ปลายเส้นผมนุ่มสลวยที่ถูกรวบเป็นหางม้าเหนือท้ายทอยแกว่งไปมา แม้เจ้าของจะซ่อนมันในหมวกแก๊ปใบสวย เด็กสาวรูปรางปราดเปรียว กำลังวิ่งกระหืดกระหอบ เข้ามาที่ตึกR&M บริษัทที่ผลิตนักร้องชื่อดังประทับฟ้าเมืองไทยหลายสิบคน และในขณะเดียวกันก็เปิดเป็นบริษัท ผลิตรายการโทรทัศน์ โรงเรียนสอนดนตรี และ สื่อสิ่งพิมพ์ มีนิตยสารหัวนอกอยู่ถึงสองเล่ม และเปิดเป็นสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย
โซดา สาวน้อยวัยสิบเจ็ดรีบผลักบานประตูกระจกสีชาของบริษัทอย่างรีบเร่ง ท่าทางรีบร้อนของเธอทำให้คนบริเวณหันมามองสาวน้อยร่างเพรียวบางที่สูงประมาณ167 ซม. ใบหน้าเนียนสวยเปื้อนเหงื่อและดวงตากลมโตใสซื่อสะกดสายตาของที่เผลอมองมา
“ขอโทษเด้อคะ ห้องอบรมเขียนนิยายไปทางไหนคะ”
สำเนียงสาวอีสานทำให้เกิดเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้น โซดายกมือปิดปากอย่าเพิ่งนึกได้ ประชาสัมพันธ์คนสวยแอบเช็ดน้ำตาที่เล็ดเพราะสำเนียงไม่เข้ากับหน้าใส ๆ ของเธอ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ลิฟต์ไม่ไกลนัก
“มาอบรม ‘เขียนง่าย ๆ กลายเป็นเล่ม ๆ’ ใช่ไหมคะ เชิญที่ชั้นสิบเอ็ดเลยค่ะ”
“ขอบคุณหลาย ๆ ค๊า”
โซดาอยากตบปากตัวเองนัก แต่เกรงว่าถ้ายิ่งยืนอยู่ตรงนั้นจะยิ่งทำอะไรน่าอายเข้าไปใหญ่ เท้าที่สวยรองเท้าผ้าใบคู่เก่ารีบวิ่งไปที่ลิฟต์ทันที แล้วนิ้วเรียวก็กดหมายเลขชั้นที่ต้องการไป
วันนี้เป็นวันแรกของการมาอบรม ‘เขียนง่าย ๆ กลายเป็นเล่ม ๆ’ ที่โซดาเขียนความเรียงส่งประกวดในนิตยสารฉบับหนึ่ง ซึ่งรางวัลของมันก็คือ ได้เป็นหนึ่งในสิบหกคนที่เข้ามาอบรมเขียนหนังสือที่บริษัทR&M แห่งนี้ โดยมีวิทยากร ชื่อดัง คือ ‘ดุจตะวัน’ หรือ ‘ปกรณ์’ นักเขียนสุดปลื้มของโซดา เธอหลงรักตัวหนังสือที่ดุจตะวันเขียน และเขาเป็นแรงบันดาลใจของเธอที่ทำให้เธอ เด็กสาวจากร้อยเอ็ดอยากเป็นนักเขียนชื่อดังกะเค้าบ้าง
“เออ คิวถ่ายแบบเลื่อนไปได้ไหม เหนื่อย เพลีย เข้าใจไหม!” เสียงดังจากคนข้าง ๆ ทำให้โซดาหันไปมองอย่างเพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้มีเธอคนเดียวในลิฟต์
“เป็นผู้จัดการยังไง! เลื่อนคิวแค่นี้ทำไม่ได้หรือไง ไม่ไปก็คือไม่ไปไง”
เสียงที่ดังอยู่ข้างๆโซดาอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึงก้าวครึ่ง แม้ว่าร่างสูงโปร่งจะคุยโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดอยู่ แต่เสียงที่ตะคอกราวกับจะตะโกนให้คนที่อยู่อีกสองช่วงตึกได้ยินด้วย ทันทีที่ผู้โดยลิฟต์คนเดียวกับเธอพับมือถือเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ โซดาก็จำได้ทันทีว่าเคยหน้าตาแบบในโทรทัศน์ และหน้านิตยสารหลายฉบับ
“พี่ปลายศร” โซดาพึมพำออกมาเบา ๆ แต่มันคงดังพอที่จะทำให้ร่างสูงโปร่งหันมามองก่อนที่จะถอดแว่นกันแดดสุดเท่ออกแหนบที่คอเสื้อ
“เฮ้อ! แม้แต่อยู่ในลิฟต์ยังไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวเลยหรือเนี้ย!” นักร้องหนุ่มสุดฮอตส่ายหน้าระอาใจ เขาหยิบปากกาเมจิกคู่ใจ ขยับเท้าเข้าไปใกล้ร่างเพรียวบางของเด็กสาวที่ยืนนิ่งตะลึงนะจังงังอยู่กับที่ ก่อนที่จะตวัดข้อมือเซ็นชื่อตัวเองลงบนปีกหมวกที่โซดาสวมอยู่
ปิ๊ง!
