“คุณหนู หากอยากได้ยันต์คุ้มกาย พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปขอที่วัดกว่างอวิ๋นมาสักอันดีไหมเจ้าคะ? ไยต้องลำบากเขียนเองด้วย?”ซ่งรั่วเจินตอบโดยไม่เหลือบสายตาขึ้นมอง “ยันต์ที่พวกเขาวาดสู้ของข้าไม่ได้”เฉินเซียงเผยอปาก พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว แต่นางเห็นคุณหนูเขียนพู่กันอย่างหนักแน่น สัญลักษณ์ยันต์ที่ซับซ้อนยังวาดได้สมจริงมาก ถ้าไม่ได้มาเห็นคุณหนูเขียนด้วยตัวเอง บอกว่าไปขอมาจากที่วัดนางก็เชื่อหลังเขียนยันต์คุ้มกายหลายแผ่นติดต่อกัน ซ่งรั่วเจินก็หยิบหนึ่งแผ่นในนั้นส่งให้เฉินเซียง“แผ่นนี้ให้เจ้า เก็บไว้ให้ดี”“ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ!” เฉินเซียงยินดีเหลือจะกล่าว เก็บยันต์แผ่นนั้นไว้ในอกเสื้อราวกับเป็นของล้ำค่า ไม่ว่าจะใช้ได้ผลหรือไม่ก็เป็นน้ำใจของคุณหนูหารู้ไม่ว่ายันต์คุ้มกายแผ่นนั้นเปล่งแสงสีทองจางๆ เป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งวันถัดมา ซ่งรั่วเจินถูกหลิ่วหรูเยียนเรียกหาแต่เช้า“เจินเอ๋อร์ วันนี้ลู่ฮูหยินจัดงานเลี้ยงชมดอกอิงฮวา คุณหนูตระกูลใหญ่ที่ยังไม่ออกเรือนในเมืองหลวงล้วนไปกันหมด วันนี้เจ้าก็ไปด้วยเถิด!”หลิ่วหรูเยียนนำอาภรณ์และเครื่องประดับที่เตรียมไว้ออกมา “แม่ตั้งใจเลือกของพวกนี้ให้
ฉู่จวินถิงปรายตามองฉู่อวิ๋นกุยที่อยู่ข้างกาย “เจ้าสนใจเรื่องนี้ถึงเพียงนี้ คงไม่ได้มีคุณหนูที่พึงใจแล้วหรอกนะ? มิสู้ข้ากลับไปบอกเสด็จแม่ให้เจ้า ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก เจ้าแต่งงานไว ๆ มีหลานตัวน้อยให้เสด็จแม่อุ้ม ข้าเองก็จะได้ฟังคำบ่นน้อยลงหน่อย”“เสด็จพี่ ท่านจัดการเรื่องตัวเองไม่ได้ก็อย่ามาทำร้ายข้าสิ แม้จะมีสตรีชื่นชมข้ามากมาย แต่ไม่มีใครได้ใจข้าไปหรอกนะ ตราบใดที่ท่านยังไม่แต่งงาน เรื่องนี้อย่างไรก็เวียนมาไม่ถึงข้าหรอก”ฉู่อวิ๋นกุยกระหยิ่มยิ้มย่อง อย่างไรเสียเขาก็อยู่อันดับท้าย ๆ มีเสด็จพี่สามขวางอยู่ข้างหน้า เขาจึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเสรี“หากข้าแต่งงาน คนต่อไปก็คือเจ้า เจ้าจะทุ่มเทเพื่องานมงคลของข้าไปทำไม?” ฉู่จวินถิงถามกลับฉู่อวิ๋นกุยอึ้งไป “จริงด้วย ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เสด็จพี่ ท่านต้องต้านให้อยู่นะ ข้ายังไม่อยากแต่งงานตั้งแต่ยังหนุ่ม”“งั้นเจ้ากับข้าก็อยู่ตรงนี้ก่อน ไม่ต้องรีบร้อน”ฉู่จวินถิงทอดสายตามองผิวทะเลสาบซึ่งต้องแสงแดดเป็นประกายระยิบระยับห่างไกลออกไป นึกถึงคำพูดที่ซ่งรั่วเจินบอกเขาว่าอย่าเข้าใกล้ริมทะเลสาบ รู้สึกว่าเชื่อว่ามีไว้ก่อนก็ยังดีกว่าไม่เช
