ผู้ดูแลเผยสีหน้าเอือมระอา ทุกวันเพียงแค่เงินแจกจ่ายโจ๊กก็ใช้จ่ายไปไม่น้อย ครั้นเปลี่ยนเป็นแจกจ่ายซาลาเปาเนื้อราคาก็ชวนให้คนตกตะลึง อีกเดี๋ยวจะต้องไปคลังขอเบิกเงินอีกแล้ว...ซ่งจิ่งเซินและซ่งจืออวี้มองบรรยากาศครึกครื้นที่ประตูเมืองทิศทักษิณแห่งนั้น เอ่ยออกมาอย่างสลดใจ “ความยิ่งใหญ่เช่นนี้ ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นมาก่อน สกุลถังเงินหนาไม่ผิดไปดังคาด!”“น้องสี่ อัครมหาเสนาบดียอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ เหตุใดกับเรื่องนี้ถึงได้โง่งมนัก ปล่อยให้ถังเสวี่ยหนิงทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้?”ซ่งจืออวี้เผยสีหน้าสงสัย คนไม่เคยสัมผัสมาก่อนอาจไม่เข้าใจ แต่อัครมหาเสนาบดีไม่มีทางไม่รู้ผลลัพธ์ที่ตามมาของการกระทำนี้ซ่งจิ่งเซินหัวเราะเบาๆ “ได้ยินมาว่าเมื่อคืนดื่มสุราจนเมามาย น่ากลัวว่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้”“หากรู้เข้า จะต้องไม่ปล่อยให้นางทำเรื่องเหลวไหลแน่ แต่เรื่องนี้ชุลมุนวุ่นวายใหญ่โตถึงเพียงนี้ ต่อให้หลังผ่านวันนี้ไปจะห้ามเอาไว้ น่ากลัวว่าไม่ทันการณ์แล้ว”“ฉวยโอกาสในครั้งนี้ พวกเราเองก็หาเงินได้มาก อย่างไรเสียจวนถังก็ไม่ขาดเงินอยู่แล้ว”“สกุลถังแจกจ่ายโจ๊ก พวกเราหาเงินได้อย่างไร?” ซ่งจืออวี้ตกตะลึงซ่งจิ่งเซิ
ราชวงศ์ฉู่โยว เมืองหลวงเกี้ยวเจ้าสาวสองหลังหยุดเรียงกันหน้าประตูจวนหลินโหว ตามมาด้วยเสียงประทัดฆ้องกลอง ครึกครื้นมากเป็นพิเศษแขกเหรื่อมาร่วมงานเห็นภาพนี้แล้วก็ตกตะลึง “เหตุใดมีเกี้ยวเจ้าสาวสองหลังกันเล่า?”“แม่นางห้าสกุลซ่ง—ซ่งรั่วเจิน รอหลินโหวมานานสองปี ดูแลงานทั้งจวนโหวแทนเขา บัดนี้หลินโหวคว้าชัยชนะกลับมา ตบแต่งแม่นางซ่งก็คือเรื่องดีของเมืองหลวง แต่เกี้ยวเจ้าสาวเข้าประตูพร้อมกัน มิใช่ว่ายังแต่งกับคนอื่นด้วยหรือ?”“คุณหนู ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”ซ่งรั่วเจินรู้สึกเพียงเสียงดังเอะอะอยู่ข้างหูพักหนึ่ง ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว ลืมตาทั้งสองข้างก็มองเห็นชุดแต่งงานสีแดงเข้ม?เกิดเหตุอันใดขึ้น?ชุดแต่งงานซิ่วเหอและเกี้ยวเจ้าสาวสีแดงเข้ม นี่มิใช่ขบวนแต่งงานหรอกหรือ?“ท่านโหวทำเกินไปแล้ว ก่อนนี้เขาออกรบอยู่ภายนอก หากมิได้ท่านดูแลฮูหยินผู้เฒ่า ไฉนเลยเขาจะสามารถออกรบอย่างสบายใจได้? บัดนี้กลับมาอย่างยากลำบาก เขาถึงขั้นตบแต่งฉินซวงซวงเป็นภรรยาหลวงลำดับเดียวกันในวันแต่งงาน ไม่บอกกล่าวแม้คำเดียว เห็นได้ชัดว่ากำลังรังแกคุณหนู!”เฉินเซียงยิ่งพูดยิ่งโมโห บัดนี้เกี้ยวเจ้าสาวทั้งสองหลังหยุดอ
