หลังไต้ซือเทียนสุ่ยได้ยินคำนี้หัวใจก็เต้นตึกตัก จ้าวเหวินเทากลับย้อนคิดอย่างไม่เข้าใจ “หลานชายข้าเริ่มร้องไห้ราวเมื่อเจ็ดวันก่อน ไม่ยอมกินอะไร แม้กินแล้วก็อาเจียนออกมาอย่างรวดเร็ว...”พูดไปๆ เขาคล้ายนึกบางอย่างออกอย่างฉับพลัน ดวงตากลมโตหันมองเทียนสุ่ย “ไต้ซือเทียนสุ่ยคล้ายมาถึงเมืองหลวงในตอนนี้!”“ก่อนหลานชายท่านร้องไห้ เคยมีคนส่งของอันใดให้หรือไม่?” ซ่งรั่วเจินถามอีกครั้ง“เมื่อนั้นมีคนส่งจี้หยกหนึ่งชิ้นให้หลานชายข้าจริงๆ จี้หยกนี้ปลุกเสกมาก่อนแล้ว เป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง เดิมทีข้าไม่อยากรับไว้ แต่เห็นหลานชายคล้ายชอบจนไม่ยอมปล่อยมือจึงสวมคอของเขาไว้แล้วเริ่มตั้งแต่วันที่สอง เด็กก็ร้องไห้ไม่หวาดไม่ไหว จนกระทั่งเมื่อสองวันก่อนข้าพาหลานชายมาพบไต้ซือเทียนสุ่ย ไต้ซือเทียนสุ่ยมอบหยกอีกหนึ่งชิ้นให้อาการจึงดีขึ้น แต่หยกชิ้นนั้นก่อนหน้านี้ไม่รู้หายไปที่ใดแล้ว”ใต้เท้าจ้าวเล่าถึงตรงนี้ ตอบสนองเชื่องช้าอย่างไรก็รู้ได้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นแล้วเดิมทีนี่ก็ไม่ใช่วิธีขับไล่สิ่งสกปรกที่เกาะตัวเด็ก แต่เป็นได้รับภัยโดยไร้สาเหตุ!จี้หยกชิ้นก่อนทำร้ายเด็ก ถัดมาผ่านกลวิธีของไต้ซือเทียนสุ่ย อันที่จริงขอ
“ซวงซวงมิได้ตั้งใจ เหตุใดเจ้าต้องบีบคั้นคนอื่นถึงเพียงนี้?” หลินจือเยว่ปกป้องฉินซวงซวงไว้ทางด้านหลัง สีหน้าบึ้งตึง“ข้าบีบคั้นคน? คนมากมายที่นี่ถูกทำร้าย หลานชายของใต้เท้าจ้าวได้รับภัยโดยไร้สาเหตุ พี่รองข้าต้องตาบอดเพราะสวมสร้อยข้อมือเส้นนี้ บัดนี้หลินโหวพูดหนึ่งประโยคว่ามิได้ตั้งใจก็ถือว่าจบกันไปแล้วกระนั้นรึ? ท่านมีสิทธิ์อะไรพูดคำนี้กัน?”ใบหน้างดงามมีเสน่ห์ของฝ่ายหญิงเจืออารมณ์โกรธขึ้ง ดวงตาดำดุจหมึกคู่งามทอประกายวาวโรจน์ ท่าทีดุดันชัดเจน ถึงขั้นทำให้หลินโหวตะลึงงัน“ไต้ซือชั่วคนนี้หลอกพวกเราหลายคนเพียงนี้ หากมิใช่เพราะฉินซวงซวงเชิญมา พวกเราจะถูกหลอกได้อย่างไร?”“ตนเองตาไม่ดีก็ช่างเถอะ ยังพาหายนะเช่นนี้มาด้วย โชคร้ายที่พวกเราแต่ละคนหลงเชื่อ ทำร้ายพวกเราอย่างรันทดถึงเพียงนี้!”“หลินโหวเองก็มิใช่ว่าถูกหญิงคนนี้ใช้เล่ห์เหลี่ยมอันใดจับไว้แล้วหรือ หาไม่แล้วไฉนเลยจะลุ่มหลงนาง ไม่ยอมแต่งงานกับแม่นางซ่งที่ดีเพียงนี้ ต้องแต่งกับหญิงผู้นี้เท่านั้น?”ได้ยินเสียงตำหนิเกินควร ประโยคแรกว่ารุนแรงแล้วประโยคถัดมากลับรุนแรงยิ่งกว่า สีหน้าฉินซวงซวงเผือดซีด คิดดูแล้วก็ไม่เข้าใจ ทั้งที่ชาติก่อนไต้
