“แม่นางซ่งสมเป็นบุตรีจากตระกูลใหญ่ ดูแลคนในตระกูลซ่งได้อย่างดี มองการณ์ไกลอย่างแท้จริง ตอนนี้ยังไม่เกิดเรื่องอะไร เพราะสาวใช้ยังไม่มีโอกาสทำเรื่องร้าย แต่ถ้าไม่เจอทันเวลา ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเกิดสิ่งใดขึ้น?”“แม่นางฉิน เจ้าอย่าได้ปกป้องสาวใช้เลย ท้ายที่สุดจะเป็นภัย อีกทั้งวันนี้ก็ควรจะให้คำตอบแก่แม่นางซ่งด้วย”ฉินซวงซวงมองดูคนที่เปลี่ยนใจตามกระแสลม ในใจก็รู้สึกโกรธแค้นอย่างยิ่ง!“นำตัวออกไปตีจนตาย!” ฉู่จวินถิงกล่าวอย่างเย็นชาหลานจือถูกลากออกไป ใบหน้าแสดงความตกใจสุดขีด ร้องเรียกอย่างต่อเนื่อง “คุณหนูช่วยบ่าวด้วย คุณหนูช่วยบ่าวด้วยเจ้าค่ะ!”แต่ฉินซวงซวงเพียงแค่มองชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์และเย็นชาเบื้องหน้า มิกล้าพูดอะไรออกมา นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้พูดคำไหนคำนั้น พูดออกไปตอนนี้ไม่เพียงจะไม่ช่วยอะไร แต่ยังจะทิ้งความประทับใจที่แย่กว่าเดิม“แม่นางซ่ง เจ้าตั้งใจจะจัดการกับสาวใช้ของเจ้าอย่างไร?” ฉู่จวินถิงถามซ่งรั่วเจินผู้คนเห็นฉู่จวินถิงถามความเห็นของซ่งรั่วเจินโดยตรง ต่างพากันงุนงง เกิดอะไรขึ้น? ท่านอ๋องสนใจนางจริง ๆ หรือ?“ในเมื่อนางบอกความจริงแล้ว เช่นนั้นก็จะไว้ชีวิตนาง เมื่อคืนข้าได้ส่ง
ฉู่จวินถิงนิ่งอึ้งไป “สถานที่ที่มีน้ำ?”“ริมทะเลสาบ” ซ่งรั่วเจินเอ่ยเน้นฉู่จวินถิงงงงันเสียแล้ว นึกใคร่ครวญว่าสองวันนี้หยุดพักผ่อน ทั้งยังนัดสหายมารวมตัวกันที่จวน เดิมไม่คิดจะออกไปข้างนอก บวกกับเขาว่ายน้ำไม่เป็น ปกติย่อมไม่ไปบริเวณริมทะเลสาบอยู่แล้ว“แม่นางซ่งคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ชอบไปเที่ยวริมทะเลสาบ”ได้ยินดังนั้น มุมปากซ่งรั่วเจินก็หยักขึ้นเล็กน้อย เกรงว่าบางครั้งถึงไม่ชอบก็ยังจำเป็นต้องไปอยู่ดี...ณ จวนตระกูลซ่งเมื่อหลิ่วหรูเยียนได้ยินว่าซ่งรั่วเจินพาหลินโหวและฉินซวงซวงกลับมาด้วย ตรงขมับก็พลันปวดตุบๆ สองวันก่อนได้พบหลินโหวก็รับทราบท่าทีของเขาแล้ว นางยิ่งนึกทอดถอนใจกว่าเดิมว่าฉินซวงซวงช่างมีฝีมือโดยแท้ ทำให้หลินโหวลุ่มหลงหัวปักหัวปำได้ถึงเพียงนี้แต่จู่ๆ เจินเอ๋อร์พาคนทั้งสองกลับมาด้วยทำไม?“ท่านแม่ ข้าไปดูกับท่านด้วยขอรับ” ซ่งจืออวี้ก้าวเท้าไวๆ เข้ามาหา สีหน้าเผยความไม่พอใจ “ถ้าพวกนั้นกล้ารังแกน้องหญิงห้า ข้าจะตีพวกเขาให้ตายเลย!”“น้องสาม อย่าหุนหันพลันแล่น ออกไปดูก่อนค่อยว่ากันอีกที” ซ่งอี้อันมุ่นคิ้ว หลังถอนหมั้นเดิมทีไม่สมควรไปยุ่งเกี่ยวกันอีก วันนี้เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่อ
