ยามเหม่าของวันต่อมา จ้าวจางหมิ่นตื่นพร้อมกับสาวใช้ทั้งสอง เพื่อเตรียมของสำหรับการค้าวันแรก รถเข็นที่มีวัตถุดิบและอุปกรณ์ครบครัน ถูกเข็นออกจากจวนมุ่งหน้าไปยังตลาดเช้า ซึ่งแผงขายของนี้ของจ้าวจางหมิ่น อยู่ข้าง ๆ กับแผงขายผักพอดี
ทั้งสามคนแบ่งงานกันทำเช่นเมื่อวาน เมื่อเตาถ่านเริ่มร้อนลูกชิ้นที่เตรียมไว้ ถูกนำออกมาวางลงบนเตา เพื่ออุ่นให้ร้อนอีกครั้งสำหรับขายให้ลูกค้า และกลิ่นหอมของลูกชิ้นปิ้ง ก็เรียกความสนใจของคนที่เดินผ่านไปมา จนมีบุรุษวัยกลางคนเดินเข้ามาถาม ด้วยความสนใจอาหารของจ้าวจางหมิ่น
“เอ่อ แม่ค้าเจ้าทำอันใดมาขายเช่นนั้นหรือ กลิ่นมันคล้ายเนื้อแต่ทำไมมันถึงเป็นลูกกลม ๆ ไปเสียได้เล่า”
“นั่นน่ะสิ แต่ข้าสองคนทนกลิ่นหอมนี้ไม่ไหว ถึงได้มาถามดูเสียก่อนว่ามันคือสิ่งใด”
“ท่านอาทั้งสองช่างมีจมูกที่ดีมากเจ้าค่ะ เจ้าลูกกลม ๆ นี้ข้าเรียกมันว่าลูกชิ้น และมันทำมาจากเนื้อหมูจริง ๆ พอนำมาปิ้งกับเตาถ่านจึงมีกลิ่นหอม นอกจากนี้ยังมีน้ำจิ้มสองรสให้เลือก หากท่านอาสนใจข้าจะหั่นให้พวกท่านลองชิมดู ถ้าถูกใจในรสชาติค่อยซื้อก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นตอบคำถามลูกค้าอย่างเป็นกันเอง
บุรุษทั้งสองรับไม้จิ้มขนาดเล็ก ที่มีลูกชิ้นหั่นครึ่งจิ้มน้ำจิ้มแล้วมาลองชิม พอได้สัมผัสกับเนื้อหมูที่มีส่วนผสมของเครื่องปรุง ก็หันมามองหน้ากันพยักหน้าขึ้นลงรัว ๆ ในที่สุดก็ทนกับความอร่อยลงตัวไม่ไหว
“อื้อหือ! แม่ค้าเจ้าลูกชิ้นนี้อร่อยจริง ๆ ชิมแค่ชิ้นเล็กคงไม่จุใจข้าแล้วล่ะ เจ้าขายอย่างไรว่าราคามาได้เลย”
“ใช่ ๆ ๆ ข้าชอบน้ำจิ้มรสเผ็ดร้อนนี่มาก รู้สึกมันทำให้เลือดลมในร่างกายร้อนไปทั่ว”
“ขอบคุณท่านอาที่ชอบเจ้าค่ะ เนื่องจากลูกชิ้นของข้าทำมาจากเนื้อหมู และมีต้นทุนอย่างอื่นอีกเล็กน้อย ข้าขายอยู่ที่ไม้ละสี่อีแปะเจ้าค่ะ พวกท่านรับได้หรือไม่เจ้าคะ นอกจากจะทานกับน้ำจิ้มแล้ว พวกท่านจะนำไปทานกับข้าวก็ได้ ถ้าจะให้ดีกินเนื้อก็ควรกินผักควบคู่กัน ยิ่งทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์ด้วยนะเจ้าคะ” จ้าวจางหมิ่นคิดว่าสี่อีแปะต่อไม้ น่าจะขายให้ทุกคนสามารถซื้อกินได้ไม่ยาก
“นี่ถือว่าถูกมากนะสำหรับอาหารที่ทำจากเนื้อ แม่ค้าข้าเอาลูกชิ้นห้าไม้ราดน้ำจิ้มรสหวาน เอ้านี่ ยี่สิบอีแปะค่าลูกชิ้นของเจ้า”
“ข้าขอราดน้ำจิ้มรสเผ็ดห้าไม้ และอีกห้าไม้ราดน้ำจิ้มรสหวานนะ อ่ะ สี่สิบอีแปะข้าคำนวณให้เจ้าเลย”
“ได้เลยเจ้าค่ะ ท่านอารอไม่นานได้กินของอร่อยแน่นอน ขอบคุณมากที่ชอบอาหารของข้านะเจ้าคะ”
จ้าวจางหมิ่นรับคำสั่งซื้อมาแล้ว ก็ให้หนิงอวี่ช่วยจัดการแทน เพราะนางยังเด็กไม่สามารถหยิบจับอะไรได้คล่องนัก จึงทำหน้าที่รับเงินใส่กระปุกและต้อนรับลูกค้าเท่านั้น
