“ท่านพี่ เรื่องมิได้ง่ายดายเช่นนั้น วันนี้ข้าเพียงแค่พูดขึ้นมาก็ถูกท่านแม่บอกปัดเสียแล้ว ท่านพ่อเองก็โกรธมากยิ่งนัก”“ท่านเองก็ใช่ว่าจะมิรู้ว่าอวิ๋นซีหว่านและมารดาของนางเจ้าแผนการมากเพียงใด บัดนี้นางยังมิอาจแต่งออกไปมิได้ ย่อมจะต้องทำทุกวิถีทางให้ได้พึ่งใบบุญจากท่าน หากถึงเวลานั้นแล้ว...” สายตาของอวิ๋นเฉิงเจ๋อจรดลงบนใบหน้าของอวิ๋นเนี่ยนชู แม้เมื่อเวลาผ่านไปจะทำให้อาการบวมช้ำลดน้อยลงแล้ว ทว่าก็ยังคงปรากฏร่องรอยให้เห็นอยู่จางๆ “ใบหน้าของเจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่?”อวิ๋นเนี่ยนชูชะงักไปเล้กน้อย ก่อนมือจะเผลอยกขึ้นแตะจับใบหน้าของตนโดยไม่รู้ตัว ก่อนแววตาจะหมองหม่นลง“ข้ามิเป็นไร รั่วเจินทายาให้ข้าแล้ว พรุ่งนี้คงจะหายดีแล้วเจ้าค่ะ” ดวงตาของอวิ๋นเฉิงเจ๋อเข้มข้นด้วยอารมณ์ ทว่าน้ำเสียงกลับนุ่มนวลอ่อนโยนเป็นยิ่ง “ต่อไปเจ้ามิจำเป็นต้องออกหน้ารับแทน เจ็บตัวมามิคุ้มกันหรอก”“ท่านพี่ ท่านไม่อยากให้ข้าไปยุ่งเรื่องของท่านหรือ?” อวิ๋นเนี่ยนชูโพล่งถามอวิ๋นเฉิงเจ๋อหัวเราะเบาๆ “แม่นางเช่นเจ้าบาดเจ็บบนใบหน้ามิใช่นับเป็นเรื่องใหญ่หลวงหรอกหรือ? เรื่องเช่นนี้หากจะต้องพูดก็ต้องให้ข้าเป็นฝ่ายไปพูด บุรุ
“ซื้อให้ข้าหรือ?” กัวเยว่หลินเปิดตลับชาดออกดูด้วยความสงสัย “ไยจึงคล้ายถูกเปิดใช้แล้วเสียมากกว่า”“ชาดทาแก้มนี้ข้าตั้งใจซื้อให้กับเจ้า ข้าเกิดอยากรู้ขึ้นมาจึงได้แตะต้องไปบ้างแล้ว มือเปรอะเปื้อนไปด้วยเลยทีเดียว” ฉินจื้อหย่วนยิ้มเสียจนหน้าบาน ก่อนหยิบเอากล่องผ้าไหมจากลิ้นชักข้างเคียงส่งให้ไป “นี่ก็เป็นของขวัญที่ข้าตั้งใจซื้อให้เจ้าเช่นกัน เจ้าลองดูสิว่าถูกใจหรือไม่?”กัวเยว่หลินรับกล่องผ้าไหมมาเปิดออกดู เมื่อเปิดออกแล้วก็พบปิ่นทองใหม่เอี่ยมด้ามหนึ่ง ใบนหน้าของนางก็พลันผุดพรายรอยยิ้มออกมา “ก็นับว่าท่านยังพอมีสำนึกดีอยู่บ้าง!”ขณะที่ฉินจื้อหย่วนและน้องชายต่างกำลังยินดีกับการกลับมาของภรรยาตน ก็พลันได้ยินข่าวว่าทั้งครอบครัวฉินซวงซวงจะมาเยือน ใบหน้าก็เปลี่ยนสีแทบจะทันที“ว่ากระไรนะ?”“มิใช่เพียงคุณหนูเท่านั้นขอรับที่กลับมา กระทั่งเหล่าพี่ป้าน้าอาและหลินฮูหยินก็ยังมาด้วยแล้ว”“บ่าวไปสอบถามมาบ้างแล้ว ได้ยินว่าคุณหนูสกุลซ่งไปทวงหนี้สินยังจวนตระกูลหลิน เมื่อเห็นว่าสกุลหลินมิอาจคืนเงินให้ได้ก็ยึดบ้านของพวกเขาไปขอรับ”ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ฉินเจิงและกู้อวิ๋นเวยก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบมื
“พี่สาม ขอเพียงพรุ่งนี้ท่านส่งภาพนี้ออกไป ใต้เท้าเซียวจะต้องดีใจมากแน่ ท่านจะต้องอาศัยโอกาสนี้สานสัมพันธ์ใกล้ชิดกับใต้เท้าเซียวให้ได้!” ฉินซวงซวงพูดกำชับฉินเซี่ยงเหิงโบกมือ “วางใจเถอะ ข้ารู้ต้องทำเยี่ยงไร”จากนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าหลินได้ยินข่าวนี้สีหน้ากลับเปลี่ยนเป็นไม่สบอารมณ์ “จือเยว่ ใช่หรือไม่ว่าภรรยาของเจ้าคนนี้มีใจเป็นอื่น? โอกาสได้ผูกสัมพันธ์อันดีเพียงนี้ นางไม่ให้สามีอย่างเจ้าไปทำ ตรงข้ามกันปล่อยให้พี่ชายของนางไปทำ?”“นี่คือคิดให้บ้านมารดาดียิ่งขึ้นไป ก็ไม่รู้ว่าจะถีบเจ้าให้พ้นทางยามใด!”สีหน้าหลินจือเยว่เองก็ไม่สบอารมณ์ ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่าใต้เท้าเซียวตามหาภาพวาดหนึ่งอยู่ตลอด น่าเสียดายยังหาไม่พบเขาคิดไม่ถึงเลยว่าภายในฝันบอกเหตุของฉินซวงซวงถึงขั้นมีเบาะแสของภาพวาดนี้อยู่ มิหนำซ้ำยังปล่อยให้ฉินเซี่ยงเหิงนำไปถือไว้ในมือแล้ว!“ซวงซวงรักเพียงข้าผู้เดียว นางไม่มีวันทำเรื่องพรรค์นั้น” หลินจือเยว่พูดอย่างลังเล“เพียงผู้เดียว? หากนางรักเจ้าเพียงผู้เดียวจริงก็คงไม่นอกใจ ต่อให้นางไม่ชมชอบเหยาจิ่นเฉิง แต่ก็ชมชอบฉู่อ๋อง!”“ตกลงนางคิดอะไรอยู่ ข้าจะยังไม่รู้อีกหรือ?”“เมื่อแรก
ณ สกุลซุน“ตกลงพี่สาวของเจ้าเป็นอะไรไป? มิใช่พูดว่าช่วยพวกเราไปขอความเมตตาที่จวนเซียงอ๋องหรือ? เหตุใดฮั่นเฟยยังอยู่ในคุกอีกเล่า?”ซุนกังเจิ้งถามด้วยน้ำเสียงเจือความสงสัย ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด“ท่านพี่ พี่สาวของข้าจะต้องพูดไปแล้วแน่ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเซียงอ๋องก็อารมณ์รุนแรง พระชายาเซียงอ๋องเองก็เห็นซื่อจือเป็นสมบัติล้ำค่า ใช่หรือไม่ว่าขอความเมตตาไปก็ไร้ประโยชน์?”สีหน้าหลิ่วเฟยเยี่ยนไม่สบอารมณ์ พวกเขาคิดหาหนทางทั้งหมดแล้ว ลงท้ายทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่หลิ่วหรูเยียน“หึ...” ซุนกังเจิ้งแค่นหัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง “ข้าถามมาก่อนแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดเซียงอ๋องจึงเชิญบ้านของพี่สาวเจ้าไป?”“เพราะเหตุใด?”“เพราะซ่งรั่วเจินมีบุญคุณช่วยชีวิตซื่อจื่ออย่างไรเล่า ตอนนั้นซื่อจื่อเป็นขอทานเกือบหิวตายไป เป็นซ่งรั่วเจินมอบเงินให้เขาหนึ่งก้อน นี่ถึงทำให้เขามีชีวิตรอดปลอดภัยอยู่ได้”“เจ้าพูดเถอะ บุญคุณยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ขอเพียงนางเอ่ยปาก หรือว่าจวนเซียงอ๋องจะยังไม่รับปากอีก?”“เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่คิดช่วย! ในงานเลี้ยงคืนนั้นไม่ทำแม้แต่เอ่ยถึง!”ซุนกังเจิ้งยิ่งพูดก็ยิ่งโมโ
“คุณหนู คุณชายอวิ๋นจะมีวิธีแก้ปัญหาจริงหรือ?” เฉินเซียงเองก็แปลกใจอย่างอดไม่ได้“ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนมีวิธีแก้ปัญหา สาเหตุที่เนี่ยนชูคลี่คลายไม่ได้ เพราะนางกังวลมากเกินไป”“ก่อนหน้านี้อวิ๋นซีหว่านทำเพื่อฉินเซี่ยงเหิง คิดเพียงตัดเส้นทางสู่การสอบขุนนางของอวิ๋นเฉิงเจ๋อ นางเองก็ไม่คิดดู อวิ๋นเฉิงเจ๋อไม่มีโทสะเลยแม้แต่น้อยจริงหรือ ปล่อยให้นางวางอุบายเขาโดยไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อยหรือ?”