ซ่งรั่วเจินมองโคมใจเดียวตรงหน้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงพูดกันว่านี่คือโคมลอยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบปี“แม่นางซ่ง ท่านสามารถเขียนคำอธิษฐานแล้วแขวนไว้กับโคมใจเดียวเพื่อขอพรจากสวรรค์” แม่นางที่อยู่ข้างๆ กล่าวอย่างยิ้มแย้มมองดูกระดาษสีแดงตรงหน้า แต่ไหนแต่ไรมาซ่งรั่วเจินไม่เคยอธิษฐาน แต่เห็นทุกคนกำลังเขียนคำอธิษฐานในใจตัวเองอย่างจริงจัง นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ มองไปทางชายหนุ่มข้างกายแล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอย่างช้าๆ...ขอให้บุคคลอันเป็นที่รักแคล้วคลาดปลอดภัยฉู่จวินถิงสบตากับซ่งรั่วเจิน ทันใดนั้นก็เข้าใจแล้วว่าการยลโฉมงามใต้แสงโคมหมายความว่าอย่างไร เทียบกับเวลากลางวัน สีสันยามค่ำคืนนั้นละมุนละไมกว่ามองจากมุมมองของเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าแม่นางตรงหน้างดงามจนชวนให้จิตใจสั่นไหวเขาได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ได้มาอยู่ด้วยกันกับนาง ก็สามารถเติมเต็มความเสียดายทั้งมวลของชีวิตอันเดียวดายในชาติก่อนของเขาได้แล้วเขาหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนลงไปอย่างแช่มช้าเช่นกัน...ขอให้คนที่ข้ารักสมปรารถนาทุกประการได้อยู่ร่วมกันกับนางคือความปรารถนาชั่วชีวิตนี้ของเขา ขณะที่ตอนนี้ ความปรารถนาของเขาเป็นจริงแล้วจึงไม่ปรา
แต่หลังจากที่กู้ฮวนเอ๋อร์ได้ยินว่าญาติผู้พี่ไม่เคยได้สิ้นเปลืองความคิดเพื่อเรื่องนี้เลยตั้งแต่ต้นจนจบ แต่กลับเป็นฉู่อ๋องเสียอีกที่สะสางทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งยังยอมรับต่อหน้าฮองเฮาว่าเขาเป็นฝ่ายพยายามเอาชนะใจนาง ญาติผู้พี่ยังไม่แน่ว่าจะรับปาก นางจึงตระหนักว่าที่แท้สตรีก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีเหมือนญาติผู้พี่ได้เหมือนกันไม่ต้องก้มศีรษะให้ครอบครัวสามี ทั้งยังไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังทุกย่างก้าว นางมีความกล้าถอนหมั้นในวันแต่งงาน ทั้งยังไม่เกรงกลัวถ้อยคำซุบซิบนินทาต่อให้ใครจะคิดว่านางไม่คู่ควรกับฉู่อ๋อง ทว่าในสายตาฉู่อ๋อง สิ่งที่กลัวกลับเป็นการทำให้นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจฉู่มู่เหยาก็เข้าใจความคิดของกู้ฮวนเอ๋อร์เช่นกัน ถึงนางจะเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ แต่ก็ไม่กล้ามีความคิดเช่นพี่สะใภ้แต่เมื่อได้เห็นพี่สะใภ้และเสด็จพี่เช่นนี้ นางก็อวยพรให้พวกเขาจากใจจริงแม้ว่าชั่วชีวิตนี้ตนเองไม่แน่ว่าจะสามารถใช้ชีวิตแบบพี่สะใภ้ได้ แต่เพียงได้เห็นว่าพวกเขาทำได้ นางก็รู้สึกเป็นเกียรติแล้วสี่พี่น้องสกุลซ่งเห็นว่าฉู่จวินถิงให้ความสำคัญกับน้องสาวของพวกตนเช่นนี้ก็อดมองตากันไม่ได้ ใบหน้
