เมิ่งเจียวซินล้มตัวลงไปนอน โดยมีลูกกระรอกน้อยนอนซบอยู่บนบ่าข้างขวาของนาง ซึ่งนางก็ยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง ‘ยามนี้เท่ากับว่า...ข้าสามารถคลายข้อสงสัยเรื่องที่พระเอกของนิยายเรื่องนี้เป็นผู้ฆ่าบิดาของตนเองจริงหรือไม่ออกมาได้แล้ว แต่ก็ยังมีเพียงข้าที่เลิกสงสัยในตัวหลี่อวิ้นกุยแล้ว เช่นนั้นจะถือว่าข้าทำภารกิจที่ห้าสำเร็จหรือไม่นะ?’ ‘แต่...ภารกิจทุกข้อที่ได้รับมา ล้วนมุ่งเน้นให้ข้าทำเพื่อหลี่อวิ้นกุยทั้งสิ้นเช่นนั้นสิ่งที่ระบบต้องการก็คงไม่ใช่เพียงแค่ข้าที่คลายความสงสัย แต่คงจะหมายถึงคนอื่น ๆ ในโลกใบนี้ด้วยเป็นแน่’ยามนี้แม้ว่าเมิ่งเจียวซินจะหาคำตอบบางอย่างให้กับตัวเองได้แล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่านางจะเจอเข้ากับปัญหาที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ‘แล้วข้าควรจะทำอย่างไร...ให้คืนนั้นหลี่อวิ้นกุยไม่เข้าไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาดีล่ะ?’
ซึ่งหลังจากจัดเตรียมสำรับในห้องพักเสร็จ เจ้าลูกกระรอกก็เดินออกมาจากฉากกั้นด้วยร่างมนุษย์พอดี เมิ่งเจียวซินกับเด็กหนุ่มจึงนั่งรับสำรับเช้าร่วมกัน โดยเมิ่งเจียวซินได้บอกให้เด็กหนุ่มรับอาหารให้มากขึ้นอีกหน่อย เนื่องจากในช่วงเที่ยงเจ้าตัวจะไม่สามารถกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ เพื่อเข้าร่วมรับสำรับกับพวกนางได้ ซึ่งอีกฝ่ายก็อาจจะได้กินเพียงขนมกับผลไม้เท่านั้น แล้วหลังจากรับสำรับเช้าเสร็จ คนทั้งสองก็นั่งอ่านตำราด้วยกันที่โต๊ะกลมกลางห้อง จนเวลาผ่านล่วงเลยไปได้สักพัก คนทั้งสองก็ได้ยินเสียงเรียกนามของเมิ่งเจียวซินดังขึ้นมาจากด้านหน้าเรือน เมิ่งเจียวซินเงยหน้าขึ้นไปมองเด็กหนุ่มฝั่งตรงข้าม ซึ่งยามนี้เจ้าตัวก็ได้ลุกแล้วเดินออกไปนั่งเปลี่ยนร่างที่เตียงนอน เพียงไม่นานลูกกระรอกตัวน้อยก็มุดออกมาจากชุดคลุมบุรุษ เมื่อเห็นเช่นนั้นเมิ่งเจียวซินจึงลุกออกจากเก้าอี้แล้วย่อตัวลงไปนั่งยอง ๆ กับพื้น ก่อนจะยื่นมือไปให้เจ้าตัวเล็กไต่ขึ้นมาเกาะอยู่บนไหล่ข
เมิ่งเจียวซินแม้จะยังสลัดเรื่องที่พูดคุยกับเจ้าลูกกระรอกออกจากความคิดของตนเองไม่ได้ แต่เมื่อเห็นหมิงจิวเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าและท่าทางแปลก ๆ มันก็ทำให้นางเริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา หรือว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาทันได้ยินเสียงพูดคุยของเจ้าตัวเล็กเมื่อครู่ “เจียวซิน ในเมื่อยามนี้เราสองคนเป็นสหายกันแล้ว ข้าขอพูดอะไรกับเจ้าตรง ๆ ได้หรือไม่?” “อืม...ได้สิ” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็รู้สึกเป็นกังวลมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะคาดเดาได้ว่า เจ้าลูกกระรอกเป็นปีศาจ เพราะถึงแม้ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่จะรับเรื่องที่พวกปีศาจกับพวกมารแฝงตัวเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกมนุษย์ได้แล้ว แต่ก็ยังมีมนุษย์ส่วนไม่น้อยเลยที่ยังคงแบ่งแยก และต่อต้านเรื่องนี้อยู่ “เจ้าปักปิ่นปีนี้ใช่หรือไม่?”
