“จ้า...แม่นักเขียนใหญ่ พี่จะรออ่านนิยายของเรานะ”
“ค่ะ ช่วงก่อนเปิดเรียนแบบนี้โซดามีเวลาเขียนหนังสือได้สบายเลย เอ่อ...แล้วร้านหมูหยองยังจะให้โซดาไปช่วยดูร้านเนทอยู่ไหมคะ “
“จะดีเหรอ ไหนบอกจะเขียนนิยายให้จบก่อนเปิดเรียนแล้วจะไปทำงานพิเศษอีก”
“โธ่พี่เบียร์ ก็เพราะเป็นร้านเนทนะซิ โซดาถึงอยากทำ จะได้ใช้คอมพ์ฟรีไง เดี๋ยวนี้เขียนเรื่องโพสตามเวบไซด์แล้วได้ตีพิมพ์เป็นเล่มเยอะแยะไป”
“เอาไว้พี่มีเงินจะหาคอมพ์ ให้ใช้สักเครื่องนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่เก็บเงินไว้เถอะมันยังไม่จำเป็นขนาดนั้นหรอก แค่ที่ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนเรียนก็เยอะแล้ว ไหนจะต้องซื้อหนังสือเรียนอีก ค่ากินค่าใช้จ่ายในบ้านมีแต่พี่เบียร์คนเดียวที่ต้องลำบาก นี่ดีนะที่พ่อกับแม่ทิ้งตึกหลังนี้ไว้ให้ซุกหัวนอน ไม่งั้นเราต้องจ่ายค่าเช่าบ้านอีกอะไรอีกสารพัดเลยเน๊าะ ขอบคุณนะคะคุณพ่อคุณแม่” โซดาทำทะเล้นยกมือไหว้ขอบคุณต่อหน้ารูปพ่อกับแม่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง
“เอาละถ้าตั้งใจจะทำงานที่ร้านเนทก็ได้..แต่ห้ามเข้าไปดูเวบโป้นะ”
“ว๊า…ดูนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้ ห้ามแชตอะไรนั่นด้วย อันตรายเห็นในข่าวมีแต่คนโดนหลอกไปข่มขืนเยอะแยะ ถ้าพี่จับได้จะไม่ให้เราเขียนนิยงนิยายอะไรแล้ว” พี่ชายทำหน้าเครียดน้ำเสียงจริงจังจนน้องสาวได้แต่ยิ้มแหย ๆ
“รับรองคะจะไม่ให้พี่เบียร์รู้ เอ๊ยไม่ทำให้พี่เบียร์ต้องเป็นห่วงแน่นอน”
“สัญญานะ”
“ค่ะ เอาละ พี่เบียร์ทำข้าวต้มอร่อย ๆ ให้กินแล้วหน้าที่ล้างจานเป็นของโซดาแล้วกันนะ พี่เบียร์ก็อย่าลืมกินยาหลังอาหารละจะได้หายเร็ว ๆ”
คนเป็นพี่ได้แต่ยิ้มบาง ๆ มองดูน้องสาวเก็บถ้วยชามที่เวลานี้ไม่เหลือเศษอาหารให้เดาได้ว่าก่อนนี้จาน ชามพวกนี้เคยมีอะไรอยู่ภายใน เสียงล้างจานดังอยู่ในครัว อาจเป็นเพราะ ฤทธิ์ยาแก้ไข้หวัดใหญ่ทำให้เขาเผลอหลับอยู่ที่โซฟาตัวยาวใหญ่ โซดาเดินผ่านมาจึงหยิบผ้าห่มคลุมร่างพี่ชายก่อนที่จะก้าวเท้าเดินให้เบาที่สุดไปที่ดาดฟ้าของบ้าน
ผ้าที่ตากไว้บนราวพลิ้วไหวตามแรงลม เด็กสาวดึงหนังยางที่รวบผมขึ้นเป็นหางม้าออกปล่อยให้เส้นผมยาวเคลียบ่าเป็นอิสระ โซดาเอาเสื่อมาปูนั่งเป็นประจำที่นี่ยามเย็นที่ท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนสี เธอจะนั่งเหยียดขายาวเอาหนังสือเล่มโปรดออกมากางอ่านหรือไม่ก็เขียนอะไรกระจุกกระจิกของเธอ