ซ่งหลินมองรอยยิ้มของลูกสาวตนเอง ในใจรู้สึกเป็นสุขอย่างไม่อาจพรรณนา ประกอบกับได้ยินคำพูดของภรรยาตนเองพอดี เขาจึงอดกล่าวขึ้นไม่ได้ว่า“ตอนนี้ท่าทีของข้าดีมากแล้ว ไม่ว่าพ่อตาบ้านไหนก็เห็นลูกเขยขัดตาทั้งนั้นแหละ แต่ฉู่อ๋องผู้นี้ นิสัยไร้ที่ติเลยจริงๆ”“ในอดีตตอนข้าอยู่ในสนามรบมักได้หารือกับเขาบ่อยๆ เป็นสุภาพบุรุษที่หาได้ยากคนหนึ่ง ทั้งยังมีความรับผิดชอบ เขาจะไม่ทำให้เจินเอ๋อร์ผิดหวังแน่นอน”คิดถึงว่าตอนแรกเขาก็คิดว่าฉู่จวินถิงเป็นลูกเขยที่ดีคนหนึ่ง ไม่ว่าลูกสาวสกุลใดได้แต่งงานกับเขา จะต้องได้มีชีวิตที่ดีพร้อมอย่างแน่นอน แต่เจ้าหมอนี่นิสัยเย็นชาเกินไป ไม่ถูกใจลูกสาวบ้านไหนสักคน เขาจึงเลิกล้มความคิดนี้ไปใครเลยจะคาดว่าวกไปวนมาสุดท้ายทุกอย่างก็กลายเป็นจริง ฉู่อ๋องถึงกับต้องการแต่งงานกับลูกสาวเขาคนเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อพวกสหายเก่าแก่ได้รู้เรื่องนี้ แต่ละคนก็มีสีหน้าเหมือนเห็นผี ในใจเขาไม่ต้องบอกเลยว่าปลาบปลื้มมากแค่ไหน!กู้หรูเยียนพยักหน้าน้อยๆ “สายตาของเจินเอ๋อร์ก็ดีเหมือนกัน โชคดีที่ถอนหมั้นเสียตั้งแต่ตอนนั้น มิฉะนั้นถ้าเข้าไปอยู่ในจวนสกุลหลิน พ่อแม่อย่างพวกเราก็ทำผิดต่อนางมากเกินไ
ฉู่อวิ๋นกุยอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง ชั่วชีวิตนี้ข้าคงคิดไม่ถึงเลยว่าด้วยนิสัยของเสด็จพี่จะมีวันที่เตรียมการเช่นนี้เอาไว้ด้วย”ก่อนหน้านี้เมื่อเสด็จพี่พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็เค้นสมองครุ่นคิด แต่นอกจากเรื่องดอกไม้ไฟแล้ว ความคิดอื่นๆ ล้วนถูกปฏิเสธทันควันเมื่อเทียบกันในยามนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนกันว่าความคิดพวกนั้นของตนเองไม่เข้าท่าเอาเสียจริงๆซ่งรั่วเจินขึ้นเรือที่ตกแต่งอย่างหรูหราไปกับฉู่จวินถิงแล้วค่อยพบว่าคนอื่นๆ ไม่ได้ตามมาด้วยจึงอดถามไม่ได้ว่า “มีแค่พวกเราสองคนหรือ?”ฉู่จวินถิงมองหญิงสาวตรงหน้า สายตาตกลงบนริมฝีปากสีกุหลาบนั้น ความรู้สึกอ่อนนุ่มเมื่อครู่ก่อนยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในห้วงคำนึง เพียงปรารถนาจะลิ้มรสอย่างเต็มที่สักคราเขาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ร่นระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง “อืม มีแค่พวกเรา”แววตาของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นลึกล้ำขึ้นมา กระทั่งน้ำเสียงก็ยังแหบพร่าอยู่บ้างครู่ก่อนยังมีท่าทางอบอุ่นดุจอาบไล้อยู่ในสายลมวสันต์อยู่แท้ๆ ฉับพลันนั้นก็เปลี่ยนเป็นเปี่ยมแรงกดดัน ดวงตาคู่นั้นยังคงอ่อนโยนเปี่ยมแววรักใคร่ ทว่าแฝงไว้ซึ่งแววคุกคาม