ซ่งรัวเจินถามไล่เรียงกระแทกลงไป กระแทกเสียจนสีหน้าหลินจือเยว่เผือดซีด หวุดหวิดจะเป็นลมหมดสติไปแล้วเหตุใดนางกล้าพูดเรื่องเหล่านี้ออกมาต่อหน้าคนมากมายเพียงนี้!“เรื่องนี้ก็ไม่ซื่อสัตย์จริงใจจริงนั่นล่ะ ได้ยินมาว่าหลินโหวและฉินซวงซวงมีใจปฏิพัทธ์ต่อกันมาตั้งแต่แรกแล้ว สองปีก่อนฉินซวงซวงไม่ยอมแต่งกับเขา นี่เขาถึงตกลงหมั้นหมายกับสกุลซ่ง ใครเคยคิดเล่าว่าทำความดีความชอบกลับมา ฉินซวงซวงกลับยอมแต่งกับเขาแล้ว ดังนั้นจึงคิดทำเช่นนี้ จุ๊ ๆ ...”“แม่นางสกุลซ่งไม่กลายเป็นตัวโง่งมไปแล้วหรือ?”ความทุ่มเทตลอดสองปีสูญเปล่าไปแล้ว เย็บชุดเจ้าสาวให้ผู้อื่นสวม ได้รับความทุกข์อย่างแสนสาหัสแต่ยังต้องกลั้นก้อนสะอื้น นี่ใครยังสามารถทนได้กันเล่า?“พี่หญิง อย่าโมโหไปเลย”ฉินซวงซวงก้าวเท้าฉับไวขึ้นมา มิอาจข่มความแปลกใจภายในใจเอาไว้ได้เห็นได้ชัดว่าซ่งรั่วเจินเป็นพลับอ่อนให้คนบดขยี้ แต่งเข้าบ้านพร้อมกันก็เป็นนางและจือเยว่ร่วมกันวางแผน แม้นางไม่ยอมแต่ก็ต้องกล้ำกลืนฝืนรับปาก ไม่โวยวายใหญ่โตอันใดใครคาดคิดนางถึงขั้นเปิดผ้าคลุมหน้าลงจากเกี้ยวเจ้าสาว โวยวายอยู่ที่หน้าประตูเช่นนี้?“ล้วนเป็นความผิดของซวงซวง ท่าน
“แม่นางฉิน ได้โปรดถอดออก เพียงมองดูก็จะทราบได้” เฉินเซียงเอ่ยเพียงฉินซวงซวงถอดออก เฉินเซียงก็หยิบกำไลหยกไปให้ทุกคนดูหนึ่งรอบ “ทุกท่านล้วนเห็นอย่างชัดเจนแล้ว ด้านบนแกะสลักชื่อเล่นของคุณหนูข้าเจินเอ๋อร์เอาไว้!”“ยังไม่ต้องพูดว่าท่านโหวและคุณหนูข้ายังไม่แต่งงานกัน ต่อให้แต่งงานแล้วจริง คนมีหน้ามีตาที่ใดยักยอกสินเดิมของฮูหยินตนเองด้วยหรือ?”นับแต่โบราณจนถึงตอนนี้ สินเดิมล้วนเป็นสิ่งของติดตัวฝ่ายหญิง แม้แต่บ้านสามีก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้อง เว้นเสียแต่ตนเองยินยอม ทว่าหลินจือเยว่หยิบไปโดยตรงไม่บอกกล่าวเช่นนี้ เรียกว่าขโมยก็ไม่เกินจริงครั้นซ่งจืออวี้พี่ชายสามของซ่งรั่วเจินเร่งเดินทางมาถึงก็ได้ยินว่าหลินจือเยว่ยกกำไลหยกที่ท่านแม่มอบให้เจินเอ๋อร์เป็นสินเดิมให้กับฉินซวงซวง กำปั้นเจือความเกรี้ยวกราดกระแทกเข้าไปโดยตรงหนึ่งหมัด!“ไอ้สารเลว!”หลินจือเยว่ถูกกำปั้นกระแทกหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว ดวงหน้าหันไปอีกฝั่งหนึ่ง เลือดไหลออกจากมุมปากซ่งจืออวี้ไม่คิดยั้งมือเลยแม้แต่น้อย วันนี้เป็นวันมงคลยิ่งใหญ่ของน้องหญิง พวกเขาทั้งครอบครัวส่งนางออกจากจวนอย่างดีใจมีความสุข ใครคาดคิดมาถึงจวนหลินโหวจะถูกหมิ่นแคล
