ชั่วขณะมือของซ่งรั่วเจินสัมผัสสตรีชุดแดง ภาพเหตุการณ์ในชีวิตแต่ละภาพก็ผ่านตาอย่างรวดเร็วเริ่มจากนางดีใจที่ได้แต่งงานกับไป๋เฉิงหง ต้องการคลอดลูกชายลูกสาวให้เขา จนถึงตอนนี้ที่พบว่าทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเท็จบัณฑิตหน้าขาวที่นางชอบเป็นเรื่องเท็จ แต่งงานกราบไหว้ฟ้าดินเป็นเรื่องเท็จ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงที่ไป๋เฉิงหงแต่งขึ้นนางที่กำลังตั้งครรภ์ถูกพามาที่สกุลไป๋ นี่ถึงรู้ว่าไป๋เฉิงหงเป็นคุณชายใหญ่สกุลไป๋ แต่งงานตั้งนานแล้ว ส่วนนางเป็นเพียงอนุที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ภายนอกคนหนึ่งหลังอวี้เยว่หลิงถูกพากลับบ้านก็ได้รับการเลี้ยงดูอาศัยอยู่ภายในเรือนแห่งนี้ นางเคยคิดจากไป ทั้งยังเคยอ้อนวอนไป๋เฉิงหงหลายครั้ง กลับได้รับคำหลอกลวงและปลอบใจครั้งแล้วครั้งเล่าจากเขาสุดท้าย ลูกก็คลอดออกมานางอยากพาลูกจากไป ถึงขั้นอยากไปขอให้ไป๋ฮูหยินรับปาก กลับพบว่าลูกกลายเป็นคุณชายใหญ่ ส่วนแม่มิใช่นางนางถึงรู้ว่า...ที่แท้ไป๋ฮูหยินหลี่ว์เหวินซิ่วและไป๋เฉิงหงแต่งงานกันมาสามปีแต่ไม่มีลูกมาโดยตลอด ไป๋เฉิงหงถึงออกตามหานางจากภายนอกหลี่ว์เหวินซิ่วรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ตัดสินใจให้นางช่วยคลอดลูกออกมาคนหนึ
“นางมองข้าด้วยสายตาอันอ่อนโยน เป็นความรักความห่วงใยจากผู้ใหญ่ที่ข้าไม่เคยสัมผัสมาก่อน แต่ไม่นานนัก ท่านแม่ของข้าก็พบเข้า ไม่เพียงแค่ตำหนิข้าอย่างรุนแรง ยังสั่งห้ามข้าไม่ให้มาอีก”“นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นท่านแม่ดุถึงเพียงนั้น อีกทั้งยังโดนโบย ในคืนนั้นข้าก็ป่วยเป็นไข้สูง หลังจากฟื้นตัว ข้าพยายามถามแม่นม และเคยถามเหล่าบ่าวไพร่เช่นกัน”“ทุกคนล้วนกล่าวว่าในจวนนี้ไม่มีอี๋เหนียง คงเป็นเพราะข้าตัวร้อนจนสับสน คิดไปเองว่าฝันเป็นความจริง”ใบหน้าของไป๋จื่อมู่แสดงอารมณ์สับสน ความทรงจำในครั้งนั้นยังคงฝังลึก ราวกับไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน แต่เมื่อเขาเติบโตขึ้นและกลับมาที่นี่อีกครั้ง ก็พบเพียงเรือนที่รกร้าง ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่สักคนนานวันเข้า แม้แต่เขาเองก็เริ่มเชื่อว่าเรื่องราวทั้งหมดอาจเป็นเพียงความฝัน“แต่เดิมข้าไม่ได้พำนักอยู่ที่นี่ เพียงเพราะน้องชายคนรองร่ำร้องอยากได้เรือนของข้า ท่านพ่อจึงให้ข้าย้ายไปหาเรือนใหม่”“ข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงนึกถึงเรือนนี้ จึงสั่งให้คนซ่อมแซมให้เรียบร้อยก่อนจะย้ายเข้ามาอาศัยอย่างสบายใจ แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ กลับเกิดเหตุประหลาดขึ้นมากมาย”“ท่านแม่และน้องชายทั