ซ่งรั่วเจินเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ยิ้มเหมือนจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง “ผู้ชายดีๆ ในเมืองหลวงมีไม่น้อย หลังจากหม่อมฉันถอนหมั้น คนที่มาทาบทามสู่ขอหม่อมฉันก็มีมากมาย...”“ยังมีมากมายอีกด้วย? ไหนลองบอกข้ามาซิว่ามีใครบ้าง?”ฉู่จวินถิงรู้ว่าแม่นางผู้นี้กำลังหยอกเย้าตนเองอยู่ แต่ครั้นคิดถึงว่าตอนนั้นนางไม่มีความคิดจะแต่งงานกับเขาเลยสักนิด หากไม่ใช่เพราะเขาไม่ยอมแพ้ ยามนี้ไม่แน่ว่าคงแต่งงานกับคนอื่นไปแล้วก็เป็นได้มือของเขาเกาะกุมเนื้ออ่อนบริเวณเอวนาง ออกแรงเล็กน้อยก็ทำให้นางหัวเราะคิกขึ้นมา“ฮ่าๆ จั๊กจี้ ท่านปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ”ซ่งรั่วเจินกลัวจั๊กจี้มาแต่ไหนแต่ไร ทั้งร่างพลันอ่อนระทวย ดิ้นขลุกขลักไปมาในอ้อมกอดของฉู่จวินถิง“ท่านปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้นะ เร็วเข้า!”ฉู่จวินถิงมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ข้าไม่ปล่อย เจ้าบอกข้ามาก่อนว่ามีใครบ้าง”“ไม่มี ไม่มี นอกจากท่านก็ไม่มีใครทั้งนั้น”ซ่งรั่วเจินอ้อนวอนอย่างอ่อนใจ นางคิดไม่ถึงเลยว่าฉู่จวินถิงจะมาไม้นี้ ยื่นมือเข้าไปคิดจะจั๊กจี้เขาบ้าง แต่กลับพบว่าเนื้อบนตัวชายหนุ่มแข็งกว่านางมากนัก เมื่อแตะถูกบริเวณเอวอย่างไม่ทันระวังก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงเค้าโครงกล้ามเนื
“เมื่อวานข้าได้ดูตั้งแต่ต้นจนจบ การจัดเตรียมแสนอลังการแบบนี้ ไม่เพียงแค่ไม่เคยเห็นมาก่อนเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความจริงใจของฉู่อ๋อง”“ตอนที่ข้าเห็นฉู่อ๋องเป็นฝ่ายถามแม่นางซ่งว่ายินดีแต่งงานกับเขาหรือไม่ก็รู้สึกว่าถ้าบุรุษในใต้หล้าเป็นเหมือนเขากันทุกคนก็คงดี”“ไม่รู้ว่าการมอบแหวนมีความหมายพิเศษอันใดหรือไม่? ตอนข้าเห็นฉู่อ๋องสวมแหวนให้แม่นางซ่งก็รู้สึกว่าพิเศษเอามากๆ วันหน้าตอนข้าแต่งงานก็อยากทำเช่นนี้เหมือนกัน”ทันใดนั้น แหวนในร้านขายเครื่องประดับก็กลายเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงเช้าวันนี้ แหวนทั้งหมดล้วนขายไปจนหมดเกลี้ยงขณะที่เวลานี้จวนสกุลซ่งเพิ่งได้รับราชโองการพระราชทานสมรส“ยินดีด้วย แม่ทัพซ่ง ซ่งฮูหยิน วันที่แปดเดือนหน้าเป็นวันดี หลังแต่งงานแล้ว แม่นางซ่งก็จะกลายเป็นพระชายาฉู่อ๋อง”ขันทีที่อัญเชิญราชโองการมามีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ตำแหน่งพระชายาฉู่อ๋องว่างเว้นมานานมากแล้ว ฉู่อ๋องควรแต่งงานตั้งแต่หลายปีก่อน แต่ก็ผัดผ่อนมาจนถึงตอนนี้บัดนี้ในที่สุดก็มีว่าที่พระชายาฉู่อ๋องเสียที ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองโดยแท้“เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งของพระราชทานจากในวัง ไม่เพ