สีหน้าซ่งรั่วเจินเย็นชา เรื่องนี้ไม่ว่าเป็นใครก็ไม่สามารถอดทนได้ อวิ๋นเฉิงเจ๋อเพียงแต่เห็นแก่สกุลอวิ๋นที่รับเลี้ยงดูเขาจึงไม่พูดเท่านั้นบัดนี้อนุอวิ๋นและอวิ๋นซีหว่านเห็นเขาเป็นก้อนแป้งบีบคลึงรังแกง่าย นั่นคือมองคนผิดไปแล้ว“บ่าวเองก็คิดว่าก่อนหน้านี้อวิ๋นซีหว่านทำเลยเถิดเกินไปจริงๆ บัดนี้ยังคิดจะแต่งงานกับคุณชายอวิ๋น ไฉนเลยจะมีเรื่องดีให้เอาเปรียบถึงเพียงนี้ได้? ระยะก่อน บ่าวยังได้ยินมาว่าภายในเมืองหลวงมีแม่นางมากมายชมชอบคุณชายอวิ๋นนะเจ้าคะ!”ซ่งรั่วเจินหัวเราะเบาๆ “รอก่อนเถอะ น่าจะมีข่าวดีเร็วๆ นี้แล้ว”ขณะกำลังสนทนากันอยู่นั้น อวิ๋นเนี่ยนชูก็มาถึงเพียงได้พบซ่งรั่วเจิน อวิ๋นเนี่ยนชูก็พูดขึ้นอย่างดีใจ
เพียงนึกได้ว่าฮูหยินใหญ่เลือกคนดีมากมายเพียงนั้นให้อวิ๋นเนี่ยนชู นางก็รู้สึกริษยาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ถือสิทธิ์อะไรนางเป็นลูกอนุ แม้แต่แต่งงานก็เลือกคนดีไม่ได้!อวิ๋นเนี่ยนชูจะโทษ ก็ต้องโทษตนเอง!“เช่นนั้นญาติผู้พี่ของเจ้าชอบนางหรือไม่?” อนุอวิ๋นเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้“นี่ต่างหากน่าขันที่สุด เดิมทีญาติผู้พี่ก็ไม่ชอบนาง!”“ก่อนหน้านี้ข้ายังเห็นนางถูกญาติผู้พี่ปฏิเสธแล้วก็แอบซับน้ำตาอีกด้วย ถึงตอนนั้นข้าแต่งกับญาติผู้พี่แล้ว นางจะไม่ร้องไห้จนตาบอดหรือ?”อนุอวิ๋นได้ยินก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา “นั่นก็ดียิ่งนัก! เดิมทีเจ้าต่างหากสมควรเป็นบุตรีสายตรงของสกุลอวิ๋น เป็นนางแย่งฐานะของเจ้าไป แม่ของนางก็แย่งฐานะของข้าไป สมน้ำหน้าพวกเขา!”สีท้องฟ้ายามราตรีเข้มขึ้น อวิ๋นเฉิงเจ๋อกลับมาถึงก็เมามายแล้ว“คุณชาย เหตุใดวันนี้ท่านดื่มหนักเพียงนี้เล่า?”ชิงเหยียนประคองอวิ๋นเฉิงเจ๋อเข้าห้อง ส่วนบ่าวภายในลานบ้านคนหนึ่งได้เห็นภาพนี้แล้วดวงตาพลันทอประกาย นี่ก็คือมีคนนำผลประโยชน์มามอบให้โดยยังไม่ได้ร้องขอโดยแท้ น่ากลัวว่าไม่ต้องใช้ยาสลบแล้ว!ครุ่นคิด เขาอ้างว่าต้องการไปห้องปลดทุกข์ ลอบออกไปแล้ว“คุณชาย คนผ
“นายท่าน ซีหว่านหายไปแล้วเจ้าค่ะ!”อนุอวิ๋นรีบวิ่งเข้าไปภายในเรือนของอวิ๋นฮูหยิน เพิ่งผ่านเข้าลานบ้านก็ร้องตะโกนโวยวายขึ้นมาอวิ๋นหงหล่างกำลังปรึกษาฮูหยินเรื่องให้อวิ๋นเฉิงเจ๋อรับปากแต่งงาน อย่างไรเสียเรื่องนี้ให้จางเหวินเอ่ยปากย่อมดีที่สุดอิงตามความกตัญญูที่อวิ๋นเฉิงเจ๋อมีต่อนาง ต่อให้ไม่เต็มใจก็ต้องรับปากทว่าวันนี้จางเหวินมีท่าทีหนักแน่นมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าเขาเกลี้ยกล่อมเยี่ยงไรก็ไร้ประโยชน์ นางกัดฟันยืนกรานไม่รับปาก ไม่มีวันให้อวิ๋นเฉิงเจ๋อแต่งกับนางจากนั้น ขณะทั้งคู่กำลังโมโหหน้าแดงก่ำ จู่ๆ ก็เห็นอนุอวิ๋นวิ่งเข้ามา อวิ๋นหงหล่างรีบประคองหยุดนางที่ก้าวได้ไม่มั่นคงไว้“เกิดอะไรขึ้น? เจ้าไม่ต้องรีบ ค่อยๆ พูด”จางเหวินเห็นท่าทางห่วงใยต่ออนุอวิ๋นของอวิ๋นหงหล่าง สายตาสะท้อนไอเย็นวูบหนึ่ง หลายปีมานี้เดิมทีเขาก็ไม่เห็นตนเป็นภรรยาเอกอนุคนหนึ่งใช้ชีวิตสง่าผ่าเผยเสียยิ่งกว่านาง!