ลิฟต์ดังขึ้นก่อนที่ประตูจะเปิดออก นักร้องหนุ่มยิ้มมาดนายแบบก่อนเหลือบมองไปที่แผงหมายเลขข้างประตู
“อ้าว! ชั้นเดียวกันเหรอ มาอบรมใช่ไหม พยายามหน่อยนะ แต่แหม! ปลื้มพี่มากแค่ไหนก็ไม่ต้องใช้วิธีนี้ก็ได้ ” เจ้าของร่างสูงโปร่งเอ่ยต่อแบบไม่สนใจคนที่อ้าปากค้างอยู่
แต่ที่เรียกสติของสาวน้อยได้คำว่า อบรม ทำให้ร่างเพรียวบางรีบก้าวออกมาจากลิฟต์ทันที โซดามองตามร่างสูงโปร่งที่เดินนำหน้าเธอออกมาก่อน พอนึกขึ้นได้ก็ถอดหมวกแก็ปออกจ้องมองลายเซ็นยึกยือบนหมวกใบเก่งของเธอ
“ฮ่วย!” โซดาเผลอบ่นออกมาอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่ “ใครเค้าอยากได้ลายเซ็นอ่ะ คนอะไรหลงตัวเองชะมัด!!!”
โซดายัดหมวกใส่เป้ที่คล้องไหล่อยู่ จะขว้างทิ้งก็เสียดายของ พลางเดินไปตามแผ่นป้ายที่เขียนบอกทางไปห้องอบรมเขียน‘เขียนง่าย ๆ กลายเป็นเล่ม ๆ ’ เธอรู้อยู่หรอกวิทยากรในครั้งนี้มี “ปลายศร” ดาราหนุ่มยอดฮิตที่เพิ่งทำสถิติพ๊อกเก็ตบุ๊คส์ขายดีที่สุด ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงถึงสองพันเล่ม เมื่องานมหกรรมหนังสือฯ ที่ผ่านมา
แต่...เปล่าเลย... โซดาอยากเจอพี่ปกรณ์ เจ้าของนามปากกา “ดุจตะวัน” ฉายาเจ้าชายโรแมนติกที่เขียนนิยายได้หวานซึ้ง ต่างหากเล่า!