เมื่อมีคนได้ลองกินแล้วยืนยันว่าอร่อย พอลูกค้าทั้งสองเดินจากไปก็เริ่มมีคนเข้ามาซื้อตาม บางคนทดลองซื้อแค่หนึ่งไม้เพราะกลัวไม่อร่อย แต่หลังจากรับรู้รสชาติแล้วต้องรีบกลับมาซื้อ เนื่องจากมีคนมาต่อแถวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และพากันซื้ออย่างต่ำคนละห้าไม้ทั้งสิ้น
“ขอบคุณทุกท่านที่อุดหนุนนะเจ้าคะ อยากอร่อยเพิ่มต้องมีผักสด ๆ กินคู่กันเจ้าค่ะ”
“นี่เจ้าทำตามที่แม่ค้าบอกเถิด ข้าลองทำตามแล้วมันอร่อยคนละแบบเลยล่ะ”
“ไอหยา มีคนยืนยันเช่นนี้ไม่ทำตามได้รึ”
“ของข้ายี่สิบไม้นะแม่ค้า หากจะนำน้ำจิ้มมาผสมกันได้หรือไม่”
“ท่านน้าคือคนที่ค้นเจอเส้นทางความอร่อยใหม่ และมันย่อมทำได้อยู่แล้วเจ้าค่ะ เมื่อผสมน้ำจิ้มทั้งสองเข้าด้วยกัน จะได้รสชาติใหม่ที่ไม่เผ็ดหรือหวานจนเกินไป ให้ความอร่อยไปอีกแบบ” จ้าวจางหมิ่นไม่คิดว่าลูกค้าคนนี้จะคิดวิธีกินเช่นนี้ได้
“เช่นนั้นของข้าสามสิบไม้ราดด้วยน้ำจิ้มทั้งสองอย่าง ข้าต้องเอาไปเผื่อคนที่จวนด้วยน่ะ”
“โอ้ย ข้ากลัวจะไม่เหลือมาถึงข้าจริง ๆ หากหมดเสียก่อนวันนี้คงอดกิน”
“นี่เจ้าจะเศร้าไปใย วันนี้อดกินพรุ่งนี้เจ้าก็มาเร็วกว่าเดิมสิ รับรองได้กินก่อนใคร”
“จริงด้วย! ฮ่า ๆ ๆ ข้าจะตื่นมารอแต่เช้าเชียว ฮึ่ม”
นับว่าแผนการรับมือลูกค้าของจ้าวจางหมิ่น เป็นสิ่งที่ถูกต้องกับการเตรียมลูกชิ้นปิ้งไว้ก่อน และนำมาอุ่นให้ร้อนก่อนขายอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นลูกค้าที่ต่อแถวคงยืนจนขาแข็งแน่ ๆ สตรีวัยกลางคนที่ขายผักอยู่แผงใกล้ ๆ ถึงกับขอบอกขอบใจจ้าวจางหมิ่น ที่ช่วยให้นางขายผักได้เยอะกว่าทุกวัน
และสาวใช้ของจ้าวจางหมิ่นพูดถูก เพราะพวกนางขายลูกชิ้นปิ้งได้หมด ก่อนจะถึงยามเฉินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากเก็บข้าวของแล้วหนิงอวี่ไม่ลืมซื้อผัก ข้าวสารอาหารแห้งที่จำเป็น นำกลับไปทำอาหารสำหรับเช้านี้
พอกลับมาถึงจวนจ้าวจางหมิ่นให้หนิงอวี่ไปทำอาหาร ส่วนตนเองจะช่วยฮุยอินทำความสะอาดอุปกรณ์หากินเอง จากนั้นจึงนั่งนับเงินจากการค้าวันแรกรอมื้อเช้า “พวกเราทำลูกชิ้นขายสำหรับวันแรก ทั้งหมดสามร้อยไม้ขายไม้ละสี่อีแปะและขายได้ไม่เหลือกลับมา รวมแล้วหนึ่งพันสองร้อยอีแปะเชียวนะ”
“หนึ่งพันสองร้อยอีแปะ!” ฮุยอินเดินมาตามาจ้าวจางหมิ่น ทันได้ยินจำนวนเงินที่ขายของได้ ก็ไม่คิดเชื่อจนต้องมาดูกองเหรียญบนโต๊ะทันที
“ใช่แล้วล่ะพี่ฮุยอิน พวกเราทำการค้าวันแรกได้หนึ่งพันสองร้อยอีแปะ หรือก็คือหนึ่งตำลึงเงินสองร้อยอีแปะเจ้าค่ะ”
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ ว่าจะขายได้เงินเยอะตั้งแต่วันแรก”
“นี่เป็นการเริ่มต้นกิจการเท่านั้น หากเราเพิ่มจำนวนไม้ขึ้นอีก ยอดขายย่อมเพิ่มตาม เราต้องขายให้ได้มากกว่าเดิมสักหน่อย และทำบัญชีรายรับรายจ่ายทุกวัน จะได้รู้ว่าหลังหักต้นทุนทั้งหมดกำไรที่ได้จริง ๆ คือเท่าใด” จ้าวจางหมิ่นอธิบายให้สาวใช้เข้าใจ
“อ้อ บ่าวคงต้องเรียนรู้จากคุณหนูให้มากแล้วเจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนพูดคุยไม่ทันไร หนิงอวี่ก็ยกถาดอาหารมื้อเช้าเข้ามา ฮุยอินที่ดีใจยังไม่หายจึงหันไปบอกกับสหายอีกครั้ง