หญิงสาวรูปร่างอรชร กิริยาชดช้อย อาภรณ์สุภาพเรียบง่ายเมื่อสวมลงบนร่างนางกลับสง่างามเหนือสามัญ ดุจดั่งนางเซียนลงมาเยือนแดนมนุษย์คิ้วดุจจันทร์เสี้ยว ดวงตาดุจธาราในฤดูสารท ริมฝีปากแดงฟันขาว ผิวขาวเนียนลออ เครื่องหน้างามเฉิดฉายนั้นเมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องแล้วยิ่งงดงามจับตา เป็นหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้าทันใดนั้น คนไม่น้อยสังเกตเห็นซ่งรั่วเจินที่งามเฉิดฉัน แววตาก็ไหวระริกด้วยความตื่นเต้น“นี่เป็นคนงามจากบ้านใดกัน? ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย!”ชายหนุ่มรอบข้างล้วนหวั่นไหว คนงามเช่นนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าชาติกำเกิดเป็นเช่นไร แค่สามารถแต่งเข้าบ้านได้ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากแล้ว“เสด็จพี่ ท่านดูสิ ทางนั้นมีหญิงงามมาคนหนึ่ง!”ฉู่อวิ๋นกุยพลันตื่นเต้นขึ้นมา สายตาจับจ้องคนงามในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนที่อยู่ห่างไกลออกไป “ช่างงามพิลาสอะไรเช่นนี้ งามล่มบ้านล่มเมือง ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางบ้านใด?”เขาลุกขึ้นจัดแจงรอยยับย่นบนอาภรณ์ “เสด็จพี่ ข้ารู้ว่าท่านไม่ใกล้ชิดกับสตรีมาแต่ไหนแต่ไร ข้าขอล่วงหน้าไปก่อนนะ!”ฉู่จวินถิงย่อมจำหญิงสาวที่ริมฝั่งทะเลสาบได้ เห็นฉู่อวิ๋นกุยกำลังจะจากไปด้วยความรีบร้อน แววตาก็พลันมืดครึ้ม กล่าว
ซ่งจืออวี้เห็นน้องสาวตัวเองตอบโต้จนหลินจือเยว่พูดอะไรไม่ออก ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าก่อนหน้านี้มารดากำชับเสียเปล่าแล้ว น้องหญิงห้าในตอนนี้ไม่ได้มีนิสัยยอมคนเลยสักนิด ยังร้ายกาจกว่าเขาเสียอีก!“น้องหญิงห้า เรื่องนี้ยกให้ข้าจัดการก็พอ พี่สามจะต้องนำเงินกลับมาให้ได้! ถ้าไม่คืน ข้าก็จะไปตีกลองร้องทุกข์ นำความไปทูลเบื้องพระพักตร์!”หลินจือเยว่พลันนึกขึ้นมาได้ว่าซ่งจืออวี้เป็นคนที่ไม่สนใจกฎเกณฑ์คนหนึ่ง เรื่องแบบนี้หากเป็นคนอื่นไม่แน่ว่าจะทำได้ แต่ซ่งจืออวี้ทำได้แน่นอนเงินแปดล้านตำลึง กะทันหันแบบนี้เขาจะไปหามาจากไหน? หากไม่คืน เกรงว่าตระกูลซ่งคงจะอาละวาดจนไม่อาจจัดการได้...“ท่านฉลาดมากไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงไปชอบคนพรรค์นี้ได้?” ต่งเป๋ยอวี่อดรังเกียจไม่ได้ “ท่านแม่ข้าบอกว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับลูกผู้ชายคือความรับผิดชอบ พึงปฏิบัติกับสตรีอย่างสุภาพมีมารยาท คนผู้นี้ดูแล้วไม่เห็นจะเป็นเช่นนั้น”“แม่เจ้าสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้าด้วย?”“แน่นอน ท่านแม่ก็แค่ขี้บ่นเกินไป แต่ข้าคิดว่าที่พูดมาก็มีเหตุผล”ซ่งรั่วเจินยิ้มบาง “ถือเสียว่าก่อนหน้านี้เจ้ากับข้าตาบอดไป ยามคนเรามีชีวิตอยู่มักจะมีช่วงเวลาที่ตามืด