ทันทีที่โซดาเปิดประตูห้องเข้าไป เธอกลายเป็นจุดสนใจในวินาทีนั้นทันที ประเมินด้วยสายตาแล้ว เธอน่าจะอายุน้อยที่สุดในบรรดาสิบหกคนที่ได้มาอบรมฟรีในครั้งนี้ ใช่ ! ถ้ามันไม่ “ฟรี” เธอก็ไม่มีปัญญาได้มายืนอยู่ในนี้หรอก เธอเคยเห็นโบชัวร์เวิร์คชอปของที่นี้แค่สามวัน ค่าเรียนแพงลิบลิ่ว เด็กกำพร้าอย่างเธอไม่มีปัญญามาเรียนแน่ ๆ
“มาครบกันแล้วใช่ไหมครับ”
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของนักสุดปลื้มของโซดานามดุจตะวัน ร่างสูงโปร่ง ดวงตาอบอุ่นกับ ผมดำขลับยาวสลวยอย่างที่ผู้หญิงแท้ๆอย่างเธอยังอาย
โซดา สาวน้อยแสนห้าวในสายตาคนรอบข้างแต่กลับมีความฝันตรงข้ามกับลักษณะนิสัยภายนอก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ “โชค” หรือ “ฝีมือ” ที่ทำให้ได้เข้ามาอบรมการเขียนที่นี่ บริษัทใหญ่โตอย่างนี้เธอได้แต่ฝันกลางวันเท่านั้นในความเป็นจริงแทบไม่เคยย่างกรายเข้ามาใกล้ แต่ละคนที่เข้ามาอบรมดูเป็นคุณหนู แต่งตัวดี แม้จะเอ่ยปากชวนเธอคุยบ้าง แต่ก็ทำเธอรู้โดยทันทีว่า มันเป็นไปตามมารยาท
กว่าจะหมดไปหนึ่งวัน เด็กสาวก็แทบหมดแรงเพราะไม่คุ้นกับสังคมใหม่แบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ย้ายมาอยู่กรุงเทพกับ “เบียร์” พี่ชายแท้เลือดสีเดียวกันได้เดือนกว่าแล้ว แต่เหมือนเธอยังปรับตัวไม่ได้ ครั้งที่พ่อกับแม่จากไปเพราะอุบัติเหตุ เธอยังเด็กจำอะไรไม่ได้มาก แต่เพราะมีกันแค่สองคนพี่น้อง พี่ชายเธอมาทำงานกับลุงที่เป็นพ่อครัวอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง ส่วนเธอก็ไปอยู่กับป้าญาติทางฝั่งแม่ที่ขอนแก่น แม้จะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ความรู้สึกที่เป็นส่วนเกินของบ้านมันก็ยังมีอยู่ กี่ครั้งที่ร้องไห้คิดถึงพี่ชาย เธอได้แต่พยายามฝืนตัวเองให้เข้มแข็ง เพื่อที่จบม.ปลายจะได้มาอยู่กับพี่ชายตามสัญญา และเบียร์ก็ทำตามสัญญาจริงๆ เมื่อเธอสอบจบม.ปลาย เขาก็มารับเธอถึงบ้านป้าตามสัญญา
ถึงจะได้อยู่กับพี่ชายในบ้านหลังเดิมที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้เป็นสมบัติชิ้นเดียว แต่ความเป็นเมืองใหญ่ที่ทำให้เธอเหงาจนบอกไม่ถูก
คงไม่นานหรอกนะ ที่เธอจะคุ้นเคยชินกับความรู้สึกนี้
แล้วจู่ ๆ รอยยิ้มก็จางไป เมื่อร่างบอบบางเดินผ่านกระจกเงาของตึก เด็กสาวจ้องมองร่างที่สูงหนึ่งร้อยหกสิบเจ็ดเซนต์ เสื้อผ้าที่สวมใส่ที่เป็นเพียงเสื้อยืดพอดีตัว กางเกงยีนขาสามส่วนพร้อมรองเท้าผ้าใบเซอร์ ๆ สะพายเป้สีดำคู่ใจที่มีสมุดบันทึกขนาดเหมาะมืออยู่เสมอ
‘เฮ้อ! ทั้งเซอร์ ทั้งโทรมขนาดนี้ อย่าว่าแต่พี่ปกรณ์เลย ขนาดวินมอเตอร์ไซด์ยังไม่แล !!!'