“อาหารเช้ามาแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
“หนิงอวี่ ๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าการค้าของเราเช้านี้ ทำเงินได้ถึงหนึ่งตำลึงสองร้อยอีแปะเชียวนะ”
“เจ้าพูดจริงรึฮุยอิน!! คุณหนูที่ฮุยอินพูดเป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ” หนิงอวี่ต้องการความมั่นใจ จึงถามกับจ้าวจางหมิ่นอีกครั้ง
“จริงสิเจ้าคะ พวกเราเริ่มต้นการค้าได้ดีทีเดียว” จ้าวจางหมิ่นตอบสาวใช้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ดีจริง ๆ เจ้าค่ะ เท่าที่เห็นลูกค้าซื้อไม่ทันไร ก็หยิบขึ้นมากินทันทีก็บ่งบอกแล้วว่า ลูกชิ้นปิ้งของคุณหนูอร่อยเป็นแน่แท้ เช่นนั้นเช้านี้ท่านต้องทานข้าวให้มากหน่อยนะเจ้าคะ ร่างกายจะได้แข็งแรงมากกว่าเดิมเจ้าค่ะ” หนิงอวี่อยากเห็นจ้าวจางหมิ่น มีรูปร่างสมบูรณ์เช่นเด็กวัยเดียวกันบ้าง
“ได้เจ้าค่ะ แต่นอกจากการทานอาหารแล้ว ไว้ข้าจะซื้อยาบำรุงอย่างดีมาทาน และจะซื้อให้พวกพี่สองคนด้วยนะ” เรื่องนี้จ้าวจางหมิ่นคิดเอาไว้แล้ว ไม่มีทางที่นางจะยอมกินยาต้มขม ๆ ในยุคนี้แน่ อาหารเสริมมากมายที่ระบบมีขาย นั่นคือตัวช่วยอย่างดี
“ขอบคุณคุณหนูที่นึกถึงพวกบ่าวเจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความตื้นตัน ที่เจ้านายน้อยมีใจห่วงใยสุขภาพของตน
“เอาล่ะมาทานอาหารกันเถิด ประเดี๋ยวจะเย็นชืดไปเสียก่อน”
“เจ้าค่ะคุณหนู/เจ้าค่ะคุณหนู”
จ้าวจางหมิ่นรู้ว่ายามใดควรเป็นกันเอง ยามใดควรเคร่งครัดกับคนของตน แม้อาหารตรงหน้ายามนี้จะมีรสชาติอ่อนไปบ้าง นางก็ไม่ได้คิดอันใดให้ปวดหัว เอาไว้ค่อยหาซื้อสิ่งที่จำเป็นทีหลังก็ยังทันถมเถ
ในเมื่อนางมีระบบออนไลน์ขั้นเทพอยู่กับตัว จะกลัวขาดแคลนปัจจัยทั้งสี่ไปทำไม อาหารเช้าง่าย ๆ จึงถูกนายบ่าวจัดการจนเกลี้ยงจาน และก่อนจะเข้านอนฉู่จางหมิ่น ได้รับเงินรางวัลพิเศษจากระบบ หนึ่งพันตำลึงทองเมื่อนางสามารถเปิดกิจการ ก่อนครบกำหนดเจ็ดวัน ทำให้คืนนี้ฉู่จางหมิ่นนอนหลับฝันดี เกือบตื่นสายเมื่อถึงเวลาไปขายของ
จวนตระกูลจ้าวของจ้าวจางหมิ่น นายบ่าวใช้ชีวิตวันแรกอย่างสบายใจ มิได้สนใจจวนเจ้าเมืองที่วุ่นวายเก็บข้าวของ
เพื่อเดินทางเข้าเมืองหลวงในเร็ววัน มีสาวใช้ที่ช่วยงานในครัว ออกมาหาซื้อวัตถุดิบไปทำอาหารให้เจ้านาย เห็นสาวใช้สองคนของจ้าวจางหมิ่น ยิ้มแย้มแจ่มใสไม่ต้องทำงานหนักเช่นเดิม ก็อิจฉาไม่น้อยและนำเรื่องนี้ไปเล่าให้คนอื่น ๆ ได้ฟังแม้แต่เจ้านายของจวนฉู่ก็ได้ยินผ่านหู ถึงจะฉุกคิดขึ้นมาได้บ้างเพียงนิด หลังจากนั้นไม่มีใครนำมาใส่ใจอีกในเมื่อตัดขาดไปแล้ว ตอนนี้จ้าวจางหมิ่นก็คือคนอื่น ฉู่หมิงซ่านจึงมีคำสั่งห้ามพูดถึงนางอีก
กิจการลูกชิ้นปิ้งของจ้าวจางหมิ่นยังคงขายดีต่อเนื่อง และนางต้องเพิ่มจำนวนไม้ลูกชิ้นเป็นห้าร้อยไม้ นอกจากนี้ยังได้แนะนำลูกค้าเกี่ยวกับการกินลูกชิ้นของนาง