“จะเป็นไปได้อย่างไร?”ไป๋จื่อมู่ยืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ“แม่นางซ่งเอ่ยเช่นนี้ คงไม่ใช่เรื่องเท็จแน่ ลองคิดให้ดีเถิด ตลอดหลายปีที่เจ้าพำนักอยู่ร่วมกับไป๋ฮูหยิน เจ้าไม่เคยรู้สึกถึงความผิดแปลกแม้สักนิดเลยหรือ?” ฉู่จวินถิงเอ่ยถามด้วยเสียงหนักแน่นซ่งรั่วเจินหันไปมองชายหนุ่มข้างกายด้วยความประหลาดใจ เรื่องที่น่าตกตะลึงถึงเพียงนี้ เขากลับเชื่อโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยเลยหรือ?ไป๋จื่อมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความไม่แน่ใจ “แม่นางซ่ง ที่เจ้ากล่าวมาทั้งหมดเป็นความจริงหรือ?”“เรื่องเช่นนี้ข้าไม่กล่าวความเท็จกับท่านหรอก” ซ่งรั่วเจินพยักหน้าอย่างหนักแน่น“ข้าเข้าใจแล้ว” ไป๋จื่อมู่ยิ้มเยาะตนเอง รอยยิ้มที่ปรากฏนั้นแฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อย “แท้จริงแล้ว ข้ารู้ตั้งแต่ยังเยาว์ว่าท่านแม่รักน้องชายทั้งสองมากกว่า ข้าไม่เคยได้รับความใส่ใจเท่าพวกเขา”“ทุกคนล้วนบอกว่าเป็นเพราะข้าเป็นบุตรชายคนโต จำต้องแบกรับหน้าที่ในการสร้างความรุ่งเรืองให้แก่ตระกูล จึงต้องเข้มงวดกับข้าเป็นพิเศษ...”ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยสงสัย แต่ทุกคนรอบตัวต่างยืนกรานว่าความคิดของเขานั้นผิดไปพวกเข
“ท่านอ๋องไม่สงสัยหรือว่าเรื่องนี้เป็นมาอย่างไร?”ซ่งรั่วเจินเห็นฉู่อ๋องยังคงมีสีหน้าปกติราวกับไม่แปลกใจในเรื่องนี้เลย นางจึงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย“ก่อนหน้านี้ข้าเคยพบไป๋ฮูหยิน ท่าทีของนางที่มีต่อไป๋จื่อมู่ไม่เหมือนกับมารดาที่รักและเอ็นดูบุตร วันนี้ได้ฟังคำของเจ้า ข้ากลับคิดว่ามันสมเหตุสมผลยิ่งนัก”“ในวังหลวง หากมีสนมคนใดต้องโทษ บุตรของนางจะถูกยกให้ฮองเฮาหรือสนมตำแหน่งสูงเลี้ยงดู”“ครานั้นไป๋ฮูหยินแต่งงานมาได้สามปียังไม่ตั้งครรภ์ ฮูหยินผู้เฒ่าเคยมีความคิดจะให้ใต้เท้าไป๋หย่าขาดเพื่อแต่งภรรยาใหม่ ข้าจึงคิดว่าไป๋จื่อมู่คงเป็นบุตรของอนุภรรยา เพียงแต่เลี้ยงดูในนามไป๋ฮูหยิน”“หลังจากที่ไป๋ฮูหยินตั้งครรภ์เอง นางก็ยิ่งห่างเหินจากไป๋จื่อมู่ไปตามธรรมชาติ”ฉู่จวินถิงดูเหมือนจะเข้าใจทุกสิ่ง เขาเติบโตในวังหลวง เรื่องเช่นนี้เห็นมามากมาย จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจนักเพียงแต่ที่ตระกูลไป๋ปิดบังเรื่องนี้ก็ยังพอเข้าใจได้ ทว่าการที่ไม่เปิดโอกาสให้ไป๋จื่อมู่ได้พบเจอมารดาแท้ๆ เลยนั้น นับว่าเกินไปแล้วซ่งรั่วเจินถอนหายใจเบาๆ “หากเป็นเพียงอนุภรรยาทั่วไป คงไม่ทิ้งร่องรอยความอาฆาตรุนแรงไว้ที่นี่ จนไม่อาจไปเกิด