“ฮูหยิน คุณชายต่งไม่เคยโทษท่าน เขาไหว้วานให้ข้านำของสิ่งนี้มาให้ท่านเจ้าค่ะ” ซ่งรั่วเจินเดินเข้าไปหาแล้วยื่นกล่องไม้ขนาดเล็กแสนประณีตในมือออกไปหลินอิ๋งเฉียวอึ้งไป มองแม่นางแปลกหน้าตรงหน้าอย่างงงงวย “เจ้า...เจ้ารู้จักเป๋ยอวี่หรือ?”“เคยพบเจ้าค่ะ”หลินอิ๋งเฉียวเปิดกล่องไม้ออกก็เห็นว่าในนั้นมีกระดาษแผ่นหนึ่ง เมื่อกางออกดูก็พบว่าเป็นภาพวาดครอบครัวของตนเอง ข้าง ๆ ยังมีข้อความที่ต่งเป๋ยอวี่เขียนไว้‘ก็ได้ ท่านแม่ อย่างมากข้ากลับไปแล้วค่อยตั้งใจเรียนกับพี่ใหญ่ก็ได้ จะได้ไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ท่านรับภาพแล้วห้ามโกรธข้าเชียวนะ’นี่คือภาพที่ต่งเป๋ยอวี่วาดหลังไปเยี่ยมญาติได้สองวันแล้วคิดถึงครอบครัวขึ้นมา กลัวว่ากลับมาแล้วมารดาจะไม่สนใจตนเองจึงวาดภาพนี้ เทียนสุ่ยนำภาพนี้มาด้วยตอนที่พาต่งเป๋ยอวี่กลับมาพริบตาที่จดจำลายมือได้ หลินอิ๋งเฉียวก็พลันน้ำตาไหลอาบหน้า “เป็นลายมือเป๋ยอวี่ นี่เป็นลายมือเป๋ยอวี่! แม่นาง เจ้าไปเจอเป๋ยอวี่ที่ใดหรือ? เจ้าโปรดบอกข้าด้วยเถิด ต้องการสิ่งใดเป็นการตอบแทน ข้าล้วนรับปากทั้งสิ้น”หลินอิ๋งเฉียวว่าแล้วก็ทำท่าจะคุกเข่าสวี่ชิงเหมยได้ยินความเคลื่อนไหวฝั่งนี้จึงรีบเดินเ
มิน่าเล่า พี่สามถึงได้เปลี่ยนท่าทีกะทันหันเช่นนั้น!ที่แท้แม่นางซ่งก็มีรูปโฉมงดงามปานนี้ หลินโหวคงตาบอดไปแล้วกระมัง มิฉะนั้นจะทอดทิ้งนางได้อย่างไร?“แม่นางซ่ง ข้าเคารพแม่ทัพซ่งว่าเป็นวีรบุรุษ ครั้งนี้จะไม่ถือสาหาความเจ้า คราวหน้าโปรดอย่าทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้อีก”ซ่งรั่วเจินไม่สนใจความคิดของคนอื่น เพียงมองไปที่หลินอิ๋งเฉียว “ฮูหยิน พวกเราไปคุยกันต่อที่อื่นเถิดเจ้าค่ะ”ลู่หมิ่นฮุ่ยขมวดคิ้ว แม่นางผู้นี้ไม่สนใจคำพูดของนางเลยหรือนี่? “แม่นางซ่ง เจ้าอย่าเหลวไหลเช่นนี้...”“ท่านน้า แม่นางซ่งเป็นคนมีความสามารถ ข้าได้ประจักษ์ความสามารถของนางมาแล้ว ลองดูก่อนค่อยว่ากันก็ไม่เสียหาย” ฉู่จวินถิงเอ่ยขึ้นอย่างสุขุม น้ำเสียงสงบเยือกเย็นประหนึ่งสายลมในพงไพร อบอุ่นอ่อนโยน ช่วยคลี่คลายบรรยากาศที่กำลังตึงเครียด“ฉู่อ๋อง?” ลู่หมิ่นฮุ่ยเห็นฉู่จวินถิงแล้วก็แย้มยิ้มอ่อนโยน “ในที่สุดเจ้าก็มาได้เสียทีนะ วันนี้หากยังไม่มาอีก น้าอย่างข้าจะโกรธแล้ว”ซ่งรั่วเจินมองไปทางลู่หมิ่นฮุ่ย นางดูแล้วอายุมากกว่าฉู่จวินถิงไม่กี่ปี แต่ลำดับอาวุโสกลับสูงมาก“ท่านน้าเชื้อเชิญทั้งที ข้าย่อมต้องมาอยู่แล้ว”สายตาฉู่จวินถ