“น้องหญิง ในเมื่อเขาเป็นนักต้มตุ๋น สิ่งของที่เขาฝังเอาไว้จะใช้ได้ผลเช่นนั้นรึ?” ซ่งอี้อันถามเสียงต่ำ“เขาพึ่งพาผีน้อยจึงสามารถทำนายหลายเรื่องได้อย่างแม่นยำ ไม่มีความสามารถในการปัดเป่าเคราะห์ร้ายให้คนอื่น แต่กลับมีความสามารถในการทำร้ายคนอยู่บ้าง ฮวงจุ้ยในจวนเราเดิมทียังไม่เลว แต่ของที่เขาฝังไว้เป็นแหล่งรวมพลังชั่วร้าย สะสมแรงอาฆาต ปล่อยทิ้งไว้มีแต่จะชักนำให้ชะตาของคนทั้งบ้านเสื่อมโทรมลงไปเรื่อยๆ ”ซ่งรั่วเจินพูดไปหนึ่งประโยค สีหน้าของหลิ่วหรูเยียนก็ซีดขาวลงหนึ่งส่วน “งานวิวาห์ของเจ้ากับเรื่องที่พี่รองของเจ้าตกอยู่ในสภาพนี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ใช่หรือไม่?”“ท่านแม่ อย่าคิดมากไปเลย เร่งมือจัดการเสียตอนนี้ยังมีโอกาสคลี่คลายได้เจ้าค่ะ” ซ่งรั่วเจินพูดปลอบซ่งอี้อันนึกถึงความเย็นวาบแปลกๆ ตอนอยู่ริมสระบัวเมื่อวานนี้ขึ้นมาทันที ประกอบกับที่น้องสาวจงใจถอดสร้อยข้อมือไปจากเขา เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ตรงหน้าแล้วยังมีอันใดไม่เข้าใจอีก?“แม่นางฉิน เจ้าแย่งงานวิวาห์ของลูกสาวข้าไปแล้ว ตระกูลซ่งของข้าทระนงในศักดิ์ศรีจึงไม่ถือสาหาความเจ้า แต่เจ้ากลับใช้วิธีการชั่วร้ายลับหลังเช่นนี้ จะต่ำ
ทันใดนั้น สายตาของคนตระกูลซ่งก็กวาดมองไปมาระหว่างฉู่อ๋องกับหลินโหวเรื่องที่ฉินซวงซวงชมชอบฉู่อ๋อง คนที่รู้เรื่องมีจำนวนไม่น้อย ยามนี้ดูเหมือนถามคาดคั้นอย่างเจ็บปวด แต่กลับมีน้ำเสียงออดอ้อนปนอยู่ด้วยแต่ฉินซวงซวงจะออกเรือนให้หลินโหวไม่ใช่หรือ?“มีเรื่องสนุกให้ดูแล้วสิ” ซ่งรั่วเจินชมดูอย่างออกรสออกชาติ นางนึกว่าฉินซวงซวงได้มาเกิดใหม่อีกครั้งแล้วจะหันมาหาหลินจือเยว่อย่างจริงใจเสียอีก ที่แท้ในใจก็ยังอาลัยอาวรณ์ฉู่จวินถิงอยู่?นางเหลือบมองหลินจือเยว่โดยสัญชาตญาณ รู้สึกว่าระหว่างชายผู้นี้กับฉู่อ๋องมีความเหลื่อมล้ำกันอยู่จริงๆ มิน่าตอนแรกฉินซวงซวงถึงได้ปฏิเสธเขาอย่างไรเสีย ผู้ที่สามารถกลายเป็นแสงจันทร์ขาว [1] ในใจนางเอกได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้วหลินจือเยว่รู้สึกว่าสายตาของซ่งรั่วเจินมีความเหยียดหยามเต็มเปี่ยม เขาก้าวออกมาบังฉินซวงซวงไว้ด้านหลังโดยไม่รู้ตัว “มิทราบว่าเหตุใดฉู่อ๋องจึงเอาแต่ปกป้องแม่นางซ่ง? คงไม่ได้...”“หลินโหวพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ซ่งอี้อันสีหน้าเย็นชา“ข้าเพียงรู้สึกว่าฉู่อ๋องมีนิสัยเย็นชามาโดยตลอด วันนี้กลับช่วยเหลือแม่นางซ่งโดยไร้สาเหตุ จึงคิดว่าแปลกก็
คิ้วใบหลิวของซ่งรั่วเจินเลิกขึ้นเล็กน้อย ผีน้อยตนนี้ก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น แต่นางไม่มีอารมณ์จะสนใจ“พวกข้าไม่มีความแค้นใดกับท่าน ท่านกลับมาฝังของสิ่งนี้ไว้ในบ้านข้า ยังบอกว่าในร้อยปีนี้ห้ามขุดออกมา ผู้ใดเป็นคนบงการให้ท่านทำเช่นนี้กันแน่?”พอหลิ่วหรูเยียนสงบลงแล้วก็ตระหนักได้ว่ามีปัญหา พวกสิบแปดมงกุฎมักจะหลอกเอาเงินเท่านั้น แต่นางก็ให้ไปหนึ่งแสนตำลึงแล้ว ฝ่ายตรงข้ามไม่มีเหตุผลมาทำร้ายนาง เบื้องหลังจะต้องมีคนบงการอย่างแน่นอน!