“ส่วนคำว่า ‘คู่ครอง’ สำหรับข้าคือ คนที่ข้าจะครองคู่อยู่ร่วมกับคนผู้นั้นไปตลอดชีวิต คอยแบ่งปันทั้งความทุกข์และความสุข ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ยอมรับทั้งข้อดีและข้อเสียของกันได้ แล้วที่สำคัญจะต้องมีข้าเป็นคู่ครองเพียงหนึ่งเดียว เพราะข้าไม่คิดจะใช้สามีร่วมกับสตรีนางใด” พูดมาถึงตรงนี้ เมิ่งเจียวซินก็นึกได้ว่า...ในโลกใบนี้หาได้มีความเท่าเทียมระหว่างบุรุษกับสตรีดั่งโลกใบเดิมที่นางจากมา นางจึงกล่าวต่อว่า
“เจ้าฟังเมื่อครู่ เจ้าอาจจะมองว่าข้าเป็นสตรีที่ใจแคบ ซึ่งใช่! ข้าเป็นสตรีที่ใจแคบมากในเรื่องพวกนี้ และข้าก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า หากหาคนรักที่จะมาเป็นคู่ครองในแบบที่ข้าต้องการไม่ได้ ตัวข้าก็ไม่คิดที่จะแต่งงาน” แล้วนี่ก็คือหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ชีวิตในโลกใบเดิมของเมิ่งเจียวซินยังไม่มีแม้แต่คำว่า ‘แฟน’
เพราะถึงแม้ว่าชีวิตในโลกใบเดิมของนางจะมีบุรุษแวะเวียนเข้ามาทักทายอยู่บ่อยครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีผู้ใดทำให้เมิ่งเจี
เช้าวันรุ่งขึ้น วันนี้อาการของเจ้าลูกกระรอกดีขึ้นมาก สีหน้าของเจ้าตัวก็ดีกว่าทุกวันที่ผ่านมา และเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายดูเหมือนจะเริ่มกลับมาบ้างแล้วด้วย “ซินซิน วันนี้ข้าน่าจะตักข้าวกินเองได้แล้ว เจ้าส่งถ้วยข้าวต้มมาให้ข้าเถิด ส่วนตัวเจ้าก็ลงไปจัดการกับสำรับของตนเองได้เลย” “เจ้าแน่ใจหรือ?” “อืม...ข้าแน่ใจ” เมื่อได้รับคำยืนยัน เมิ่งเจียวซินจึงประคองถ้วยข้าวต้มวางลงบนฝ่ามือข้างซ้ายของเด็กหนุ่ม จากนั้นนางก็เห็นอีกฝ่ายยกมือข้างขวาขึ้นมาจับที่ช้อน ก่อนจะค่อย ๆ ตักข้าวต้มขึ้นไปที่ริมฝีปากของตนเอง ซึ่งในระหว่างนั้นมือของเจ้าลูกกระรอกก็เริ่มมีอาการสั่นเทา จนเข้าสู่คำที่สาม...ข้าวต้มในช้อนก็กระฉอกใส่เสื้อคลุมของเจ้าตัว พอเห็นเช่นนั้นเมิ่งเจียวซินจึงตัดสินใจยื่นมือเข้าไปจับช้อนออกมาจากมือของ
“แค่ก แค่ก แค่ก” หลังจากได้ยินเสียงไอของหมิงลู่ เมิ่งเจียวซินก็รีบดึงสติของตนเองกลับมา จากนั้นนางก็เริ่มทำการสอบถาม และตรวจดูอาการของชายหนุ่ม แล้วหลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินจึงพูดขึ้นว่า “พี่ชายหมิง ท่านน่าจะป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่เจ้าค่ะ หมิงจิวก็มีอาการคล้ายกับท่านเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ?” “ใช่ แต่อาการป่วยของนางหนักกว่าข้ามาก เพราะนางมีอาการปวดท้องร่วมด้วย เออ...แต่ข้าไม่มั่นใจนะว่า ที่นางปวดท้องจะเป็นเพราะว่านาง...” “เช่นนั้น พี่ชายหมิงนั่งรอข้าอยู่ตรงนี้สักครู่นะเจ้าคะ ข้าขอเข้าไปจัดยาและเตรียมของอีกเล็กน้อย แล้วเดี๋ยวข้าจะตามท่านไปตรวจดูอาการให้กับหมิงจิวที่เรือน” “ได้” เมิ่งเจียวซินเดินกลับเข้าไปในห้องพักก็เห็นเจ้าลูกกระรอกกำลังจ้องมองมาที่ต