หลินจือเยว่คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ เหตุใดฉู่อ๋องจึงให้ท้ายซ่งรั่วเจินฉู่อ๋องถึงวัยออกเรือนแล้ว แต่กลับยังไม่แต่งงาน คุณหนูในเมืองหลวงมากมายล้วนหลงใหล กลับไม่มีผู้ใดสามารถเข้าตาของเขาได้ เหตุใดบัดนี้กลับปกป้องซ่งรั่วเจิน?“เมื่อครู่เป็นข้าเข้าใจผิดไป ขออภัย”หลินจือเยว่พูดขอโทษอย่างฝืนๆ อึดอัดคับข้องใจเป็นที่สุด เขาเป็นขุนนางใหม่ในราชสำนัก เมื่อหลายวันก่อนทุกคนในราชสำนักล้วนชื่นชม ทุกคนที่ได้พบต่างเข้ามาผูกไมตรีกับเขา ทว่านับตั้งแต่เมื่อวานก็เริ่มขายหน้าอย่างต่อเนื่อง“หวังว่าท่านโหวจะจดจำไว้ อย่าเปิดปากขอโทษเพราะทำผิดบ่อยเกินไปนัก ข้าฟังแล้วเลี่ยนนัก” ซ่งรั่วเจินรับคำนิ่งๆ ไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อยสายตาฉู่จวินถิงกวาดมองบนตัวพวกซุนฮั่นเฟย “เมื่อครู่คนพูดจาส่งเดชคล้ายมิใช่เพียงหลินโหวคนเดียวกระมัง?”เห็นสถานการณ์แล้ว หลิ่วเฟยเยี่ยนที่กำลังวางแผนหลบหลีกเข้ากลุ่มคนพลันชะงักฝีเท้า ใบหน้าเผยรอยยิ้มประจบเอาใจ “รั่วเจิน ล้วนเป็นน้าไม่ดีเอง เข้าใจเจ้าผิดไปแล้ว น้าเองก็กังวลเจ้าพูดผิดไปจะสร้างปัญหาเอาได้ เจ้าไม่ถือสาน้าใช่หรือไม่?”“ญาติผู้น้อง พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน” ซุนฮั่นเฟยพูดยิ้ม
ซ่งรั่วเจินหัวเราะเยาะในใจ ตอนที่อ่านนิยายนางก็รู้สึกว่าตระกูลหลิ่วทั้งตระกูลไม่ใช่คนดี หลิ่วเฟยเยี่ยนกล้ากระทำการอย่างโจ่งแจ้งก็เพราะอาศัยการสนับสนุนจากตระกูลหลิ่วตอนแรกแม่ของนางก็เคยไม่พอใจ แต่ใครจะคิดว่าตระกูลนี้ลำเอียงมากนัก มักจะพูดตลอดว่าหลิ่วเฟยเยี่ยนเป็นน้องสาวแท้ ๆ ในฐานะพี่สาวควรดูแลน้องให้มาก ทั้ง ๆ ที่ผู้ที่ตกที่นั่งลำบากคือท่านแม่ของนาง ทว่าสุดท้ายกลับถูกตำหนิว่าจิตใจแคบหลายปีที่ผ่านมานี้ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนเป็นปกติ เมื่อปิดประตูพูดคุยกัน ก็จะทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก ไม่แน่ว่าอาจจะถูกใส่ร้ายซ้ำอีกด้วย“จะเป็นการดูถูกได้อย่างไร? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนมากมายเช่นนี้ ท่านน้าก็บอกแล้วว่านางโดนใส่ความ แน่นอนว่าต้องให้ทุกคนได้รับรู้ความจริงเพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด ข้าหวังดีต่อท่านน้าจริง ๆ นะเจ้าคะ!”ซ่งรั่วเจินมีสายตาใสบริสุทธิ์ ท่าทางจริงใจจนแม้แต่หลิ่วซวี่หยางก็ยังคล้อยตาม แต่ในใจเขารู้ดีว่าไม่มีการใส่ความอะไรทั้งนั้น“เจตนาดีของเจ้า ตารู้ดี เพียงแต่น้าของเจ้าเป็นสตรี หากมีข่าวลือออกไป...”“ข้าก็อยากฟังเหตุผลเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าตระก