ประโยคนี้แม้จะคาดคั้นเทียนสุ่ย แต่ทุกคนในที่นั้นล้วนเข้าใจว่าผู้อยู่เบื้องหลังก็คือฉินซวงซวง“ข้า ข้า...” เทียนสุ่ยเหงื่อแตกพลั่ก รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก ถ้าเขาพูดออกมา เกรงว่าก็คงต้องจบชีวิตลงเหมือนกัน...“ถ้าท่านไม่พูดก็คงอยู่ไม่พ้นวันนี้ ทำเรื่องชั่วร้ายมากขนาดนี้ วันนี้ต้องตายแน่นอน ถ้าท่านพูดออกมา ข้าอาจพิจารณาช่วยเหลือท่านก็ได้” ซ่งรั่วเจินเอ่ยเสียงต่ำเทียนสุ่ยย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่กลับพบว่าผีน้อยที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลกำลังจ้องตนเองอย่างมาดร้าย จากนั้นก็สัมผัสได้ว่าพลังงานชั่วร้ายกำลังแว้งกัด จนกระอักเลือดออกมาคำหนึ่งซ่งรั่วเจินคาดการณ์ไว้แต่แรก พูดประโ
“ห้ามแจ้งความนะ!”ฉินซวงซวงได้ยินว่าจะแจ้งความก็ร้อนรนขึ้นมา จับมือหลินจือเยว่ไว้แน่น “ท่านโหว ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ จะแจ้งความไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ!”หลินจือเยว่กำลังจะเอ่ยปาก แต่ถูกซ่งอี้อันตัดบทเสียก่อน “หลินโหว ข้าแนะนำว่าท่านอย่าพูดอะไรจะดีกว่า กระทำความผิดก็ต้องรับโทษ เว้นเสียแต่ว่าท่านจะใช้อำนาจมาข่มพวกข้า”แม้สองตาของซ่งอี้อันจะมองไม่เห็น เวลาพูดจากลับแฝงความกดดันเต็มเปี่ยม แสดงความหยิ่งทะนงออกมาเต็มที่ ทำให้คนไม่กล้าดูแคลนหลินจือเยว่ไม่อาจใช้อำนาจมากดดันได้อยู่แล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตระกูลซ่งเดิมก็มีฐานะไม่ต่ำต้อย ยามนี้ยังมีฉู่อ๋องอยู่ด้วย หากเขากล้าทำเช่นนั้น คนเคราะห์ร้ายคงเป็นเขาแน่นอนจ้าวจือเต๋อ เจ้าเมืองประจำศาลาว่าการซุ่นเทียนเดิมนั้นกำลังดื่มชาอยู่ ครั้นได้ยินว่าเรื่องนี้ไม่เพียงพัวพันถึงหลินโหวและตระกูลซ่ง แม้แต่ฉู่อ๋องก็ยังอยู่ที่นั่นด้วย ฉับพลันนั้นก็รีบนำกำลังคนห้อม้าออกไปโดยไม่มีแก่ใจไปสนอะไรอีกแล้วจนเมื่อได้ฟังเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบแล้วก็หันไปมองฉู่จวินถิงโดยไม่รู้ตัว“ท่านมองข้าทำไม? เรื่องเกิดขึ้นแล้วก็จัดการอย่างยุติธรรมเถอะ” ฉู่จวินถิงเอ่ยเสียงเรียบ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าฉู่อ๋องจะเป็นคนเรียบง่ายเป็นกันเองเช่นนี้” หลิ่วหรูเยียนเอ่ยชื่นชมซ่งรั่วเจินพยักหน้า “หากท่านอ๋องไม่มา วันนี้เกรงว่าคงจะคลี่คลายไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนี้”“วันนี้ลำบากเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าไม่ไปพบเรื่องนี้เข้าเสียก่อน เกรงว่าผลลัพธ์คงเลวร้ายสุดคาดคิด...บุตรีตระกูลฉินทำเรื่องชั่วร้ายพรรค์นี้ออกมาได้ ข้าจะต้องให้พวกเขามอบคำอธิบายมาให้ได้ จะรังแกกันเกินไปแล้ว!”