เมิ่งเจียวซินถอนหายใจออกมาเบา ๆ หนึ่งครั้ง เมื่อเห็นว่าหมิงจิวยังคงพยายามพูดโน้มน้าวใจของนางไม่หยุด นางจึงตัดสินใจกล่าวสิ่งที่คิดออกมาทันที “หมิงจิว ข้าขอพูดกับเจ้าตรง ๆ นะ เรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ แล้วอย่างที่ข้าบอกกับเจ้าไปเมื่อครู่...ข้ากับพี่ชายหมิงพูดคุยกันยังไม่ถึงห้าครั้งเลยด้วยซ้ำ ที่สำคัญก็เหลืออีกเกือบสองเดือนข้าถึงจะปักปิ่น และหากปักปิ่นแล้ว ก็ใช่ว่าข้าจะต้องแต่งงานทันทีเลยมิใช่หรือ?” “ข้า...” “ข้าเข้าใจในความหวังดีของเจ้านะหมิงจิว แต่ข้าขอให้มันเป็นเรื่องของภายภาคหน้า ตอนนี้ข้ายังไม่อยากคิดเรื่องคู่ครอง” “อืม...ข้าขอโทษ ข้าเข้าใจแล้ว แต่เจียวซินหากวันไหนเจ้าคิดเรื่องคู่ครอง เจ้าช่วยรับพี่ชายของข้าไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกแรก ๆ ได้หรือไม่?” เมื่อเห็นว่าตน
เมื่อหาข้อสรุปให้กับตนเองได้แล้ว เมิ่งเจียวซินจึงปรับน้ำเสียงของนางให้อ่อนโยนลง ก่อนจะกล่าว “กุยกุยฟังข้านะ ข้าไม่รู้และข้าก็ไม่เข้าใจด้วยว่า อะไรทำให้เจ้าคิดไปว่าการที่สตรีนางหนึ่งส่งยิ้มให้กับบุรุษเป็นการกระทำที่ไร้ยางอาย เพราะสำหรับข้ารอยยิ้มเป็นเพียงการแสดงความรู้สึก แล้วในบางครั้งข้าก็ใช้การส่งยิ้มแทนการสื่อสาร เพราะการที่ข้าส่งยิ้มให้กับผู้อื่น บางครั้งมันช่วยให้ข้าได้สิ่งในที่ตัวเองต้องการ แล้วในบางครั้งมันก็ยังช่วยให้ข้าสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย” “เจ้าใช้การส่งยิ้มแทนการสื่อสารเช่นนั้นหรือ?” “ใช่ เจ้าดูนี่นะ” กล่าวจบ เมิ่งเจียวซินก็ยิ้มแบบไม่ถึงดวงตาให้เด็กหนุ่มดู “ยิ้มแบบนี้ ข้าเรียกว่าเป็นการยิ้มผูกมิตร ข้ามักจะใช้ในยามที่ข้าพบเจอกับผู้อื่นเป็นครั้งแรก คล้ายกับการเปิดทางเพื่อให้ตัวข้าได้เข้าไปพูดคุย และทำความรู
“เจ้านี่ช่าง!” หลี่อวิ้นกุยยามนี้ทั้งรู้สึกโมโห ทั้งเสียหน้า และรู้สึกอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากเป็นสตรีนางอื่นมาทำกับเขาแบบนี้ เขารับรองได้เลยว่า...สตรีนางนั้นไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ยืนหายใจต่อ แต่พอเป็น... “ซินซิน เจ้าห้ามยิ้มแบบเมื่อครู่ให้ผู้อื่นเห็นเด็ดขาด โดยเฉพาะกับบุรุษหน้าเหม็นพวกนั้น” หลี่อวิ้นกุยพยายามปรับลมหายใจของตัวเองขณะกล่าว แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย “เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?” “ข้ารู้แล้ว ข้าก็เพิ่งจะเคยลองยิ้มแบบนี้เป็นครั้งแรก แล้วก็ยิ้มให้กับเจ้าเป็นคนแรกด้วย แต่...ใบหน้ากับใบหูของเจ้ายังคงแดงอยู่เลยนะ” “ซินซิน...เจ้านี่ช่างน่าตายเสียจริง!” หลี่อวิ้นกุยมองสตรีที่ยังคงหัวเราะใส่เขาไม่หยุดอย่างอ่อนใจ