ราชวงศ์ฉู่โยว เมืองหลวงเกี้ยวเจ้าสาวสองหลังหยุดเรียงกันหน้าประตูจวนหลินโหว ตามมาด้วยเสียงประทัดฆ้องกลอง ครึกครื้นมากเป็นพิเศษแขกเหรื่อมาร่วมงานเห็นภาพนี้แล้วก็ตกตะลึง “เหตุใดมีเกี้ยวเจ้าสาวสองหลังกันเล่า?”“แม่นางห้าสกุลซ่ง—ซ่งรั่วเจิน รอหลินโหวมานานสองปี ดูแลงานทั้งจวนโหวแทนเขา บัดนี้หลินโหวคว้าชัยชนะกลับมา ตบแต่งแม่นางซ่งก็คือเรื่องดีของเมืองหลวง แต่เกี้ยวเจ้าสาวเข้าประตูพร้อมกัน มิใช่ว่ายังแต่งกับคนอื่นด้วยหรือ?”“คุณหนู ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”ซ่งรั่วเจินรู้สึกเพียงเสียงดังเอะอะอยู่ข้างหูพักหนึ่ง ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว ลืมตาทั้งสองข้างก็มองเห็นชุดแต่งงานสีแดงเข้ม?เกิดเหตุอันใดขึ้น?ชุดแต่งงานซิ่วเหอและเกี้ยวเจ้าสาวสีแดงเข้ม นี่มิใช่ขบวนแต่งงานหรอกหรือ?“ท่านโหวทำเกินไปแล้ว ก่อนนี้เขาออกรบอยู่ภายนอก หากมิได้ท่านดูแลฮูหยินผู้เฒ่า ไฉนเลยเขาจะสามารถออกรบอย่างสบายใจได้? บัดนี้กลับมาอย่างยากลำบาก เขาถึงขั้นตบแต่งฉินซวงซวงเป็นภรรยาหลวงลำดับเดียวกันในวันแต่งงาน ไม่บอกกล่าวแม้คำเดียว เห็นได้ชัดว่ากำลังรังแกคุณหนู!”เฉินเซียงยิ่งพูดยิ่งโมโห บัดนี้เกี้ยวเจ้าสาวทั้งสองหลังหยุดอ
ซ่งรัวเจินถามไล่เรียงกระแทกลงไป กระแทกเสียจนสีหน้าหลินจือเยว่เผือดซีด หวุดหวิดจะเป็นลมหมดสติไปแล้วเหตุใดนางกล้าพูดเรื่องเหล่านี้ออกมาต่อหน้าคนมากมายเพียงนี้!“เรื่องนี้ก็ไม่ซื่อสัตย์จริงใจจริงนั่นล่ะ ได้ยินมาว่าหลินโหวและฉินซวงซวงมีใจปฏิพัทธ์ต่อกันมาตั้งแต่แรกแล้ว สองปีก่อนฉินซวงซวงไม่ยอมแต่งกับเขา นี่เขาถึงตกลงหมั้นหมายกับสกุลซ่ง ใครเคยคิดเล่าว่าทำความดีความชอบกลับมา ฉินซวงซวงกลับยอมแต่งกับเขาแล้ว ดังนั้นจึงคิดทำเช่นนี้ จุ๊ ๆ ...”“แม่นางสกุลซ่งไม่กลายเป็นตัวโง่งมไปแล้วหรือ?”ความทุ่มเทตลอดสองปีสูญเปล่าไปแล้ว เย็บชุดเจ้าสาวให้ผู้อื่นสวม ได้รับความทุกข์อย่างแสนสาหัสแต่ยังต้องกลั้นก้อนสะอื้น นี่ใครยังสามารถทนได้กันเล่า?“พี่หญิง อย่าโมโหไปเลย”ฉินซวงซวงก้าวเท้าฉับไวขึ้นมา มิอาจข่มความแปลกใจภายในใจเอาไว้ได้เห็นได้ชัดว่าซ่งรั่วเจินเป็นพลับอ่อนให้คนบดขยี้ แต่งเข้าบ้านพร้อมกันก็เป็นนางและจือเยว่ร่วมกันวางแผน แม้นางไม่ยอมแต่ก็ต้องกล้ำกลืนฝืนรับปาก ไม่โวยวายใหญ่โตอันใดใครคาดคิดนางถึงขั้นเปิดผ้าคลุมหน้าลงจากเกี้ยวเจ้าสาว โวยวายอยู่ที่หน้าประตูเช่นนี้?“ล้วนเป็นความผิดของซวงซวง ท่าน
“เมื่อวานข้าได้ดูตั้งแต่ต้นจนจบ การจัดเตรียมแสนอลังการแบบนี้ ไม่เพียงแค่ไม่เคยเห็นมาก่อนเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความจริงใจของฉู่อ๋อง”“ตอนที่ข้าเห็นฉู่อ๋องเป็นฝ่ายถามแม่นางซ่งว่ายินดีแต่งงานกับเขาหรือไม่ก็รู้สึกว่าถ้าบุรุษในใต้หล้าเป็นเหมือนเขากันทุกคนก็คงดี”“ไม่รู้ว่าการมอบแหวนมีความหมายพิเศษอันใดหรือไม่? ตอนข้าเห็นฉู่อ๋องสวมแหวนให้แม่นางซ่งก็รู้สึกว่าพิเศษเอามากๆ วันหน้าตอนข้าแต่งงานก็อยากทำเช่นนี้เหมือนกัน”ทันใดนั้น แหวนในร้านขายเครื่องประดับก็กลายเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงเช้าวันนี้ แหวนทั้งหมดล้วนขายไปจนหมดเกลี้ยงขณะที่เวลานี้จวนสกุลซ่งเพิ่งได้รับราชโองการพระราชทานสมรส“ยินดีด้วย แม่ทัพซ่ง ซ่งฮูหยิน