“พวกเจ้าพักผ่อนที่บ้านไปก่อน ข้าจะไปเอาเรื่องที่จวนตระกูลฉินสักรอบ พรุ่งนี้กลับมาอ้างว่าป่วยจะได้มีเหตุผลเพิ่มมาอีกข้อ”หลิ่วหรูเยียนสุดจะกล้ำกลืนโทสะนี้ลงไปได้จริงๆ ยามนี้คนที่รอดูเรื่องขายหน้าของตระกูลซ่งมีจำนวนไม่น้อย ถ้านางไม่ฮึดสู้ วันหน้าเรื่องทำนองนี้คงมีมาไม่หยุดหย่อนสามีไม่อยู่ นางจะต้องปกป้องครอบครัวนี้ ไม่อาจปล่อยให้พวกลูก ๆ ได้รับความไม่เป็นธรรมโดยไร้เหตุผล!เห็นมารดาเรียกสาวใช้แล้วออกไปข้างนอก ซ่งรั่วเจินก็อดประหลาดใจไม่ได้ ในความทรงจำของนาง น้อยครั้งนักที่นางจะได้เห็นมารดามีท่าทีเช่นนี้“ท่านแม่แค่ถูกตระกูลหลิ่วรังแกจนชินชา ท่านตาท่านยายก็ไม่เคยจะเข้าข้างท่านแม่ แต่เวลาอยู่ข้างนอกมี
“ข้าไม่ให้ท่านทำเปล่า ๆ แน่นอน บ้านข้าอยู่ในเมืองหลวงนี่เอง ท่านไปสักรอบก็ไม่ไกลหรอก คนในครอบครัวข้าจะต้องตามหาข้าอยู่เป็นแน่ ขอเพียงท่านบอกเบาะแสของข้าต่อพวกเขา พวกเขาจะต้องตกรางวัลขอบคุณท่านแน่นอน”“หืม?” ซ่งรั่วเจินเลิกคิ้ว คิดไม่ถึงว่าแม้เจ้าผีน้อยจะอายุไม่มาก แต่กลับเข้าใจอะไรไม่น้อย “ไหนลองพูดมาซิ”ภายใต้คำบอกเล่าของผีน้อย ซ่งรั่วเจินถึงรู้ว่าที่แท้เจ้าผีน้อยตนนี้ก็มีนามว่าต่งเป๋ยอวี่ เป็นหลานชายต่งหลินชิงรองเจ้ากรมพิธีการหลายเดือนก่อน เขารังเกียจว่าอยู่บ้านน่าเบื่อเกินไป จึงติดตามท่านย่ากับอาสะใภ้กลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเดิม คิดไม่ถึงว่ากลับถูกอาสะใภ้ทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต สุดท้ายศพยังถูกโยนทิ้งลงในบ่อน้ำที่แห้งขอด“เหตุใดอาสะใภ้ของเจ้าต้องทำร้ายเจ้าด้วย?” ซ่งรั่วเจินขมวดคิ้วแน่น เจ้าผีน้อยตรงหน้าดูแล้วก็อายุแค่หกเจ็ดขวบ ไยต้องลงมือโหดร้ายถึงเพียงนี้?ต่งเป๋ยอวี่ส่ายศีรษะน้อย ๆ “ข้า...ข้าก็ไม่รู้”“งั้นเจ้าเล่าเรื่องครอบครัวเจ้าให้ข้าฟังโดยละเอียดแทนก็แล้วกัน” ซ่งรั่วเจินไม่รีบร้อน ถึงจะตัดสินใจแล้วว่าจะช่วย แต่ก็ต้องรู้สาเหตุเสียก่อนตำแหน่งรองเจ้ากรมพิธีการนั้นไม่ต่ำต้อย ห
“สกุลหลิ่วจะถูกปลดตำแหน่งขุนนางหรือไม่?” ซ่งรั่วเจินมองเขาอย่างสงสัย สายตาแยกดำขาวอย่างชัดเจนภายใต้แสงจันทร์ทอประกายระยับ สุกสกาวเป็นพิเศษสุ้มเสียงนางนุ่มนวล เพียงแค่เอ่ยถามเรียบๆ หนึ่งประโยค ทว่าตกอยู่ในหูของฉู่จวินถิง กลับอยากจะทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นจริง“แน่นอน”เส้นเสียงของเขาต่ำหนัก สุ้มเสียงมั่นใจอย่างมากซ่งรั่วเจินเลิกคิ้วขึ้น “หลายปีมานี้ภายใต้การช่วยเหลือของสกุลฉินใต้เท้าหลิ่วก็สร้างผลงานไว้บ้าง แม้ว่าบัดนี้มีความผิดสลับตัวเด็ก แต่ทำให้เขาถูกลดตำแหน่งนั้นง่าย ปลดตำแหน่งขุนนางกลับไม่ง่ายถึงเพียงนั้น”เรื่องพรรค์นี้ในแวดวงขุนนาง