แต่บ่อยครั้งที่เธอมักนั่งมองการเคลื่อนตัวของเมฆบนท้องฟ้า เฝ้าดูว่ามันเปลี่ยนรูปร่างเป็นตัวอะไรและจิตนาการเป็นเรื่องราวต่าง ๆ นานาราวกับเป็นเทพนิยายแฟนตาซีสุดมหัศจรรย์ แต่ก็นั้นแหละ…คิดอะไรก็คิดได้ ตัวละครเอย ฉากเอย ภาพเคลื่อนไหวในหัวเหล่านั่น มันช่างแสนยากเย็นที่จะเข็นมันออกมาจากหัวกลายเป็นตัวหนังสือบนหน้ากระดาษเปล่า ๆ สักแผ่นหนึ่ง
โซดาจำได้ว่าเธอรู้สึกทึ้งกับการอ่านหนังสือนอกเวลาที่คุณครูแนะนำให้อ่าน เพราะมันไม่ใช่ตำราเรียน แม้จะถูกบังคับให้อ่านแต่เรื่องราวเหล่านั้นสนุกสนานน่าสนใจแถมผสมผสานความรู้เข้ามาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อจบเล่มหนึ่งก็พยายามสรรหาเท่าที่ห้องสมุดเล็ก ๆ ในโรงเรียนกันดารจะพอมี
ยิ่งอ่านไปเรื่อย ๆ ยิ่งรู้สึกเหมือนเปิดประตูมิติได้รู้จักโลกกว้างกว่าที่เธอคิด มันอาจเป็นการเริ่มต้นจากจุดนี้และยิ่งเมื่อเธอเคยได้รับรางวัลประกวดเขียนเรียงความประจำโรงเรียน เธอยิ่งรู้สึกว่าตัวเองน่าจะมีพรสวรรค์ทางด้านขีด ๆ เขียน ๆ แต่เอาเข้าจริง นอกจากรายงานเรียงความที่ต้องส่งเป็นการบ้านแล้ว เธอยังไม่เคยเขียน “เรื่อสั้น”หรือ “นิทาน” แม้กระทั้ง “นิยาย” ก็ไม่สำเร็จสักเรื่อง ได้แต่เขียนอะไรครึ่งกลาง ค้างคา ไม่จบสักเรื่อง ก็นั่นแหละมันทำให้นิยายแฟนตาซีสุดพิสดารของเธอก็ไม่ได้หลุดจากสมองเป็นตัวหนังสือได้เสียที
เมื่อตุลาคมปีที่แล้วเธอมาเยี่ยมพี่ชายสุดรัก เขาพาไปเที่ยวงานมหกรรมหนังสือหรืออะไรสักอย่างที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ กองทัพหนังสือนับพันนับหมื่นเล่ม ผู้คนมากมายแน่นขนัดเข้ามาเลือกซื้อหนังสือหนังหา ภาพนักเขียนคนโปรดแจกลายเซ็น ยิ่งจุดประกายให้โซดาวาดฝันว่าสักวันเธอจะนั่งที่หน้าเวทีแจกยิ้มหวานและนั่งเซ็นชื่อหนังสือของตนเองจนมือเป็นระวิง
พอกลับมาถึงขอนแก่นโซดาเม้าท์แหลกกับเพื่อนฝูงเอาตั๋วรถไฟฟ้า และรถไฟใต้ดินที่อุตส่าห์ลงทุนซื้อเก็บไว้ไปเอาอวดเพื่อนและประกาศว่าวันหนึ่งเธอจะเป็นนักเขียน โซดาแอบฝึกเซ็นชื่อ หาลายเซ็นสวย ๆ ดูจากลายเซ็นของดาราในหนังสือนิตยสารวัยรุ่นแล้ววันหนึ่งครูประจำชั้นของเธอผ่านมาเจอโซดาที่กำลังมุ่นมั่นกับลายเซ็นของตัวเองอยู่นั้น ครูหญิงวัยกลางคนก็เอ่ยเบา ๆ กับเธอ
“เธอน่าจะเอาเวลาไปเขียนนิยายให้จบเรื่องก่อนค่อยมาฝึกแจกลายเซ็นอย่างนี้นะ”
แค่คำพูดประโยคเดียวเรียกสติของโซดากลับมาได้ นั้นซิ อย่าว่าแต่นิยายเลยเรื่องสั้นสักเรื่องก็ยังไม่สำเร็จ นี่ฉันมัวทำอะไรอยู่นะเนี่ย…