“แม่ค้าวันนี้ข้ามาอุดหนุนอีกแล้วนะ เมื่อวานซื้อน้อยไปหน่อยกินไม่จุใจเลย”
“อ้าวท่านอา แล้ววันนี้จะรับกี่ไม้ดีเจ้าคะ” จ้าวจางหมิ่นจำลูกค้าคนแรกของนางได้
“ข้าเอายี่สิบไม้เลยนะแม่ค้า เมื่อวานคนที่จวนแย่งกันกิน จนเกือบทะเลาะกันเพราะความอร่อยของเจ้าลูกชิ้น หากซื้อเท่าเดิมมีหวังข้าถูกบ่นจนหูชาแน่ ๆ”
“ได้เจ้าค่ะ แต่ถ้ากินไม่หมดตอนเย็นนำมาอุ่นได้นะเจ้าคะ”
“อ้อ ถ้าข้าจะซื้อเผื่อไว้กินพรุ่งนี้ มันจะเน่าเสียก่อนหรือไม่เล่า”
“หืม เป็นคำถามที่ดีมากเลยเจ้าค่ะท่านลุง หากท่านซื้อไปแล้วสามารถแบ่งเก็บได้ หลังจากลูกชิ้นหายร้อน โดยใส่กล่องที่มีฝาปิดมิดชิด เก็บไว้ในที่มีความเย็นพรุ่งนี้เช้า ก็นำออกมาอุ่นบนเตาย่าง หรือจะนำไปผัดกับผักต่าง ๆ ก็ยังได้เจ้าค่ะ แต่ข้าไม่แนะนำให้เก็บไว้เกินสองวันนะเจ้าคะ เมื่ออาหารเริ่มมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ต้องทิ้งทันทีอย่าเสียดายเป็นอันขาด มิเช่นนั้นมันจะทำให้พวกท่านล้มป่วย เสียเงินค่ารักษามากกว่าค่าลูกชิ้นได้เจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นทั้งบอกและเตือนลูกค้าในคราวเดียวกัน
“แม่ค้าพูดถูก ญาติของข้าเคยล้มป่วยเพราะเสียดายของนี่แหละ เกือบเอาชีวิตไม่รอดเสียตำลึงเงินรักษาไปมาก ข้าเชื่อคำเตือนของแม่ค้าและจะทำตามแน่นอน”
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ เรื่องใดมีประโยชน์หรือมีโทษ หากข้ารู้หรือพวกท่านรู้สามารถกล่าวเตือนกันได้ ทุกคนจะได้เข้าใจตรงกันนะเจ้าคะ” จ้าวจางหมิ่นรู้สึกโชคดีมาก ที่ลูกค้าของนางเป็นคนมีเหตุผล
“แม่ค้าหวังว่าวันนี้จะทำลูกชิ้นมาเยอะกว่าเมื่อวานนะ ข้าเองก็อยากซื้อหลาย ๆ ไม้ เพราะทำตามที่แม่ค้าบอกทั้งอิ่มทั้งอร่อยจริง ๆ”
“ท่านน้าไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ วันนี้ข้านำมาเยอะพอสมควร”
หนิงอวี่กับฮุยอินเห็นจ้าวจางหมิ่น พูดคุยกับลูกค้าอย่างยิ้มแย้ม พวกนางยิ่งรู้สึกโล่งอกและมีความสุข ที่เจ้านายน้อยของพวกตน ไม่มีสีหน้าของความหม่นหมองอมทุกข์เช่นแต่ก่อนอีก สิ่งที่สำคัญก็คือเจ้านายน้อยผู้นี้เป็นเด็กหญิงที่มีเค้าลางว่า จะกลายเป็นหญิงงามเมื่อถึงวัยปักปิ่น เนื่องจากบิดามารดามีใบหน้าที่งดงามทั้งคู่
สองสามวันหลังจากออกมาซื้อจวนเป็นของตนเอง จ้าวจางหมิ่นเพิ่งได้สำรวจภายในจวน เมื่อเห็นว่ามีพื้นที่ว่างด้านข้าง จึงอยากนำเมล็ดพันธุ์ผักมาปลูกเสียหน่อย เพื่อใช้ทำอาหารทานเอง เพราะผักจากระบบมีหลากหลายสายพันธุ์ และน่าทานมากเมื่อนำมาทำอาหาร เนื่องจากผักที่นางเห็นในตลาดมีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น