หลี่อวิ้นกุยหยิบเอาคำพูดเมื่อครู่ของเมิ่งเจียวซินมานอนคิด เพราะคำว่า ‘คิดถึง’ ของนางเขาไม่รู้ว่า ความหมายของมันจะใช่ในแบบที่เขาคิดหรือไม่? หรือว่ามันจะต้องรู้สึกประมาณไหน? ถึงจะเพียงพอกับการพูดออกไปว่า ‘ข้าคิดถึงเจ้า’ คงเพราะในวัยเด็กเคยมีคนครัวในเรือนตระกูลเซียวถามเขาว่า ‘คุณชายเคยคิดถึงมารดาของท่านหรือไม่?’ ยามนั้นหลี่อวิ้นกุยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่เขาก็คิดในใจว่า...แม้แต่ภาพวาดใบหน้าของนางเขาก็ยังไม่เคยได้เห็นเลย แล้วเขาจะเอาสิ่งใดมาให้คิดถึงนางกัน ซึ่งในบางครั้งหลี่อวิ้นกุยก็ยังแอบคิดในใจว่า...แม้ผู้เป็นมารดาจะมีบุญคุณที่ให้ชีวิตนี้กับเขา แต่ชีวิตอันไร้ค่า เกิดมาแล้วไม่มีผู้ใดต้องการเช่นนี้! ตัวเขาก็หาได้ต้องการมันเช่นกัน!! และหากวันที่นางให้กำเนิดเขา แล้วเป็นตัวเขาที่ต้องตายจากไป! ท่านตากับท่านยาย และคนอื่น ๆ ในเรือนตระกูลเซียวจะเกลียดนาง รุมด่าทอนาง ขับไล่นางให้ไปตายแทนเขา เหมือนกับที่ตัวเขาโดนบ้างหร
แล้วเมื่อหมดระยะเวลาที่ต้องลงไปนั่งแช่ตัวในน้ำสมุนไพรล้างพิษ เมิ่งเจียวซินก็รีบลงมือจัดการช่วยดูแลเจ้าลูกกระรอกเหมือนกับสิบสี่คืนที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้นางเริ่มรู้สึกแล้วว่า อาการพลังและลมปราณปั่นป่วนของเด็กหนุ่มมันดูหนักหนากว่าที่นางคิดเอาไว้มาก เนื่องจากสภาพร่างกายของอีกฝ่ายมันดูไร้ซึ่งเรี่ยวแรง และสีหน้าของเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะเจ็บปวดยิ่งกว่าทุก ๆ คืนที่ผ่านมา ซึ่งคืนนี้แม้ว่าการพาเจ้าลูกกระรอกกลับเข้าไปนอนในห้องพักของนาง มันจะทุลักทุเลมากแค่ไหน แต่สุดท้ายเมิ่งเจียวซินก็สามารถพาอีกฝ่ายกลับเข้าไปนอนพักที่เตียงของนางได้สำเร็จ เมิ่งเจียวซินหลังจากออกมาจัดการเก็บกวาดทุกอย่างในรั้วไม้ไผ่เสร็จ นางก็รีบเดินกลับไปยังห้องพักของตนเองทันที จากนั้นนางก็ตรงเข้าไปดูอาการของเจ้าลูกกระรอกที่เตียง สีหน้าของเจ้าตัวในยามนี้ มันยังไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย นางจึงรีบจัดการถอดเสื้อคลุมกับเส
