที่นางเปิดประตูเข้ามาหยิบของในห้อง เขาได้กลิ่นสาบของพวกปีศาจลอยตามนางเข้ามาด้วย ดูท่า...ปีศาจตนนี้ระยะเวลาในการบำเพ็ญเพียรคงยังน้อย หรือไม่ก็คงจะได้รับบาดเจ็บ จนไม่อาจดึงพลังมาใช้กลบกลิ่นสาบของตนลงได้ ‘หึ! ถึงขั้นพาพวกปีศาจกลับมาเรือนของผู้เป็นนายเลยหรือนี่’ ยามนี้ไม่เพียงแค่ความรู้สึกไม่พอใจ แต่หลี่อวิ้นกุยเริ่มคิดแล้วว่า เขาควรไว้ชีวิตบ่าวสตรีนางนี้ให้อยู่รับใช้เมิ่งเจียวซินต่อดีหรือไม่? หลังจากนั้นหลี่อวิ้นกุยจึงคอยรับฟังเสียงความเคลื่อนไหวจากภายนอกห้องต่ออีกสักพักแล้วเมื่อได้ยินสิ่งที่เมิ่งเจียวซินพูดคุยกับผู้ป่วย... เหมือนนางจะรู้แล้วว่า สตรีที่ตนเองกำลังให้การรักษาเป็นพวกปีศาจ แต่นางก็ยัง... ‘ซินซินเจ้าจะใจดีเกินไปแล้ว!’
หลี่อวิ้นกุยหันไปส่งสัญญาณเรียกจิ่นสือเข้ามาในห้องพัก “จิ่นสือ เดี๋ยวเจ้าจัดคนของเราสะกดรอยตามบ่าวสตรีกับสตรีปีศาจที่มาพร้อมกับนาง ข้าอยากรู้ว่าพวกนางกำลังทำอะไร และคิดที่จะทำอะไร?” “พ่ะย่ะค่ะ” “แล้วเรื่องที่ข้าสั่งให้ไปทำ ตอนนี้คืบหน้าไปถึงไหน?” “เรื่องสืบหาเบื้องหลังผู้ที่ลอบวางยาพิษพระองค์ แน่ชัดว่า...ผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือ องค์ชายใหญ่หลี่อวิ้นมู่แต่เรื่องที่พระองค์สงสัยเกี่ยวกับที่มาของความคิดนี้กับที่มาของยาพิษ ยามนี้พี่ใหญ่ช่วยตามสืบจากคนในตำหนักขององค์ชายใหญ่หลี่อวิ้นมู่ให้อยู่พ่ะย่ะค่ะ ส่วนเรื่องยาพิษ...กระหม่อมให้คนออกไปรวบรวมสมุนไพรพิษ ที่ต้องใช้สำหรับปรุงยาพิษค่ำคืนเหมันต์มาได้เกือบครบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ส่วนผู้ที่จะลงมือปรุงยาพิษให้กับเรา ทางพี่รองก็หาได้แล
“กุยกุย คำว่า ‘ครอบครัว’ สำหรับเจ้ามีความหมายว่าอย่างไร?” เมิ่งเจียวซินเอ่ยถามพร้อมกับสังเกตสีหน้าของเจ้าลูกกระรอกไปด้วย “ก็หมายถึงผู้ที่สืบสายเลือดเดียวกันอย่างเช่น ผู้เป็นบิดา มารดา บุตร และญาติพี่น้อง หรือไม่ก็คู่สามีภรรยาที่แต่งงานกัน” “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่นะ” จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็เดินไปหยิบกระดาษเปล่าสามแผ่น พร้อมกับพูกันสองด้าม หมึก และแท่นฝนหมึกกลับมาวางลงบนโต๊ะยาวกลางห้องเก็บสมุนไพร ซึ่งสิ่งที่เมิ่งเจียวซินกำลังจะวาด และจะเขียนให้เจ้าลูกกระรอกดูก็คือ แนวคิดที่นางได้ยินมาจากรายการวิทยุรายการหนึ่ง ซึ่งคำพูดและแนวคิดของดีเจท่านนั้น นางได้นำมาปรับใช้จนสามารถปลดล็อคความหมายของคำว่า‘คนในครอบครัว’ กับ‘คนสำคัญในชีวิต’ ให้กับนางได้ แล้วหลังจากที่นางได้รับการปลดล็อค นางก็รู้สึกว่าการมองโลกและการใช้ชีวิตของนางเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีข
“กุยกุยข้าไม่รู้หรอกนะว่า ครอบครัวของเจ้าเป็นเช่นไร แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้จักครอบครัวในอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นก็คือ ครอบครัวตามความรู้สึก” พอนางพูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็เห็นเมิ่งเจียวซินนำกระดาษแผ่นใหม่มาวาดวงกลมโดยไล่ระดับจากวงเล็กไปหาวงใหญ่ จำนวนสามวง โดยทั้งสามวงได้เรียงซ้อนกันอยู่ แล้วนางก็เขียนนามของตนเองลงไปตรงกลางของวงกลมวงเล็กด้านในสุด จากนั้นนางก็นำกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาวาดวงกลมที่เหมือนกับกระดาษแผ่นที่สอง แต่นางไม่ได้เขียนนามของตนเองลงไป กระดาษแผ่นที่สามจึงมีเพียงวงกลมที่ว่างเปล่า จำนวนสามวง หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินก็นำกระดาษแผ่นที่สามมาวางลงตรงหน้าเขา พร้อมกับพูกัน “ข้าเคยได้ยินแนวคิดเรื่องวงกลมคนสำคัญมาจากคนผู้หนึ่ง ซึ่งข้าได้นำมาปรับใช้กับคำว่า‘ครอบครัว’ ของตนเอง จะว่าอย่างไรดีล่ะ...ข้าเคยเห็นบางคนพยายามทำดีทุกอย่าง เพื่อไขว้คว้าความรักจากคนในครอบครัว แต่สุดท้า
เมิ่งเจียวซินเห็นเจ้าลูกกระรอกหันกลับมามองภาพวาดครอบครัวตามความรู้สึกของนาง ก่อนจะเงยใบหน้าที่คล้ายกับจะยังรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาจ้องหน้านาง จากนั้นเจ้าตัวก็อ้าปากราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่สุดท้ายก็สะบัดใบหน้ากลับไปจ้องภาพวาดครอบครัวตามความรู้สึกของเจ้าตัวอีกครั้ง เมื่อเห็นเช่นนั้น เมิ่งเจียวซินก็นึกไปถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “กุยกุย ข้ามีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้เจ้าฟัง ข้าเคยวาดวงกลมแบบนี้ให้กับเด็กสิบสองหนาวคนหนึ่ง... เด็กคนนั้นสูญเสียมารดาไปได้ไม่ถึงปี ผู้เป็นบิดาก็หนีไปแต่งงานสร้างครอบครัวกับสตรีคนใหม่ โดยทิ้งให้เด็กคนนั้นอยู่กับลูกแมวน้อยหนึ่งตัวในเรือนหลังเก่า นาน ๆ ครั้งผู้เป็นบิดาถึงจะนำเงิน และของกินของใช้เข้ามาให้ เด็กคนนั้นเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของผู้เป็นบิดาและมารดา ซึ่งญาติคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะฝั่งมารดาหรือบิดา หลังจากจ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเมิ่งเจียวซินก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ เพราะนางนึกไปถึงบทบรรยายในนิยายของอาหวง... ซึ่งเป็นช่วงที่หลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้รู้ตัวแล้วว่า ไม่อาจถอนยาพิษค่ำคืนเหมันต์ออกจากร่างกายได้ แต่เขาก็โชคดีที่ในระหว่างการเดินทางกลับมายังวังราชาปีศาจ เขาได้พบกับหมอท่านหนึ่ง ซึ่งอีกฝ่ายสามารถปรุงยาที่มีฤทธิ์ช่วยลดอาการเจ็บปวดจากยาพิษให้กับเขาได้ หลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้จึงเชิญหมอท่านนั้นเข้ามาพักที่ตำหนัก ในระหว่างที่เจ้าตัวลงมือปรุงยาให้กับเขา แต่ทว่าหมอท่านนั้นกลับถูกนักฆ่าลอบเข้ามาทำร้ายถึงในตำหนัก แล้วก่อนที่เจ้าตัวจะสิ้นใจจากไป ก็ได้มอบสูตรปรุงยาลดอาการเจ็บปวดจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ให้กับหลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้ โดยแลกกับการที่อีกฝ่ายจะต้องรับบุตรเพียงคนเดียวของเจ้าตัวเข้ามาอยู่ในความดูแล โดยในยามนั้นหลี่อวิ้นกุยพระเอกของนิยายเรื่องนี้ก็ได้ตกปา
เมิ่งเจียวซินพอเดินเข้าไปในห้องพักของหลี่อวิ้นกุย นางก็เลือกไปนั่งที่เก้าอี้ของชุดโต๊ะกลมกลางห้อง จากนั้นหลี่อวิ้นกุยก็ตามมาคุกเข่าทั้งสองข้างลงอยู่ตรงหน้านาง แล้วยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้เอ่ยห้าม อีกฝ่ายก็โน้มตัวเข้ามาโอบกอดช่วงเอวของนาง แล้วกล่าวว่า “ซินซิน ข้าขอโทษ...ข้าขอโทษที่ล่วงเกินเจ้าทั้งทางร่างกาย และทางวาจา ข้าขอโทษที่ตัดสินใจทำเรื่องต่าง ๆ โดยไม่ถามความสมัครใจของเจ้าก่อน แล้วข้าก็ขอโทษที่ยัดเยียดตัวเองให้กับเจ้าเช่นนั้น แต่ข้าต้องทำ เพราะข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ อย่างที่เจ้ารับรู้ไปเมื่อครู่...ทางวังได้ฤกษ์วันทำพิธีอาบแสงจันทร์ของข้ามาแล้ว ซึ่งมันก็เท่ากับว่า ได้ฤกษ์วันมงคลสมรสของข้ามาด้วย ชีวิตนี้ข้าก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่า จะมีเพียงหนึ่งภรรยา ซึ่งภรรยาของข้าก็ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น แล้วก็ด้วยเพราะคำพู
เมิ่งเจียวซินลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย หลังจากได้ยินคำตอบของหลี่อวิ้นกุย แต่ทว่าคำตอบต่อมาของอีกฝ่าย ทำให้นางแทบอยากจะหายไปจากตรงนี้! “ส่วนเรื่องพิธีอาบแสงจันทร์ ที่ลูกยินยอมเข้าทำพิธี ก็เพียงเพราะต้องการทำให้เสด็จพ่อ และคนอื่น ๆ สบายใจเท่านั้น ลูกหาได้สนใจเรื่องเพิ่มพลังหยางจากพิธีนั้นไม่ อีกอย่างพลังที่ลูกมีอยู่ในกายยามนี้ มันก็เพียงพอที่จะใช้ปกป้องคุ้มครองคนที่ลูกรักได้แล้ว นี่ยังไม่รวมวรยุทธ และความสามารถด้านอื่น ๆ ของลูกนะพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งลูกขอบอกกับเสด็จพ่อตามตรง หลังจากผ่านเหตุการณ์โดนวางยาพิษครั้งล่าสุด มันสอนให้ลูกรู้ว่า ไม่ควรทุ่มเวลาไปกับการเพิ่มฐานพลังในร่างกายเพียงอย่างเดียว เพราะยามที่เรียกใช้พลังไม่ได้ ลูกก็ไม่ต่างไปจากบุรุษมนุษย์ธรรมดา หลังจากนี้ลูกจึงคิดจะแบ่งเวลาให้กับการฝึกวรยุทธ และการฝึกความสามารถด้านอื่น ๆ เพิ่มพ่ะย่ะค่ะ แล้วที่จริงเมื่อครู่...หากคุณหน