ฉู่จวินถิงมองเห็นความหมายแฝงในสายตาของซ่งรั่วเจิน รอยยิ้มในดวงตาเขาลุ่มลึกขึ้น “แน่นอน”ช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด เขาก็อยากจะดูว่าเรื่องขับขันเรื่องนี้ ตระกูลหลิ่วและตระกูลฉินจะอธิบายอย่างไรเพ่ยหลานเดิมไม่เชื่อคำพูดของซ่งรั่วเจิน เพราะมีหลิ่วเฟยเยี่ยนและแม่นางฉินหนุนหลัง นางจึงไม่จำเป็นต้องกลัวซ่งรั่วเจินที่ดูอ่อนปวกเปียกแต่เมื่อเห็นท่านอ๋องพูด นางจึงตระหนักว่าเรื่องที่ตนจะถูกตีจนตายอาจเป็นเรื่องจริง ในใจให้หวาดกลัวอย่างถึงที่สุด“พูดมา ใครกันแน่ที่ซื้อตัวเจ้า?” ซ่งรั่วเจินถามอย่างเย็นชาเพ่ยหลานเห็นว่าหลิ่วเฟยเยี่ยนและฉินซวงซวงไม่สนใจนาง จึงกัดฟันพูดว่า “ไม่เกี่ยวกับฮูหยินและแม่นางฉิน ข้าไม่ได้ถูกพวกเขาซื้อตัว”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลิ่วเฟยเยี่ยนและฉินซวงซวงต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขอแค่นางไม่บอกว่าพวกเขาเป็นคนซื้อตัวก็พอทั้งสองคนมองซ่งรั่วเจินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความได้ใจ คิดว่านางจะไม่มีทางออกแล้ว!“ดี งั้นก็ลากออกไปตีจนตายเสีย!” สีหน้าของซ่งรั่วเจินไม่เปลี่ยน ดูเหมือนจะไม่แปลกใจเลย “หวังหลู่ เจ้าไปคุมเอง ห้ามใครยุ่งเกี่ยว ตีให้ตายแล้วนำไปโยนทิ้งที่หลุมฝังศพรว
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ซ่งรั่วเจินยกมือขึ้นขัดจังหวะหลินจือเยว่“จวนโหวของเจ้าจะให้ใครแต่งเข้าก็เรื่องของเจ้า ข้าไม่สนใจและข้าก็หวังว่าเจ้าสองคนจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าผมขาวโพลน แต่พวกเจ้ามาหาเรื่องข้าโดยไม่มีเหตุผล นั่นต่างหากที่เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง!”“ทำไมเล่า? ความรักของพวกเจ้าก็ดีอยู่แล้วยังต้องให้ข้าแต่งเข้าไปเพื่อเป็นสักขีพยานอีกหรือ? สมองมีปัญหาหรือไร?”“แม่นางฉินก็น่าขันแท้ นางคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถที่จะเป็นฮูหยินเอกหรือ? ข้าก็ถอนหมั้นแล้ว เจ้าก็ยังมาขอให้ข้ากลับไป ฮูหยินเอกที่ศักดิ์เท่าเทียมก็แค่ชื่อเรียกหรูหรา สุดท้ายก็เป็นแค่ฮูหยินรอง”“ใช้ชีวิตมาถึงเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นคนไม่อยากเป็นฮูหยินเอก แต่อยากเป็นฮูหยินรองใจแทบขาด!”ซ่งรั่วเจินเปลี่ยนทิศทางของคำพูด “หรือว่า... จวนหลินโหวขาดแคลนจนกระทั่งจ่ายเงินให้คนใช้ไม่ได้ แม่นางฉินไม่มีสินสอดมากพอที่จะเสริมให้ จึงหวังให้ข้าแต่งเข้าไปเพื่อให้พวกเจ้าสามารถใช้เงินข้าได้อย่างสุขสมหวังทั้งสองคน?”“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ก่อนหน้านี้ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมฉินซวงซวงถึงอยากให้ซ่งรั่วเจินกลับไป ที่แท้ก็เพราะเรื่องเงิน!”“ใครจะไ
“ตึง!” หลานจือรีบคุกเข่าลงพลางร้องไห้คร่ำครวญ “ทั้งหมดนี้เป็นความคิดของบ่าว ไม่เกี่ยวกับคุณหนูเลยเจ้าค่ะ!”“คุณหนูปฏิบัติต่อบ่าวอย่างดี บ่าวกลัวว่าคุณหนูแต่งงานกับหลินโหวไปแล้วแม่นางตระกูลซ่งจะไม่ดีด้วย ถึงได้ใช้ชื่อคุณหนูไปซื้อตัวเพ่ยหลาน ข้ามิได้วางแผนจะทำร้ายแม่นางซ่ง แค่อยากทราบข่าวบางอย่างเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”“ขอให้แม่นางซ่งหายโกรธ เรื่องนี้คุณหนูของข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะเจ้าคะ”“หลานจือ เหตุใดเจ้าถึงโง่งมเช่นนี้?” ฉินซวงซวงน้ำตาเริ่มคลอ “ทำไมต้องทำเรื่องที่ไม่จำเป็นเช่นนี้ ทั้งยังทำให้แม่นางซ่งเข้าใจผิดอีก!”“คุณหนู บ่าวได้รับพระคุณจากท่านตั้งแต่เด็ก บ่าวแค่อยากตอบแทนคุณหนูจึงใช้วิธีโง่เขลาเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของบ่าวเองเจ้าค่ะ”หลานจือคุกเข่าอยู่บนพื้น ก้มโขกหัวไม่หยุด เลือดไหลนองหน้าผากในทันที “แม่นางซ่ง ทั้งหมดเป็นความผิดของบ่าวเอง จะลงโทษอย่างไรบ่าวก็ยอม ขอแค่อย่ากล่าวหาคุณหนูของบ่าวเลยเจ้าค่ะ”ฉินซวงซวงทำท่าเหมือนซาบซึ้งใจ เอาผ้าเช็ดน้ำตาที่หางตา “แม่นางซ่ง เรื่องนี้เป็นความผิดของพวกเรา หลานจือเป็นสาวใช้ใกล้ชิดของข้า หวังว่าเจ้าจะให้อภัย”ผู้คนมองฉากความผูกพันระ
“แม่นางซ่งสมเป็นบุตรีจากตระกูลใหญ่ ดูแลคนในตระกูลซ่งได้อย่างดี มองการณ์ไกลอย่างแท้จริง ตอนนี้ยังไม่เกิดเรื่องอะไร เพราะสาวใช้ยังไม่มีโอกาสทำเรื่องร้าย แต่ถ้าไม่เจอทันเวลา ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเกิดสิ่งใดขึ้น?”“แม่นางฉิน เจ้าอย่าได้ปกป้องสาวใช้เลย ท้ายที่สุดจะเป็นภัย อีกทั้งวันนี้ก็ควรจะให้คำตอบแก่แม่นางซ่งด้วย”ฉินซวงซวงมองดูคนที่เปลี่ยนใจตามกระแสลม ในใจก็รู้สึกโกรธแค้นอย่างยิ่ง!“นำตัวออกไปตีจนตาย!” ฉู่จวินถิงกล่าวอย่างเย็นชาหลานจือถูกลากออกไป ใบหน้าแสดงความตกใจสุดขีด ร้องเรียกอย่างต่อเนื่อง “คุณหนูช่วยบ่าวด้วย คุณหนูช่วยบ่าวด้วยเจ้าค่ะ!”แต่ฉินซวงซวงเพียงแค่มองชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์และเย็นชาเบื้องหน้า มิกล้าพูดอะไรออกมา นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้พูดคำไหนคำนั้น พูดออกไปตอนนี้ไม่เพียงจะไม่ช่วยอะไร แต่ยังจะทิ้งความประทับใจที่แย่กว่าเดิม“แม่นางซ่ง เจ้าตั้งใจจะจัดการกับสาวใช้ของเจ้าอย่างไร?” ฉู่จวินถิงถามซ่งรั่วเจินผู้คนเห็นฉู่จวินถิงถามความเห็นของซ่งรั่วเจินโดยตรง ต่างพากันงุนงง เกิดอะไรขึ้น? ท่านอ๋องสนใจนางจริง ๆ หรือ?“ในเมื่อนางบอกความจริงแล้ว เช่นนั้นก็จะไว้ชีวิตนาง เมื่อคืนข้าได้ส่ง