วันที่แปดเดือนหน้าเป็นวันดี หลังแต่งงานแล้ว แม่นางซ่งก็จะกลายเป็นพระชายาฉู่อ๋อง”ขันทีที่อัญเชิญราชโองการมามีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ตำแหน่งพระชายาฉู่อ๋องว่างเว้นมานานมากแล้ว ฉู่อ๋องควรแต่งงานตั้งแต่หลายปีก่อน แต่ก็ผัดผ่อนมาจนถึงตอนนี้บัดนี้ในที่สุดก็มีว่าที่พระชายาฉู่อ๋องเสียที ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองโดยแท้“เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งของพระราชทานจากในวัง ไม่เพ
ซ่งรั่วเจินเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ยิ้มเหมือนจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง “ผู้ชายดีๆ ในเมืองหลวงมีไม่น้อย หลังจากหม่อมฉันถอนหมั้น คนที่มาทาบทามสู่ขอหม่อมฉันก็มีมากมาย...”“ยังมีมากมายอีกด้วย? ไหนลองบอกข้ามาซิว่ามีใครบ้าง?”ฉู่จวินถิงรู้ว่าแม่นางผู้นี้กำลังหยอกเย้าตนเองอยู่ แต่ครั้นคิดถึงว่าตอนนั้นนางไม่มีความคิดจะแต่งงานกับเขาเลยสักนิด หากไม่ใช่เพราะเขาไม่ยอมแพ้ ยามนี้ไม่แน่ว่าคงแต่งงานกับคนอื่นไปแล้วก็เป็นได้มือของเขาเกาะกุมเนื้ออ่อนบริเวณเอวนาง ออกแรงเล็กน้อยก็ทำให้นางหัวเราะคิกขึ้นมา“ฮ่าๆ จั๊กจี้ ท่านปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ”ซ่งรั่วเจินกลัวจั๊กจี้มาแต่ไหนแต่ไร ทั้งร่างพลันอ่อนระทวย ดิ้นขลุกขลักไปมาในอ้อมกอดของฉู่จวินถิง“ท่านปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้นะ เร็วเข้า!”ฉู่จวินถิงมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ข้าไม่ปล่อย เจ้าบอกข้ามาก่อนว่ามีใครบ้าง”“ไม่มี ไม่มี นอกจากท่านก็ไม่มีใครทั้งนั้น”ซ่งรั่วเจินอ้อนวอนอย่างอ่อนใจ นางคิดไม่ถึงเลยว่าฉู่จวินถิงจะมาไม้นี้ ยื่นมือเข้าไปคิดจะจั๊กจี้เขาบ้าง แต่กลับพบว่าเนื้อบนตัวชายหนุ่มแข็งกว่านางมากนัก เมื่อแตะถูกบริเวณเอวอย่างไม่ทันระวังก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงเค้าโครงกล้ามเนื
ฉู่อวิ๋นกุยอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง ชั่วชีวิตนี้ข้าคงคิดไม่ถึงเลยว่าด้วยนิสัยของเสด็จพี่จะมีวันที่เตรียมการเช่นนี้เอาไว้ด้วย”ก่อนหน้านี้เมื่อเสด็จพี่พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็เค้นสมองครุ่นคิด แต่นอกจากเรื่องดอกไม้ไฟแล้ว ความคิดอื่นๆ ล้วนถูกปฏิเสธทันควันเมื่อเทียบกันในยามนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนกันว่าความคิดพวกนั้นของตนเองไม่เข้าท่าเอาเสียจริงๆซ่งรั่วเจินขึ้นเรือที่ตกแต่งอย่างหรูหราไปกับฉู่จวินถิงแล้วค่อยพบว่าคนอื่นๆ ไม่ได้ตามมาด้วยจึงอดถามไม่ได้ว่า “มีแค่พวกเราสองคนหรือ?”