โซดาถอนหายใจหนัก ๆ มองภาพนักเขียนในดวงใจของเธอ ผ่านผนังกระจกที่กั้นอยู่ โซดาดึงหมวกแก๊ปใบเท่ที่ยัดใส่เป้ขึ้นมาสวม แต่มือก็ชะงักเพราะเห็นลายเซ็นไม่พึ่งประสงค์บนหมวก
‘เอาไงดีหว่า’
โซดาก้มหน้าก้มตา แอบใช้น้ำลายป้าย ๆ ถู ๆ หวังจะให้ลายเซ็นกระเด็นไปจากหมวก จนไม่ทันดูว่าประตูกระจกก็ถูกออกมามาอย่างแรง
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ”
“คะ”
โซดาสะดุ้งเมื่อบานประตูถูกผลักออกและร่างบอบบางเดินออกมา เธอไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่หน้าประตูกระจก เออนะ! ตึกนี้มันจะเป็นกระจกทั้งหลังให้คนเดินผ่านสับสนเล่นรึไงนะ อีกฝ่ายยิ้มบาง ๆ ให้ โซดาจับจ้องใบหน้ากลมมนได้รูปที่ไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางใด ๆ แต่ดูขาวซีดเหมือนคนป่วย เสื้อคอจีนสีชมพูอ่อนรับกับกระโปรงยาวสีเข้มกว่าสีเสื้อเล็กน้อย ในมือข้างหนึ่งหิ้วกล่องไม้ใส่ไวโอลีน โซดาเอี้ยวตัวหลบทางให้อย่างเขิน ๆ ไม่ถึงห้านาทีรถเก๋งคันใหญ่ก็เข้ามาจอดเทียบ คนขับรถวิ่งอ้อมมาเปิดประตูให้และร่างบอบบางก็ก้าวขึ้นรถจากไป ทิ้งให้เธอยืนอยู่คล้ายฝุ่นผง ณ บริเวณนั้น
“ไม่เอานะ อย่าคิดมากซิ ต้องเชื่อมั่นในตัวเองท่องไว้ซิ!!! โซดา” โซดายกมือสองข้างขึ้นตบแก้มเบา ๆ เธอจะทำเช่นนี้เสมอเมื่อเรียกสติตัวเองและให้กำลังใจในช่วงที่รู้สึกอ่อนล้า หลับตาครู่หนึ่งเมื่อลืมตาขึ้น เธอจะยิ้มรับกับทุกสิ่งที่เข้ามาไม่ว่าจะร้ายดีเพียงใด รอยยิ้มปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้วเธอก็รู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อลืมตาอย่างรู้สึกสดชื่นขึ้นเหมือนมีพลังงานบางอย่างพวยพุ่งจากภายใน แต่ในขณะที่กำลังเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือของตน สายตาก็เผชิญกับดวงตาสีสนิมเหล็กที่ยืนจ้องมองตัวเธออยู่ตรงข้ามฝากถนนเส้นเล็ก ๆ หน้าบริษัทฯใบหน้าคมเข้มกับดวงตาอ่อนโยนปนเหงาหลังแว่นตาทรงกลมกรอบสีเงินกำลังมองเธออยู่!!ร่างสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนเข้ากับกางเกงแสลคเนื้อดี และรองเท้าหนังสีดำเป็นมันวาว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาซอยผมสั้นรองทรงสะอาดตา รับกับแว่นตาทรงกลมกรอบเงินที่เขาสวมบนใบหน้า เด็กสาวเหลียวมองรอบข้างร้างไร้ร่างใคร จนมั่นใจว่าสายตาของชายหนุ่มแปลกหน้าฝั่งตรงข้ามจ้องมองอยู่ เธอก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการทักทาย บางทีเขาคงเห็นท่าทางเปิ่น ๆ ของเธอเลยยืนมองดูอยู่ก็ได้‘โธ่! โชว์เปิ