โซดาจึงกลับมาเริ่มต้นอ่านหนังสืออีกครั้งตามคำแนะนำของครูประจำชั้น และการได้เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ครั้งนี้เธอมุ่งหวังและตั้งใจอย่างมาก...ว่าจะต้องไปถึงสิ่งที่ฝันให้ได้
เด็กสาวหยิบสมุดบันทึกไร้เส้นของตนออกมาจากเป้ นั่งอ่านลายมือเหมือนถั่วงอกที่โตไม่เต็มที่ของตัวเอง โครงเรื่องหลัก โครงเรื่องรอง คาเร็กเตอร์ตัวละคร เออ..ปวดหัวเหมือนกันแหะ แต่โซดาก็แอบฝันหวานถึงวันหนึ่งที่ตัวเองจะได้มีโอกาสได้ทำงานกับสำนักพิมพ์ “ยักษ์ใหญ่”จนได้ เอานะ...ว่ากฎข้อหนึ่งของนักเขียนที่เธอตั้งขึ้น คิดถึงวันดี ๆ ให้ชีวิตสดชื่นแล้วตื่นมาวิ่งไล่ความฝันให้เป็นจริง
แล้วอยู่ ๆ โซดาก็คิดถึงชายหนุ่มแปลกหน้าที่สวมแว่นตาทรงกลมกรอบเงินวาว เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ในแววตาหลังแว่นตานั่น
‘ปิ๊งฉันเหรอ?’
ไม่น่าจะใช่แหะ ใครจะมาสนใจสาวบ้านนอกท่าทางทอมบอยอย่างเธอได้นะ นี่ดีนะที่ไว้ผมยาว ไม่งั้นคงนึกว่าเป็นผู้ชายแน่ ๆ แถมรูปร่างก็ออกแบน ๆ อย่างกับไข่ดาวไม่ได้หน้าตาน่ารักสดใสอ่อนหวาน อย่างกับคนที่เธอทำเปิ่นไปยืนขวางประตูคุณหนูคนสวยคนนั้น
ว่าแต่... ยังเหลือเวลาอบรมการเขียนอีกตั้ง 2 วัน จะได้เจอ ผู้ชายเสื้อฟ้าใต้ต้นไม้คนนั่นอีกไหม อยากรู้จัง
……………
โซดากระโดดลงจากรถเวสป้าด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ก่อนส่งหมวกกันน๊อคคือให้สารถีรุ่นพี่ที่อาสาขับรถส่วนตัวมาส่งถึงหน้าบริษัท R&M เด็กสาวเสยผมยาวประบ่าให้เข้าที่เข้าทางก่อนใช้หนังยางสีดำที่รัดข้อมืออยู่ขึ้นรวบและมัดผมเป็นหางม้า
“ตอนเย็นพี่มารับ ถ้าเลิกเร็วก็โทรเข้ามือถือพี่ เดี๋ยวจะพาไปเที่ยวสะพานพุทธ” ตั้มเอ่ยแล้วยิ้มให้จนตาหยี
“แหม...จะไปหาพี่น้ำหวานก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องเอาโซดาไปอ้าง”
“ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ทัน รีบๆ ไปเลยเดี๋ยวไม่ทัน”
“ครับผม!” โซดาทำท่าเลียนแบบทหารรับคำสั่ง ก่อนหมุนตัวจะเดินเข้าไปในตึกแต่กระเป๋าเป้ก็ถูกดึงไว้ก่อนจนเจ้าตัวต้องหันกลับมาอีกที
“มีอะไรอีกอะพี่ตั้ม”
“ขอเบอร์พีอาร์สวย ๆ หรือพริ้ตตี้น่ารัก ๆ มาฝากมั้งนะ”
“อะไรกันอยากได้ก็ไปขอเองสิ แหวะ! ไปล่ะ”
ตั้มโยกหัวน้องสาวเพื่อนอย่างเอ็นดู โซดายกมือยกไม้ปัดป้องไม่อยากให้ผมยุ่งมากไปกว่านี้ แต่เหมือนมีอะไรบางสิ่งเรียกสายตาของเธอให้หันไปมองที่ฝั่งตรงข้าม ใต้เงาร่มไม้ใหญ่ตรงนั้น ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน แว่นตาทรงกลมกรอบเงินยืนอยู่ที่เดิมและสายตาคู่นั้น กำลังจับจ้องมาตรงจุดที่เธอยืนอยู่