วาจาคมกริบนี้ฉีกหน้าสกุลหลิ่วอย่างไม่ต้องสงสัย พริบตาต่อมาคนภายในงานเข้าใจแล้วก่อนหน้านี้คนที่ยังคิดว่าสกุลหลิ่วพูดมีเหตุผลและน่าสงสารมาก บัดนี้รู้สึกเพียงถูกตบหน้าหนึ่งฉาดด้วยมือที่มองไม่เห็น!อีกฝ่ายเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาที่ใดกัน เห็นชัดว่าพวกเขาหน้าซื่อใจคดอีกทั้งยังเย็นชา ยังไม่ต้องพูดว่าเอาเปรียบสกุลกู้ ยังสามารถแสร้งทำท่าทางเป็นคนดีกล่าวโทษหลิ่วหรูเยียนได้อีกด้วยหากไม่ใช่วันนี้ถูกเปิดโปงโดยบังเอิญ เช่นนั้นน่ากลัวว่าหลิ่วหรูเยียนก็ต้องถูกตราหน้าว่าทำผิดต่อสกุลหลิ่วและกลายเป็นวัวเป็นม้าเลี้ยงดูตอบแทนบุญคุณไปชั่วชีวิต ถึงขั้นยังถูกด่าว่าทำร้ายคุณหนูสกุลหลิ่วที่แท้จริงอีกด้วย!ภายใต้การใคร่ครวญอย่างละเอียด นี่น่ากลัวมากเพียงใดกัน?“หลิ่วเฟยเยี่ยนและกู้อวิ๋นเวยมีความสัมพันธ์ที่ดีมากมิใช่หรือ? ที่ผ่านมาข้าเคยพบพวกเขามิใช่เพียงครั้งเดียว น่ากลัวว่าพี่สาวน้องสาวคู่นี้นับญาติกันตั้งนานแล้วกระมัง!”“ไม่เพียงแค่นี้! ที่ผ่านมาข้ายังเคยเห็นกู้อวิ๋นเวยเข้าออกสกุลหลิ่วอีกด้วย ตอนนั้นข้าก็คิดว่าแปลก ปกติแล้วกู้อวิ๋นเวยคนนี้ไม่เคยเห็นคนทั่วไปอยู่ในสายตาด้วยฐานะของสกุลหลิ่ว นางน่าจะไม่สนใจ
“เดิมทียังคิดว่าไม่รู้จะนับญาติยามใดถึงจะเหมาะสม คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นวันแต่งงานของพี่ใหญ่ นี่ก็นับเป็นเรื่องมงคลยิ่งขึ้นไปอีกกระมัง?” ซ่งอี้อันหัวเราะเบาๆซ่งเยี่ยนโจวผลิยิ้ม “ข้าดูแล้วท่านตา ท่านยายและท่านลุงทั้งสองท่านล้วนดีมาก เทียบกับปลิงเหล่านั้นแล้วไม่รู้ดียิ่งกว่ามากเพียงใดท่านแม่นับญาติแล้ว ภายภาคหน้าก็ไม่ต้องถูกสกุลหลิ่วบีบบังคับอีกต่อไป คิดแล้วก็ดีใจยิ่งนัก”แม้พูดว่าเกิดเรื่องเอะอะวุ่นวายในวันแต่งงานหลายครั้ง แต่มองดูผลลัพธ์แล้วเขากลับดีใจมาก คิดว่าชิงอินเองก็ดีใจเฉกเดียวกันซ่งจืออวี้มองสองสามคนที่รู้เรื่องตั้งแต่แรกแล้ว เอ่ยออกมาอย่างอดไม่ได้ “พวกท่านล้วนรู้เรื่องแล้ว มีแค่ข้าไม่รู้?”“อย่าเสียใจไปเลย ข้าเองก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้นี่แหละ” ซ่งจิ่งเซินเอ่ยปลอบซ่งจืออวี้ “เหตุใดข้าไม่อยากจะเชื่อกันเล่า?”ซ่งอี้อันมองทั้งหมดเงียบๆ พูดว่า “ตอนนั้นอุ้มเด็กผิดตัวไป...น่ากลัวว่าอาจไม่ใช่อุบัติเหตุกระมัง”หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เขาเชื่อว่าอาจอุ้มเด็กผิดไปจริง แต่พวกเขารู้จักอุปนิสัยของสกุลหลิ่วดีมาก ภายใต้สถานการณ์ไม่รู้ว่าลูกของตนอยู่ที่ใด ไฉนเลยจะเลี้ยงดูมารดาให้เติบใหญ่ได้?