“เรื่องนี้โทษท่านแม่ไม่ได้ พูดได้เพียงว่าหลินจือเยว่แสดงละครได้อย่างยอดเยี่ยม หน้าหนาไร้ยางอาย!”ซ่งรั่วเจินยิ่งพูดยิ่งรังเกียจ โชคดีช่วงเวลาที่นางทะลุมิติเข้ามาในหนังสือยังมิได้แต่งเข้าจวนสกุลหลิน หากแต่งเข้าไปแล้ว นั่นต่างหากถึงจบสิ้น!หลิ่วหรูเยียนเห็นลูกสาวผู้เพียบพร้อมของตนพูดถ้อยคำหล่านี้ออกมา ยิ่งมั่นใจว่านางกำลังเสียใจ น้ำตาคลอหน่วย “ลูกสาวชะตาอาภัพของข้า...”แต่น้ำตาที่หางตายังไม่ทันตกก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากด้านนอก ของทั้งใหญ่ทั้งเล็กถูกยกเข้ามา หยาดน้ำตาหยุดชะงักในทันใด“เจินเอ๋อร์ นี่ นี่คืออะไรกัน?”“อย่างไรเสียก็ไม่แต่งแล้ว สิ่งของย่อมต้องนำกลับมา ฉินซวงซวงคนนั้นพูดทุกคำว่ารักชอบท่านโหว ข้าอยากเห็นเหลือเกินว่านางจะยอมหักใจชดเชยจวนโหวโล่งโจ้งนั่นหรือไม่!”ซ่งรั่วเจินเคยอ่านต้นฉบับหนังสือมาก่อน ย่อมรู้ว่าฉินซวงซวงก็คือคนมีอุปนิสัยชมชอบความร่ำรวยคนหนึ่ง หาไม่แล้วเพียงนางเอ่ยปาก หลินจือเยว่ก็ต้องถอนหมั้นนางเป็นแน่!แต่นางกลับไม่ทำ ก็เพื่อเงินของจวนสกุลซ่งบัดนี้เงินตกอยู่ในมือนางแล้ว ฉินซวงซวงทางหนึ่งคิดจะหลับนอนกับบุรุษของเจ้าของร่างเดิม ทางหนึ่งใช้จ่ายเงินของเจ้า
ซ่งรั่วเจินพูดอย่างจริงจัง อาการป่วยนี้สำหรับนางกลับรักษาไม่ยาก แต่ต้องใส่ใจมากก็เท่านั้นเดิมทีซ่งอี้อันคิดว่าน้องหญิงปลอบโยนตนเอง มิได้เก็บมาใส่ใจ ทว่าเห็นนางพูดอย่างตั้งใจมากเป็นพิเศษ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเชื่อขึ้นมาหลายส่วน“น้องหญิงคนดี พี่รองเชื่อเจ้า”ซ่งจืออวี้เห็นซ่งอี้อันคล้ายถูกเกลี้ยกล่อมสำเร็จแล้ว เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “พี่รอง ท่านเชื่อจริงหรือ? น้องหญิงห้าไม่เคยเรียนวิชาแพทย์มาก่อนนะ”“น้องหญิงห้าดีใจก็พอ ตอนนี้ข้าก็กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว หมอทั้งเมืองหลวงล้วนมาดูแล้ว ยังมีอันใดให้กลัวอีกเล่า?”ซ่งอี้อันยกมุมปากยิ้มขมปร่า นับตั้งแต่วันที่ตาบอดอนาคตอันรุ่งโรจน์ของเขาก็สูญสลายกลายเป็นหมอกผ่านตา ถอนหมั้นก็คือเรื่องที่คาดการณ์ไว้แล้ว น้องหญิงไม่ยอมให้เขายอมแพ้ ก็เพราะหวังดีต่อเขาส่วนเป็นเรื่องจริงหรือไม่...สำคัญด้วยหรือ?ซ่งรั่วเจินมิได้ใส่ใจบทสนทนาของทั้งสองคน สายตานางเบือนไปทางด้านหลัง นับตั้งแต่เหยียบเท้าเข้าจวนสกุลซ่ง นางก็สังเกตุเห็นว่าเรือนด้านหลังถูกพลังชั่วร้ายปกคลุมอยู่เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นวันแสงแดดจ้า ทว่าด้านหลังกลับอึมครึม ต้องมีบางสิ่งกำลังสร้างปัญหาอย่างแน
“เจ้าหมายถึงสร้อยข้อมือเส้นนี้หรือ?”ซ่งอี้อันถอดสร้อยข้อมือออกแล้วส่งมาให้ ก่อนหน้านี้ตัวสร้อยถูกแขนเสื้อปกคลุมเอาไว้ ซ่งรั่วเจินจึงมองไม่เห็น ครั้นเมื่อเห็นสร้อยข้อมือที่สะท้อนใต้แสงแดด ก็พบว่าของสิ่งนี้มีกระแสไอของความอัปมงคลที่หมุนวนขึ้นมา“เจ้าไม่พูดข้าก็เกือบลืมไปเสียสนิท สร้อยข้อมือเส้นนี้เป็นของที่หลินโหวส่งมาให้ ตอนนี้งานวิวาห์ยกเลิกไปแล้ว สร้อยข้อมือเส้นนี้ก็ไม่ควรเก็บไว้”ผู้เป็นพี่คิดเพียงว่าน้องสาวของเขาแค่ตั้งใจเตือนตนเอง เพราะอย่างไรเสีย ตอนนี้สองตระกูลไม่มีความเกี่ยวข้องกันแล้ว เก็บไว้ก็ไม่เหมาะสมจริง ๆ“ท่านบอกว่าสร้อยข้อมือเส้นนี้เป็นของที่หลินจือเยว่ส่งมาหรือ?”