เอ๊ะ! เสื้อตัวเดิมกับเมื่อวานนี่น่า...หรือเขาจะมีเสื้อแบบเดียวกันเป็นโหล
“ไปได้แล้ว ตอนเย็นพี่มารับ”
โซดาสะดุ้งแม้จะถูกผลักไหล่เบา ๆ เธอพยักหน้าหงึกงักหันไปมองชายหนุ่มแปลกหน้าแวบหนึ่งก่อนที่จะพาร่างตนเองเข้าไปในตึกบริษัท R&M ขณะยืนรอลิฟต์เพื่อไปห้องอบรม เธอก็รู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งเข้ามายืนข้างหลัง กลิ่นโคโลจญ์ผู้ชายหอมอ่อน ๆ ทำให้เธอหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ
“พี่ปกรณ์” “อ้าว..น้องโซดาใช่ไหม มาเร็วจังนะค่ะ” “ค่ะ พี่ปกรณ์ก็เหมือนกัน” โซดาไม่ได้พูดอะไรอย่างที่ใจต้องการนัก แค่ได้ยืนข้าง ๆ แบบนี้หัวใจก็เต้นตูมตาม ปกรณ์เป็นหนุ่มมาดโรแมนติก ผมยาวสลวยประบ่าชอบสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีด้ายดิบดูเป็นศิลปินโดยแท้ พูดจากับผู้หญิงก็คะ-ขาหวาน แค่นี้โซดาก็แทบเก็บอาการไม่อยู่แล้ว ประตูลิฟต์เปิดออก โซดาก้าวเท้าเข้าไปก่อนตามด้วยปกรณ์และคนที่เธอไม่รู้จักอีกสองคน ขณะประตูกำลังจะปิด ร่างบอกบางของเด็กสาวผู้มีใบหน้าซีดเซียวราวคนป่วยก็ถือกล่องไวโอลินเข้ามาด้วยอีกคน “แป้งร่ำมาเรียนดนตรีเหรอคะ” ปกรณ์เอ่ยถามพลางยื่นมือไปฉวยกล่องไวโอลินมาช่วยถืออย่างสนิทสนม “ค่ะ” เด็กสาวยิ้มบาง ๆ และหว่านยิ้มหวานมาทางโซดาที่ยืนอยู่ด้านข้างปกรณ์ “แป้งร่ำหน้าซีด ๆ นะคะ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่ห้องเรียนดนตรีดีกว่านะ” “ไม่เป็นไรค่ะ แป้งไปเองได้ แป้งไม่ได้ป่วยอะไร” “อย่าเลย ให้พี่ไปส่งดีกว่า ขืนเป็นอะไรไปพี่จะยิ่งโทษตัวเองมากขึ้นนะ” “ค่ะ ก็ได้” ไฟกระพริบ
“เร็วหน่อยซินายตั้มเดี๋ยวตำรวจก็มาหรอก” “เร็วแล้วเจ๊น้ำหวาน” “นิ อย่ามาเรียกฉันว่าเจ๊นะ” สาวโซดาเหลียวมองภาพชุลมุนหลังรถ สาวมั่นแต่งตัวเปรี้ยวด้วยเสื้อยืดตัวเล็กสีแดงสดกับกางเกงทรงทหารตัวใหญ่ กำลังเหวี่ยงถุงทะเลสี่ห้าถุงยัดใส่ท้ายรถและถุงใบเล็กใส่เบาะด้านหลังโดยมีคนขับรถหน้าตี่ลงไปช่วยก่อนรีบกระโดดขึ้นรถ เสียงแตรดังไล่หลังอยู่นานหลายนาที หญิงสาวที่นั่งเบาะหลังไขกระจกลงชะโงกหน้าออกไป “รู้แล้วพี่...จะรีบไปรับเมียน้อยรึไง” “เฮ้ย!