เมื่อจิ่นสือกลับเข้ามาในห้องพัก หลี่อวิ้นกุยก็ถามไถ่ถึงสถานการณ์ของอีกฝ่ายจนได้รู้ว่า... หลังจากที่จิ่นสือกับจิ่นตั้งพาคนที่เหลือหลอกล่อเหล่านักฆ่าออกห่างจากจุดที่เขาซ่อนตัวอยู่ จากนั้นจิ่นตั้งจึงสั่งให้จิ่นสือนำคนที่เหลืออยู่ทั้งหมดเดินทางไปหาสหายของเจ้าตัวที่เผ่าปีศาจเสือ ส่วนเจ้าตัวก็ลอบย้อนกลับมารับเขาที่ต้นไม้ใหญ่ แต่พอมาถึงจิ่นตั้งกลับพบเพียงคราบเลือดกับรอยเท้าใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นแทน จิ่นตั้งจึงคิดจะสะกดรอยตามรอยเท้าพวกนั้นไป แต่ในขณะนั้นพวกขององค์ชายใหญ่หลี่อวิ้นมู่ก็ไล่สะกดรอยตามจิ่นตั้งมาจนถึงบริเวณนั้นแล้วเช่นกัน จิ่นตั้งจึงตัดสินใจทำลายร่องรอยที่เจ้าตัวเพิ่งจะหาพบทั้งหมด จากนั้นก็รีบควบม้าพุ่งกลับเข้าไปทางฝั่งเขตแดนของเผ่ามารและเผ่าปีศาจทันที โดยหลังจากวันนั้นจิ่นตั้งกับจิ่นสือก็พาคนของเขาที่เหลืออยู่ทั้งหมดซ่อนตัวอยู่ในเผ่าปีศาจเสือ ซึ่งในระหว่างนั้นจิ่นตั้งก็ส่งคนลอบออกมาตามสืบข่าวของเขาเป็นระยะ แต่เมื่อเจ้าตัวนึก
เมิ่งเจียวซินเมื่อจับชีพจรและตรวจร่างกายของเจ้าลูกกระรอกเสร็จ นางก็รีบแต่งกายให้กับตนเอง ก่อนจะเดินไปตักน้ำใส่อ่างน้ำใบเล็กพร้อมกับหยิบผ้าสะอาดกลับมานั่งที่เตียง จากนั้นนางก็ค่อย ๆ ลงมือเช็ดคราบเลือดออก ก่อนจะไล่เช็ดตัวเพื่อระบายความร้อนให้กับเด็กหนุ่ม แม้ยามนี้ร่างกายของอีกฝ่ายจะเพียงแค่ร้อนผ่าว ไม่ได้ร้อนลวกเหมือนดั่งเมื่อคืนแล้ว แต่ชีพจรของเจ้าตัวกลับเต้นเร็วกว่าทุกวันที่ผ่านมามาก แล้วยิ่งยามนี้เด็กหนุ่มยังไม่ได้สติ มันจึงยิ่งทำให้เมิ่งเจียวซินอดที่จะรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้เลย หลังจากเช็ดตัวให้เรียบร้อยแล้ว เมิ่งเจียวซินจึงหันไปหยิบเสื้อตัวในมาสวมใส่ให้กับเด็กหนุ่ม แล้วในขณะที่นางหยิบเสื้อคลุมตัวนอกขึ้นมา นางก็เห็นคราบเลือดส่วนหนึ่งติดอยู่บนเสื้อคลุมตัวนั้น! แม้จะรู้สึกแปลกใจและสงสัย แต่เมิ่งเจียวซินก็ต้องรีบทิ้งความรู้สึกเหล่านั้นไป เพราะด้วยปริมาณของคราบเลือดมันบอกให้นางรู้ว่า เมื่อคืนเจ้าลูกกระรอกกระอักเลือดออกมาอีกไม่น้อย
วันนี้เจ้าลูกกระรอกขอลงมานั่งรับสำรับกับนางที่โต๊ะกลมกลางห้อง ซึ่งเมิ่งเจียวซินก็ยอมตามใจอีกฝ่าย เนื่องจากสามวันมานี้การทรงตัว การเคลื่อนไหวร่างกายของเจ้าตัวก็ได้กลับมาเป็นปกติดีแล้ว และนางก็ได้เปลี่ยนอาหารของเด็กหนุ่มจากข้าวต้มมาเป็นอาหารในสำรับแบบเดียวกันกับนางแล้วเช่นกัน แต่ทว่า...ยังไม่ทันที่เจ้าลูกกระรอกจะได้ลงมานั่งที่เก้าอี้ และนางก็เพิ่งจะตักอาหารเข้าปากได้เพียงแค่หนึ่งคำ เมิ่งเจียวซินก็ได้ยินเสียงเรียกนามของตนเองดังขึ้นจากทางด้านหน้าเรือน ซึ่งครั้งนี้นางได้ยินทั้งเสียงของสตรีและเสียงของบุรุษ แต่ฟังจากน้ำเสียงคล้ายกับว่าคนทั้งคู่กำลังเร่งรีบและร้อนรน เมิ่งเจียวซินจึงหันไปบอกกับเจ้าลูกกระรอกว่าให้อยู่แต่ในห้องพัก ส่วนนางก็รีบเดินออกไปหาพวกหมิงลู่ที่ประตูรั้วด้านหน้าเรือนทันที เมื่อบานประตูรั้วเปิดออกเมิ่งเจียวซินก็เห็นหมิงลู่ยืนอยู่หน้าประตูรั้ว ถั