ทว่า ในเมื่อพวกเขาชอบแสดงละคร เช่นนั้นก็ให้พวกเขาแสดงอีกสักครู่เถอะขณะเดียวกันคนเหล่านั้นยิ่งเชื่อพวกเขามาก รอความจริงถูกเปิดเผยแล้ว คนโกรธแค้นที่สุดก็คือพวกเขาเฉกเดียวกัน นี่ก็คือธรรมชาติของมนุษย์“พอดีเลย ข้าทำนายออกมาได้ว่าพ่อแม่แท้ๆ ของท่านแม่ก็อยู่ในเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นยังมาเข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนี้อีกด้วย!”ชั่วขณะที่เสียงของซ่งรั่วเจินเพิ่งจบลง ดวงตาของทุกคนภายในงานล้วนเผยแววตกใจ จากนั้นกลายเป็นตกตะลึงพรึงเพริด“เมื่อแรกแม่นางซ่งก็ช่วยสวีฮูหยินตามหาลูกสาวที่หายตัวไปนานพบมิใช่หรือ? นางจะต้องทำนายออกมาได้แน่ว่าพ่อแม่แท้ๆ ของซ่งฮูหยินเป็นใคร!”“คนก็อยู่ในงานเลี้ยงวันนี้ คงมิได้หมายความว่าอีกฝ่ายคือบ่าวสูงวัยหรือหญิงบ้านนอกหรอกกระมัง?”ทุกคนต่างหันหน้ามองกัน ประโยคนี้มีความหมายท่วมท้น ทุกคนย้อนนึกคิดอย่างอดไม่ได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าบ้านใดคลอดลูกในเวลาไล่เรี่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่ว อายุฮูหยินของอีกฝ่ายยังห่างจากหลิ่วหรูเยียนไม่มากฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้ยินถ้อยคำนี้แล้ว ดูตกใจเล็กน้อย ความทรงจำในตอนแรกอย่างหนึ่งผุดออกจากสมองนางจำได้ยามตนเองตั้งครรภ์กู้อวิ๋นเวยเคยได้พบฮูหยินผู้เฒ
ยิ่งคนสกุลหลิ่วนำความจริงออกบิดเบือนเช่นนี้ ผู้คนรอบข้างก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้างหลิ่วหรูเยียนมิใช่บุตรในไส้ ดังนั้นที่สกุลหลิ่วลำเอียงก็นับว่าเข้าใจได้ ยิ่งเมื่อเปลี่ยนเป็นครอบครัวอื่นแล้ว ความลำเอียงเช่นนี้เรียกได้ว่ามิอาจหลีกเลี่ยงอยู่แล้วแม้จะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ยังยากจะปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันได้ นับประสาอะไรกับเด็กที่มิใช่สายเลือดเดียวกันหากหลิ่วหรูเยียนเป็นเพียงบุตรของบ่าวรับใช้ เมื่อถูกสับเปลี่ยนให้มาเสวยสุขเป็นคุณหนูในจวน ก็นับว่าโชคมหาศาลหล่นทับนางแล้ว!“หากว่ากันตามนี้ หลิ่วหรูเยียนก็ติดค้างบุญคุณสกุลหลิ่วอยู่เช่นกัน ต่อให้ต้องชดใช้ด้วยทรัพย์สินมากหน่อยก็เป็นการสมควรแล้ว มิเช่นนั้นจะมีวาสนาได้เป็นถึงคุณหนูผู้สูงศักดิ์หรือ?”“บุตรสาวแท้ๆ ของสกุลหลิ่วบัดนี้ก็ไม่รู้ไปอยู่แห่งหนใด ทว่าสกุลหลิ่วรู้ความจริงนี้แล้วยังคงเก็บงำไว้มิยอมปริปาก ก็มิใช่ว่าใจคอกว้างขวางมากแล้วหรือ?”กระแสความคิดเริ่มโน้มเอียงไปอีกทาง คนรอบข้างต่างพูดกันไปต่างๆ นานา บ้างเริ่มเข้าอกเข้าใจถึงความใจคอคับแคบแล้งน้ำใจของสกุลหลิ่วต่งฮูหยินและจางเหวินที่มองดูเหตุการณ์มีหรือจะอดรนทนฟังได้?“หาก