เจ๊เดี๋ยวมันก็ไล่บี้ตูดรถผมหรอก” “รถแกที่ไหนละ รีบ ๆ ออกรถเลย เดี๋ยวตำรวจมาไล่โดนใบสั่งอีกนะ ฉันไม่ช่วยจ่ายด้วยหรอก” “อุตส่าห์มารับทั้งที พูดหวานๆสมชื่อน้ำหวานก็ไม่ได้” “ช่วยไม่ได้ ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ อ้าวหนูโซดาวันนี้ไปเที่ยวไหนมาเหรอจ๊ะ” “เปล่าค่ะ ไปอบรมเขียนนิยายมาค่ะ” โซดาตอบแล้วยิ้มแหยเหมือนจะเกรงหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังของรถ “อ้อ!ที่ค่ายเทปR&Mใช่ไหม” “ไม่ใช่ค่ะสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในเครือบริษัทR&Mต่
“เร็วหน่อยซินายตั้มเดี๋ยวตำรวจก็มาหรอก” “เร็วแล้วเจ๊น้ำหวาน” “นิ อย่ามาเรียกฉันว่าเจ๊นะ” สาวโซดาเหลียวมองภาพชุลมุนหลังรถ สาวมั่นแต่งตัวเปรี้ยวด้วยเสื้อยืดตัวเล็กสีแดงสดกับกางเกงทรงทหารตัวใหญ่ กำลังเหวี่ยงถุงทะเลสี่ห้าถุงยัดใส่ท้ายรถและถุงใบเล็กใส่เบาะด้านหลังโดยมีคนขับรถหน้าตี่ลงไปช่วยก่อนรีบกระโดดขึ้นรถ เสียงแตรดังไล่หลังอยู่นานหลายนาที หญิงสาวที่นั่งเบาะหลังไขกระจกลงชะโงกหน้าออกไป “รู้แล้วพี่...จะรีบไปรับเมียน้อยรึไง” “เฮ้ย!เจ๊เดี๋ยวมันก็ไล่บี้ตูดรถผมหรอก” “รถแกที่ไหนละ รีบ ๆ ออกรถเลย เดี๋ยวตำรวจมาไล่โดนใบสั่งอีกนะ ฉันไม่ช่วยจ่ายด้วยหรอก” “อุตส่าห์มารับทั้งที พูดหวานๆสมชื่อน้ำหวานก็ไม่ได้” “ช่วยไม่ได้ ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ อ้าวหนูโซดาวันนี้ไปเที่ยวไหนมาเหรอจ๊ะ” “เปล่าค่ะ ไปอบรมเขียนนิยายมาค่ะ” โซดาตอบแล้วยิ้มแหยเหมือนจะเกรงหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังของรถ “อ้อ!ที่ค่ายเทปR&Mใช่ไหม” “ไม่ใช่ค่ะสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในเครือบริษัทR&Mต่
งานเลี้ยงเลิกราแล้วหลายคนนัดไปเที่ยวต่อ มีเพียงโซดาที่ได้แต่ยืนโบกมือลาหน้าตึกเช่นเคย วันนี้ไม่มีใครมารับ ตั้มตาหยีติดช่วยงานที่อู่ซ่อมรถ พี่ชายก็ทำงานที่ร้านอาหาร เธอเองก็ไม่อยากเป็นภาระให้เขาที่ต้องทำงานเหนื่อยเผื่อส่งเสียให้เธอร่ำเรียน งานพ่อครัวในร้านอาหารหรูหราแบบนั้น ทำให้เบียร์มีเวลาหยุดพักผ่อนไม่เหมือนคนอื่น แต่ละสัปดาห์จะเข้างานเป็นกะ อาทิตย์เข้ากะเช้า อาทิตย์หน้าเข้ากะบ่าย เพราะอย่างนี้ละมั้งพี่ชายสุดหล่อมาดเข้มของโซดาถึงยังไม่มีแฟนเสียที เอานะ!ไม่เป็นไรหรอก สายรถเมล์ที่ต้องนั่งกลับบ้านก็จดไว้เรียบร้อยแล้ว แต่วันนี้ขอแวะร้านหนังสือก่อนกลับบ้าน เพิ่งบ่ายสองโมงกว่า รถราไม่ติดมากนักเพราะช่วงนี้ยังปิดเทอมใหญ่อยู่ เอ๊ะ! นั้นซิอีกไม่กี่วันกี่เดือนนะมหาวิทยาลัยจะเปิด เธอยกนิ้วขึ้นนับ วันนี้สิ้นเดือนเมษายนพอดี มหา’ลัยเปิดเดือนมิถุนายน ถ้าอย่างนั้นก็เหลือเวลาให้เธอเขียนนิยายอย่างจริงจังแค่เดือนกว่าเท่านั้นเอง ยังไงก็ต้องรักษาสัญญากับพี่ชายว่าเปิดเทอมเมื่อไหร่ต้องทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนให้มากที่สุด แถมวันจันทร์หน้าก็ต้องเริ่มไปทำงานพิเศษที่ร้านหมูหยองอินเตอ