หลี่ว์เหวินซิ่วแสร้งทำหน้าเศร้าสลด “หลายวันก่อนหม่อมฉันไม่สบาย เรียกให้เขากลับมา แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะสนใจ!”“หม่อมฉันเฝ้าเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ กล่อมเกลาเขาให้เป็นคนเก่ง บัดนี้พอมีตำแหน่งขุนนางเขากลับไม่เห็นหัวมารดาคนนี้อีกแล้ว ชะตาชีวิตของข้าช่างน่าเวทนาเสียจริง!”“พี่ใหญ่ ท่านไม่คิดถึงจิตใจท่านแม่บ้างเลยหรือ? ยังไม่รีบยอมรับผิดอีก!”ไป๋จวิ้นอวี่ทำหน้าเคร่งขรึม รีบฉวยโอกาสกล่าวตำหนิ “ข้าอาจจะไม่เก่งเท่าท่าน แต่ข้าเข้าใจดีว่าการเป็นคนนั้นความกตัญญูสำคัญที่สุด!”“กตัญญูหรือ? หากมารดาเมตตา บุตรย่อมกตัญญู ยิ่งไปกว่านั้น ข้าหาใช่บุตรที่ท่านให้กำเนิดไม่ ไยต้องเสแสร้งเช่นนี้ด้วย?”ไป๋จื่อมู่กำจดหมายในมือแน่น ดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าที่เคยสงบนิ่งและอ่อนโยนของเขาในยามนี้กลับแฝงด้วยความโกรธเกรี้ยวหลี่ว์เหวินซิ่วสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เจ้าพูดอะไรน่ะ? ข้าเพียงแค่ตำหนิเจ้าไม่กี่คำ เจ้าก็ถึงขั้นไม่ยอมรับข้าเป็นแม่แล้วหรือ?”“มารดาแท้ๆ ของข้าคืออวี้เยว่หลิง เพราะความเห็นแก่ตัวของท่านนางถึงถูกขังอยู่ในเรือนนี้จนตาย ตอนนี้ท่านยังคิดจะรื้อเรือนที่นางเคยอยู่ทิ้งไปอีก!”“ไป๋ฮูหยิน ข้าขอเตือนท่านสักคำ
“พวกท่านไม่มีบุตร ก็รับอนุภรรยาสักคนก็ได้ เหตุใดต้องทำร้ายนางด้วย?”“หลอกลวงนางไม่พอ ยังขังนางไว้ที่นี่ แย่งชิงบุตรของนาง ทำลายชีวิตของนาง พวกท่านมีสิทธิ์อะไรที่จะทำเช่นนั้น!”ไป๋จื่อมู่ตะโกนด้วยเสียงแหบพร่า เขาแทบไม่เชื่อว่าบิดาที่เขาภาคภูมิใจมาตลอด และมารดาที่เขาเคารพรักจะกลายเป็นคนโหดร้ายเช่นนี้!ส่วนตัวเขาเอง คนที่เคยคิดว่าตนเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา คุณชายที่เป็นชื่นชมของทุกคนในเมืองหลวง แท้จริงแล้วกลับเป็นคนโง่เขลาอย่างสิ้นเชิงเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามารดาผู้ให้กำเนิดเขาต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อเขามากมายเช่นนี้ ถึงขนาดที่นางจากไปแล้วหลายปี เขาก็เพิ่งรู้ถึงการมีอยู่ของนาง...เหล่าบ่าวรับใช้ที่อยู่รอบๆ ต่างเบิกตากว้าง นึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยิน แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่มีโอกาสพูดอะไรได้มากนัก เพราะถูกเตือนให้ระวังคำพูดจนบัดนี้ได้รู้ความจริงว่ามารดาของคุณชายใหญ่เป็นผู้อื่น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงกระจ่างชัดในตอนนี้เอง!“เจ้าฟังแค่คำลือไม่กี่คำก็ปักใจเชื่อว่าไม่ใช่บุตรข้า เจ้าลูกอกตัญญู ทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก!”หลี่ว์เหวินซิ่วสีหน้าเขียวคล้ำ “ใครก็ได้ จงนำลูกอกตัญญูคนนี้ไปลงโทษตามกฎตระกูลเสีย!