อนุอวิ๋นรู้สึกลำพองใจขึ้นภายในใจระลอกหนึ่ง ใบหน้ายังเผยท่าทางอ่อนโยนกังวลใจดังเดิม“นายท่าน ดึกดื่นถึงเพียงนี้แล้ว ซีหว่านยังไม่กลับมา”“ท่านเองก็รู้ว่านางเป็นเด็กรู้จักขอบเขตคนหนึ่ง ที่ผ่านมาต่อให้ออกไปก
สีหน้าอวิ๋นฮูหยินไม่สบอารมณ์มาก เดิมทีอนุอวิ๋นก็แสดงละครเก่งอยู่แล้ว หลายปีมานี้นางเคยเห็นการแสดงมาไม่น้อยกระนั้น นางไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าอนุอวิ๋นจะทำวิธีการต่ำช้าพรรค์นี้ออกมาได้ นั่นคือลูกสาวแท้ๆ ของนางนะ!ทำเช่นนี้ ชื่อเสียงของนางก็ถูกทำลายจนหมดสิ้นต่อให้หลังผ่านเรื่องนี้ไปนายท่านจะสั่งให้ทุกคนปิดปาก แต่วันนี้เอะอะเอิกเกริกออกตามหาคนเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วข่าวต้องถูกส่งออกไป มารดาคนหนึ่ง ถึงขั้นวางแผนเช่นนี้ช่างชวนให้รู้สึกเหลือจะเชื่อโดยแท้!“นายท่าน ในเมื่อมาถึงเรือนของเฉิงเจ๋อแล้ว มิสู้ให้เขาช่วยหาด้วยดีหรือไม่?” อนุอวิ๋นเอ่ยชี้แนะพูดไป นางก็เดินเข้าลานบ้าน พบว่าภายในมืดสนิทไร้แสง สงสัยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “เหตุใดชิงเหยียนคนนี้ไม่อยู่ปรนนิบัติในเรือน? มิใช่ว่าคนยังไม่กลับมาหรอกกระมัง?”หลายปีมานี้อวิ๋นเฉิงเจ๋ออยู่ที่สกุลอวิ๋นมาโดยตลอด แม้ว่าทุกคนล้วนเรียกเขาว่าคุณชาย จางเหวินเองก็ดีต่อเขามาก เคยหาบ่าวรับใช้มากมายมาปรนนิบัติเขา แต่ล้วนถูกเขาปฏิเสธไปจนหมดเพราะเหตุนี้ ข้างกายเขาจึงมีบ่าวเพียงสองคนเท่านั้น“น่าจะยังไม่กลับมา พวกเราไปหาที่อื่นเถอะ” จางเหวินเอ่ยปากอวิ๋นห
“หากเรื่องนี้มีเงื่อนงำอยู่จริง เหอเซียงหนิงเองก็น่าสงสารเกินไปแล้วกระมัง!”“นี่คือบีบคั้นคนให้ตาย จะต้องได้รับความทุกข์ใจอย่างหนักเป็นแน่ ซ่งรั่วเจินโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”กลุ่มคนต่างชี้หน้าบริภาษขึ้นมาระลอกหนึ่ง ฉินซวงซวงลอบลำพองใจภายในใจ เพื่อทำให้ชื่อเสียงซ่งรั่วเจินเสื่อมเสีย นางวางแผนทั้งหมดไว้อย่างดีแล้ว!ฉู่จวินถิงเหลียวมองคนที่เป็นผู้นำของกลุ่มคน ออกคำสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ “จับตามองคนเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด ห้ามมิให้หลุดรอดไปได้แม้คนเดียว”“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”“ไม่ต้องกังวล คนเหล่านี้น่าจะถูกซื้อตัวไว้แล้ว จงใจพูดเช่นนี้ อีกเดี๋ยวสอบสวนอย่างละเอียดก็จะรู้ผล”สุ้มเสียงฉู่จวินถิงมั่นใจมาก สอบสวนคนเหล่านี้ เดิมทีก็ไม่ต้องใช้วิธีการมากมายอะไร เพียงถามอย่างไม่ตั้งใจก็สามารถรู้ได้ซ่งรั่วเจินเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “ท่านอ๋องไม่สงสัยหม่อมฉันเลยหรือ?”