ของสิ่งนี้อาบชโลมด้วยโลหิตมนุษย์ ไออัปมงคลหลอมรวม เป็นของสกปรกขุ่นมัว หลินจือเยว่จงใจหาของแบบนี้มามอบให้ ช่างมีน้ำใจนัก!ซ่งอี้อันพยักหน้า “ครั้งก่อนที่หลินโหวมาเยี่ยมเจ้าที่จวน เขาก็ให้ข้ามา บอกว่ารู้ว่าข้าชื่นชอบ ใช้เงินไปไม่น้อยเพื่อซื้อมาให้โดยเฉพาะ”“หากพี่ชายรองชอบสร้อยข้อมือก็เอาเส้นที่เป็นของข้าไปก่อน ส่วน ‘ของล้ำค่า’ ชิ้นนี้ส่งคืนให้หลินจือเยว่เถิด”ซ่งรั่วเจินหยิบสร้อยข้อมืออีกเส้นส่งไปให้ หล
จวนตระกูลซ่งหลิ่วหรูเยียนค่อย ๆ ตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นซ่งรั่วเจินอยู่ตรงหน้าก็รีบเอ่ยถามว่า “เจินเอ๋อร์ จวนตระกูลจ้าวขอถอนหมั้นแล้วจริงหรือ?”ซ่งรั่วเจินพยักหน้า มองดูใบหน้าซีดเผือดของผู้เป็นมารดาด้วยแววตาที่ไม่อาจหักหาญใจ “ท่านแม่ ในเมื่อจวนตระกูลจ้าวเลือกที่จะเลิกหมั้นในช่วงเวลานี้ ก็เห็นได้ชัดว่านางมิใช่คู่ที่ดีของพี่ชาย เราไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องการหมั้นนี้”“เดิมทีจ้าวซูหว่านก็ไม่เหมาะสมกับพี่ชายรองอยู่แล้ว ข้าคิดว่าการถอนหมั้นเป็นเรื่องดี มิฉะนั้น การแต่งงานกับหญิงสาวเช่นนี้ เกรงว่าในอนาคตคงไร้ซึ้งความสุขสงบ”“แม่รู้ดีว่าจ้าวซูหว่านไม่เหมาะกับพี่ชายของเจ้า แม่เองก็ไม่เห็นด้วยกับการหมั้นหมายนี้ตั้งแต่แรก เพียงแต่พี่ชายของเจ้าไม่มีหญิงสาวที่หมายปองเสียที ในเมื่อทั้งสองคนรักกัน แม่ก็ไม่อยากจะขัดขวาง”“ตอนนี้พี่ชายของเจ้าตาบอด หมอจากทั่วเมืองมาตรวจดูแล้วล้วนบอกว่ารักษาไม่ได้ แม่ไม่อยากให้พี่ของเจ้าต้องเจ็บปวดซ้ำ ๆ …”“พ่อของเจ้าจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด ถ้าเขารู้ว่าในเวลาที่ตนไม่อยู่ ข้าไม่สามารถดูแลพวกเจ้าให้ดีได้…”หลิ่วหรูเยียนพูดพลางน้ำตาก็คลอเบ้า หมู่นี้ในจวนมีแต่
ผู้ดูแลเผยสีหน้าเอือมระอา ทุกวันเพียงแค่เงินแจกจ่ายโจ๊กก็ใช้จ่ายไปไม่น้อย ครั้นเปลี่ยนเป็นแจกจ่ายซาลาเปาเนื้อราคาก็ชวนให้คนตกตะลึง อีกเดี๋ยวจะต้องไปคลังขอเบิกเงินอีกแล้ว...ซ่งจิ่งเซินและซ่งจืออวี้มองบรรยากาศครึกครื้นที่ประตูเมืองทิศทักษิณแห่งนั้น เอ่ยออกมาอย่างสลดใจ “ความยิ่งใหญ่เช่นนี้ ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นมาก่อน สกุลถังเงินหนาไม่ผิดไปดังคาด!”“น้องสี่ อัครมหาเสนาบดียอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ เหตุใดกับเรื่องนี้ถึงได้โง่งมนัก ปล่อยให้ถังเสวี่ยหนิงทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้?”