แท้จริงแล้วเป็นเรื่องส่วนตัวของสองตระกูล คนอื่นมากที่สุดก็ล้วนรับชมความครึกครื้นยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่นายท่านหลิ่วโยนความผิดทั้งหมดไว้บนตัวญาติฝ่ายหญิง หากเป็นเรื่องภายในเรือน ย่อมเกี่ยวข้องกับเขาไม่มากเพียงแต่ นางรู้ดีมากว่านายท่านหลิ่วจะต้องมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ นายหญิงหลิ่วเองก็วางอุบายเพื่อให้เขาโชคดีในเส้นทางของขุนนาง คนที่ได้รับผลประโยชน์เหล่านี้...ไม่มีผู้บริสุทธิ์แม้คนเดียว“เจ้าเชื่อข้าหรือไม่?”ฉู่จวินถิงเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าด้านข
“พวกเจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าปีนั้นสกุลกู้เคยคิดจะให้กู้อวิ๋นเวยแต่งงานกับแม่ทัพซ่ง แต่ท้ายที่สุดงานแต่งนี้ก็ไม่สำเร็จ?คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้ว แม่ทัพซ่งยังเป็นลูกเขยของสกุลกู้ นี่นับว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิตใช่หรือไม่?”“ข้าก็พูดแล้วสกุลกู้ซื่อสัตย์ภักดีทั้งตระกูล เหตุใดอุปนิสัยของกู้อวิ๋นเวยจึงแตกต่างออกไปถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูล ตกอับจนมีจุดจบเฉกเช่นทุกวันนี้ บัดนี้นับว่าเข้าใจทั้งหมดแล้ว การกระทำนั้นยังไม่เหมือนสกุลหลิ่วทุกกระเบียดนิ้วอีกหรือ?”ทุกคนต่างพากันส่ายหน้า รู้สึกเพียงสลดใจบัดนี้หลิ่วหรูเยียนกำลังนั่งอยู่ร่วมกับพวกราชครูกู้ ได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงเรื่องในตอนแรก“ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าอุบัติเหตุในตอนนั้นจะทำให้เจ้าต้องตกลำบากอยู่ภายนอกมานานหลายปีถึงเพียงนี้ เป็นแม่ทำผิดต่อเจ้า...”ฮูหยินผู้เฒ่ากู้จับมือหลิ่วหรูเยียนพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น ที่ผ่านมานางก็เคยได้ยินเรื่องของหลิ่วหรูเยียน รู้ว่าหลายปีมานี้นางใช้ชีวิตอยู่ที่สกุลหลิ่วอย่างยากลำบาก ยังแปลกใจเหตุใดสกุลหลิ่วลำเอียงถึงเพียงนี้เพียงแต่ เดิมทีก็เป็นลูกของบ้านอื่น พวกเขาไม่สามารถพูดอะไรได้บัด
“ลูกที่ใส่ใจเลี้ยงดูมานานหลายปี ย่อมไม่ใช่พูดว่าตัดสายสัมพันธ์ก็ตัดขาดไปเลยได้ข้าผิดไปแล้ว เป็นข้าทำผิดต่อซ่งฮูหยิน ทำผิดต่อสกุลกู้!”ได้ยินแผนการของสกุลหลิ่วที่ก่อนหน้านี้ทุกคนหยั่งเดาเอาไว้แล้ว คราวนี้ตกตะลึงพรึงเพริดอย่างอดไม่ได้ นี่วางอุบายได้อย่างยอดเยี่ยมเกินไปแล้วกระมัง!ผลประโยชน์ล้วนถูกพวกเขาเอาเปรียบจนหมดสิ้น!หากไม่ใช่กู้อวิ๋นเวยไร้ความสามารถ ก่อความวุ่นวายจนสกุลกู้ตัดขาดความสัมพันธ์ พวกเขาสกุลหลิ่วก็สามารถอาศัยความสัมพันธ์นี้ดึงความสัมพันธ์ของสกุลกู้ให้ใกล้ชิดกันได้ ยิ่งไม่ต้องพูดว่าหลิ่วหรูเยียนมีความสามารถถึงเพียงนี้ ทำให้พวกเขาเอาเปรียบได้สีหน้าราชครูกู้แข็งทื่อดุจเหล็ก พูดเสียงโกรธขึ้ง “บัดนี้พวกเจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก!”