ฉู่จวินถิงมองหญิงสาวตรงหน้า สายตาตกลงบนริมฝีปากสีกุหลาบนั้น ความรู้สึกอ่อนนุ่มเมื่อครู่ก่อนยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในห้วงคำนึง เพียงปรารถนาจะลิ้มรสอย่างเต็มที่สักคราเขาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ร่นระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง “อืม มีแค่พวกเรา”แววตาของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นลึกล้ำขึ้นมา กระทั่งน้ำเสียงก็ยังแหบพร่าอยู่บ้างครู่ก่อนยังมีท่าทางอบอุ่นดุจอาบไล้อยู่ในสายลมวสันต์อยู่แท้ๆ ฉับพลันนั้นก็เปลี่ยนเป็นเปี่ยมแรงกดดัน ดวงตาคู่นั้นยังคงอ่อนโยนเปี่ยมแววรักใคร่ ทว่าแฝงไว้ซึ่งแววคุกคาม
ซ่งหลินมองรอยยิ้มของลูกสาวตนเอง ในใจรู้สึกเป็นสุขอย่างไม่อาจพรรณนา ประกอบกับได้ยินคำพูดของภรรยาตนเองพอดี เขาจึงอดกล่าวขึ้นไม่ได้ว่า“ตอนนี้ท่าทีของข้าดีมากแล้ว ไม่ว่าพ่อตาบ้านไหนก็เห็นลูกเขยขัดตาทั้งนั้นแหละ แต่ฉู่อ๋องผู้นี้ นิสัยไร้ที่ติเลยจริงๆ”“ในอดีตตอนข้าอยู่ในสนามรบมักได้หารือกับเขาบ่อยๆ เป็นสุภาพบุรุษที่หาได้ยากคนหนึ่ง ทั้งยังมีความรับผิดชอบ เขาจะไม่ทำให้เจินเอ๋อร์ผิดหวังแน่นอน”คิดถึงว่าตอนแรกเขาก็คิดว่าฉู่จวินถิงเป็นลูกเขยที่ดีคนหนึ่ง ไม่ว่าลูกสาวสกุลใดได้แต่งงานกับเขา จะต้องได้มีชีวิตที่ดีพร้อมอย่างแน่นอน แต่เจ้าหมอนี่นิสัยเย็นชาเกินไป ไม่ถูกใจลูกสาวบ้านไหนสักคน เขาจึงเลิกล้มความคิดนี้ไปใครเลยจะคาดว่าวกไปวนมาสุดท้ายทุกอย่างก็กลายเป็นจริง ฉู่อ๋องถึงกับต้องการแต่งงานกับลูกสาวเขาคนเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อพวกสหายเก่าแก่ได้รู้เรื่องนี้ แต่ละคนก็มีสีหน้าเหมือนเห็นผี ในใจเขาไม่ต้องบอกเลยว่าปลาบปลื้มมากแค่ไหน!กู้หรูเยียนพยักหน้าน้อยๆ “สายตาของเจินเอ๋อร์ก็ดีเหมือนกัน โชคดีที่ถอนหมั้นเสียตั้งแต่ตอนนั้น มิฉะนั้นถ้าเข้าไปอยู่ในจวนสกุลหลิน พ่อแม่อย่างพวกเราก็ทำผิดต่อนางมากเกินไ
แต่หลังจากที่กู้ฮวนเอ๋อร์ได้ยินว่าญาติผู้พี่ไม่เคยได้สิ้นเปลืองความคิดเพื่อเรื่องนี้เลยตั้งแต่ต้นจนจบ แต่กลับเป็นฉู่อ๋องเสียอีกที่สะสางทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งยังยอมรับต่อหน้าฮองเฮาว่าเขาเป็นฝ่ายพยายามเอาชนะใจนาง ญาติผู้พี่ยังไม่แน่ว่าจะรับปาก นางจึงตระหนักว่าที่แท้สตรีก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีเหมือนญาติผู้พี่ได้เหมือนกันไม่ต้องก้มศีรษะให้ครอบครัวสามี ทั้งยังไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังทุกย่างก้าว นางมีความกล้าถอนหมั้นในวันแต่งงาน ทั้งยังไม่เกรงกลัวถ้อยคำซุบซิบนินทาต่อให้ใครจะคิดว่านางไม่คู่ควรกับฉู่อ๋อง ทว่าในสายตาฉู่อ๋อง สิ่งที่กลัวกลับเป็นการทำให้นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจฉู่มู่เหยาก็เข้าใจความคิดของกู้ฮวนเอ๋อร์เช่นกัน ถึงนางจะเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ แต่ก็ไม่กล้ามีความคิดเช่นพี่สะใภ้แต่เมื่อได้เห็นพี่สะใภ้และเสด็จพี่เช่นนี้ นางก็อวยพรให้พวกเขาจากใจจริงแม้ว่าชั่วชีวิตนี้ตนเองไม่แน่ว่าจะสามารถใช้ชีวิตแบบพี่สะใภ้ได้ แต่เพียงได้เห็นว่าพวกเขาทำได้ นางก็รู้สึกเป็นเกียรติแล้วสี่พี่น้องสกุลซ่งเห็นว่าฉู่จวินถิงให้ความสำคัญกับน้องสาวของพวกตนเช่นนี้ก็อดมองตากันไม่ได้ ใบหน้