ยามเฉินของเช้าวันที่สี่ หลังจากเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างเสร็จ จ้าวจางหมิ่นและสาวใช้กำลังจะกลับจวนของตน ก็ได้ยินเสียงแสดงความยินดีกับอดีตเจ้าเมือง ที่ได้เลื่อนตำแหน่งเข้าทำงานในราชสำนัก ถึงจะไม่มีใครพูดชื่อตระกูลจ้าวจางหมิ่นย่อมรู้ดีว่าคือใครหนิงอวี่เห็นเจ้านายน้อยหยุดมองนิ่ง ๆ ก็ฉุกคิดได้และจะพานางกลับจวน แต่กลับได้รับคำปฏิเสธ นอกจากนี้จ้าวจางหมิ่นยังเดินเข้าไปใกล้อีกนิด เพื่อจดจำคนตระกูลฉู่นี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ และมีคำอวยพรที่พึมพำออกมาเบา ๆหึ ขอให้พวกเจ้าตระกูลฉู่อยู่กับความสุขเหล่านี้มาก ๆ วันใดที่ถูกหลอกใช้จนหมดประโยชน์ ผู้มีอำนาจเฉดหัวทิ้งขึ้นมาจะได้รู้เสียทีว่าการถูกทอดทิ้งมันสิ้นหวังเพียงใด“คุณหนูเจ้าคะ” ฮุยอินเรียกเพียงสั้น ๆจ้าวจางหมิ่นได้ยินเสียงสาวใช้ จึงดึงสติของตนกลับมา “พี่ฮุยอินไม่ต้องคิดมากเจ้าค่ะ ข้าแค่อยากยืนส่งพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย และรอคอยให้เวรกรรมตามสนองคนตระกูลนี้เท่านั้น”หนิงอวี่ได้ยินคำนี้ของจ้าวจางหมิ่น ก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง “คุณหนูพูดถูกสักวันหนึ่งสิ่งที่พวกเขาทำไว้กับท่าน ย่อมสนองกลับหลายร้อยหลายพันเท่า แต่ตอนนี้กลับจวนไปพักเถิดเจ้าค่ะ”“อืม ไปกันเถิด พวก
ภายหลังพาเหล่าทาสที่ซื้อมาถึงจวน จ้าวจางหมิ่นให้สาวใช้ทั้งสองคน ช่วยกันหุงหาอาหารสำหรับสมาชิกใหม่ ซึ่งยามนี้พวกเขายังคงอ่อนแรง แม้จะพยายามทำให้นางเห็นว่าเข้มแข็งก็ตาม นางรอจนกระทั่งพ่อบ้านกับทาสอีกสามคนกลับมา และแจกจ่ายเสื้อผ้าให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว จึงได้พูดคุยในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้“เอาล่ะ ตอนนี้พวกท่านทุกคนก็มาอยู่ในจวนของข้าแล้ว ตัวข้ามีนามว่าจ้าวจางหมิ่น สาวใช้ทั้งสองมีชื่อว่าหนิงอวี่และฮุยอินอย่างที่พวกท่านเห็นว่า จวนของข้ามีขนาดกลางลำพังเด็กและสตรีสองคนไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง นอกจากนี้ข้ายังต้องทำการค้า ถึงได้ตัดสินใจไปซื้อตัวพวกท่านมา” จ้าวจางหมิ่นหยุดพูดเมื่อเห็นว่ามีคนอยากถามบางอย่าง“เอ่อ ทำไมคุณหนูจ้าวถึงเลือกเฉพาะพวกข้า ที่มีวรยุทธ์ทั้งหมดเล่าขอรับ แม้แต่คนที่จะทำหน้าที่พ่อบ้านยังมีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา”“ที่ข้าเลือกพวกท่านทุกคน เพราะมองเห็นถึงความซื่อสัตย์ สตรีคอยดูแลรับผิดชอบภายในเรือน พ่อบ้านความหมายย่อมบ่งบอกอยู่แล้ว ส่วนพวกท่านหลังจากรักษาตัวจนหาย มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและทำสินค้าไว้สำหรับนำไปขาย ในอนาคตอันใกล้ข้าจะมีร้านเป็นของตนเอง จากนั้นจะมีการค้าชนิดใหม่เพิ่มขึ้นอีกมากม
ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน ในคืนแรกของการได้รับอิสระห้าวเหลียงได้หารือกับคนอื่น ๆ เกี่ยวกับหน้าที่ต่าง ๆ ที่ต้องทำในแต่ละวัน พวกเขาได้ข้อสรุปที่ตรงกันก็คือ การเรียนรู้ทำสินค้าของจ้าวจางหมิ่นจะทำร่วมกัน เผื่อวันใดวันหนึ่งคนในกลุ่มไม่อยู่ พวกเขาสามารถทำแทนกันได้โดยเฉพาะเหว่ยหงกับเสียอี้สองคนนี้ เคยทำงานในสำนักคุ้มภัยมาก่อน ในอนาคตหากการค้าของเจ้านายขยายไปต่างเมือง ทั้งสองจะเป็นกำลังหลักสำหรับการส่งสินค้าทันที ดังนั้นห้าวเหลียงและทุกคนจึงลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันเมื่อได้กินอิ่มท้องและพักผ่อนเต็มที่ ทำให้สมาชิกใหม่ของจวนตระกูลจ้าว พร้อมใจกันตื่นตั้งแต่ยามเหม่า และเป็นเวลาที่จ้าวจางหมิ่นเตรียมออกไปขายของเช่นทุกวัน ห้าวเหลียงเห็นอุปกรณ์บนรถเข็น ก็รู้สึกเห็นใจสาวใช้ของจ้าวจางหมิ่น ที่เป็นสตรีรูปร่างบอบบาง แต่กลับต้องมายกข้าวของที่มีน้ำหนักมากเช่นนี้ จึงให้เป่าเฟิงกับจงเหลียนช่วยเข็นไปที่ตลาดแทน คนที่เหลือก็คิดไม่ต่างจางห้าวเหลียงนัก“พ่อบ้าน อย่าหาว่าข้าสอดรู้สอดเห็นไม่เข้าเรื่องเลย คนในครอบครัวของคุณหนูหายไปที่ใดหมด ถึงปล่อยให้เด็กที่ควรได้วิ่งเล่น ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานหาเงินเช่นน
ลูกจ้างของจ้าวจางหมิ่นต่างตื่นตาตื่นใจ สำหรับเครื่องมือที่นางได้สอนพวกเขา แต่ละคนคิดว่านี่คือสิ่งที่อัศจรรย์มาก และขั้นตอนการทำมิได้ยุ่งยากเลยสักนิด พอทำจนถึงขั้นตอนสุดท้ายนำลูกชิ้นสะเด็ดน้ำ ก็มานั่งช่วยกันเสียบลูกชิ้นไม้ละห้าลูก ซึ่งเป็นลูกขนาดพอดีไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป แค่ให้สมกับราคาที่ตั้งเอาไว้เท่านั้นก็พอเนื่องจากครั้งทดลองทำและได้ลูกชิ้นถึงเจ็ดร้อยไม้ จ้าวจางหมิ่นจึงให้นำเตามาย่างลูกชิ้นหนึ่งร้อยไม้ เพื่อให้ทุกคนได้ชิมฝีมือของตนเอง ดังนั้นในยามอู่อาหารมื้อเที่ยงจึงเป็นลูกชิ้นปิ้ง และไม่ลืมให้เป้ยอิงแบ่งใส่จาน นำไปให้กับคนสนิทของเสิ่นหนิงเทียนที่เรือนเล็กด้วยนับตั้งแต่ได้เรียนวิธีการทำลูกชิ้น จ้าวจางหมิ่นได้มอบเงินให้ห้าวเหลียงจำนวนหนึ่ง สำหรับให้แม่ครัวหงชิงใช้ซื้อวัตถุดิบทำอาหาร และซื้อเนื้อหมูสำหรับทำลูกชิ้นไว้รอจ้าวจางหมิ่นเสมอ แต่เรื่องที่พวกห้าวเหลียงได้พูดคุยไว้ ก็เป็นหยางไห่ที่ออกไปสืบหาข้อมูล เกี่ยวกับครอบครัวของเจ้านายและเขาก็เลือกมาถูกที่เสียด้วยหน้าจวนเจ้าเมืองที่ปิดประตูเอาไว้ ยังคงมีทหารผลัดเปลี่ยนมาคอยดูแล เพื่อป้องกันมิให้มีใครฉวยโอกาส เข้าไปอยู่อาศัยจนทำให้เร
เนื่องจากวัตถุดิบมีหลายอย่าง จ้าวจางหมิ่นจึงให้ฮุยอินไปตามพ่อบ้าน และคนอื่นมาช่วยเพื่อนำไปเก็บที่ห้องเสบียง โดยแบ่งส่วนหนึ่งไว้สำหรับทำเป็นมื้อเย็น แม้จะรู้สึกแปลกใจว่าสิ่งของเหล่านี้ มาอยู่ในห้องของเจ้านายพวกตนได้อย่างไร แต่นั่นเป็นคำถามที่ต้องเก็บไว้ในใจเท่านั้นเมื่อเลือกที่จะซื่อสัตย์ภักดีกับจ้าวจางหมิ่นแล้ว ถึงจะอยากรู้ถ้าเจ้านายไม่บอกด้วยตนเอง พวกเขาไม่สมควรก้าวก่าย พ่อบ้านห้าวและเพ่ยตงที่มาช่วยยกของ จึงทำเพียงหน้าที่ของตนเท่านั้นจ้าวจางหมิ่นเดินตามทุกคนไปถึงห้องครัว เพื่ออธิบายถึงวัตถุดิบทั้งหมดว่าใช้สำหรับทำอะไร