“ราชครูกู้ ท่านระงับโทสะก่อน นี่ล้วนเป็นเรื่องที่ฮูหยินของข้าทำ เดิมทีข้าก็ไม่รู้เรื่องนี้!”นายท่านหลิ่วเห็นความลับถูกเปิดเผยแล้ว รีบโยนเรื่องทั้งหมดไว้ที่นายหญิงหลิ่วนายหญิงหลิ่วตกตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าคนนอนเคียงหมอนร่วมกันมานานหลายปีเห็นปัญหาใหญ่มาเยือนก็ผลักนางออกไปในทันที พูดเสียงโกรธขึ้ง“นี่ เหตุใดถึงโยนทั้งหมดมาที่ข้าคนเดียวเล่า?ทั้งๆ
เผชิญหน้ากับคำวิงวอนขอความเมตตาจากนายท่านหลิ่ว ราชครูกู้ไม่ชายตาแลมองเขาเลยสักครั้ง ใบหน้าหยาบกร้านกำลังสบมองกู้อวิ๋นเวย ภายในสายตาเปี่ยมความสงสารและห่วงใย“ลูกเอ๋ย หลายปีมานี้ เจ้าลำบากแล้ว เป็นพวกเราทำผิดต่อเจ้า”หลิ่วหรูเยียนยังมิอาจยอมรับความจริงที่ว่าตนเป็นลูกของสกุลกู้ในทันทีเลยได้ เพียงแต่เผชิญหน้ากับท่าทางสงสารนั้นของราชครูกู้และฮูหยินผู้เฒ่ากู้ เพียงครู่เดียวนางก็ใจอ่อนแล้วเมื่อหลายวันก่อนได้พบฮูหยินผู้เฒ่ากู้ครั้งแรกนางก็รู้สึกคุ้นเคย หลายปีมานี้ไม่เคยรู้สึกสนิทสนมเช่นนี้มาก่อน บัดนี้ได้เห็นราชครูกู้ นางก็รู้สึกว่าตนเองหน้าตาคล้ายเขาอยู่บ้าง ขอบตาแดงเรื่อโดยไม่รู้ตัวที่แท้...นี่ต่างหากคือพ่อแม่แท้ๆ ของนาง!นึกถึงเมื่อแรกนางเคยได้ยินมาว่าสกุลกู้รักใคร่เอ็นดูลูกสาวเพียงคนเดียวมาก ความรุ่งโรจน์ในเวลานั้นทำให้แม่นางในเมืองหลวงมากมายต่างพากันอิจฉาตอนนั้น นางเองก็เคยอิจฉากู้อวิ๋นเวย อย่างไรเสียสำหรับนางแล้ว ยังไม่ต้องพูดว่ารักใคร่เอ็นดูเช่นนี้เลย แม้แต่พี่น้องเองก็ปฏิบัติคล้ายนางเป็นส่วนเกิน“ไม่ ไม่เจ้าค่ะ”หลิ่วหรูเยียนส่ายหน้า ใบหน้ากลับประดับยิ้มนางเข้าใจ สกุลกู้มิ
วาจาคมกริบนี้ฉีกหน้าสกุลหลิ่วอย่างไม่ต้องสงสัย พริบตาต่อมาคนภายในงานเข้าใจแล้วก่อนหน้านี้คนที่ยังคิดว่าสกุลหลิ่วพูดมีเหตุผลและน่าสงสารมาก บัดนี้รู้สึกเพียงถูกตบหน้าหนึ่งฉาดด้วยมือที่มองไม่เห็น!อีกฝ่ายเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาที่ใดกัน เห็นชัดว่าพวกเขาหน้าซื่อใจคดอีกทั้งยังเย็นชา ยังไม่ต้องพูดว่าเอาเปรียบสกุลกู้ ยังสามารถแสร้งทำท่าทางเป็นคนดีกล่าวโทษหลิ่วหรูเยียนได้อีกด้วยหากไม่ใช่วันนี้ถูกเปิดโปงโดยบังเอิญ เช่นนั้นน่ากลัวว่าหลิ่วหรูเยียนก็ต้องถูกตราหน้าว่าทำผิดต่อสกุลหลิ่วและกลายเป็นวัวเป็นม้าเลี้ยงดูตอบแทนบุญคุณไปชั่วชีวิต ถึงขั้นยังถูกด่าว่าทำร้ายคุณหนูสกุลหลิ่วที่แท้จริงอีกด้วย!ภายใต้การใคร่ครวญอย่างละเอียด นี่น่ากลัวมากเพียงใดกัน?“หลิ่วเฟยเยี่ยนและกู้อวิ๋นเวยมีความสัมพันธ์ที่ดีมากมิใช่หรือ? ที่ผ่านมาข้าเคยพบพวกเขามิใช่เพียงครั้งเดียว น่ากลัวว่าพี่สาวน้องสาวคู่นี้นับญาติกันตั้งนานแล้วกระมัง!”“ไม่เพียงแค่นี้! ที่ผ่านมาข้ายังเคยเห็นกู้อวิ๋นเวยเข้าออกสกุลหลิ่วอีกด้วย ตอนนั้นข้าก็คิดว่าแปลก ปกติแล้วกู้อวิ๋นเวยคนนี้ไม่เคยเห็นคนทั่วไปอยู่ในสายตาด้วยฐานะของสกุลหลิ่ว นางน่าจะไม่สนใจ