ซ่งจืออวี้เผยสีหน้าสงสัย คนไม่เคยสัมผัสมาก่อนอาจไม่เข้าใจ แต่อัครมหาเสนาบดีไม่มีทางไม่รู้ผลลัพธ์ที่ตามมาของการกระทำนี้ซ่งจิ่งเซินหัวเราะเบาๆ “ได้ยินมาว่าเมื่อคืนดื่มสุราจนเมามาย น่ากลัวว่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้”“หากรู้เข้า จะต้องไม่ปล่อยให้นางทำเรื่องเหลวไหลแน่ แต่เรื่องนี้ชุลมุนวุ่นวายใหญ่โตถึงเพียงนี้ ต่อให้หลังผ่านวันนี้ไปจะห้ามเอาไว้ น่ากลัวว่าไม่ทันการณ์แล้ว”“ฉวยโอกาสในครั้งนี้ พวกเราเองก็หาเงินได้มาก อย่างไรเสียจวนถังก็ไม่ขาดเงินอยู่แล้ว”“สกุลถังแจกจ่ายโจ๊ก พวกเราหาเงินได้อย่างไร?” ซ่งจืออวี้ตกตะลึงซ่งจิ่งเซิ
ฉู่จวินถิงมองเสื้อผ้าในมือตน นัยน์ตาดำขลับเผยแววตกตะลึงดีใจ ดุจพลุสว่างไสวบนท้องฟ้ายามราตรี แม้แต่เส้นเสียงก็สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว“นี่มอบให้ข้าหรือ?”ซ่งรั่วเจินสบมองสายตาเร่าร้อนของฝ่ายชาย พยักหน้าลงอย่างประหม่าสวรรค์โปรด!สายตาเช่นนั้นใครจะทนไหวบ้างเล่า?“หม่อมฉันเตรียมไว้ให้องค์หญิงอีกหนึ่งชุดด้วย ย่อมมิอาจลำเอียงเลือกที่รักมักที่ชังได้หรอกกระมัง!”ฉู่จวินถิงได้ยินถ้อยคำของฝ่ายหญิง เขาหัวเราะเบาๆ ลูกกระเดือกกลิ้งขึ้นลง มุมปากยกน้อยๆ ดวงตาทั้งดำทั้งลุ่มลึกคล้ายประดับดวงดาวนับไม่ถ้วนเขาเข้าใจ เสื้อผ้าชุดนี้ไม่เหมือนคนอื่นนี่เป็นนางเย็บด้วยมือตนเอง“ฝีมือเย็บปักของหม่อมฉันมิอาจเทียบช่างเย็บปักได้ ทำรูปแบบซับซ้อนมากเกินไปไม่เป็น ดังนั้นจึงค่อนข้างเรียบง่าย...”ซ่งรั่วเจินพูดอธิบายหนึ่งประโยค อันที่จริงทางด้านนี้นางก็นับว่ามีพรสวรรค์ เย็บปักธรรมดาไม่มีปัญหาอะไร แต่พูดถึงระดับการเย็บปักของช่างเย็บปักของเมืองหลวงไปจนถึงช่างเย็บปักของวังหลวง นั่นยังห่างชั้นกันมากจากนั้น นางยังพูดไม่จบก็ถูกฉู่จวินถิงเอ่ยขัดแล้ว“ไม่หรอก”“ข้าชอบมาก”ฉู่จวินถิงมองเสื้อผ้าในมือ คล้ายกำลังมองสม
“เมื่อวานคุณหนูตกอยู่ในอันตราย ข้าไม่สามารถช่วยได้ก็ช่างเถอะ ยังต้องให้คุณหนูปกป้องข้าอีกด้วย หากข้าเองก็เป็นวิชายุทธ ภายภาคหน้าก็สามารถปกป้องคุณหนูดีๆ ได้แล้ว”“ท่านอ๋องมิใช่เลือกสาวใช้เป็นวิชายุทธสองคนมอบให้คุณหนูซ่งแล้วหรือ?”“ไป๋จื่อและชิงเถิงวิชายุทธแข็งแกร่งอย่างมาก เป็นท่านอ๋องคัดเลือกด้วยตนเองอย่างใส่ใจ เหตุใดเจ้าต้องเรียนวิชายุทธด้วยเล่า?”อวิ๋นหยางมองเฉินเซียงแวบหนึ่ง พูดว่า “เรียนวิชายุทธต้องเริ่มตั้งแต่เล็ก ตอนนี้เจ้าเพิ่งเริ่ม น่ากลัวว่าช้าไปบ้าง ไม่ง่ายถึงเพียงนั้น”เฉินเซียงที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความเสียใจได้ยินถ้อยคำนี้ก็ชะงักไป จากนั้นเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงระคนดีใจ “เจ้าพูดว่าสาวใช้สองคนนั้นเป็นท่านอ๋องส่งมาหรือ?”“ใช่แล้ว” อวิ๋นหยางพยักหน้า“ข้าไม่เป็นไรแล้ว” เฉินเซียงหัวเราะตบหน้าอก ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ใบหน้าเรียวเล็กเบิกบานขึ้นมา “ท่านอ๋องดีต่อคุณหนูเหลือเกิน!”อวิ๋นหยาง “???”ซ่งรั่วเจินมองมื้อเช้าตรงหน้า ทั้งหมดล้วนเป็นรสชาติที่นางชอบ ลอบตกตะลึงภายในใจ ฉู่จวินถิงรู้ความชอบของนางถึงเพียงนี้เชียว!“เป็นอันใด? ไม่ถูกปากหรือ?” ฉู่จวินถิงเห็นซ่งรั่วเจิ