“เหตุใดข้าต้องสงสัยเจ้าด้วย?” ฉู่จวินถิงสุขุมสงบนิ่ง “ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อแรกเหอเซียงหนิงทำกับเจ้าเยี่ยงไร ข้าเข้าใจทั้งหมดแล้ว”“ยิ่งไม่ต้องพูดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือเจ้า ต่อให้เป็นฝีมือเจ้า ก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม”ภายในสายตาของฉู่จวิน
“เจ้าว่ามาเถิด” ฮองเฮาเอ่ยเรือนคิ้วฉู่จวินถิงขมวดขึ้นเล็กน้อย สายตาที่เขาใช้มองไปยังถังเสวี่ยหนิงแกมแฝงด้วยความเยียบเย็นหญิงผู้นี้ยังไม่คิดจะลดราวาศอกอีก!“อย่ากลัวไปเลย มีข้าอยู่”ฉู่จวินถิงหันมองซ่งรั่วเจิน แสดงท่าทีให้นางมั่นใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะอยู่ข้างกายนางเสมอซ่งรั่วเจินย่อมไม่หวั่นเกรงต่อเล่ห์กลของถังเสวี่ยหนิงและพรรคพวกอยู่แล้ว ทว่าเมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ของฉู่จวินถิง ในใจก็ยังคงอดรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาไม่ได้อยู่ดีถังเสวี่ยหนิงกลับเกรงกลัวฉู่จวินถิงเสียจนแทบไม่กล้าสบสายตาเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อหันมองไปยังซ่งรั่วเจิน ท่าทีก็ยังคงกระด้างกระเดื่องเช่นเดิม“คุณหนูซ่ง ข้าได้ยินเรื่องเช่นนี้แล้วก็ตกใจมากจริงๆ มิอยากจะเชื่อเลยว่าในเมืองหลวงจะยังมีผู้ใดอาจหาญกล้าทำเรื่องเช่นนี้ลงได้ ช่างลบหลู่กฎเกณฑ์ราชสำนักเกินไปแล้ว!”“ดังนั้นข้าจึงอยากใช้โอกาสนี้ถามไถ่ให้ชัดแจ้ง หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”ถ้อยคำหลายต่อหลายคำของถังเสวี่ยหนิง ทำเอาสีหน้าของผู้คนโดยรอบเปลี่ยนไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ต่างพากันสงสัยว่าเป็นเรื่องร้ายแรงประการใดกัน?“รั่วเจิน พวกถังเสวี่ยหนิงดูท่าคงมิได้มีเจตนาดีเป
อวิ๋นเนี่ยนชูเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ปิดไม่มิดถึงความอิจฉา “โชคดีนักที่หลินจือเยว่มิได้แต่งกับนาง หาไม่แล้วคงคลาดกันกับคนดีเช่นฉู่อ๋องไปแล้วกระมัง?”“ฉู่อ๋องไม่เพียงมีรูปโฉมงดงาม วรยุทธเลิศล้ำ อีกทั้งฐานะยังมิธรรมดา สำคัญที่สุดก็คือผู้คนต่างรู้กันดีว่าฉู่อ๋องอารมณ์ร้ายเพียงใด แต่กลับดีต่อนางอยู่เพียงผู้เดียว เรื่องนี้น่าอิจฉาที่สุดแล้ว”อวิ๋นเฉิงเจ๋อเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ข้างกาย นำเอาภาพใบหน้าฉายแววอิจฉานั้นเก็บเอาไว้จนสุดสายตา ไม่รู้ว่าในใจคิดอ่านถึงสิ่งใดอยู่ทว่าถ้อยคำนี้กลับลอยไปเข้าหูหลินจือเยว่เข้าพอดิบพอดี สีหน้าที่หมองหม่นอยู่ก่อนแล้วจึงได้ย่ำแย่เสียยิ่งกว่าเก่าก่อนนี้เขาคิดเพียงว่าฉู่อ๋องคงหูตามืดบอด ตอนนี้เขาเห็นแจ้งแล้วว่าตนเองต่างหากที่หูตามัวหมองไปเลือกคนผิดมาแต่งงานด้วยจนชีวิตพังพินาศ แต่จะทำกระไรได้อีกเล่า?ฉินซวงซวงยืนจ้องมองคนที่ในชาติที่แล้วนางคอยตามตื๊ออยู่นานอย่างฉู่อ๋อง กระทั่งเคยยอมทอดทิ้งศักดิ์ศรีมาแล้วก็ยังไม่อาจแลกเปลี่ยนเป็นการแลเหลียวจากเขาได้แม้แต่สักครั้ง แต่เขากลับปฏิบัติต่อซ่งรั่วเจินดีเช่นนั้น ทำเอานางริษยาเสียจนแทบบ้าอยู่แล้ว!มีสิทธิ์อะไรกัน?ซ่งรั่ว