หลังจากได้ยินคำพูดของสตรีตรงหน้า หลี่อวิ้นกุยก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะขยับเข้าไปถามนางใกล้ ๆ “ซินซิน เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ?” เมิ่งเจียวซินมองไปที่หลี่อวิ้นกุย ก่อนจะยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ข้าบอกว่า ข้ายินดีแต่งงานกับเจ้า” คงด้วยเพราะคำถามเมื่อครู่ของหลี่อวิ้นกุย จึงทำให้เมิ่งเจียวซินนึกไปถึงช่วงเวลาที่นางเผชิญหน้ากับโรคระบาดในโลกใบเดิม... โดยช่วงแรกที่โรคระบาดแพร่เข้ามาในประเทศ ยามนั้นผู้ป่วยทุกคนต้องแยกจากคนรัก แยกจากคนในครอบครัว แล้วต้องไปกักตัวตามสถานพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งสำหรับผู้ป่วยบางคนการแยกออกมากักตัวในครั้งนั้น มันคือ...การลาจากตลอดกาล ในช่วงเวลาสุดท้ายของผู้ป่วยบางคนนั้นไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เห็นหน้า หรือบอกลาคนที่ตัวเองรักเลยด้วยซ้ำ พอเมิ่งเจียวซินมองย้อนกลับมาที่เรื่องของนางกั
หลี่อวิ้นกุยจ้องมองตะกร้าใบใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ากลับขึ้นมามองเมิ่งเจียวซิน เมื่อคืนที่ไฟในห้องพักของนางไม่ดับ เป็นเพราะนางทำของที่อยู่ในตะกร้าให้เขาเช่นนั้นหรือ? ความรู้สึกหงุดหงิดใจที่ทำได้แค่เพียงเฝ้ามองห้องพักของนาง และความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกสตรีตรงหน้าทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขาเมื่อคืน ก็ดูเหมือนจะทุเลาลง แต่พอหลี่อวิ้นกุยนึกไปถึงองครักษ์ของโจวหลิวอิงที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก จนทำให้เขาไม่อาจลอบเข้าไปพูดคุยกับสตรีตรงหน้าได้ ถึงแม้ว่า...ในยามนี้จำนวนองครักษ์จะลดลงไปบ้างแล้ว เพราะส่วนหนึ่งต้องตามโจวหลิวอิงไปเข้าเฝ้าราชาปีศาจ ซึ่งที่จริงหลี่อวิ้นกุยได้วางแผนเอาไว้ว่า พอโจวหลิวอิงออกไปเข้าเฝ้าผู้เป็นบิดา ตัวเขาก็จะลอบเข้าไปหาเมิ่งเจียวซินในห้องพัก จากนั้นเขาก็จะ... แต่ในเมื่อคนที่หลี่อวิ้นกุยจะลอบเข้าไปหา ได้ออกมายืนอยู่ที่นี่กับเขาแล้ว
เมิ่งเจียวซินกัดริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ พร้อมกับกำมือที่อยู่ใต้ชายเสื้อทั้งสองข้างจนแน่น ในขณะที่ยืนมองหลี่อวิ้นกุยเดินห่างออกไปจากนางเรื่อย ๆ แม้ว่าภายในใจอยากจะกล่าวบางคำ และอยากจะเอ่ยรั้ง แต่ทว่า...