เมื่อมองใบหน้าเรียวเล็กงดงามมีเสน่ห์ของสตรีตรงหน้า ฉู่จวินถิงยกมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว เอ่ยถาม “ข้างกายเจ้ามีสาวใช้คอยปรนนิบัติเพียงคนเดียวหรือ?”“เดิมทีมีสองคน แต่หนึ่งในนั้น ตอนนั้นท่านเองก็เห็นแล้วมิใช่หรือ?”คิ้วเรียวยาวดุจกิ่งหลิวของซ่งรั่วเจินยกขึ้นน้อยๆ นึกถึงเมื่อแรกที่ได้รู้จักกับฉู่จวินถิงเป็นครั้งแรก ก็คือตอนไปคิดบัญชีสกุลหลิ่วฉู่จวินถิงจึงนึกขึ้นได้ “ที่ถูกฉินซวงซวงซื้อตัวไปคนนั้นน่ะหรือ?”ซ่งรั่วเจินพยักหน้า รู้สึกแปลกอยู่บ้าง “เหตุใดวันนี้ท่านสนใจสาวใช้ของหม่อมฉันนัก?”“เมื่อวานพวกเขาทำไม่สำเร็จ เชื่อว่าไม่มีวันยอมเลิกรา ข้าเองก็ไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนเจ้าทุกเวลาได้”“หลายวันนี้ยังต้องไปจัดการอุทกภัย ไม่วางใจเจ้า ดังนั้นจึงเลือกสาวใช้ฝีมือไม่เลวสองคนมามอบให้เจ้า เจ้าดูว่าเป็นเช่นไร?” ฉู่จวินถิงพูดเห็นฝ่ายชายพูดว่าไม่วางใจนางอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ดวงตาซ่งรั่วเจินกลิ้งกลอก กลับดีใจอยู่บ้างภายในใจ“จวนฉู่อ๋องยังมีสาวใช้เชี่ยวชาญวิชายุทธด้วยหรือ?”“ส่วนมากเป็นชาย แต่ก็มีองครักษ์หญิงบางส่วน อิงตามฐานะของเจ้า พวกนางย่อมเหมาะสมมาก”“ปกติปลอมตัวเป็นสาวใช้ ยามตกอยู่ในอ
“เฉินเซียง เมื่อคืนมิใช่บอกให้เจ้าพักผ่อนดีๆ หรือ เหตุใดมาเช้าถึงเพียงนี้เล่า?” ซ่งรั่วเจินเอ่ยถามอย่างกังวลนางไม่ใช่คนไม่เคยเห็นเลือดมาก่อน สถานการณ์เมื่อวานกลับไม่ส่งผลกระทบต่อนาง แต่สำหรับเฉินเซียงแล้ว ได้รับความตกใจไม่น้อย“คุณหนู บ่าวไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เมื่อวานท่านยอดเยี่ยมยิ่งนัก หากไม่ใช่คุณหนู บ่าวก็คงไม่มีชีวิตรอดแล้ว” ดวงตาเฉินเซียงทอประกายระยับ ใบหน้าเปี่ยมความเลื่อมใสซ่งรั่วเจินหัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”“คุณหนู วันนี้เช้าท่านอ๋องก็มาแล้ว ยังตั้งใจนำมื้อเช้าที่ท่านชอบมาอีกด้วยเจ้าค่ะ”ซ่งรั่วเจินเพิ่งดื่มน้ำก็ได้ยิน เกือบพ่นน้ำชาในปากออกมา “เขามาตั้งแต่เช้าทำอันใด?”“ท่านอ๋องอาจไม่วางใจอาการบาดเจ็บของคุณหนู ตั้งใจนำยาทารักษาอาการข้อเท้าแพลงมาเป็นพิเศษ บ่าววางไว้ที่ข้างเตียงเจ้าค่ะ” เฉินเซียงพูดซ่งรั่วเจินหันมองทางที่เฉินเซียงชี้ ได้เห็นขวดกระเบื้องเคลือบสีขาวงดงามประณีตขวดหนึ่งไม่ผิดไปดังคาด ดวงตาทอประกายหลายส่วน เอ่ยถาม “เช่นนั้นตอนนี้เขากำลังทำอันใด?”“ตอนนี้คุณชายใหญ่และคุณชายรองกำลังดื่มชากับท่านอ๋องเจ้าค่ะ ในเมื่อคุณหนูตื่นแล้ว บ่าวปรนนิบัติคุณหนูอาบน