“ไป๋ฮูหยิน!” ฉู่จวินถิงเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ในเมื่อท่านมิใช่มารดาแท้ๆ ของจื่อมู่ การที่เขาพูดถึงมารดาผู้ล่วงลับ ท่านก็ไม่มีความจำเป็นต้องพูดแทรก”หลี่ว์เหวินซิ่วที่กำลังจะกล่าวตำหนิไป๋จื่อมู่ต่อ เมื่อถูกฉู่จวินถิงตักเตือนขึ้นมา นางก็สะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจหากเป็นวันอื่น นางคงไม่กล้าพูดมากต่อหน้าฉู่อ๋อง แต่วันนี้เป็นเรื่องภายในของตระกูลไป๋ ต่อให้ฉู่อ๋องจะมีอำนาจสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจแทรกแซงเรื่องครอบครัวได้“ท่านอ๋อง เรื่องนี้เป็นเรื่องในจวนของพวกเรา…” หลี่ว์เหวินซิ่วเอ่ยอย่างลังเล“ก็เพราะเป็นเรื่องของตระกูลไป๋ ข้าจึงไม่ได้พูดมากกว่านี้ มิเช่นนั้นไป๋ฮูหยินคิดหรือว่าการกระทำที่ไร้มารยาทเช่นนี้จะยังยืนอยู่ที่นี่ได้?”ฉู่จวินถิงกวาดตามองหลี่ว์เหวินซิ่วด้วยสายตาเย็นชา ดวงตาที่เยือกเย็นของเขาแฝงด้วยความเคร่งขรึมและดุดันหลี่ว์เหวินซิ่วถึงกับพูดไม่ออก นางรีบปิดปากเงียบในทันที นึกในใจว่าอำนาจและบารมีของฉู่จวินถิงช่างน่ากลัวเหลือเกิน ไม่รู้ว่าไป๋จื่อมู่ไปทำบุญด้วยอะไร ถึงได้ติดตามรับใช้ฉู่อ๋องเมื่อไป๋โหวเดินเข้ามาใกล้และเห็นจดหมายในมือของไป๋จื่อมู่ รวมถึงสิ่งของในกล่อง เขาก็เริ่มน้
หลี่ว์เหวินซิ่วสังเกตเห็นซ่งรั่วเจินตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด เพียงเพราะรูปลักษณ์ของนางที่โดดเด่นจนยากจะมองข้ามแม้นางจะไม่รู้จักซ่งรั่วเจิน แต่เมื่อเห็นว่าซ่งรั่วเจินอยู่เคียงข้างฉู่อ๋อง ก็พอคาดเดาฐานะของนางได้ไม่ยาก เพียงแค่สตรีที่ใช้ความงามเพื่อรับใช้ผู้คน แต่กลับกล้าสอดมือเข้ามาในเรื่องของตระกูลไป๋เช่นนี้หรือ?“แม่นาง คำพูดของเจ้าหมายความว่าอย่างไร?”“ไป๋ฮูหยิน ท่านรู้ดีว่าตนเองเคยทำอะไรลงไป หากไม่ใช่เพราะคำโกหกและการใส่ร้ายป้ายสีของท่านในตอนนั้น มารดาของคุณชายไป๋ก็คงไม่ต้องตายอย่างทุกข์ทรมานเช่นนี้”หลี่ว์เหวินซิ่วสีหน้าถอดสี “เจ้ารู้อะไรถึงได้พูดจาเหลวไหลเช่นนี้!”ซ่งรั่วเจินไม่สนใจกับความโกรธของหลี่ว์เหวินซิ่ว “ไป๋ฮูหยิน ข้าขอเตือนด้วยความหวังดี หน้าผากท่านดำคล้ำ ดวงตาลึกโบ๋ ช่วงนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการตายของคน ทำให้วิญญาณอาฆาตตามทวงชีวิต”“หากไม่แก้ไขโดยเร็ว ภายในสามวันท่านคงไม่รอด”“ส่วนเรื่องที่ท่านอ้างว่าป่วยเพราะเรือนของคุณชายไป๋ส่งผลร้ายต่อท่านนั้น ล้วนเป็นคำพูดเหลวไหล บาปกรรมที่ท่านก่อขึ้นต่างหากที่ทำให้ท่านต้องรับผลเช่นนี้”“คนตายหรือ?”ทุกคนในที่นั