“เสด็จพี่สาม ท่านว่าแม่นางซ่งทำนายแม่นหรือไม่? หากเป็นเรื่องจริง ท่านน้าจะต้องดีใจมากแน่ๆ” ฉู่อวิ๋นกุยประหลาดใจเสร็จก็อดจะคาดหวังไม่ได้ แม้ท่านน้าจะอาวุโสกว่าพวกเขารุ่นหนึ่ง แต่อายุกลับมากกว่าพวกเขาแค่ไม่กี่ปีกล่าวได้ว่าเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก พวกเขารับรู้ความทุกข์ใจของผู้เป็นน้า ทั้งยังหวังให้นางมีลูกโดยเร็วเช่นกันฉู่จวินถิงนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ เขาจำได้ว่าชาติก่อนอีกหนึ่งปีหลังจากนี้ท่านน้าถึงจะตั้งครรภ์ อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นช่วงเวลานี้“เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นแบบนี้จะตัดสินว่าจริงหรือเท็จได้อย่างไร?” สวี่ชิงเหมยมองไปทางหลินอิ๋งเฉียวด้วยความเป็นห่วง “พี่สะใภ้ ท่านต้องระวังหน่อยนะเจ้าคะ”“ฮูหยิน วันนี้ที่ข้ามาก็เพราะได้รับการไหว้วานจากเป๋ยอวี่ หากท่านไม่เชื่อ...”เดิมนั้นซ่งรั่วเจินต้องการหาสถานที่พูดคุยกับหลินอิ๋งเฉียวตามลำพัง แต่จนใจที่ซุนเยียนเอ๋อร์กับซุนฮั่นเฟยกระโดดเข้ามาก่อกวน ประกอบกับมีอุปสรรคมากเกินไปจึงหมดความอดทนแล้วแต่เมื่อเห็นท่าทางขอบตาแดงเรื่ออย่างน่าสงสารของต่งเป๋ยอวี่ ในใจก็รู้สึกเวทนา “ให้ข้าหนึ่งหมื่นตำลึง”“อะ...อะไรนะ?”“ให้เงินข้าหนึ่งหมื่นตำลึง ข้าจะช
ทุกคนเห็นซ่งรั่วเจินพูดอะไรไม่รู้กับหลินอิ๋งเฉียว ฝ่ายหลังกล่าวคำขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วก็จากไป ในใจจึงอดสงสัยไม่ได้“เมื่อวานข้าเห็นแม่นางซ่งเปิดโปงนักต้มตุ๋นกับตาตัวเอง ยังช่วยสวีฮูหยินตามหาลูกสาวแท้ ๆ จนเจอ เป็นคนที่มีความสามารถโดยแท้จริง ไม่ได้พูดจาเหลวไหล ได้รับความช่วยเหลือจากนาง ไม่แน่ว่าต่งฮูหยินอาจตามหาลูกชายคนเล็กที่หายตัวไปเจอก็เป็นได้”ในกลุ่มคนบริเวณนั้นย่อมมีคนที่เห็นเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ต่างช่วยกันพูดแทนซ่งรั่วเจินเรื่องที่ตระกูลสวีตามหาลูกสาวเจอเมื่อวานนี้ลือกันไปทั่ว แต่สรุปว่าหาเจอได้อย่างไร คนส่วนใหญ่กลับไม่รู้แน่ชัดสวี่ชิงเหมยหน้าเปลี่ยนสี มองประเมินซ่งรั่วเจินอย่างสงสัย สตรีผู้นี้คงไม่ได้มีความสามารถจริง ๆ หรอกนะ?ลู่หมิ่นฮุ่ยมองไปทางฉู่จวินถิง ลดเสียงถามว่า “เจ้าบอกว่าแม่นางผู้นี้มีความสามารถ เป็นเรื่องจริงหรือ?”ฉู่จวินถิง “...”สองตาของลู่หมิ่นฮุ่ยเป็นประกาย สองปีนี้กินเจสวดมนต์ ไปขอพรจากไต้ซือมาจำนวนไม่น้อย ทุกคนล้วนบอกว่าย่อมจะมีไม่เร็วก็ช้า แต่นางรอมาสองปีแล้วยังคงไร้วี่แวว มีเพียงซ่งรั่วเจินที่บอกว่าในไม่ช้าจะได้สมหวังดังปรารถนาแม้จิตใต้สำนึก