เมื่อได้ยินว่าข้อเท้าแพลง หลิ่วหรูเยียนถอนหายใจโล่งอกเฮือกหนึ่ง มองทางฉู่จวินถิงด้วยแววตาอ่อนโยนเป็นพิเศษ“ท่านอ๋อง ก็แค่ข้อเท้าแพลงเพราะไม่ทันระวัง นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เจินเอ๋อร์พักผ่อนสองวันก็ดีขึ้นแล้ว ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”สี่พี่น้องสกุลซ่งล้วนพยักหน้า เห็นฉู่จวินถิงเอ่ยขอโทษอย่างจริงใจถึงเพียงนี้ พวกเขายังคิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดเสียอีก บัดนี้ได้รู้ว่าบาดเจ็บข้อเท้าแพลง นี่จึงวางใจลงแล้วทว่าท่านอ๋องให้ความสำคัญต่อรั่วเจินไม่ธรรมดา หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ยังไม่ต้องพูดว่าข้อเท้าแพลงเลย ต่อให้ตายตรงหน้าท่านอ๋องก็ไม่ชายตาแลเลยสักครั้ง“ท่านอ๋อง หม่อมฉันกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ท่านเองก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิดเพคะ” ซ่งรั่วเจินพูดยิ้มๆฉู่จวินถิงพยักหน้า “เช่นนั้นข้ากลับก่อน ขอลา”“ท่านอ๋องกลับดีๆ นะเพคะ”คนสกุลซ่งยืนอยู่ที่เดิมส่งรถม้าจากไป จากนั้นจึงได้เห็นเฉินเซียงที่ยืนอยู่ข้างหลังรถม้าตอนพวกเขาได้เห็นเลือดบนตัวเฉินเซียง แต่ละคนล้วนเบิกตากว้าง “นี่...นี่คือเลือดหรือ?”เฉินเซียงเดินเข้ามาท่ามกลางสายตาของทุกคน มองคุณหนูบ้านตนอย่างเอือมระอา หากนางพูดว่าไม่ใช่ น่าจะไม
อิงตามการหยั่งเดา ก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรสายตาฉู่จวินถิงเคร่งขรึม “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะต้องสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง”......สกุลซ่ง“ป่านนี้แล้วเจินเอ๋อร์ก็ยังไม่กลับมาอีกหรือ?”หลิ่วหรูเยียนเห็นซ่งรั่วเจินยังไม่กลับมา กังวลใจอย่างอดไม่ได้“ท่านแม่ วันนี้ฉู่อ๋องรับน้องหญิงห้าไป ข้าเองก็ไม่ได้ยินข่าวว่านางเข้าวัง น่าจะไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรอกกระมัง?” ซ่งจืออวี้เอ่ยขึ้นซ่งจิ่งเซินขมวดคิ้ว “แต่ไหนแต่ไรมาฉู่อ๋องรู้ขอบเขตยิ่งนัก อิงตามหลักการแล้ว ไม่น่าพาน้องหญิงห้ากลับมาส่งดึกดื่นถึงเพียงนี้”“ข้าได้ยินผู้ดูแลแจกจ่ายโจ๊กกลับมาก็รายงานว่าวันนี้น้องหญิงห้าออกจากเมือง ตอนอยู่นอกเมืองยังได้พบกับถังเสวี่ยหนิงอีกด้วย จึงให้คนแจกจ่ายโจ๊กทางเมืองเฉิงหนานเก็บแผง”“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” หลิ่วหรูเยียนแปลกใจ“เรื่องเก็บแผงนี้น้องหญิงทำถูกแล้ว แม่นางสกุลถังคนนั้นน่ากลัวว่าสมองมีปัญหา ปกติได้พบผู้ลี้ภัย แต่ไหนแต่ไรมาพวกเราล้วนแจกจ่ายโจ๊ก”“ประการแรกป้องกันมิให้ราษฎร์แอบอ้างรับของ ประการที่สองแม้ว่าไม่ดีมากมายอันใด แต่ก็ไม่ทำให้ราษฎร์อดตาย ทว่าถังเสวี่ยหนิงคนนั้นถึงขั้นซื้อซาลาเปาเนื้อจำนวนห