เวลาคล้ายหยุดนิ่งก็มิปานบัดนี้ความครึกครื้นของเขตล่าสัตว์เงียบงันไร้เสียง ทุกคนหันมองซ่งรั่วเจิน เพียงคิดว่านางดุจดั่งเซียนเดินดิน วิธีการนี้ชวนให้คนรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงไม่มีใครสงสัยว่านี่คือความสามารถของซ่งรั่วเจินสามารถทำให้สวรรค์ลงทัณฑ์ทันท่วงทีเช่นนี้ได้ นี่คือวิธีการน่าทึ่งอะไรกัน?อวิ๋นเนี่ยนชูและเมิ่งชิ่นลืมตาอ้าปากค้าง ปากที่อ้าออกลืมปิดให้สนิท ตนเองสามารถมีสหายหญิงเช่นนี้ได้ นับเป็นวาสนายิ่งใหญ่!เรื่องนี้พูดออกไปสามารถโอ้อวดได้ชั่วชีวิต!พี่น้องชายทั้งสี่ของสกุลซ่งหันหน้าสบตากัน มองเห็นท่าทางตกตะลึงของอีกฝ่าย หลังตอบสนองกลับมาได้ก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกน้องหญิงของตนมีความสามารถยอดเยี่ยมเกินไปแล้วกระมัง!เพียงสถานการณ์ในวันนี้ ภายภาคหน้าใครยังขวัญกล้าทำตัวโอหังต่อหน้าน้องสาว นั่นก็คือรนหาที่ตาย!ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่สวรรค์ก็ยืนทางฝั่งน้องหญิงห้า?“ไม่รู้ว่าพวกเจ้าคิดเห็นเช่นไรต่อคำอธิบายนี้?”ซ่งรั่วเจินเลิกคิ้วขึ้น สายตาเย็นชาสบมองถังหงจี้ เหอเฉิงหยางและคนอื่น เจือความเย้ยหยันหลายส่วนสีหน้าถังหงจี้และคนอื่นล้วนไม่สบอารมณ์มาก นึกเสียใจภายหลังภายในใจ
เหอเฉิงหยางสบมองซ่งรั่วเจินอย่างโกรธแค้น “โหดเหี้ยมจริงนั่นล่ะ! หากครั้งนี้ข้าไม่สามารถลงโทษเจ้าได้ ไฉนเลยข้าจะมีหน้าพบเซียงหนิงได้?”“สกุลซ่งจะต้องมอบคำอธิบายให้พวกเราอย่างหนึ่ง นี่คือต้องการจะเอาชีวิตของเซียงหนิงจริงๆ!”ถังหงจี้ย่อมไม่พลาดโอกาสอันดีนี้ไป พูดว่า “ซ่งอี้อัน คราวนี้ไม่ใช่ข้ามอบคำอธิบายให้เจ้า แต่เป็นพวกเจ้าสกุลซ่งสมควรมอบคำอธิบายให้คนทั่วหล้า!”เวลาเพียงชั่วพริบตา นับตั้งแต่อวิ๋นจู๋สองคนสาบานในช่วงเวลาสั้นๆ การแสดงของสกุลเหอและสกุลถังก็มากเพียงพอแล้วฉู่จวินถิงและสี่พี่น้องสกุลซ่งกลับไม่รีบ เพราะเคยเห็นความสามารถของซ่งรั่วเจินมาก่อน ก็รู้ว่าในเมื่อนางพูดเช่นนี้จะต้องทำได้อย่างแน่นอน“รีบอะไรกัน? ต่อให้ต้องการฟ้าผ่าท่ามกลางอากาศแจ่มใสเช่นนี้ก็ต้องใช้เวลาสักหน่อยมิใช่หรือ?” ซ่งจืออวี้พูดอย่างไม่พอใจถ้อยคำนี้ทำให้ถังหงจี้และเหอเฉิงหยางหัวเราะลั่น “ซ่งจืออวี้ เพื่อปกป้องน้องสาวไม่ว่าคำใดเจ้าก็สามารถพูดออกมาได้ เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกว่าฟ้าผ่าก็ต้องรอเวลา!”คนรอบข้างหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ คิดไม่ตกว่าอยู่ดีๆ เหตุใดซ่งรั่วเจินจึงต้องรนหาที่ด้วยอธิบายออกมายังมีโอกา
เขตล่าสัตว์ของเชื้อพระวงศ์ตกอยู่ในความเงียบอย่างแปลกประหลาด ทั้งๆ ที่มีคนมากมายถึงเพียงนี้ แต่สายตายามทุกคนสบมองซ่งรั่วเจิน กลับรู้สึกใจสั่นอย่างไร้สาเหตุฮองเฮาเห็นภาพนี้อยู่ภายในสายตา ท่าทีรับมืออย่างสุขุมของซ่งรั่วเจินทำให้นางเปลี่ยนความคิดไม่มีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ เหมือนสตรีเกิดในตระกูลเล็กๆ เผชิญหน้ากับความสงสัยโดยไม่ลนลาน ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถชี้จุดปัญหาได้อย่างตรงประเด็นเพียงแต่สำหรับเรื่องคำสาบานทำนองนี้กลับไม่น่ากลัวมากนัก กระนั้นเพียงออกจากปากแม่นางคนนี้ ถึงขั้นทำให้ทุกคนตกตะลึงได้ทุกคนที่นี่ล้วนนึกถึงความสามารถด้านศาสตร์ลี้ลับของซ่งรั่วเจิน โดยเฉพาะหลังจุดกระดาษเขียนยันต์แล้ว รู้สึกลึกลับมากยิ่งขึ้น ไม่กล้าพูดเหลวไหลส่งเดชอีกถังเสวี่ยหนิงเห็นคนเหล่านั้นกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าพูด เอ่ยปากอย่างอดไม่ได้ “เดิมทีพวกเจ้าก็ไม่มีเรื่องให้ต้องละอายใจอยู่แล้ว ยังกังวลอะไรอีกเล่า? รีบพูดออกมาเถอะ!”อวิ๋นจู๋และเพ่ยอวิ๋นสบตากันแวบหนึ่ง รู้สึกกังวลภายในใจ ไม่มีใครกล้าพูดก่อนเหอเซียงหนิงกระซิบเร่ง “กลัวอะไร? ก็แค่จงใจข่มขู่พวกเจ้าเท่านั้น หรือพวกเจ้าเชื่อจริง?”“ทุกวันมีคนสาบานไม่รู
“ข้าได้ยินมาว่าหลังเจ้าถูกขับไล่ออกจากสกุลเหอก็ไม่มีเงินติดตัว ทำได้เพียงไปอยู่ที่สกุลฉินชั่วคราว ส่วนฉินซวงซวงและหลินจือเยว่ติดเงินข้ายังไม่ได้คืน น่าจะไม่มีเงินมากถึงเพียงนั้นมอบให้เจ้าไปตามหาคนได้กระมัง?”เมิ่งชิ่นเองก็ช่วยพูด “องครักษ์จวนแม่ทัพของพวกเรามีฝีมือไม่เลว ไม่ว่ามองอย่างไรทำเรื่องลับๆ พรรค์นี้ก็สมควรให้คนสนิทไปลงมือ รั่วเจินไม่ใช่คนโง่ ยังไม่ต้องพูดว่าไปหาอวิ๋นจู๋ตัวไร้ประโยชน์คนนี้ ยังให้เขาไปตามหาคนช่วยที่นอกจวนอีกรึ?”“เรื่องนี้เพียงได้ยินก็รู้ว่าเป็นความเท็จ ใครเชื่อก็โง่แล้ว!”คนอื่นเองก็คิดว่าเป็นเช่นนี้จริง เรื่องนี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!เหอเซียงหนิงเห็นสถานการณ์แล้วกลับไม่รีบ “จะต้องเป็นเพราะนางกังวลว่าจะถูกคนในครอบครัวรู้เรื่องนี้ จึงไปหาคนที่นอกเมือง”“คนอื่นในสกุลซ่งล้วนเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีวันปล่อยให้นางทำเรื่องโหดเหี้ยมพรรค์นี้”ซ่งจืออวี้หัวเราะออกมาอย่างสุดระงับ “คราวนี้กล่าวหาพวกเรา ต้องการยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของพวกเรา? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ไม่มีวันเสียหรอก!”“เดิมทีน้องหญิงห้าของข้าก็ไม่ใช่คนใจคอโหดเหี้ยม หาไม่แล้วนางคิดอยากได้ชีวิตของเจ้
“พูดจาเหลวไหลอะไร? พวกเขาล้วนพูดความจริง!” ถังเสวี่ยหนิงรีบตอบโต้กลับ“เจ้ามีหลักฐานอะไรว่าพวกเขาพูดความจริง?” ซ่งรั่วเจินถามกลับ “ล้วนอาศัยปากพูดทั้งนั้นมิใช่หรือ? ข้าเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นพวกเจ้าซื้อตัวพวกเขามาปรักปรำข้า!”ถังเสวี่ยหนิงรู้สึกเหลือเชื่อ “พวกเขาล้วนพูดความจริงต่อหน้าแล้ว เจ้ายังปฏิเสธไม่ยอมรับ ไร้ยางอายเกินไปแล้วกระมัง!”“หาสองสามคนออกมาตั้งใจปรักปรำข้า นี่ง่ายดายเกินไปแล้วกระมัง!”ซ่งรั่วเจินเผยสีหน้าเยาะหยัน เลื่อนสายตาหันมองทางคนโกหกเหล่านั้น สายตาคมกริบ“ข้าขอเตือนพวกเจ้า วันนี้ฮองเฮาเป็นผู้ตัดสินคืนความยุติธรรม มิใช่สถานที่ให้พวกเจ้าพูดจาเหลวไหลได้!”“หากเป็นไปตามที่พวกเจ้าพูดจริง ยืนกรานป้ายความผิดให้ข้า พวกเจ้าเองก็หนีไม่พ้น ทั้งหมดล้วนต้องเข้าคุกหลวง!”“ข้าขอชี้แนะพวกเจ้าให้คิดให้ดี ถึงตอนนั้นเข้าคุกแล้วอย่าได้นึกเสียใจภายหลัง!”ได้ยินดังนั้น สายตาอวิ๋นจู๋สะท้อนแววตกตะลึง “เข้าคุกหลวง?”พวกเขาถึงขั้นต้องเข้าคุกหลวง?“ย่อมต้องเข้าคุกหลวง ต่อให้น้องหญิงของข้าเป็นผู้สั่งการ แต่คนลงมือคือพวกเจ้า พวกเจ้าคิดว่าจะอยู่รอดปลอดภัยได้หรือ?” ซ่งอี้อันพูดเสียงเ