ซ่งรั่วเจินมองโคมใจเดียวตรงหน้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงพูดกันว่านี่คือโคมลอยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบปี“แม่นางซ่ง ท่านสามารถเขียนคำอธิษฐานแล้วแขวนไว้กับโคมใจเดียวเพื่อขอพรจากสวรรค์” แม่นางที่อยู่ข้างๆ กล่าวอย่างยิ้มแย้มมองดูกระดาษสีแดงตรงหน้า แต่ไหนแต่ไรมาซ่งรั่วเจินไม่เคยอธิษฐาน แต่เห็นทุกคนกำลังเขียนคำอธิษฐานในใจตัวเองอย่างจริงจัง นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ มองไปทางชายหนุ่มข้างกายแล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอย่างช้าๆ...ขอให้บุคคลอันเป็นที่รักแคล้วคลาดปลอดภัยฉู่จวินถิงสบตากับซ่งรั่วเจิน ทันใดนั้นก็เข้าใจแล้วว่าการยลโฉมงามใต้แสงโคมหมายความว่าอย่างไร เทียบกับเวลากลางวัน สีสันยามค่ำคืนนั้นละมุนละไมกว่ามองจากมุมมองของเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าแม่นางตรงหน้างดงามจนชวนให้จิตใจสั่นไหวเขาได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ได้มาอยู่ด้วยกันกับนาง ก็สามารถเติมเต็มความเสียดายทั้งมวลของชีวิตอันเดียวดายในชาติก่อนของเขาได้แล้วเขาหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนลงไปอย่างแช่มช้าเช่นกัน...ขอให้คนที่ข้ารักสมปรารถนาทุกประการได้อยู่ร่วมกันกับนางคือความปรารถนาชั่วชีวิตนี้ของเขา ขณะที่ตอนนี้ ความปรารถนาของเขาเป็นจริงแล้วจึงไม่ปรา
ฉู่มู่เหยาว่าแล้วก็ส่ายศีรษะไปมา “ก่อนหน้านี้ยังพร่ำพูดว่าชอบเสด็จพี่ ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป้าหมายรวดเร็วปานนี้ ก็คงเพราะอยากเป็นพระชายานั่นแหละ”เสียแรงที่ก่อนหน้านี้นางอุตส่าห์ดีใจมากตอนเห็นหลิงเชี่ยนเอ๋อร์กลับมา คิดว่าถึงอย่างไรก็เป็นสหายที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี ยามนี้กลับมาแล้วจึงดีใจมาก ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลังทำให้นางเข้าใจว่าเรื่องราวหาได้เรียบง่ายดังที่นางคิดหลังจากได้รู้ความคิดที่แท้จริงของหลิงเชี่ยนเอ๋อร์ นางก็ตีตัวออกห่างมาโดยไม่รู้ตัว มาบัดนี้ได้เห็นภาพที่อีกฝ่ายเทียวไล้เทียวขื่อเสด็จพี่รองก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง“ก่อนนี้เช่ออ๋องอยากใกล้ชิดกับนางไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เห็นนางตกลงแล้ว สองคนนี้ก็น่าจะตกล่องปล่องชิ้นกันได้ไม่ใช่หรือไร?” ซ่งรั่วเจินประหลาดใจ นางไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนฉู่มู่เหยาส่ายหน้าน้อยๆ “พี่สะใภ้ ท่านไม่รู้หรอกว่าเสด็จพี่รองเป็นคนที่ฉลาดเป็นกรดแค่ไหน เขาก็เหมือนกับแม่ของเขานั่นแหละ ช่ำชองการประเมินสถานการณ์เป็นที่สุดแล้ว”“ก่อนนี้ตระกูลหลิงเพิ่งกลับมา มีอิทธิพลมาก เขาย่อมจะมีความคิดเช่นนั้น แต่ช่วงนี้ข้าได้ยินมาว่าสถานการณ์ตระกูลหลิงเกิดความเปลี่ยนแป