“จ้า...แม่นักเขียนใหญ่ พี่จะรออ่านนิยายของเรานะ” “ค่ะ ช่วงก่อนเปิดเรียนแบบนี้โซดามีเวลาเขียนหนังสือได้สบายเลย เอ่อ...แล้วร้านหมูหยองยังจะให้โซดาไปช่วยดูร้านเนทอยู่ไหมคะ “ “จะดีเหรอ ไหนบอกจะเขียนนิยายให้จบก่อนเปิดเรียนแล้วจะไปทำงานพิเศษอีก” “โธ่พี่เบียร์ ก็เพราะเป็นร้านเนทนะซิ โซดาถึงอยากทำ จะได้ใช้คอมพ์ฟรีไง เดี๋ยวนี้เขียนเรื่องโพสตามเวบไซด์แล้วได้ตีพิมพ์เป็นเล่มเยอะแยะไป” “เอาไว้พี่มีเงินจะหาคอมพ์ ให้ใช้สักเครื่องนะ” “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่เก็บเงินไว้เถอะมันยังไม่จำเป็นขนาดนั้นหรอก แค่ที่ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนเรียนก็เยอะแล้ว ไหนจะต้องซื้อหนังสือเรียนอีก ค่ากินค่าใช้จ่ายในบ้านมีแต่พี่เบียร์คนเดียวที่ต้องลำบาก นี่ดีนะที่พ่อกับแม่ทิ้งตึกหลังนี้ไว้ให้ซุกหัวนอน ไม่งั้นเราต้องจ่ายค่าเช่าบ้านอีกอะไรอีกสารพัดเลยเน๊าะ ขอบคุณนะคะคุณพ่อคุณแม่” โซดาทำทะเล้นยกมือไหว้ขอบคุณต่อหน้ารูปพ่อกับแม่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง “เอาละถ้าตั้งใจจะทำงานที่ร้านเนทก็ได้..แต่ห้ามเข้าไปดูเวบโป้นะ” “ว๊า…ดูนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้เห
“พี่ปกรณ์” “อ้าว..น้องโซดาใช่ไหม มาเร็วจังนะค่ะ” “ค่ะ พี่ปกรณ์ก็เหมือนกัน” โซดาไม่ได้พูดอะไรอย่างที่ใจต้องการนัก แค่ได้ยืนข้าง ๆ แบบนี้หัวใจก็เต้นตูมตาม ปกรณ์เป็นหนุ่มมาดโรแมนติก ผมยาวสลวยประบ่าชอบสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีด้ายดิบดูเป็นศิลปินโดยแท้ พูดจากับผู้หญิงก็คะ-ขาหวาน แค่นี้โซดาก็แทบเก็บอาการไม่อยู่แล้ว ประตูลิฟต์เปิดออก โซดาก้าวเท้าเข้าไปก่อนตามด้วยปกรณ์และคนที่เธอไม่รู้จักอีกสองคน ขณะประตูกำลังจะปิด ร่างบอกบางของเด็กสาวผู้มีใบหน้าซีดเซียวราวคนป่วยก็ถือกล่องไวโอลินเข้ามาด้วยอีกคน “แป้งร่ำมาเรียนดนตรีเหรอคะ” ปกรณ์เอ่ยถามพลางยื่นมือไปฉวยกล่องไวโอลินมาช่วยถืออย่างสนิทสนม “ค่ะ” เด็กสาวยิ้มบาง ๆ และหว่านยิ้มหวานมาทางโซดาที่ยืนอยู่ด้านข้างปกรณ์ “แป้งร่ำหน้าซีด ๆ นะคะ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่ห้องเรียนดนตรีดีกว่านะ” “ไม่เป็นไรค่ะ แป้งไปเองได้ แป้งไม่ได้ป่วยอะไร” “อย่าเลย ให้พี่ไปส่งดีกว่า ขืนเป็นอะไรไปพี่จะยิ่งโทษตัวเองมากขึ้นนะ” “ค่ะ ก็ได้” ไฟกระพริบ
“เร็วหน่อยซินายตั้มเดี๋ยวตำรวจก็มาหรอก” “เร็วแล้วเจ๊น้ำหวาน” “นิ อย่ามาเรียกฉันว่าเจ๊นะ” สาวโซดาเหลียวมองภาพชุลมุนหลังรถ สาวมั่นแต่งตัวเปรี้ยวด้วยเสื้อยืดตัวเล็กสีแดงสดกับกางเกงทรงทหารตัวใหญ่ กำลังเหวี่ยงถุงทะเลสี่ห้าถุงยัดใส่ท้ายรถและถุงใบเล็กใส่เบาะด้านหลังโดยมีคนขับรถหน้าตี่ลงไปช่วยก่อนรีบกระโดดขึ้นรถ เสียงแตรดังไล่หลังอยู่นานหลายนาที หญิงสาวที่นั่งเบาะหลังไขกระจกลงชะโงกหน้าออกไป “รู้แล้วพี่...