เมื่อกลับเข้ามาในห้องพัก เมิ่งเจียวซินก็ขอตัวออกไปจัดการดูแลตัวเองที่ห้องน้ำด้านหลังเรือน หลังจากจัดการดูแลตัวเองเสร็จ นางก็กลับเข้ามาให้ห้องพร้อมกับเสื้อคลุมบุรุษตัวใหญ่หนึ่งตัว “กุยกุยหลังจากเจ้าจัดการดูแลตัวเองเสร็จแล้ว เจ้าก็ใส่เสื้อคลุมตัวนี้เพียงแค่ตัวเดียวนะ” หลี่อวิ้นกุยทำเพียงพยักหน้า จากนั้นเขาก็เข้าไปรับเสื้อคลุมจากมือของเมิ่งเจียวซิน ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องพักไป เมิ่งเจียวซินเมื่อเห็นว่าเจ้าลูกกระรอกถอยออกจากห้องไปแล้ว นางจึงเดินเข้าไปเตรียมผ้าซับน้ำ ผ้าห่มผืนบาง ชุดคลุม และชุดบุรุษไว้ให้กับเด็กหนุ่มอย่างละหนึ่งชุด เพื่อให้เจ้าตัวไว้ใช้เปลี่ยนหลังจากลงไปแช่สมุนไพรล้างพิษเสร็จ จากนั้นนางก็ยังแอบเตรียมกระบอกไม้ไผ่สำหรับใช้ถ่ายเบา กระโถน ผ้าซับน้ำ และผ้าห่มผืนบางเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งผืน เผื่อเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน &n
เมิ่งเจียวซินมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความเข้าใจ ที่ผ่านมาอีกฝ่ายพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดที่ได้รับจากยาพิษ โดยที่เจ้าตัวไม่เคยแม้แต่จะฟูมฟายหรือแสดงอาการสิ้นหวังออกมาให้นางได้เห็นเลยสักครั้ง เพียงเท่านี้นางก็แอบชื่นชมเด็กหนุ่มในใจมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างไรเจ้าลูกกระรอกในสายตาของเมิ่งเจียวซินก็ยังคงเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มวัยสิบสี่หนาวเท่านั้นเอง แม้ในโลกใบนี้จะผลักดันให้เด็กหนุ่มและเด็กสาวเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เร็วกว่าโลกใบเดิมของนางมากแค่ไหน แต่การที่เด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องเผชิญหน้ากับการถูกวางยาพิษที่หมายจะทำลายชีวิตของเจ้าตัว ซึ่งนี่ก็ยังนับไม่รวมไปเรื่องที่ว่า...ผู้ใดเป็นผู้วางยาพิษเจ้าลูกกระรอกเลยนะ เนื่องจากในครั้งแรกที่เมิ่งเจียวซินได้พูดคุยกับเด็กหนุ่มเกี่ยวกับเรื่องยาพิษในร่างกาย ยามนั้นนางสัมผัสได้ถึงรังสีฆ่าฟันที่แผ่ออกมาจากเจ้าตัว แล้วไหนจะสีหน้าและสายตาที่แสดงออกมาให้นางได้รู้ว่า อีกฝ่ายกำลังรู้สึกเจ็บปวดและเคียดแค้นผู้ที่วางยาพิษ
หลังจากบอกเจ้าลูกกระรอกให้ออกเดินทางกลับไปหาครอบครัวในวันพรุ่งนี้เช้า เมิ่งเจียวซินก็แอบรู้สึกเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้ารวมไปถึงรองเท้าที่เจ้าตัวจะใช้สวมใส่ยามออกเดินทาง เพราะนางไม่อาจพาอีกฝ่ายออกไปหาซื้อในตลาดอย่างที่นัดกันเอาไว้ได้แล้ว ดังนั้นก็เหลือเพียงต้องหยิบยืมของเมิ่งเจียวฉือไปใช้ก่อนเท่านั้น แล้วในขณะที่นางกำลังคิดไม่ตกว่า จะหาทางหลบจูมี่กับซุนเย่ผิงเข้ามาหาของให้อีกฝ่ายได้อย่างไร ซุนเย่ผิงก็หยิบยื่นโอกาสมาให้ด้วยการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ซึ่งในยามนั้นเมิ่งเจียวซินมั่นใจไปถึงแปดในสิบส่วนเลยว่า เจ้าตัวน่าจะต้องการขอออกไปข้างนอก นางจึงรีบเล่นตามน้ำไปกับซุนเย่ผิงทันที แล้วก็ด้วยเพราะการขอออกไปข้างนอกของซุนเย่ผิง ทำให้นางฉวยโอกาสจัดการเรื่องอาหารมื้อเย็นให้กับเจ้าลูกกระรอกไปได้ด้วย ซึ่งพอเหลือเพียงแค่ตัวนางกับจูมี่ เมิ่งเจียวซินก็รีบใช้ข้ออ้าง อย่างเรื่องการอยากให้อีกฝ่ายไปพักผ่อน ซึ่งกว่าที่นางจะส่งจูมี่เข้าห้องพักไปได้...