“อะไรกัน? ใต้เท้าหลิ่วมิกล้าอย่างนั้นหรือ?” ฉู่จวิ้นถิงกล่าวเสียงขรึมใต้เท้าหลิ่วนิ่งเงียบอยู่ครู่ ก่อนมีทีท่าคล้ายหมดเรี่ยวแรงแล้วก็มิปาน พลางหันมองนายหญิงหลิ่วด้วยความจนใจ “ช่างเถิด เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วก็พูดไปเสียเถิด”นายหญิงหลิ่วย่อมไม่อยากที่จะยอมรับความจริง ทว่ากลับรู้ดีว่าไม่อาจเลี่ยงต่อไปได้อีก นางจึงได้แผดเสียงร่ำไห้โหยหวน “ข้าเองก็มิรู้เช่นกันว่สารเลวคนไหนมันสับเปลี่ยนลูกข้าไป!”“หลายปีมานี้ข้าก็เลี้ยงดูหรูเยียนดังบุตรในไส้มาโดยตลอด จนเมื่อไม่นานมานี้จึงเพิ่งได้รู้ว่านางมิใช่บุตรสาวแท้ๆ ของข้า! แต่อย่างไรพระคุณเลี้ยงดูย่อมยิ่งใหญ่กว่าพระคุณให้กำเนิด หรือเพียงเพราะเรื่องเท่านี้ก็ทำให้มิอาจยอมรับข้าผู้นี้เป็นแม่เจ้าแล้ว?” ใต้เท้าหลิ่วเองก็กล่าวด้วยสีหน้าปวดร้าวเช่นกัน “ครานั้น ฮูหยินข้าตั้งครรภ์ลูกถึงสิบเดือนจนคลอดออกมา บัดนี้กลับไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าลูกไปอยู่แห่งหนใด หรือยังจะกล่าวโทษพวกข้าด้วย?”“ที่พวกข้าปิดเอาไว้มิยอมพูด ก็เพราะมิต้องการให้หรูเยียนปฏิบัติห่างเหินต่อพวกข้า มินึกเลยว่า...”ผู้คนได้เห็นสกุลหลิ่วออกปากยอมรับด้วยตนเองเช่นนี้แล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เส
บัดนี้ยังมีผู้ใดบ้างเล่ากล้าตั้งสัตย์สาบานต่อหน้าซ่งรั่วเจิน?กลางวันแสกๆ นางก็สามารถเรียกทัณฑ์อัสนีมาสังหารคนทั้งเป็นได้ หากตั้งสัตย์เท็จจะไม่เท่ากับรนหาที่ตายเองหรอกหรือ?ดวงตานายหญิงหลิ่วหดเกร็งด้วยหวั่นเกรง นางไม่ได้อยากตาย!“เจินเอ๋อร์ นางเป็นถึงท่านยายของเจ้า เจ้าก็อายุอานามเพียงเท่านี้เหตุใดจึงได้ใจคอโหดร้ายเพียงนี้!”นายท่านหลิ่วว่าด้วยขุ่นเคืองแกมแฝงด้วยความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด “ช่างเถิด ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่ต้อนรับพวกข้าแล้วจริงๆ จึงได้ใช้วิธีต่ำช้าถึงเพียงนี้เพื่อตัดสัมพันธ์กับพวกข้า”“ข้าไม่รู้หรอกว่าพวกเจ้าวางแผนรัดกุมรอบคอบเช่นนี้ไปเพื่ออะไร แต่พวกเราจะไปให้เดี๋ยวนี้แหละ!”ว่าพลาง นายท่านหลิ่วก็จูงมือนายหญิงหลิ่วเดินจากไป ท่าทีโกรธเกรี้ยวดูราวกับถูกเหยียดหยามเต็มประดาซ่งรั่วเจินมองดูละครลวงโลงแสนช่ำชองจากครอบครัวนี้แล้ว ในดวงตาก็ฉายแววเย้ยหยันอุตส่าห์วางแผนมาอย่างดิบดีเพื่อแสดงละครฉากหนึ่ง บัดนี้ยังคิดเสแสร้งแกล้งทำตนเป็นผู้ถูกกระทำให้ผู้อื่นชี้หน้าด่าทอพวกนาง มีหรือที่เรื่องจะง่ายดายได้เช่นนั้น?“หรือจะถูกข้าพูดแทงใจเข้า จึงได้ร้อนตัวจนต้องรีบหนีกลับกัน?” ซ่ง
ว่าพลาง ซ่งรั่วเจินก็ส่งกระดาษเขียนยันต์ในมือให้กับฉู่จวินถิงหากนางเป็นผู้จุดเทียนเองก็เกรงว่าครั้นผลลัพธ์ปรากฏขึ้น สกุลหลิ่วก็ยังจะคิดหาหนทางมาปฏิเสธอยู่วันยังค่ำ แต่การให้ฉู่จวินถิงจุดเทียน ย่อมทำให้พวกเขาหุบปากสิ้นข้อสงสัยเมื่อผู้คนได้ยินได้เห็นถึงการพิสูจน์สายเลือดที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้แล้ว ในดวงตาก็ค่อยๆ เปี่ยมเต็มด้วยความกระหายใคร่รู้หลิ่วเฟยเยี่ยนจำยอมกรีดปลายนิ้วของตน นำเอาหยาดเลือดสดหยดลงบนกระดาษเขียนยันต์ด้วยความไม่เต็มใจ ตั้งแต่ได้รู้ว่าในเขตล่าสัตว์ของเชื้อพระวงศ์ซ่งรั่วเจินได้ใช้คำสัตย์สาบานเรียกทัณฑ์อัสนีลงมาฟาดฟันใส่คนพูดปดสองคนจนถึงแก่ชีวิตทั้งเป็น ในใจของนางก็อดหวาดผวาขึ้นมาไม่ได้หญิงผู้นี้ช่างเป็นนางมารนางปิศาจโดยแท้!ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดหลิ่วหรูเยียนจึงได้คลอดบุตรสาวเช่นนางออกมาได้ ทั้งยังเห็นประหนึ่งสมบัติล้ำค่า!ไม่นานกระดาษเขียนยันต์ก็ถูกจุดขึ้นโดยฉู่จวินถิง ผู้คนต่างเป็นประจักษ์พยานกันโดยทั่วว่าเทียนไขทั้งสี่เล่มล้วนถูกจุดขึ้นจนสว่างไสวลุกโชน เสียก็เพียงแต่กระดาษยันต์ที่ค่อยๆ มอดไหม้จนเหลือเพียงเถ้ากลับคล้ายมีพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นเชื่อมโยงอยู่กับ