สีหน้าเหอเซียงหนิงกระตือรือร้น มองถังเสวี่ยหนิงเป็นผู้มีพระคุณของตนเดิมทีซ่งจืออวี้ยังตื่นเต้น น้องหญิงของตนทำอะไร คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขารู้ดีอยู่เต็มอกคืนวันนั้นทั้งๆ ที่เหอเซียงหนิงวางอุบายทำร้ายน้องหญิงตน ต้องการลักพาตัวน้องหญิงไปที่ตรอกหย่งอัน โชคดีน้องหญิงมีความสามารถ ทำลายแผนของพวกเขาหาไม่แล้ว บัดนี้คนถูกทำลายก็คือน้องหญิง!บัดนี้เหอเซียงหนิงแว้งกัด เขาเองก็กังวลพวกคนที่ถูกส่งออกไปสองสามคนนั้นจะถูกพากลับมาได้ แต่เมื่อได้เห็นว่าใบหน้าเหล่านั้นมิใช่สองสามคนก่อนหน้านี้ กลับสงบใจลงไม่น้อยแล้ว“คุณหนู นั่นไม่ใช่อวิ๋นจู๋หรือ?”เฉินเซียงเห็นหนึ่งในชายกลุ่มนั้น สีหน้าเปลี่ยนไป ภายในสายตาเปี่ยมโทสะระคนความรู้สึกเหลือเชื่อ“ไอ้คนเนรคุณ ที่ผ่านมาคุณหนูดีต่อเขาไม่เลว เขาถึงขั้นถูกพวกเขาซื้อไว้มาทำร้ายท่าน!”ซ่งรั่วเจินเองก็จำหนึ่งในชายเหล่านั้นได้แล้ว เป็นบ่าวรับใช้ภายในเรือนนางก่อนหน้านี้ เมื่อหลายวันก่อนพูดว่ามารดาที่บ้านตายไป นางยังมอบเงินให้หนึ่งก้อนเพื่อให้เขากลับไปจัดการงานศพดีๆใครคาดคิดเล่าว่าจะเป็นคนเนรคุณคนหนึ่ง เพียงชั่วพริบตาก็กลายเป็นสุนัขรับใช้ของเหอเซียงหนิงแล้ว?
เห็นว่าอุบายเล็กๆ ถูกเปิดโปงแล้ว ถังเสวี่ยหนิงก็ไม่สามารถเก็บอารมณ์บนสีหน้าได้อีกนางประเมินซ่งรั่วเจินต่ำเกินไปแล้ว!ทำเรื่องต่ำช้าถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังถูกเปิดโปงต่อหน้าธารกำนัล แต่กลับไม่ว้าวุ่น ชนิดที่ว่ายังเกิดความคิดหาข้อผิดพลาดของนางอีกด้วยมิน่าเล่าอายุมากแล้วอีกทั้งยังถอนหมั้น แต่ยังสามารถยั่วยวนฉู่อ๋องได้ เพียงวิธีการนี้ สตรีทั่วไปล้วนไม่ใช่คู่ต่อของนาง“ความคิดเจ้าโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ทำลายเหอเซียงหนิงเพราะแค้นส่วนตัว ข้าก็แค่อยากเปิดเผยต่อหน้าทุกคนเท่านั้น นี่มีอะไรผิดกัน?”“สำหรับคนไร้เมตตาอย่างเจ้าคนนี้ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยม ข้าก็แค่อยากทวงความบริสุทธิ์ให้เหอเซียงหนิงเท่านั้น!”ถังเสวี่ยหนิงพูดอย่างองอาจมีคุณธรรม ราวกับวีรสตรีผู้มุ่งมั่นเพื่อปวงประชาอย่างแท้จริง หวังเพียงจับคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายเท่านั้นวันนี้มีนางอยู่ ซ่งรั่วเจินอย่าได้คิดพลิกสถานการณ์กลับมาได้เลย!ครู่ต่อมา นางเลื่อนสายตามองทางเหอเซียงหนิง “เซียงหนิง เอาพยานของเจ้าออกมาเถอะ!”เหอเซียงหนิงกังวลใจ นางไม่เคยเห็นเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดว่ายังมีฮองเฮาเป็นผู้ตัดสินหากจั