เมิ่งเจียวซินเดินออกมาถึงห้องโถง คนขับเกวียนกับบุรุษที่มาด้วยกันก็ได้ลำเลียงตะกร้าของฝากเสร็จพอดี นางจึงเดินไปหาคนทั้งคู่ เพื่อจ่ายค่าแรง แต่ทว่าจูมี่ก็รีบขยับเข้ามาขวาง เพราะเจ้าตัวได้จ่ายค่าจ้างพร้อมกับค่าแรงที่ช่วยยกของไปแล้ว เมื่อรู้เช่นนั้นนางจึงเดินนำจูมี่ออกไปส่งบุรุษทั้งสองที่ประตูรั้วด้านหน้าเรือน ในขณะที่ยืนมองเกวียนขับออกไป พวกนางก็เห็นซุนเย่ผิงวิ่งสวนเข้ามาหา จูมี่จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายว่า “อาซุนเจ้าไปไหนมา?” “ข้า... คือ ข้าไป...” แม้เมิ่งเจียวซินจะรู้สึกแปลกใจ...ซุนเย่ผิงรู้ได้เช่นไรว่าจูมี่กลับมาแล้ว? แต่พอได้เห็นท่าทีละล่ำละลักคิดหาคำตอบไม่ทันของอีกฝ่าย นางจึงกล่าวสิ่งที่ตนช่วยคิดแก้ต่างแทนเจ้าตัวเอาไว้เมื่อครู่ออกมา “พอดี
หลี่อวิ้นกุยนั่งปรับอารมณ์ตัวเองอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็หันไปส่งสัญญาณเรียกจิ่นสือเข้ามาสั่งการ ทว่าผู้ที่เข้ามารับคำสั่งหาได้มีเพียงแค่จิ่นสือ แต่ยังมีจิ่นตั้งที่เข้ามาพร้อมกับผู้เป็นน้องชายด้วย หลังจากสอบถามหลี่อวิ้นกุยก็ได้รู้ว่า จิ่นสือส่งสารไปบอกจิ่นตั้งเรื่องที่เขาสั่งย้ายเจ้าตัวไปเป็นองครักษ์เงาให้กับเมิ่งเจียวซิน จิ่นตั้งจึงรีบออกเดินทางมาเป็นองครักษ์ข้างกายของเขาแทนผู้เป็นน้องชายต่อทันที ซึ่งจิ่นตั้งเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมื่อเช้านี้ และกำลังหาจังหวะเข้ามารายงานตัวกับเขาอยู่ แล้วเมื่อได้รับสัญญาณเรียก...จิ่นตั้งเลยตามผู้เป็นน้องชายเข้ามาด้วย จากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มรายงานเรื่องที่เขาสั่งให้ไปทำ... เรื่องการแก้แค้น...หลี่อวิ้นกุยได้เลือกทำตามที่เมิ่งเจียวซินเคยขอ โดยเริ่มจากการส่งคนไปสืบหาข้อมูลให้แน่ชัดก่อน จากนั้นเขาก็เลือกลงมือเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง และมีส่วนร่วมกับการวางยาพิษเขาครั้งล่าสุดจริง ๆ เท่านั้น ซึ่งยามนี้จิ่นตั
เมิ่งเจียวซินนอนส่งมอบพลังหยินให้กับเจ้าลูกกระรอก ซึ่งภายในใจของนางยังคงมีความรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับท่าทีของเด็กหนุ่มติดค้างอยู่ เนื่องจากวันนี้ทั้งวันเจ้าตัวพยายามแย่งงานจากนางไปทำแทบจะทุกอย่าง แล้วก็ด้วยเพราะความอยากทำงานมาก ๆ ของอีกฝ่าย ตอนนี้ชุดสมุนไพร และยารักษาโรคทั่วไปที่นางตั้งใจจะจัดเตรียมให้กับเจ้าตัว รวมไปถึงผู้คนรอบกายนางได้ถูกจัดใส่ห่อรอที่จะส่งมอบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตลอดทั้งวันเมิ่งเจียวซินก็พยายามเอ่ยถามเด็กหนุ่มว่าเป็นอะไร แต่ทว่าเจ้าตัวก็ใช้ความเงียบ หรือไม่ก็มักจะเอ่ยของานจากนางขัดขึ้นมาเสียก่อนทุกครั้ง จนผ่านล่วงเลยมาถึงยามนี้...