การปล่อยให้ทุกอย่างลงเอยเช่นนี้ ปล่อยมือกันเสียตั้งแต่ในตอนนี้ มันก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับนางกับหลี่อวิ้นกุย แล้วพอเมิ่งเจียวซินดึงสายตาของตัวเองกลับมา นางก็เห็นว่า ยามนี้โจวหลิวอิงกับปิงหลงกำลังจ้องมองมาที่นาง เมิ่งเจียวซินจึงรีบสูดลมหายใจเข้าลึก ปรับอารมณ์ ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา จากนั้นนางก็เดินออกจากศาลา เพื่อไปกล่าวคำอวยพรคนทั้งคู่ รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในเรือนพักชั่วคราวด้วย เนื่องจากยามนี้ได้ล่วงเลยเข้าสู่วันแรกของปีใหม่แล้ว ‘วันแรกของปี!’ เมิ่งเจียวซินนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงรีบหันไปมองยังทิศทางที่
หลี่อวิ้นกุยกัดฟันกรอด แล้วรีบขยับตัวเข้าไปบังร่างกายของเมิ่งเจียวซินเอาไว้ คราแรกเขาคิดว่า ไม่เป็นไรหากเจ้านั่นทำเพียงได้แค่มอง...แต่พอหันกลับไปเห็นสายตา และท่าทีของหลี่อวิ้นหยางเมื่อครู่! ยานนี้หลี่อวิ้นกุยจวนเจียนจะหมดความอดทนเต็มทีแล้ว พอหันกลับมา...เขาก็ได้เห็นสายตาที่คล้ายกับกำลังรู้สึกสงสัยของเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยจึงได้แต่ข่มใจของตัวเอง ก่อนจะฝืนยกยิ้มให้กับนาง จากนั้นเขาก็หันไปถามโจวหลิวอิงว่า “ท่านอาหญิงโจว พวกท่านจะกลับเรือนแล้วหรือ?” “ใช่เพคะ แล้วนี่องค์ชายสามก็กำลังจะกลับตำหนักหรือเพคะ?” “ข้า...พวกท่านไม่อยู่ดูดอกไม้ไฟด้วยกันก่อนหรือ?” “กลับไปนั่งดูที่เรือนพักชั่วคราวก็เห็นเช่นกันเพคะ” ตอนนี้โจวหลิวอิงอยากจะพาเมิ่งเจียวซิน ตัวนางเอง และปิงหลงกลับเรือนพักชั่วครา
เมิ่งเจียวซินมองหลี่อวิ้นกุยที่กำลังแสดงท่าทีไม่พอใจขุนนางคนหนึ่ง เนื่องจากอีกฝ่ายได้เอ่ยพาดพิงมาถึงนาง แล้วในขณะนั้นโจวหลิวอิงก็ขยับเข้ามากระซิบบอกกับนางว่า ให้สังเกตสีหน้าขุนนางคนนั้น พอเมิ่งเจียวซินสังเกต...ก็เห็นว่า ยามนี้ใบหน้าของขุนนางคนนั้นซีดเผือด มีเหงื่อไหลซึมตามกรอบหน้า จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็ได้ยินโจวหลิวอิงอธิบายต่อว่า ตอนนี้หลี่อวิ้นกุยกำลังใช้พลังสายหนึ่งกดข่มให้ขุนนางคนนั้นต้องนั่งคุกเข่า แล้วยังใช้บรรยากาศกดดันที่มีเฉพาะในตัวของคนเผ่ามารโอบล้อมรอบตัวขุนนางคนนั้นเอาไว้ ซึ่งโจวหลิวอิงยังกล่าวติดตลกทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า หากหลี่อวิ้นกุยไม่ชิงลงมือตัดหน้า เมื่อครู่นางคงใช้พลังหักขา และฉีกปากปีศาจเสือตนนั้นไปแล้ว ผ่านไปสักพักเมิ่งเจียวซินก็ได้ยินราชาปีศาจสั่งให้ขุนนางที่กำลังถูกหลี่อวิ้นกุยเล่นงานอยู
หลี่อวิ้นกุยคิดจะใช้โอกาสในขณะที่ยังไม่มีเหล่าขุนนางเอ่ยถามอะไร ลอบหันไปมองทางเมิ่งเจียวซิน แต่ทว่าเหล่าขุนนางที่ลุกขึ้นตั้งคำถามกลับยืนบังสายตา จนเขาไม่เห็นแม้แต่ปลายเส้นผมของนาง หลี่อวิ้นกุยจึงได้แต่ดึงสติ และดึงสายตาของตัวเองกลับมา จดจ่อกับเหล่าขุนนางตรงหน้า&nb