ซ่งอี้อันเอ่ยปากเสียงเย็น “หากน้องหญิงห้าของข้าถูกพวกเจ้าปรักปรำจนคิดไม่ตกฆ่าตัวตายไป หรือว่าทุกท่านที่นี่มิใช่มือสังหารกันเล่า?”“ไม่มีหลักฐาน อาศัยเพียงปากของนางก็ปรักปรำความผิดแล้ว นี่น่าขันเกินไปแล้ว!”เพียงถ้อยคำนี้พูดออกมา ทุกคนที่ด่าว่าซ่งรั่วเจินก็เงียบปากลงในทันใด ไม่กล้าตั้งข้อสันนิษฐานส่งเดชอีกซ่งรั่วเจินมองทางพี่รองของตนอย่างแปลกใจ สมเป็นผู้มีพรสวรรค์ของจอหงวน เพียงเปิดปากก็ได้ผลลัพธ์ไม่ธรรมดา“แม่นางถัง เจ้าจงใจพาเหอเซียงหนิงมาพูดเช่นนี้ น่าจะมีหลักฐานกระมัง?”“มิสู้นำออกมาเสียเลย หาไม่แล้วเพื่อปรักปรำข้าจึงแต่งเรื่องออกมาเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาบนโลกนี้ไม่ใช่ใครร้องไห้คนนั้นก็มีเหตุผลหรอกนะ”“ข้าและคุณชายสวีบริสุทธิ์ใจต่อกัน เหอเซียงหนิงคิดว่าข้าและนางเป็นศัตรูหัวใจกัน แต่ในสายตาข้า เดิมทีข้าและนางก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้เป็นปรปักษ์กัน ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องหึงหวง”“ขอถามหน่อยเถิด...เหตุใดข้าต้องทำร้ายนางถึงเพียงนี้ด้วยเล่า? คงมิใช่พูดหน้าซื่อตาใส ก็สามารถตั้งข้อหากล่าวโทษข้าได้หรอกกระมัง?”ดวงตาคู่งามดำดุจหมึกของซ่งรั่วเจินจับจ้องถังเสวี่ยหนิง ดวงหน้างดงามขาวนวลไม่มีควา
“หากเรื่องนี้มีเงื่อนงำอยู่จริง เหอเซียงหนิงเองก็น่าสงสารเกินไปแล้วกระมัง!”“นี่คือบีบคั้นคนให้ตาย จะต้องได้รับความทุกข์ใจอย่างหนักเป็นแน่ ซ่งรั่วเจินโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”กลุ่มคนต่างชี้หน้าบริภาษขึ้นมาระลอกหนึ่ง ฉินซวงซวงลอบลำพองใจภายในใจ เพื่อทำให้ชื่อเสียงซ่งรั่วเจินเสื่อมเสีย นางวางแผนทั้งหมดไว้อย่างดีแล้ว!ฉู่จวินถิงเหลียวมองคนที่เป็นผู้นำของกลุ่มคน ออกคำสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ “จับตามองคนเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด ห้ามมิให้หลุดรอดไปได้แม้คนเดียว”“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”“ไม่ต้องกังวล คนเหล่านี้น่าจะถูกซื้อตัวไว้แล้ว จงใจพูดเช่นนี้ อีกเดี๋ยวสอบสวนอย่างละเอียดก็จะรู้ผล”สุ้มเสียงฉู่จวินถิงมั่นใจมาก สอบสวนคนเหล่านี้ เดิมทีก็ไม่ต้องใช้วิธีการมากมายอะไร เพียงถามอย่างไม่ตั้งใจก็สามารถรู้ได้ซ่งรั่วเจินเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “ท่านอ๋องไม่สงสัยหม่อมฉันเลยหรือ?”“เหตุใดข้าต้องสงสัยเจ้าด้วย?” ฉู่จวินถิงสุขุมสงบนิ่ง “ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อแรกเหอเซียงหนิงทำกับเจ้าเยี่ยงไร ข้าเข้าใจทั้งหมดแล้ว”“ยิ่งไม่ต้องพูดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือเจ้า ต่อให้เป็นฝีมือเจ้า ก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม”ภายในสายตาของฉู่จวิน