บนรถม้าซ่งรั่วเจินมองข้อเท้าที่แพลงไปของตน ถอนหายใจอย่างสุดระงับ เป็นคุณหนูสูงศักดิ์นานมากแล้ว ใช้ยันต์เร่งความเร็วถึงขั้นยังสามารถข้อเท้าแพลงได้ไม่ใช่น่าขายหน้าธรรมดา!เดิมทีอยากใช้เข็มเงินรักษาตนเองดูสักรอบ จู่ๆ ก็คิดได้ว่าเข็มเงินล้วนถูกโยนทิ้งไปแล้วดูท่าแล้ว ภายภาคหน้าต้องพกเข็มเงินสองสามชุดติดตัวไว้ เตรียมไว้ใช้ยามจำเป็น“เจ็บมากหรือไม่?”ฉู่จวินถิงเห็นซ่งรั่วเจินก้มหน้ามองขาของตน คิ้วดุจกิ่งหลิวขมวดน้อยๆ มองสีหน้านางได้ไม่ชัดนัก กลับได้ยินเสียงถอนหายใจนั้นลูกกระเดือกเขากลิ้งขึ้น อ้าปากแต่ก็หุบลง ครู่ต่อมาขยับเข้าใกล้เล็กน้อย ภายในสายตาดำลุ่มลึกเปี่ยมความห่วงใยภายในสมองปรากฏภาพนางถูกมือสังหารล้อมไว้ไม่หยุด โลหิตสีแดงบนใบหน้าขาวนวล ชุดกระโปรงสีพื้นของนางทำให้มองดูแล้วอ่อนแออย่างมาก หัวใจของเขาคล้ายถูกมือที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งบีบไว้โชคดีเหลือเกินที่นางยังปลอดภัยนางยังนั่งอยู่ข้างกายเขาครู่ต่อมาซ่งรั่วเจินเงยหน้าขึ้น ไม่ทันสังเกตว่าฝ่ายชายเข้าใกล้ตนเองถึงเพียงนี้ตั้งแต่ยามใด เพียงเงยหน้าขึ้น ระยะห่างของทั้งคู่ก็ใกล้แค่เอื้อมแล้วดวงตาชุ่มชื้นคล้ายกวางน้อยสบเข้ากับ
“ท่านอ๋อง เกรงว่าคนเหล่านี้ของวัดอวิ๋นฉานไม่รู้เรื่องจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าอวิ๋นหยางไม่สบอารมณ์ พวกเขาจับมือสังหารไว้สองสามคน ไต้ซือเทียนจีหนีรอดไปได้แล้วสายตาฉู่จวินถิงหม่นลง พูดว่า “ค้นหาเส้นทางลับของที่นี่ ตามสืบต่อไป”“พ่ะย่ะค่ะ!”......ยามถึงเวลาลงเขา ซ่งรั่วเจินมองขาของตนอย่างเอือมระอา นางไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรจริงๆ ก็แค่หนีโดยไม่ทันระวังจึงข้อเท้าพลิกหลังตนทะลุมิติเข้ามาในนิยายแล้ว บ่าของคุณหนูสูงศักดิ์นางนี้ไม่อาจแหกหาม แขนยกไม่ขึ้น บัดนี้นับว่าพัฒนาขึ้นไม่น้อยแล้ว หากเปลี่ยนเป็นที่ผ่านมา นั่นคืออ่อนแอมิอาจต้องลม“ข้อเท้าพลิกหรือ?”ฉู่จวินถิงสังเกตเห็นท่าทางการเดินของซ่งรั่วเจินผิดปกติไป เสียงทุ้มต่ำสะท้อนความห่วงใย“หม่อมฉันเดินแล้วรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง แต่ลงเขาต้องเดินไกลถึงเพียงนั้น มิสู้...หาเสลี่ยงไม้ไผ่สองคนหามแบกหม่อมฉันลงเขาดีหรือไม่?”ซ่งรั่วเจินพยักหน้า ใบหน้าเล็กขนาดเท่าฝ่ามือบิดเบี้ยว เจือความจนใจหากระยะทางไม่ไกล นางทนสักครู่ก็ช่างเถอะ ทว่าวัดอวิ๋นฉานอยู่บนเขา หากเดินลงเขาเช่นนี้ต่อไป น่ากลัวว่ากลับไปแล้ว ขาจะต้องพิการแน่สายตาของนางกวาดมองพวกอวิ๋นหยาง ค