ระหว่างที่รอคำตอบจากเด็กชาย เมิ่งเจียวซินก็เห็นหมิงลู่ก้มลงไปหยิบเงินของเจ้าตัวออกมาจากถุง แล้วในขณะที่หมิงลู่เงยหน้าขึ้นมามองทางพวกนาง เมิ่งเจียวซินจึงรีบส่ายหน้าให้กับอีกฝ่ายทันที “ข้าจะเข้าไปหาของป่ามาขาย แล้วข้าก็จะไปหารับจ้างทำงานตามโรงเตี๊ยมในตลาดด้วยขอรับ ข้ารับรองว่า...ไม่เกินห้าวัน ข้าจะนำเงินค่ารักษากับค่ายามาจ่ายให้คุณหนูเมิ่งได้แน่นอนขอรับ” เมิ่งเจียวซินมองสายตาที่แสดงให้เห็นถึงความซื่อตรงและความแน่วแน่ของเด็กชายตรงหน้า ก่อนที่นางจะเบนสายตาของตนเองไปมองทางปิงเหยา ซึ่งยามนี้อีกฝ่ายกำลังนั่งน้ำตาคลอมองมาที่นาง คงด้วยเพราะความทรงจำจากร่างนี้ที่เมิ่งเจียวซินได้รับมา สิ่งที่นางรับรู้เกี่ยวกับสองพี่น้องตรงหน้า ยามนี้มันจึงทำให้นางคิดอยากจะช่วยเหลืออีกฝ่าย... แล้วนางก็นึกไปถึงวิธีบางอย่างขึ้นมาได้&nbs
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้า แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อพักสายตาจากการนั่งอ่านรายงานมาครึ่งค่อนวัน จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเรื่องของพระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมย... เมื่อเช้าหลังจากหลี่อวิ้นกุยกลับเข้ามาในห้องตำรา เขาก็รีบส่งองครักษ์เงาไปติดตามดูทุกความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นเหมย รวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในตำหนักของเด็กหญิงด้วย ในอดีตที่ผ่านมา อาจจะด้วยเพราะหลี่อวิ้นกุยมองว่า พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยมีสายเลือดฝั่งมารดาของเขาด้วย เขาจึงพยายามอดทน และไว้หน้า ยามที่คนทั้งคู่พยายามเข้าหา เพราะต้องการผลประโยชน์จากเขา แต่หลังจากที่คนทั้งคู่มีส่วนร่วมในการลอบวางยาพิษ และลอบทำร้ายหลี่อวิ้นกุยครั้งล่าสุด เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้า หรืออดทนต่อการกระทำของคนทั้งคู่อีก หากไม่เพราะคำพูด และคำขอของเมิ่งเจียวซิน ไม่แน่ยามนี้แม้แต่ลมหายใจ...พระสนมเซียวกับหลี่อวิ้นเหมยก็อาจจะไม่มีเหลือแล้วกระมัง
พอเดินเข้าไปในห้องโถง เมิ่งเจียวซินก็เห็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่งหันมาส่งยิ้ม แล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง “อวิ้นเหมยน้อมทักพี่สาม” หลี่อวิ้นเหมยพูดพร้อมกับทำความเคารพหลี่อวิ้นกุย “ถวายพระพรองค์หญิงห้า หม่อมฉันเมิ่งเจียวซินเพคะ” เมิ่งเจียวซินทำความเคารพเด็กหญิงตรงหน้า “คุณหนูเมิ่งไม่ต้องมากพิธีกับ...” หลี่อวิ้นเหมยหยุดพูดกลางคัน เพราะในขณะที่เด็กหญิงเดินเข้าไปหมายจะจับมือเมิ่งเจียวซิน หลี่อวิ้นกุยที่ยืนอยู่ข้างกายสตรีตรงหน้า ก็เอื้อมมาจับไหล่แล้วดึงฝ่ายตรงข้ามให้ถอยห่าง “คุณหนูเมิ่งเป็นเหมือนกับข้า ที่ไม่ค่อยชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัว” “ข้า...