จะรีบไปรับเมียน้อยรึไง” “เฮ้ย!เจ๊เดี๋ยวมันก็ไล่บี้ตูดรถผมหรอก” “รถแกที่ไหนละ รีบ ๆ ออกรถเลย เดี๋ยวตำรวจมาไล่โดนใบสั่งอีกนะ ฉันไม่ช่วยจ่ายด้วยหรอก” “อุตส่าห์มารับทั้งที พูดหวานๆสมชื่อน้ำหวานก็ไม่ได้” “ช่วยไม่ได้ ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ อ้าวหนูโซดาวันนี้ไปเที่ยวไหนมาเหรอจ๊ะ” “เปล่าค่ะ ไปอบรมเขียนนิยายมาค่ะ” โซดาตอบแล้วยิ้มแหยเหมือนจะเกรงหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังของรถ “อ้อ!ที่ค่ายเทปR&Mใช่ไหม” “ไม่ใช่ค่ะสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในเครือบริษัทR&Mต่
“เร็วหน่อยซินายตั้มเดี๋ยวตำรวจก็มาหรอก” “เร็วแล้วเจ๊น้ำหวาน” “นิ อย่ามาเรียกฉันว่าเจ๊นะ” สาวโซดาเหลียวมองภาพชุลมุนหลังรถ สาวมั่นแต่งตัวเปรี้ยวด้วยเสื้อยืดตัวเล็กสีแดงสดกับกางเกงทรงทหารตัวใหญ่ กำลังเหวี่ยงถุงทะเลสี่ห้าถุงยัดใส่ท้ายรถและถุงใบเล็กใส่เบาะด้านหลังโดยมีคนขับรถหน้าตี่ลงไปช่วยก่อนรีบกระโดดขึ้นรถ เสียงแตรดังไล่หลังอยู่นานหลายนาที หญิงสาวที่นั่งเบาะหลังไขกระจกลงชะโงกหน้าออกไป “รู้แล้วพี่...จะรีบไปรับเมียน้อยรึไง” “เฮ้ย!เจ๊เดี๋ยวมันก็ไล่บี้ตูดรถผมหรอก” “รถแกที่ไหนละ รีบ ๆ ออกรถเลย เดี๋ยวตำรวจมาไล่โดนใบสั่งอีกนะ ฉันไม่ช่วยจ่ายด้วยหรอก” “อุตส่าห์มารับทั้งที พูดหวานๆสมชื่อน้ำหวานก็ไม่ได้” “ช่วยไม่ได้ ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ อ้าวหนูโซดาวันนี้ไปเที่ยวไหนมาเหรอจ๊ะ” “เปล่าค่ะ ไปอบรมเขียนนิยายมาค่ะ” โซดาตอบแล้วยิ้มแหยเหมือนจะเกรงหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังของรถ “อ้อ!ที่ค่ายเทปR&Mใช่ไหม” “ไม่ใช่ค่ะสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในเครือบริษัทR&Mต่
งานเลี้ยงเลิกราแล้วหลายคนนัดไปเที่ยวต่อ มีเพียงโซดาที่ได้แต่ยืนโบกมือลาหน้าตึกเช่นเคย วันนี้ไม่มีใครมารับ ตั้มตาหยีติดช่วยงานที่อู่ซ่อมรถ พี่ชายก็ทำงานที่ร้านอาหาร เธอเองก็ไม่อยากเป็นภาระให้เขาที่ต้องทำงานเหนื่อยเผื่อส่งเสียให้เธอร่ำเรียน งานพ่อครัวในร้านอาหารหรูหราแบบนั้น ทำให้เบียร์มีเวลาหยุดพักผ่อนไม่เหมือนคนอื่น แต่ละสัปดาห์จะเข้างานเป็นกะ อาทิตย์เข้ากะเช้า อาทิตย์หน้าเข้ากะบ่าย เพราะอย่างนี้ละมั้งพี่ชายสุดหล่อมาดเข้มของโซดาถึงยังไม่มีแฟนเสียที เอานะ!ไม่เป็นไรหรอก สายรถเมล์ที่ต้องนั่งกลับบ้านก็จดไว้เรียบร้อยแล้ว แต่วันนี้ขอแวะร้านหนังสือก่อนกลับบ้าน เพิ่งบ่ายสองโมงกว่า รถราไม่ติดมากนักเพราะช่วงนี้ยังปิดเทอมใหญ่อยู่ เอ๊ะ! นั้นซิอีกไม่กี่วันกี่เดือนนะมหาวิทยาลัยจะเปิด เธอยกนิ้วขึ้นนับ วันนี้สิ้นเดือนเมษายนพอดี มหา’ลัยเปิดเดือนมิถุนายน ถ้าอย่างนั้นก็เหลือเวลาให้เธอเขียนนิยายอย่างจริงจังแค่เดือนกว่าเท่านั้นเอง ยังไงก็ต้องรักษาสัญญากับพี่ชายว่าเปิดเทอมเมื่อไหร่ต้องทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนให้มากที่สุด แถมวันจันทร์หน้าก็ต้องเริ่มไปทำงานพิเศษที่ร้านหมูหยองอินเตอ