“เดิมทียังคิดว่าไม่รู้จะนับญาติยามใดถึงจะเหมาะสม คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นวันแต่งงานของพี่ใหญ่ นี่ก็นับเป็นเรื่องมงคลยิ่งขึ้นไปอีกกระมัง?” ซ่งอี้อันหัวเราะเบาๆซ่งเยี่ยนโจวผลิยิ้ม “ข้าดูแล้วท่านตา ท่านยายและท่านลุงทั้งสองท่านล้วนดีมาก เทียบกับปลิงเหล่านั้นแล้วไม่รู้ดียิ่งกว่ามากเพียงใดท่านแม่นับญาติแล้ว ภายภาคหน้าก็ไม่ต้องถูกสกุลหลิ่วบีบบังคับอีกต่อไป คิดแล้วก็ดีใจยิ่งนัก”แม้พูดว่าเกิดเรื่องเอะอะวุ่นวายในวันแต่งงานหลายครั้ง แต่มองดูผลลัพธ์แล้วเขากลับดีใจมาก คิดว่าชิงอินเองก็ดีใจเฉกเดียวกันซ่งจืออวี้มองสองสามคนที่รู้เรื่องตั้งแต่แรกแล้ว เอ่ยออกมาอย่างอดไม่ได้ “พวกท่านล้วนรู้เรื่องแล้ว มีแค่ข้าไม่รู้?”“อย่าเสียใจไปเลย ข้าเองก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้นี่แหละ” ซ่งจิ่งเซินเอ่ยปลอบซ่งจืออวี้ “เหตุใดข้าไม่อยากจะเชื่อกันเล่า?”ซ่งอี้อันมองทั้งหมดเงียบๆ พูดว่า “ตอนนั้นอุ้มเด็กผิดตัวไป...น่ากลัวว่าอาจไม่ใช่อุบัติเหตุกระมัง”หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เขาเชื่อว่าอาจอุ้มเด็กผิดไปจริง แต่พวกเขารู้จักอุปนิสัยของสกุลหลิ่วดีมาก ภายใต้สถานการณ์ไม่รู้ว่าลูกของตนอยู่ที่ใด ไฉนเลยจะเลี้ยงดูมารดาให้เติบใหญ่ได้?
ทว่า ในเมื่อพวกเขาชอบแสดงละคร เช่นนั้นก็ให้พวกเขาแสดงอีกสักครู่เถอะขณะเดียวกันคนเหล่านั้นยิ่งเชื่อพวกเขามาก รอความจริงถูกเปิดเผยแล้ว คนโกรธแค้นที่สุดก็คือพวกเขาเฉกเดียวกัน นี่ก็คือธรรมชาติของมนุษย์“พอดีเลย ข้าทำนายออกมาได้ว่าพ่อแม่แท้ๆ ของท่านแม่ก็อยู่ในเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นยังมาเข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนี้อีกด้วย!”ชั่วขณะที่เสียงของซ่งรั่วเจินเพิ่งจบลง ดวงตาของทุกคนภายในงานล้วนเผยแววตกใจ จากนั้นกลายเป็นตกตะลึงพรึงเพริด“เมื่อแรกแม่นางซ่งก็ช่วยสวีฮูหยินตามหาลูกสาวที่หายตัวไปนานพบมิใช่หรือ? นางจะต้องทำนายออกมาได้แน่ว่าพ่อแม่แท้ๆ ของซ่งฮูหยินเป็นใคร!”“คนก็อยู่ในงานเลี้ยงวันนี้ คงมิได้หมายความว่าอีกฝ่ายคือบ่าวสูงวัยหรือหญิงบ้านนอกหรอกกระมัง?”ทุกคนต่างหันหน้ามองกัน ประโยคนี้มีความหมายท่วมท้น ทุกคนย้อนนึกคิดอย่างอดไม่ได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าบ้านใดคลอดลูกในเวลาไล่เรี่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่ว อายุฮูหยินของอีกฝ่ายยังห่างจากหลิ่วหรูเยียนไม่มากฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้ยินถ้อยคำนี้แล้ว ดูตกใจเล็กน้อย ความทรงจำในตอนแรกอย่างหนึ่งผุดออกจากสมองนางจำได้ยามตนเองตั้งครรภ์กู้อวิ๋นเวยเคยได้พบฮูหยินผู้เฒ