แต่เมิ่งเจียวซินก็หาได้คิดที่จะยอมแพ้ไม่ นางจึงขยับร่างกาย แล้วเอนตัวไปทางด้านหลังเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยถามว่า “กุยกุย คือ...ข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าขยันแปลก ๆ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? หรือว่า...มีเรื่องอะไรกวนใจเจ้า? เจ้าพอจะ...” ยังไม่ทันที่เมิ่งเจียวซินจะได้พูดจนจบประโยค อีกฝ่ายก็ขยับเข้ามาโอบกอดร่างกายขอ
เมื่อดึงสติกลับมาได้ หลี่อวิ้นกุยก็รีบขยับเอาร่างกายของตนเองถอยออกมา จากนั้นเขาก็เห็นริมฝีปากของคนตรงหน้ามีรอยช้ำเล็ก ๆ ซึ่งแน่นอนว่า มันเกิดขึ้นจากการถูกเขาจุมพิตเมื่อครู่ หลี่อวิ้นกุยรีบดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นเขาก็คิดจะลงไปเอายามาทาบริเวณริมฝีปากตรงจุดที่เกิดรอยช้ำให้กับนาง แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า หากเมิ่งเจียวซินตื่นขึ้นมา แล้วรับรู้ได้ถึงยาที่เขาทาให้กับนางล่ะ? หลังจากนั่งชั่งใจมาสักพัก หลี่อวิ้นกุยก็ยื่นนิ้วมือเข้าไปลูบไล้และนวดคลึง พร้อมกับก้มลงไปมองริมฝีปากของเมิ่งเจียวซินอีกครั้ง แล้วเมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผล มีเพียงรอยช้ำเล็ก ๆ สี่ห้าจุดเท่านั้น เขาจึงตัดสินใจล้มตัวลงไปนอน แล้วจัดท่านอนให้เป็นท่าที่เขากับนางใช้นอนร่วมกันบนเตียงหลังนี้ทุกคืน โดยคิดเอาไว้ว่า...พรุ่งนี้เช้าเขาค่อยรอดูท่าทีของนางตอนเห็นรอยช้ำ ยามนั้นเขาค่อยคิดอีกทีว่า ควรจะทำเช่นไรต่อ? ซึ่งหลี่อวิ้นกุยไ
หลี่อวิ้นกุยลืมตาขึ้นมากลางดึก ยามนี้แม้ทุกสิ่งรอบกายจะยังคงตกอยู่ในความมืด แต่เหตุใดในสายตาของเขาจึงยังเห็นศีรษะ ใบหู เส้นผม ลำคอ ไหล่ ฯลฯ ของสตรีในอ้อมแขนได้อย่างชัดเจน มันช่างน่าแปลก! เพราะตั้งแต่จำความได้ทุกสิ่งที่อยู่รอบกายเขา มันมักจะเต็มไปด้วยความมืดมิดเสมอ ตั้งแต่ในวัยเยาว์ แม้หลี่อวิ้นกุยจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนในครอบครัวฝั่งมารดา แต่ชีวิตในสถานที่แห่งนั้นมันช่างเงียบเหงา และเดียวดาย ไร้ซึ่งคำว่า‘ความอบอุ่น’ จากผู้คนที่ได้นามว่าเป็นคนในครอบครัวของเขา แล้วเมื่อเขาเติบใหญ่พอรู้ความ จิ่นโซวก็เข้ามาพูดคุยเพื่อรับตัวเขาจากคนเหล่านั้น โดยหลี่อวิ้นกุยยังจำสีหน้าที่แสดงออกถึงความรู้สึกโล่งใจ ยินดีที่เขากำลังจะจากไป ในวันสุดท้ายที่เขาก้าวเท้าออกมาจากเรือนที่ตนเองถือกำเนิด และเติบโตมาของผู้คนที่ได้นามว่าเป็นคนในครอบครัวของเขาได้อย่างชัดเจน แล้วในวันที่หลี่อวิ้นกุย