“สวรรค์ ห่วงทั้งสามลงเป้าพร้อมกัน จะร้ายกาจเกินไปแล้วกระมัง!”“ก่อนนี้ข้าก็เคยลองมาเหมือนกัน เล็งอยู่นานก็ยังไม่แตะโดนขอบเสียด้วยซ้ำ ฉู่อ๋องแค่เหลือบมองแวบเดียวก็โยนห่วงลงเป้าได้อย่างแม่นยำไร้ข้อผิดพลาด สามห่วงลงเป้าทุกอัน ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเองก็คงไม่กล้าเชื่อด้วยซ้ำ!”เสียงฮือฮาดังขึ้นเป็นระลอกมาจากรอบบริเวณ รู้สึกเพียงว่าช่างเก่งกาจโดยแท้ เดิมนึกว่าโยนห่วงยากขนาดนี้เป็นเพราะตั้งใจให้คนโยนไม่ลงเป้าเสียอีกจนกระทั่งชั่วขณะนี้ ทุกคนจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ไม่ใช่ไม่ให้พวกเขาโยนลงเป้า แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีความสามารถเช่นนั้นเองต่างหาก!ฉู่เทียนเช่อเห็นฝีมือของฉู่จวินถิงแล้วก็แทบจะคงรอยยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่อยู่ ในใจยิ่งเต็มไปด้วยความตกตะลึงเจ้าหมอนี่ทำได้อย่างไรกัน?เดิมทีอยากให้ฉู่จวินถิงขายหน้าในวันนี้ ไม่คิดเลยว่าจะทำให้อีกฝ่ายได้หน้าไปเสียอย่างนั้น...“เสด็จพี่ของข้าเก่งกาจด้านนี้มาแต่ไหนแต่ไร ตอนอยู่ในสมรภูมิก็ยังไร้พ่าย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้อาจยากมากสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเสด็จพี่ของข้าแล้วกลับไม่นับเป็นอย่างไร”ฉู่อวิ๋นกุยรอยยิ้มเต็มใบหน้า ท่าทางนั้นยังกระหยิ่มยิ้มย่องกว่
ฉู่อวิ๋นกุยและสี่พี่น้องสกุลซ่งสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล แต่ไหนแต่ไรมาฉู่อ๋องไม่ใช่คนปากไม่มีหูรูด ยิ่งไม่มีวันโจมตีองค์ชายสี่ร่างกายอ่อนแอโดยไร้สาเหตุในเมื่อเขาทำถึงเพียงนี้ ก็หมายความว่าเขาไม่ชอบเหลียงอ๋องเพราะเหตุนี้ ซ่งรั่วเจินจึงสังเกตเห็นว่าไม่ว่าอวิ๋นอ๋องหรือพี่ชายของตนก็ล้วนมีท่าทีเปลี่ยนไปในเวลาเพียงชั่วพริบตาฉู่เทียนเช่อเกิดความสงสัย หรือว่าฉู่อ๋องและเหลียงอ๋องมีความขัดแย้งใดที่เขาไม่รู้?“น้องสี่ ก่อนหน้านี้ข้ารู้เพียงว่าไม่ว่าโยนลูกศรลงไหหรือโยนห่วงเจ้าก็ล้วนแม่นยำทั้งสิ้น ในเมื่อวันนี้มาแล้ว ไม่สู้ให้พวกเราได้ประจักษ์ต่อสายตาสักหน่อย”ฉู่เทียนเช่อยังแย้มยิ้มดังเดิม หยิบห่วงทางด้านข้างวางไว้ในมือฉู่ซิ่นเหลียงเขาไม่สนใจหรอกว่าระหว่างทั้งสองคนมีความขัดแย้งกันหรือไม่ หากว่ามี นั่นก็ดีอย่างไม่ต้องสงสัย!“เช่นนั้นข้าจะลองดู”ฉู่ซิ่นเหลียงพยักหน้ายิ้มๆ สายตาสะท้อนแสงเย็นชาวูบหนึ่ง ครุ่นคิดภายในใจตกลงเขาปกปิดที่ใดไม่ดีถึงถูกฉู่อ๋องสังเกตเห็น?ทุกคนเห็นเหลียงอ๋องผู้อ่อนแอยกห่วงขึ้น มองแจกันดอกไม้ที่อยู่ไกลๆ วัดระยะครู่หนึ่งแล้วโยนออกไปได้เห็นห่วงนั้นสั่นไหวเล็กน้อยบ