เมื่อถือเวลาประกาศผลสุดท้าย ก็พลันระเบิดเสียงฮือฮาดังขึ้นมากลางหมู่ฝูงชน“อันดับหนึ่งได้แก่ฉู่อ๋อง!”สิ้นเสียงประกาศ ผู้คนก็ต่างพากันเอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก ทว่าก็หาได้มีผู้ใดแปลกใจแม้แต่น้อย“ฝีมือการขี่ม้าและยิงธนูของฉู่อ๋องตลอดมาก็ล้วนเหนือผู้ใด วันนี้ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตองค์ชายทั้งสองพระองค์ไว้ได้ อีกทั้งยังคว้าชัยได้อันดับหนึ่งมาครอบครอง สมกับที่ชื่อเสียงเลื่องลือเสียจริงๆ!”“ได้ยินมาว่าสองคนที่หนีรอดไปได้ก็ฉู่อ๋องนั่นล่ะที่จับตัวเอาไว้ได้ เก่งกาจยิ่งนัก!”โดยปกติแล้วฉู่จวินถิงไม่ได้ใส่ใจกับความสำเร็จในลักษณะนี้แม้แต่น้อย ทว่าขณะนั้นเอง สายตาของเขาพลันหันมองไปยังซ่งรั่วเจินซ่งรั่วเจินเองก็หันไปมองฉู่อ๋องทันทีที่ได้ยินคำประกาศ เห็นแต่เพียงใบหน้าหล่อเหลาไม่เป็นสองรองใครของเขากำลังคลี่ยิ้มออกมาเจิดจ้าราวแสงอาทิตย์ชั่วขณะนั้น เขาก็ดูคล้ายจะเปล่งประกายเสียยิ่งกว่าแสงอาทิตย์เสียอีก รอยยิ้มอบอุ่นของเขาแกมแฝงด้วยความไม่แยแสยี่หระ ยิ่งกว่านั้นยังเปี่ยมอิสระเสรีไม่ยึดติดอันเป็นเอกลักษณ์ของคนหนุ่มทำเอาจังหวะเต้นของหัวใจใครหลายคนต่างสะดุดไปตามๆ กันในฐานะอันดับหนึ่ง รางวัลที่ได้ก็ย่อม
ตั้งแต่ซ่งจิ่งเซินกลับมา เขาก็ได้รับรู้ว่าหลินจือเยว่ทอดทิ้งน้องสาวของตนไปเพราะฉินซวงซวง ในใจก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าขุ่นเคืองเพียงใดเดิมทีคิดจะหาโอกาสสั่งสอนหลินจือเยว่เสียบ้าง ต่อมาได้รู้ว่าพวกน้องสามได้จัดการกันไปแล้ว จนบัดนี้แม้แต่ที่ให้ซุกหัวนอนก็ยังไม่มีจะอยู่หากเป็นคนทั่วไปแล้วเล่าก็ ใครยังจะมีแก่ใจมาพลอดรักกันอวดผู้คนให้อับอายขายขี้หน้าเช่นนี้ โชคยังดีที่น้องหญิงห้ายังไม่ทันได้แต่งออกไปกับคนเช่นนั้น!“หน้าของฉินซวงซวงนี่ก็ช่างหนายากจะหาผู้ใดเทียมเทียบจริงเชียว!”เมิ่งชิ่นหรี่เดินตาหยีด้วยแขยงสายตามาอยู่ข้างกายซ่งรั่วเจิน “ตั้งแต่นางมาวันนี้ก็ทำเอาผู้คนไม่น้อยเกิดไม่พอใจ แต่ดูเหมือนนางจะไม่ใส่ใจสักนิด ซ้ำยังจะมีหน้ามาทำระรื่นอยู่ได้”“ข้าว่าหลินจือเยว่ยิ้มได้มิน่าดูเสียยิ่งกว่าร้องไห้อีก แต่นางราวกับมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น ข้าว่าอย่างไรพวกเขาคงไปกันได้ไม่นานนักหรอก”ซ่งรั่วเจินมองเมิ่งชิ่นที่ยู่ตรงหน้าพลางยิ้มบาง “ยันต์คุ้มกายที่ข้าให้ไปใช้ได้ผลดีหรือไม่?”“ได้ผลดียิ่งเลยล่ะ!” เมิ่งชิ่นจับมือซ่งรั่วเจินความตื้นเต้นในใจ หน่วยดวงตาเต็มด้วยความตื้นต้น “หากมิใช่เพราะเจ้า ต