รวมถึงบอกว่าจะสอนแม่ครัวหงชิงหรือคนอื่น ๆ ที่สนใจอยากทำอาหารชนิดนี้เป็น เผื่อวันใดอยากกินจะได้ลงมือทำด้วยตนเองได้ทันที ไม่ต้องร้องขอให้แม่ครัวหงชิงทำให้“คุณหนูเจ้าคะ ของพวกนี้จะใช้ทำอาหารชนิดใดหรือเจ้าคะ บ่าวไม่เคยเห็นผักที่เป็นหัวหรือเจ้าลูกสีแดงนี่มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” แม่ครัวหงชิงมองผักที่นางไม่รู้จัก เพราะตั้งแต่เล็กจนโตนางรู้จักอยู่ไม่กี่อย่าง“อ้อ วัตถุดิบที่ทุกคนเห็นตรงหน้าทั้งหมด คือส่วนประกอบของอาหารชนิดใหม่ ที่ข้าจะทำให้ลองชิมก่อนจะทำขายเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นตอบ
และแล้วก็ถึงวันหยุดที่จ้าวจางหมิ่นได้พูดไว้ ซึ่งวันนี้นางจะไปยังหมู่บ้านหลิ่วซู่ของหนิงอวี่ ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองเหอเฟยมากนัก นั่งรถม้าไปเพียงสองเค่อก็ถึงหมู่บ้านแห่งนี้แล้วครั้งนี้จ้าวจางหมิ่นให้เหล่ยหง เสียอี้และซีหยุนติดตามไปดูแล ด้านหนิงอวี่ดีใจที่จะได้กลับไปเยี่ยมครอบครัว แม้ไม่รู้ว่าพวกเขาจะยินดียามที่เห็นตนเองหรือไม่ แต่หนิงอวี่ยังมีใจซื้อข้าวสารอาหารแห้ง รวมถึงผ้าอีกหนึ่งพับไปเป็นของฝากส่วนจ้าวจางหมิ่นไม่ได้แต่งกายหรูหราอันใด นางสวมใส่ชุดสำหรับเด็กทั่วไปเพียงแค่เนื้อผ้า อาจจะดูดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้น เพราะนางไม่คิดว่าจะต้องแต่งกายไปอวดผู้ใดก่อนจะออกเดินทางจ้าวจางหมิ่นไม่ลืมกำชับพ่อบ้านห้าว เรื่องของคนที่พักอยู่ในเรือนเล็ก “ลุงพ่อบ้านข้าฝากดูแลคุณชายเสิ่นด้วยนะเจ้าคะ หากเขาต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมก็จัดหาให้ ไม่เกินยามเซินพวกข้าก็กลับมาแล้วล่ะ”“ขอรับ บ่าวจะดูแลคุณชายเสิ่นเป็นอย่างดีขอรับ เหล่ยหงพวกเจ้าสามคนดูแลคุณหนูให้ดีเล่า อย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีกับคุณหนูเป็นอันขาด”“พ่อบ้านวางใจเถิด หากใครกล้าคิดทำร้ายคุณหนูล่ะก็ รับรองพวกมันไม่มีโอกาสได้ร้องขอความเมตตาแน่”“น้าเหล่ยหงไปกันเ
ระหว่างนั่งรถม้ากลับเข้าเมือง จ้าวจางหมิ่นยังโมโหไม่หาย เมื่อเห็นใบหน้าของหนิงอวี่เริ่มเห็นรอยนิ้วมือชัดเจนขึ้น “ฮึ่ย! ข้าไม่น่าให้น้าเหล่ยหงสั่งสอนแค่นั้นเลยจริง ๆ พี่หนิงอวี่จากนี้ไปท่านสนใจแค่ตัวเองก็พอ ตัดครอบครัวเช่นนั้นออกไปจากชีวิตเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรเสียก็มีข้ากับทุกคนเป็นครอบครัว ภายหน้าท่านต้องแต่งงานมีคู่ชีวิตที่ดีได้แน่”“บ่าวจะมีครอบครัวได้อย่างไรเจ้าคะ คุณหนูยังไม่ถึงวัยปักปิ่นเลยด้วยซ้ำ รอคุณหนูปักปิ่นเมื่อใดบ่าวค่อยแต่งงานเจ้าค่ะ หากคนรักของบ่าวรับข้อนี้ไม่ได้ ก็แค่ไม่แต่งและอยู่ดูแลคุณหนูจนแก่ รอเลี้ยงคุณชายน้อยคุณหนูน้อยก็ไม่เป็นอันใดนะเจ้าคะ” หนิงอวี่คิดเอาไว้เช่นนั้นจริง ๆ“บ่าวก็คิดแบบเดียวกับหนิงอวี่เจ้าค่ะ แม้จะแต่งงานแล้วเราสองคนก็จะติดตามคุณหนูเช่นเดิม ไม่มีทางแยกไปสุขสบายไม่สนใจคุณหนูได้อย่างไรเจ้าคะ” ฮุยอินเคยพูดคุยเรื่องนี้กับหนิงอวี่อยู่บ้าง“อืม ก็ดีเหมือนกันนะไว้ข้าสร้างกิจการให้มั่นคง ค้าขายมีกำไรร่ำรวยเป็นเศรษฐีนีมีเงินเหลือกินเหลือใช้ จะมอบเป็นสินเดิมเจ้าสาวให้พวกพี่สองคนก็แล้วกันนะเจ้าคะ อิ อิ” จ้าวจางหมิ่นพิจารณาสิ่งที่สาวใช้พูดมา ก็เห็นจะจริงนางยังเ