เป็นข้าที่คิดน้อยเกินไป ขอพี่สามกับคุณหนูเมิ่งได้โปรดอย่าถือสา” &n
ผ่านไปเกือบสองเค่อที่ภายในห้องพักปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงขีดเขียนพู่กัน กับเสียงลมหายใจของสองคนที่อยู่ในนั้น แล้วในขณะที่ความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นกับคนทั้งสองในห้อง เสียงของฝูกงกงก็ดังแว่วเข้ามาว่า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงห้าหลี่อวิ้นเหมยมาขอเข้าพบพระองค์ และขอเข้าเยี่ยมว่าที่พระชายา ยามนี้องค์หญิงห้านั่งรออยู่ที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ” “ไปบอกองค์หญิงห้า วันนี้ข้ากับว่าที่พระชายาไม่สะดวก...” ตอบมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วหันไปมองรอยแดงบนต้นคอของเมิ่งเจียวซิน ยามนี้ร่องรอยจากฝีมือของเขาได้จางหายไปเกือบหมดแล้ว หลี่อวิ้นกุยจึงเอ่ยถามเมิ่งเจียวซินว่า “ซินซิน พรุ่งนี้เจ้าสะดวกใจให้น้องห้าเข้าพบหรือไม่?” “สะดวก”
เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นมามองหลี่อวิ้นกุย นางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ไม่ทันได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ อีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นมาต่อว่า “เรื่องยาบรรเทาอาการจากยาพิษค่ำคืนเหมันต์ ก็อย่างที่ข้าเคยรายงานผลให้เจ้าฟังว่า ยาของเจ้าบรรเทาอาการจากยาพิษได้ดีมาก ซึ่งตอนนี้ยาที่เจ้าให้ข้านำมาทดลองได้หมดจากร้านขายยา ที่ข้าให้คนนำไปปล่อยได้สักพักแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ที่มียาพิษค่ำคืนเหมันต์อยู่ในกาย ก็เริ่มส่งคนไปตะเวนหาซื้อยา บางคนถึงขั้นจ้างคนไปตะเวนหาผู้ที่ปรุงยาตัวนี้ขึ้นมาแล้วด้วย ซินซิน ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า หากข้าจะขอสูตรยาตัวนี้จากเจ้ามาปรุงขาย เจ้าจะสะดวกใจหรือไม่? ที่ข้าถามเช่นนี้ เพราะตอนนี้ข้ามีทั้งสถานที่ ผู้ที่มีความสามารถในการปรุงยา รวมไปถึงแหล่งหาสมุนไพรที่จะใช้ปรุง ซึ่งกำไรได้จากการขายยา ข้าจะยกให้เจ้าทั้งหมด แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่า ส