คนที่มองเห็นผมเพียงคนเดียวกลับไปลมไปเสียแล้ว เฮ้อ! เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อราวๆ ครึ่งเดือนก่อน ขณะที่ผมกำลังพิมพ์ต้นฉบับอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้ทันส่งงานประกวดนิยายของเวบไซต์แห่งหนึ่ง เดดไลน์คือส่งงานภายในเที่ยงคืน ผมคิดว่า...เอ่อ...คิดว่านะ คิดว่าใช้เมาท์คลิกส่งเมล์งานเรียบร้อยแล้วก็ตั้งใจลุกขึ้นไปหาอะไรกินเสียหน่อยแต่เหมือนร่างกายไร้เรี่ยวแรงร่วงผล็อยลงไปกองกับพื้น เหมือนได้หลับไปเต็มอิ่มแต่พอลืมตาขึ้นกลับพบว่าตัวเองอยู่หน้าอาคารแห่งหนึ่ง ผมก็ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง และที่สำคัญคือไม่มีใครมองเห็นผม แม้ว่าจะพยายามส่งเสียงหรือไปสัมผัสอีกฝ่าย พวกเขาต่างเดินทะลุร่างของผมราวกับผมเป็นเพียงอากาศธาตุ และเมื่อผมพยายามตั้งสติสังเกตุสิ่งรอบตัวก็พบว่ามันไม่คุ้นตา และเมื่อเห็นข่าวในจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่หน้าตึกนั้นก็พบว่ามันเป็นปีพ.ศ.2533 พระเจ้า! ผมเป็นคนในปี พ.ศ.2567 แต่กลับย้อนเวลาอยู่ในปี พ.ศ.2533 แล้วที่ผมงงหนักที่สุดก็คือ ผมไม่รู้ว่าผมชื่ออะไรและเป็นใครนะสิ! ย้อนเวลามาทั้งที่แต่ดันความจำเสื่อม และที่จำไม่ได้ก็มีแค่เรื่องของตัวเองเท่านั้น ขอขยายความเข้าใ
“ก็หมายความว่าไม่มีใครมองเห็นผมไงครับ แบบเมื่อครู่ที่พี่ชายคุณยังไม่เห็นผมเดินทะลุตัวผมเฉยเลย” “แล้วคุณเป็นใครล่ะ เราเคยรู้จักกันเหรอ หรือว่ารู้จักกันตั้งแต่ชาติที่แล้ว” “เอ่อ...ไม่ทราบครับ” “ไมทราบ? ไม่ทราบได้ยังไง” โซดารู้สึกหงุดหงิดและคลายความรู้สึกกลัวผู้ชายตรงหน้าลงอย่างไม่รู้ตัว “แล้วชื่ออะไร” “ไม่ทราบครับ” “หา!…งั้นบ้านช่องอยู่ไหนเป็นอะไรตาย” “อันนี้ก็ไม่ทราบครับ” “เฮ้ย…อย่าตลกน่า ชื่อตัวเองก็ไม่รู้ นอกจากจะเป็นผีเร่ร่อนแล้วยังเป็นผีความจำเสื่อมอีกเหรอเนี่ย แล้วรู้อะไรบ้างเนี่ย” “ไม่ทราบครับ เอ่อ ไม่แน่ใจ…เดี๋ยวนะครับ” คุณผีไม่ได้รับเชิญยกนิ้วมือขึ้นนับ โซดายกมือกุมขมับอยากจะกรี๊ด กับท่านับนิ้วเหมือนเด็กอนุบาล “ผมรู้สึกตัวก็มายืนอยู่หน้าตึกที่คุณเดินเข้าเดินออกสองสามวันก่อนนะครับ ก็น่าจะสามหรือสี่วันแล้วละ แต่เหมือนกับว่า...ต้องอยู่ตรงนั้นเผื่อทำอะไรสักอย่าง” “เหรอ” โซดาพยักหน้าหงึกหงัก “ก็น่าจะวันเดียวกับที่ฉันไปอบรมเขียนนิยาย”