คนที่มองเห็นผมเพียงคนเดียวกลับไปลมไปเสียแล้ว เฮ้อ! เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อราวๆ ครึ่งเดือนก่อน ขณะที่ผมกำลังพิมพ์ต้นฉบับอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้ทันส่งงานประกวดนิยายของเวบไซต์แห่งหนึ่ง เดดไลน์คือส่งงานภายในเที่ยงคืน ผมคิดว่า...เอ่อ...คิดว่านะ คิดว่าใช้เมาท์คลิกส่งเมล์งานเรียบร้อยแล้วก็ตั้งใจลุกขึ้นไปหาอะไรกินเสียหน่อยแต่เหมือนร่างกายไร้เรี่ยวแรงร่วงผล็อยลงไปกองกับพื้น เหมือนได้หลับไปเต็มอิ่มแต่พอลืมตาขึ้นกลับพบว่าตัวเองอยู่หน้าอาคารแห่งหนึ่ง ผมก็ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง และที่สำคัญคือไม่มีใครมองเห็นผม แม้ว่าจะพยายามส่งเสียงหรือไปสัมผัสอีกฝ่าย พวกเขาต่างเดินทะลุร่างของผมราวกับผมเป็นเพียงอากาศธาตุ และเมื่อผมพยายามตั้งสติสังเกตุสิ่งรอบตัวก็พบว่ามันไม่คุ้นตา และเมื่อเห็นข่าวในจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่หน้าตึกนั้นก็พบว่ามันเป็นปีพ.ศ.2533 พระเจ้า! ผมเป็นคนในปี พ.ศ.2567 แต่กลับย้อนเวลาอยู่ในปี พ.ศ.2533 แล้วที่ผมงงหนักที่สุดก็คือ ผมไม่รู้ว่าผมชื่ออะไรและเป็นใครนะสิ! ย้อนเวลามาทั้งที่แต่ดันความจำเสื่อม และที่จำไม่ได้ก็มีแค่เรื่องของตัวเองเท่านั้น ขอขยายความเข้าใ
“ก็หมายความว่าไม่มีใครมองเห็นผมไงครับ แบบเมื่อครู่ที่พี่ชายคุณยังไม่เห็นผมเดินทะลุตัวผมเฉยเลย” “แล้วคุณเป็นใครล่ะ เราเคยรู้จักกันเหรอ หรือว่ารู้จักกันตั้งแต่ชาติที่แล้ว” “เอ่อ...ไม่ทราบครับ” “ไมทราบ? ไม่ทราบได้ยังไง” โซดารู้สึกหงุดหงิดและคลายความรู้สึกกลัวผู้ชายตรงหน้าลงอย่างไม่รู้ตัว “แล้วชื่ออะไร” “ไม่ทราบครับ” “หา!…งั้นบ้านช่องอยู่ไหนเป็นอะไรตาย” “อันนี้ก็ไม่ทราบครับ” “เฮ้ย…อย่าตลกน่า ชื่อตัวเองก็ไม่รู้ นอกจากจะเป็นผีเร่ร่อนแล้วยังเป็นผีความจำเสื่อมอีกเหรอเนี่ย แล้วรู้อะไรบ้างเนี่ย” “ไม่ทราบครับ เอ่อ ไม่แน่ใจ…เดี๋ยวนะครับ” คุณผีไม่ได้รับเชิญยกนิ้วมือขึ้นนับ โซดายกมือกุมขมับอยากจะกรี๊ด กับท่านับนิ้วเหมือนเด็กอนุบาล “ผมรู้สึกตัวก็มายืนอยู่หน้าตึกที่คุณเดินเข้าเดินออกสองสามวันก่อนนะครับ ก็น่าจะสามหรือสี่วันแล้วละ แต่เหมือนกับว่า...ต้องอยู่ตรงนั้นเผื่อทำอะไรสักอย่าง” “เหรอ” โซดาพยักหน้าหงึกหงัก “ก็น่าจะวันเดียวกับที่ฉันไปอบรมเขียนนิยาย”