แม้จะกล่าวได้ว่าชื่อเสียงป่นปี้ไปแล้ว แต่ผู้คนต่างรู้ดีว่าอย่างไรนางก็เป็นเหยื่อ ไม่ได้ถึงขั้นที่ต้องถูกรังเกียจเดียดฉันท์ราวหนูโสโครกบนท้องถนนเฉกเช่นทุกวันนี้หลินจือเยว่เมื่อได้เห็นว่าซ่งจืออวี้เจ้าคนกำยำล่ำหนาผู้นั้นได้เป็นถึงราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งขั้นสาม ก็อดพาลอิจฉาขึ้นมาไม่ได้อยากจะเป็นราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งนั้นไม่ได้ง่ายดาย และแม้จะได้เป็นจริงแล้วก็ต้องเริ่มจากการเป็นราชองครักษ์หลานหลิง ทว่าซ่งจืออวี้กลับข้ามขั้นขึ้นมาเป็นราชองครักษ์หน้าพระที่นั่งขั้นสามโดยตรงเลยเสียนี่ยิ่งไปกว่านั้น ในวันนี้เขาก็ยังมีความดีความชอบจากการช่วยชีพองค์ชายเอาไว้ องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองเห็นในส่วนนี้ย่อมพิจารณาเลื่อนขั้นให้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความใส่ใจที่ฉู่จวินถิงมีต่อสกุลซ่งเขาแทบจะมั่นใจได้เลยว่า หนทางของซ่งจืออวี้ย่อมจะต้องราบรื่นไร้อุปสรรคขวากหนามใดขวางกั้น ทว่าวาสนาทั้งหมดทั้งมวลนี้เดิมทีควรจะเป็นของเขาต่างหากเล่า!“จือเยว่ ซ่งรั่วเจินแย่งชิงวาสนาของเราไปเช่นนี้แล้ว ท่านก็ควรจะรู้ได้แล้วว่านางเป็นคนเช่นไร!” ฉินซวงซวงกล่าวหลินจือเยว่ปรายตามองฉินซวงซวง ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยชอบพอนาง
“ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ? พี่น้องตระกูลซ่งไม่เพียงช่วยเหลือองค์ชายรอง แต่ยังช่วยองค์ชายใหญ่ไว้ด้วย?”ฉินซวงซวงจับมือเหอเซียงหนิงไว้ด้วยสีหน้าร้อนใจ ดวงตาฉายแววเหลือเชื่อ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?ชาติที่แล้วคนถูกลอบสังหารคือองค์ชายรองชัดๆ นอกจากนี้ ข้อมูลที่สืบพบในตอนท้ายยังเผยว่าทุกอย่างล้วนเป็นฝีมือองค์ชายใหญ่ เหตุใดชาตินี้จึงไม่เหมือนเดิมเล่า?ถ้าองค์ชายใหญ่ก็ถูกลอบโจมตีด้วย เช่นนั้นแล้วตัวการเบื้องหลังคือใครกันแน่?“ไม่ผิดแน่นอน ครู่ก่อนข้าเห็นกับตาว่าพี่น้องตระกูลซ่งพาองค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองกลับมา ซ่งรั่วเจินกับฉู่อ๋องก็กลับมาพร้อมกัน”“หมอหลวงเข้าไปถวายการรักษาในทันที ต่อมายังมีข่าวออกมาว่า องค์ชายทั้งสองถูกลอบโจมตีในเขตล่าสัตว์ของเชื้อพระวงศ์ โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องตระกูลซ่งจึงรักษาชีวิตไว้ได้”เหอเซียงหนิงมีสีหน้าย่ำแย่จนถึงที่สุด เดิมตั้งใจว่าจะใช้โอกาสวันนี้ทำให้ซ่งรั่วเจินพ่ายแพ้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกคนทั้งเมืองหลวงชิงชังรังเกียจเหมือนหนูข้างถนน ทำร้ายนางจนตกอยู่ในสภาพนี้ ซ่งรั่วเจินมีสิทธิ์อะไรถึงยังมีชีวิตดีๆ อยู่ได้?แต่...ยามนี้ตระกูลซ่งสร้างคว