หลังจากนั้นบุรุษไร้ยางอายก็เดินออกไปจากห้องพักของเมิ่งเจียวซิน ผ่านไปไม่ถึงสองเค่อหลี่อวิ้นกุยก็กลับเข้ามาพร้อมกับเหล่าขันที และองครักษ์สตรีทั้งสองของนาง โดยผู้คนเหล่านั้นต่างก็ช่วยกันทยอยขนโต๊ะทำงาน หนังสือ หีบเอกสาร แท่นวางพู่กัน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับเขียนอื่น ๆ เข้ามาวางในห้องพักของนาง เมิ่งเจียวซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่อันลี่กับอันเหมยยินยอมให้หลี่อวิ้นกุยทำเช่นนี้ได้ แล้วยังช่วยเหล่าขันทีทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่แม้แต่จะเอ่ยคัดค้าน หรือพยายามเข้ามาเกลี่ยกล่อมนาง แล้วในระหว่างที่ผู้คนช่วยกันทยอยขนสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา เมิ่งเจียวซินก็รับรู้ได้ถึงสายตาของสององครักษ์สตรีที่เหลือบมองมาทางนางอยู่บ่อยครั้ง พอหันกลับไปมอง...แล้วเห็นสีหน้า และท่าทีของคนทั้งสอง นางก็พอจะเดาได้ทันทีว่า คนทั้งคู่ต้องการให้นางทำสิ่งใด แต่เพราะเป็นตัวนางเองที่เอ่ยปากอนุญาต ยามนี้เมิ่งเจียวซินจึงทำได้เพ
รุ่งเช้า เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมา บุรุษที่นอนอยู่ข้างกายนางทั้งคืนได้แอบออกจากห้องพักไปแล้ว โดยหลี่อวิ้นกุยได้หยิบเอาชุดที่ขาดวิ่นของนางติดมือออกไปด้วย หลังจากเมิ่งเจียวซินจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็เดินมานั่งลงที่หน้ากระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นนางก็จัดแต่งทรงที่สามารถปล่อยผมลงมาครึ่งศีรษะ แล้วเดินไปรื้อหาอาภรณ์ที่คอตั้ง หรือคอสูงมาสวมใส่ แต่ไม่ว่าจะสวมใส่อาภรณ์ที่คอสูงขนาดไหน อย่างไรมันก็ไม่สามารถปกปิดรอยแดงช้ำ ที่ต้นคอของนางได้หมดทุกรอยอยู่ดี “เห็นทีข้าคงต้องแกล้งป่วยสักสามวัน!” เมิ่งเจียวซินนั่งวางแผนแกล้งป่วยให้กับตัวเอง พอคิดออก...นางก็รีบไปเอากลอนที่ประตูห้องพักลง จากนั้นจึงเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับดึงผ้าขึ้นมาห่มจนถึงปลายคาง ตอนนี้เมิ่งเจียวซินรู้สึกว่า โชคดีที่นางขอความเป็นส่วนตัวในห้องพัก
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นกุยก็หยุด แล้วขยับเข้าไปนั่งพิงหัวเตียง จากนั้นก็ดึงสตรีข้างกายให้ลงมาซบที่แผงอกของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเส้นผมนุ่ม พร้อมกับเล่าต่อว่า “ซินซิน การที่ข้าต้องการปลดปีศาจทุกตนในตระกูลเฉินออกจากราชการ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องความแค้นส่วนตัว แต่อีกส่วนก็เพราะตระกูลเฉินต่อหน้าทำเป็นสรรเสริญราชาปีศาจ แต่ลับหลังกลับคอยยุแยงปีศาจเผ่าอื่น ๆ ให้กระด้างกระเดื่องต่อการปกครองของคนเผ่ามาร แล้วหลังจากที่ข้าส่งคนไปคอยติดตาม เพื่อหาหลักฐานการกระทำผิดเพิ่มเติม ข้าก็ได้รู้ว่า ปีศาจตระกูลนี้ได้ลักลอบแลกเปลี่ยนอัญมณีต้องห้าม และยังมีความผิดซุกซ่อนอยู่อีกหลายอย่าง แต่...