“ขอบคุณที่เดินมาส่งนะเจ้าคะ ข้าฝากบอกพี่ชายฟางด้วยว่า ขอให้หายเร็ว ๆ” “ได้” หมิงลู่ตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเมิ่งเจียวซิน จากนั้นเขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแปลก ๆ อีกครั้ง “ไว้เจอกันใหม่นะเจียวซิน” “อืม” “เจ้ารีบเข้าเรือนเถิด พวกข้าจะไปแล้ว” เมิ่งเจียวซินทำเพียงพยักหน้าตอบหมิงลู่ ก่อนจะหันหลัง แล้วเดินเข้าเรือนของตนเอง หมิงลู่ยืนมองส่งเมิ่งเจียวซิน แล้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้าเรือนไปแล้ว เขาก็เดินนำน้องสาวไปทางเรือนของพวกตนต่อ “มองไม่วางตาเลยนะเจ้าคะ” หมิงจิวเอ่ยเย้าผู้เป็นพี่ชาย “เจ้านี่!” หมิงล
เมิ่งเจียวซินก้มมองเจ้าลูกกระรอกบนตัก ตั้งแต่ช่วงบ่ายอีกฝ่ายได้กินเพียงแค่ขนมรองท้องเท่านั้น ไม่แน่ว่า ยามนี้เจ้าตัวอาจจะเริ่มรู้สึกหิวไม่น้อยแล้วก็ได้ นางจึงหยิบขนมในจานส่งไปให้เจ้าลูกกระรอกอีกหนึ่งชิ้น ซึ่งในขณะนั้นคนของโรงเตี๊ยมก็เข้ามาเติมน้ำชาให้กับพวกนางพอดี เมิ่งเจียวซินจึงหันไปสั่งอาหารกับอีกฝ่าย “เสี่ยวเอ้อร์ ข้าขอซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานกับปลานึ่งซีอิ๊วอย่างละหนึ่งที่ และข้าวสวยจำนวนสองถ้วยด้วยเจ้าค่ะ ชุดนี้ข้ารบกวนจัดใส่ห่อนะเจ้าคะ แล้วก็...ข้ารบกวนห่อขนมแบบจานนี้เพิ่มให้ข้าในชุดอาหารด้วยเจ้าค่ะ” “ได้ขอรับ รอสักครู่นะขอรับ” “เจียวซิน เจ้าอย่าบอกนะว่า...เจ้าจะซื้อไปฝากบ่าวสตรีนางนั้น” หมิงลู่เอ่ยถามเสียงเข้ม “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าซื้อไปกินเอง” “พี่ใหญ่ข้าขอซื้ออาหาร แล้วฝ
หลังจากได้ยินคำถาม ซึ่งไม่มีที่มาที่ไปของหมิงจิว เมิ่งเจียวซินจึงหันกลับไปมองอีกฝ่าย เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกโมโหเรื่องเล่าจากในรั้วในวังอยู่หรอกหรือ? แต่เมื่อได้เห็นสายตาที่แสดงออกราวกับว่า อยากจะรู้จริง ๆ จากสหาย นางจึงหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า “หากถามว่าเคยคิดหรือไม่? ในวัยเด็กข้าก็เหมือนจะเคยคิดนะ คงอาจจะด้วยเพราะช่วงวัย แล้วก็อาจจะด้วยเพราะความคิดแบบเด็ก ๆ ที่ว่า ตนเองจะได้เข้าไปอยู่ในเรือนหลังใหญ่ จะได้แต่งกายด้วยชุดที่สวยหรู และก็จะได้ชิมอาหารอร่อย ๆ จากโรงเตี๊ยมดัง ๆ ทุกวัน แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดในวัยเยาว์ เพราะข้าในยามนี้ไม่คิดจะนำความสุขที่ตนเองมี ไปแลกกับความสุขที่ได้มาเพียงชั่วคราวแน่นอน” “อะไรคือ ความสุขเพียงชั่วคราว?” หมิงจิวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังแบบง่าย ๆ ให้เจ้าได้รับรู้ และได้เห็นภาพเลยนะ” พูดจบ เมิ่งเจียวซินก็เอ