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดบัญชี รออีกสักหน่อยค่อยไปพูดกับซ่งรั่วเจินให้รู้เรื่องก็ยังไม่สาย“อี้ชวน อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เกากุ้ยเฟยถามอย่างเป็นห่วงฉู่อี้ชวนแสดงคารวะก่อนกล่าวว่า “แม้ลูกจะได้รับบาดเจ็บบ้าง แต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”“เช่นนั้นก็ดี” เกากุ้ยเฟยถอนหายใจโล่งอก “เจ้ารีบไปพักผ่อนดีกว่า”ฮ่องเต้รับทราบอาการบาดเจ็บของฉู่อี้ชวนจากปากหมอหลวงแล้ว แม้ไม่ได้สาหัสเท่าฉู่เทียนเช่อ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง ยามนี้ยังมีสีหน้าซีดขาว แต่กลับไม่ได้เน้นย้ำเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน เด็กคนนี้เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด“นั่งลงพักก่อนเถอะ”“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”หลังจากฉู่อี้ชวนมาแล้ว มีเขาบอกเล่ารายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยตัวเอง บวกกับคำบอกเล่าของฉู่จวินถิงก็เป็นการยืนยันความดีความชอบของพี่น้องตระกูลซ่งในที่สุด“ครั้งนี้พวกเจ้าสี่พี่น้องช่วยเหลือองค์ชายทั้งสองเอาไว้ สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ อยากได้รางวัลแบบไหนก็บอกมาได้เลย!”ฮ่องเต้พอพระทัยสี่พี่น้องตระกูลซ่งยิ่งนัก ซ่งหลินข่าวคราวเงียบหาย ทุกคนล้วนยอมรับกันอย่างเงียบๆ ว่าเขาคงไม่
“พวกเจ้าสี่คนบังเอิญผ่านไปบริเวณนั้นพอดี?”ฮ่องเต้กวาดสายตาผ่านพวกซ่งเยี่ยนโจวสี่พี่น้อง ดูเหมือนถามคำถามทั่วไป แต่กลับทำให้คนรู้สึกกดดันอย่างมากซ่งเยี่ยนโจวกับซ่งอี้อันล้วนเคยเข้าเฝ้าฮ่องเต้มาก่อน แม้จะรู้สึกกดดันไม่น้อย แต่ก็ไม่ถึงกับแตกตื่น ซ่งจืออวี้กับซ่งจิ่งเซินกลับรู้สึกว่าสายพระเนตรของฮ่องเต้มีแรงกดดันใหญ่หลวง ทำให้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง“พวกกระหม่อมสี่คนกำลังล่าสัตว์อยู่แถวนั้นพอดี น้องสามของกระหม่อมไปพบเข้าก่อน พวกกระหม่อมได้ยินเสียงน้องสามจึงรีบตามไปพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งเยี่ยนโจวตอบอย่างไม่เย่อหยิ่งและไม่ต่ำต้อยฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ทอดพระเนตรซ่งจืออวี้กับซ่งจิ่งเซินพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียด แต่กลับมีลักษณะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงถึงจะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินเกี่ยวกับพี่น้องฝาแฝดตระกูลซ่งคู่นี้ว่านิสัยต่างกันสุดขั้ว ด้วยเหตุนี้จึงสามารถระบุตัวซ่งจืออวี้ได้อย่างง่ายดาย“เราได้ยินว่ามีมือสังหารถึงแปดคน แต่เจ้าตัวคนเดียวก็กล้าบุกเข้าไป?”ซ่งจืออวี้ตอบด้วยท่าทางกริ่งเกรง “ฝ่าบาท ตอนนั้นกระหม่อมเห็นองค์ชายทั้งสองตกอยู่ในอันตรายจึงกระโจนเข้าไปโด