ทันทีทันใดที่สิ้นเสียงของซ่งรั่วเจิน สีหน้าของนายหญิงหลิ่วก็พลันเปลี่ยนสีนางลืมไปเสียสิ้นว่าซ่งรั่วเจินมีความสามารถเช่นนี้อยู่กับตัว!“เจ้าลูกอกตัญญูมิรู้คุณ! แม่ของเจ้าก็คือข้าอย่างไรเล่าที่อุ้มท้องถึงสิบเดือนคลอดเจ้าออกมา บัดนี้เจ้ากลับมาอุตริคิดสงสัยเรื่องเช่นนี้ได้ ตกลงเห็นข้าเป็นคนอย่างไรกัน!”นายหญิงหลิ่วคล้ายเดือดดาลจนถึงขีดสุด จึงยื่นมือออกหมายจะทุบตีซ่งรั่วเจิน “เจ้าไม่รู้จักอบรมสั่งสอนลูกให้ดี เช่นนั้นข้าผู้นี้จะช่วยอบรมให้เอง!”ทว่ามือของนายหญิงหลิ่วเพิ่งยื่นออกมากลางอากาศก็ถูกขวางเอาไว้สายตาเยียบเย็นของฉู่จวินถิงกับจ้องเขม็งไปที่นางเสียก่อน “ฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่วก็เลื่องชื่อมิน้อยเรื่องมิอาจอบรมบุตรหลานให้ดี เช่นนั้นหยุดคิดจะอบรมลูกหลานผู้อื่นเสียจะดีกว่า”สีหน้าของนายหญิงหลิ่วพลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นนางยังพอใช้สถานะความอาวุโสกดข่มผู้อื่นได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่อ๋องเช่นนี้แล้ว ต่อให้ใจกล้าอีกสักร้อยเท่าพันเท่านางก็ไม่กล้า!นางเด็กซ่งรั่วเจินผู้นี้ก็ช่างโชคดีได้น่าบรรลัยแท้ ถึงกับมีฉู่อ๋องมาโปรดปรานให้ความสำคัญเช่นนี้“ท่านอ๋อง ข้าอายุอานามก็ปูนนี
“พี่หญิง ในใจท่านข้าไม่น่าเชื่อถือปานนั้นเชียวหรือ ท่านถึงได้ใส่ร้ายข้าต่อหน้าพวกเขาเช่นนี้?”หลิ่วเฟยเยี่ยนเช็ดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริง “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านไม่เห็นข้าเป็นน้องสาวอีกแล้ว ดี ต่อไปข้าจะอยู่ห่างๆ ท่านก็ได้ แต่ท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้ทำอะไรผิด”“ท่านแค่โทษข้าคนเดียว ท่านพ่อท่านแม่ดีต่อท่านมากเลยนะ”“หรูเยียน พวกเราล้วนแต่เป็นคนในครอบครัว เจ้ากับเฟยเยี่ยนโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ยามนี้กลับทะเลาะจนถึงขั้นพี่น้องแตกหักกันแค่เพื่อร้านค้าร้านเดียวออกจะน่าเสียดายเกินไปแล้ว”“ต่อไปนางไม่กล้าเรียกร้องร้านขายไก่ทอดอีกแล้ว เจ้าก็หายโกรธเถอะนะ พวกเรายังเป็นครอบครัวเดียวกันดีหรือไม่?” นายหญิงหลิ่วกล่าวทั้งน้ำตาคลอหากเป็นเมื่อก่อน หลิ่วหรูเยียนเห็นนายหญิงหลิ่วเป็นเช่นนี้จะต้องใจอ่อนแน่นอน นางจิตใจดีงามมาตลอด ทนเห็นผู้อาวุโสเสียใจไม่ได้แต่หลังจากรู้ว่านางไม่ใช่ลูกบังเกิดเกล้าของอีกฝ่าย ทุกอย่างนี้กลับแลดูน่าขันยิ่งนักนางถึงกับถูกมารดาจอมปลอมเช่นนี้บีบคั้นมาเสียหลายปี!ซ่งรั่วเจินกับซ่งจิ่งเซินสบตากัน ฝ่ายหลังเข้าใจได้ในทันทีจึงเอ่ยขึ้นมาว่า“ท่านยาย ท่านแม่ย่อมยินดีเห็นคนในครอบครัวอยู่