นิ้วมือเล็ก ๆ ขยับพร่างพรมบนแป้นคีย์บอร์ดอย่างชำนาญ ชายหนุ่มหน้าตี๋ร่างสูงผมสั้นสีน้ำตาลแดงยืนมองอยู่ข้างคอมพิวเตอร์สีซีดด้วยแววตาชื่นชม เขาเหลียวมองบรรยากาศในร้าน “หมูหยองอินเตอร์เนท” ที่เห็นจนชินตาแต่ความรู้สึกกลับสดใสมากกว่าเมื่อครั้งที่เจ้าของร้านยังอยู่ ราวกับว่าร้านเนทเล็ก ๆ ที่มีคอมพิวเตอร์ให้บริการอยู่ประมาณสิบสองเครื่องได้รับความดูแลอย่างดี พื้นห้องก็สะอาด ถังขยะที่ไม่มีขยะล้นให้รำคาญลูกตา ประตูกระจกก็ใสสว่างไม่มีคราบฝุ่น หรือเป็นเพราะพนักงานดูแลร้านคนใหม่ที่เพิ่งประจำการได้เพียงอาทิตย์เศษคนนี้ “เรียบร้อยแล้วค่ะพี่ตั้ม” “อ้อ!” ตั้มหันมาตามเสียงเรียกของเด็กสาวที่ยิ้มหน้าแป้นอยู่หน้าคอมพ์เธอหมุนเก้าอี้เลื่อนมารอรับกระดาษที่ไหลออกมาจากเครื่องปริ๊ตเตอร์ “ใบเสนอราคาค่ะ ค่าปริ๊ตแผ่นละห้าบาท ส่วนค่าบริการเอาเป็นซามูไรเบอร์เกอร์ชิ้นหนึ่งนะคะ” “โหนี่เหรอราคากันเอง งั้นพี่ขอราคาปกติดีกว่ามั้ง” ชายหนุ่มหัวเราะจนตาหยี “เอ่อ…แล้วที่พี่ให้หาข้อมูลประกวดยังดีไซด์เนอร์อะไรนั่นละ”“พรุ่งนี้ได้ไหมค่ะ โซดาsaveมาแล้ว
“ใช่...ถึงจะไม่ค่อยเห็นสองคนนี้พูดจาดี ๆ ใส่กัน แต่ก็ดูออกว่าพี่ตั้มห่วงพี่น้ำหวานขนาดไหน ตั้งแต่ตอนที่พ่อแม่ฉันยังอยู่ ฉันจำภาพพี่เบียร์ที่ชอบช่วยแม่ทำกับข้าวจนพี่ตั้มล้อเอาอยู่บ่อย ๆแล้วพี่น้ำหวานก็จะมาดุพี่ตั้มเสมอเลย บ้านพี่ตั้มเป็นอู่ซ่อมรถแล้วพี่ตั้มก็ชอบขโมยรถที่อู่มาขับอยู่บ่อย ๆ และโดนเตี่ยตีเป็นประจำ พี่เบียร์บอกว่าพี่ตั้มทำไปเพราะประชดพี่ชายคนโตเป็นหมอคนรองเป็นวิศวกร แต่พี่ตั้มเรียนไม่เก่งจบปวส.ก็ไม่เรียนต่อคลุกอยู่แต่ในอู่รถ ส่วนพี่น้ำหวานพ่อแม่พี่เค้าแยกทางตั้งแต่พี่น้ำหวานจำความได้ พี่น้ำหวานอยู่กับป้าญาติห่าง ๆ ป้าเค้าเย็บเสื้อผ้าโหลพี่น้ำหวานเลยอยากเป็นดีไซด์เนอร์แต่ว่าป้าไม่เข้าใจว่าดีไซด์เนอร์กับช่างเย็บผ้ามันต่างกันยังไง ป้าอยากให้ทำงานดี ๆ เป็นพนักงานกินเงินเดือน พี่น้ำหวานก็เลยหาเช่าแผงขายเสื้อผ้าที่สะพานพุทธ มีทั้งรับมาแล้วก็แบบที่ตัวเองดีไซด์เองด้วย” กว่าโซดาจะเล่าจบเธอก็นับเงินในกล่องเก็บเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว “ชีวิตพวกคุณนี่น่าสนุกจังเลยนะครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนมากกว่าประชดประชัน โซดาระบายลมหายใจหนัก ๆ