ยิ่งคนสกุลหลิ่วนำความจริงออกบิดเบือนเช่นนี้ ผู้คนรอบข้างก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้างหลิ่วหรูเยียนมิใช่บุตรในไส้ ดังนั้นที่สกุลหลิ่วลำเอียงก็นับว่าเข้าใจได้ ยิ่งเมื่อเปลี่ยนเป็นครอบครัวอื่นแล้ว ความลำเอียงเช่นนี้เรียกได้ว่ามิอาจหลีกเลี่ยงอยู่แล้วแม้จะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ยังยากจะปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันได้ นับประสาอะไรกับเด็กที่มิใช่สายเลือดเดียวกันหากหลิ่วหรูเยียนเป็นเพียงบุตรของบ่าวรับใช้ เมื่อถูกสับเปลี่ยนให้มาเสวยสุขเป็นคุณหนูในจวน ก็นับว่าโชคมหาศาลหล่นทับนางแล้ว!“หากว่ากันตามนี้ หลิ่วหรูเยียนก็ติดค้างบุญคุณสกุลหลิ่วอยู่เช่นกัน ต่อให้ต้องชดใช้ด้วยทรัพย์สินมากหน่อยก็เป็นการสมควรแล้ว มิเช่นนั้นจะมีวาสนาได้เป็นถึงคุณหนูผู้สูงศักดิ์หรือ?”“บุตรสาวแท้ๆ ของสกุลหลิ่วบัดนี้ก็ไม่รู้ไปอยู่แห่งหนใด ทว่าสกุลหลิ่วรู้ความจริงนี้แล้วยังคงเก็บงำไว้มิยอมปริปาก ก็มิใช่ว่าใจคอกว้างขวางมากแล้วหรือ?”กระแสความคิดเริ่มโน้มเอียงไปอีกทาง คนรอบข้างต่างพูดกันไปต่างๆ นานา บ้างเริ่มเข้าอกเข้าใจถึงความใจคอคับแคบแล้งน้ำใจของสกุลหลิ่วต่งฮูหยินและจางเหวินที่มองดูเหตุการณ์มีหรือจะอดรนทนฟังได้?“หาก
“อะไรกัน? ใต้เท้าหลิ่วมิกล้าอย่างนั้นหรือ?” ฉู่จวิ้นถิงกล่าวเสียงขรึมใต้เท้าหลิ่วนิ่งเงียบอยู่ครู่ ก่อนมีทีท่าคล้ายหมดเรี่ยวแรงแล้วก็มิปาน พลางหันมองนายหญิงหลิ่วด้วยความจนใจ “ช่างเถิด เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วก็พูดไปเสียเถิด”นายหญิงหลิ่วย่อมไม่อยากที่จะยอมรับความจริง ทว่ากลับรู้ดีว่าไม่อาจเลี่ยงต่อไปได้อีก นางจึงได้แผดเสียงร่ำไห้โหยหวน “ข้าเองก็มิรู้เช่นกันว่สารเลวคนไหนมันสับเปลี่ยนลูกข้าไป!”“หลายปีมานี้ข้าก็เลี้ยงดูหรูเยียนดังบุตรในไส้มาโดยตลอด จนเมื่อไม่นานมานี้จึงเพิ่งได้รู้ว่านางมิใช่บุตรสาวแท้ๆ ของข้า! แต่อย่างไรพระคุณเลี้ยงดูย่อมยิ่งใหญ่กว่าพระคุณให้กำเนิด หรือเพียงเพราะเรื่องเท่านี้ก็ทำให้มิอาจยอมรับข้าผู้นี้เป็นแม่เจ้าแล้ว?” ใต้เท้าหลิ่วเองก็กล่าวด้วยสีหน้าปวดร้าวเช่นกัน “ครานั้น ฮูหยินข้าตั้งครรภ์ลูกถึงสิบเดือนจนคลอดออกมา บัดนี้กลับไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าลูกไปอยู่แห่งหนใด หรือยังจะกล่าวโทษพวกข้าด้วย?”“ที่พวกข้าปิดเอาไว้มิยอมพูด ก็เพราะมิต้องการให้หรูเยียนปฏิบัติห่างเหินต่อพวกข้า มินึกเลยว่า...”ผู้คนได้เห็นสกุลหลิ่วออกปากยอมรับด้วยตนเองเช่นนี้แล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เส