ถึงแม้ยามนี้จะมีหลักฐานเพียงพอให้เอาผิด ทว่าการที่จะปลดขุนนางระดับสูงออกจากตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เพราะมันเชื่อมโยงไปถึงขั้วอำนาจแล้วอีกอย่างไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะมีการแต่งตั้งที่มีผลต่อขั้วอำนาจไปแล้วถึงสองครั้ง
เมิ่งเจียวซินหลังจากต้องนั่งกดข่มความรู้สึกเจ็บ และข่มกลั้นความรู้สึกอาย จนการทายาที่ยาวนานสิ้นสุดลงไปได้ พอสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จ นางก็สังเกตเห็นว่า หลี่อวิ้นกุยยังคงนั่งมองมาที่รอยแดงบนต้นคอของนาง แล้วด้วยสีหน้า และสายตาของเจ้าตัว ทำให้นางรู้ว่า อีกฝ่ายยังรู้สึกผิดกับเรื่องที่เพิ่งผ่านมา เมื่อฝ่ายตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมา แล้วเห็นว่า นางกำลังจ้องมองอยู่...เจ้าตัวก็รีบก้มหน้า หลบตา ซึ่งในขณะนั้นเมิ่งเจียวซินก็สังเกตเห็นว่า ริมฝีปากของหลี่อวิ้นกุยยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา นางจึงกล่าวว่า “กุยกุย เงยหน้าขึ้นมา” พอเห็นบุรุษตรงหน้ายอมทำตามที่นางบอก เมิ่งเจียวซินจึงขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะจับปลายคางของหลี่อวิ้นกุยเอาไว้ แล้วเริ่มลงมือเช็ดคราบเลือด จากนั้นบาดแผลขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาของนาง... แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้ดีว่า ร่างกายของหลี่
หลี่อวิ้นกุยเงยหน้าขึ้นมองเมิ่งเจียวซิน เขาอยากดึงนางเข้ามาโอบกอด แต่ก็ไม่กล้า...จึงเอ่ยถามเสียงสั่นว่า “ซินซิน ข้า...ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้อยาก...” หลี่อวิ้นกุยพูดต่อไม่ออก เพราะถึงแม้เขาจะไร้ซึ่งสติ แต่ทุกสิ่งที่เขาทำกับเมิ่งเจียวซินล้วนเกิดขึ้นจากความปรารถนาที่ซุกซ่อนอยู่ภายในใจทั้งนั้น โชคดีที่เสียงร้องไห้ของนางหยุดเขาเอาไว้ได้ทัน ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด หากเขาจะแก้ตัวว่า...มันเกิดขึ้นเพราะยา จึงกลายเป็นเรื่องน่าขัน ยามนี้หลี่อวิ้นกุยรู้สึกหวาดกลัว เขากลัวเมิ่งเจียวซินจะเลิกให้ความรัก เลิกไว้ใจ และเลิกเชื่อใจกัน “ซินซิน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าจะตีข้า จะโกรธ หรือจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ แต่เจ้า...อย่าเลิกรักข้า อย่าเกลียดข้าได้หรือไม่?” เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นไปมองหลี่อวิ้นกุย ยามนี้อีกฝ่ายกำลังนั่งคุกเข่าน้ำต