เมื่อกลับมาถึงจวนจ้าวจางหมิ่นขอแยกกลับเรือนตนเอง โดยไม่ลืมให้พ่อบ้านห้าวบอกทุกคน ไปรวมตัวกันที่ห้องครัวรอนาง พ่อบ้านห้าวรับคำยังไม่ทันหันหลังกลับ จงเหลียนที่ยืนอยู่ด้วยกันกลับหายตัวไปก่อนแล้ว ด้วยความตื่นเต้นที่จ้าวจางหมิ่นจะสอนทำอาหารจ้าวจางหมิ่นนั่งคิดมาในรถม้าระหว่างกลับจวน ว่านางจะทำสิ่งใดเพิ่มอีกพอคิดไปคิดมา ก็คิดถึงอาหารที่ชอบขึ้นมาได้ และมันยังเป็นวิธีการถนอมอาหารอย่างหนึ่งเช่นกัน นั่นก็คือแหนมซี่โครงหมูและสามชั้นต้มจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด แค่จ้าวจางหมิ่นคิดก็เริ่มน้ำลายสอเสียเองพอเข้ามาในห้องไม่พูดพร่ำทำเพลง สาวใช้ยังไม่ทันได้เอ่ยถามเรื่องร้านค้า จ้าวจางหมิ่นกลับเรียกหาระบบทันที “ระบบข้าต้องการซื้อสินค้ากับเจ้า”[ติ๊ง ระบบออนไลน์ขั้นเทพยินดีให้บริการ ไม่ทราบว่าท่านต้องการซื้อสินค้าชนิดใด จากโลกไหนบ้างกรุณาแจ้งต่อระบบได้เลย]“ข้าต้องการซี่โครงหมูหนึ่งร้อยชั่ง สามชั้นมันน้อยหนึ่งร้อยชั่ง ข้าวเหนียวหนึ่งร้อยชั่ง กระเทียม น้ำปลา มะนาว พริกขี้หนู ผักชี ผักกาดขาว ผักสลัด ขิงดอง อย่างละห้าสิบจิน และใบเซียงเจียวพร้อมเชือกป่าน จำนวนหนึ่งร้อยพับนะระบบ”[ตกลง รายการสินค้าที่ท่านต้องการ ระบบจ
จ้าวจางหมิ่นพาทุกคนออกเดินทางอีกครั้ง และมาถึงเมืองหลวงตอนกลางยามเหม่า จึงได้ปลุกทุกคนให้ตื่นเพื่อเตรียมตัวผ่านประตูเมือง ซึ่งเสิ่นหนิงเทียนใช้ป้ายประจำตำแหน่ง ในการเปิดทางให้จ้าวจางหมิ่น ขับพาหนะแปลกประหลาดเข้าเมืองหลวง โดยได้สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนที่พบเห็นอีกครั้งเมื่อรถตู้สีดำสนิทหยุดลงที่หน้าจวนเสิ่นอันโหว บ่าวที่เฝ้าหน้าประตูจวนจึงรีบวิ่งไปตามพ่อบ้านมาทันที“ไหน ๆ สิ่งแปลกประหลาดที่วิ่งได้ พวกเจ้าอย่าได้โกหกข้าเชียว”“ท่านพ่อบ้านข้าจะโกหกไปทำไมกัน ก็เจ้านั่นมันหยุดอยู่หน้าจวนจริง ๆ นะขอรับ”พ่อบ้านเสิ่นเมื่อวิ่งตามบ่าวออกมา ก็พบเสิ่นหนิงเทียนยืนอยู่กับจ้าวจางหมิ่น “คารวะคุณชาย ๆ ที่แท้เป็นท่านเองหรือนี่ บ่าวคิดว่าเจ้าพวกนี้โกหกเสียอีก เอ่อ คุณหนูผู้นี้คือ?”“นางก็คือนายหญิงจ้าวคู่หมั้นของข้าเอง และเป็นเจ้าของสีทาบ้านที่งดงามอย่างไรเล่า”“โอ้ว คารวะนายหญิงจ้าวขอรับ เชิญคุณชายกับนายหญิงจ้าวที่โถงรับแขกเถิด ป่านนี้นายท่านกับฮูหยินคงรู้เรื่องนี้ จากพวกสาวใช้ในจวนแล้วขอรับ”“อืม หมิ่นเอ๋อร์เข้าไปพักด้านในก่อนเถิด เจ้าคงเหนื่อยไม่น้อยเพราะขับเจ้ารถนี่เพียงลำพัง”“เจ้าค่ะพี่ชายเสิ่
ณ เมืองหลวงแคว้นเฉินภายหลังสินค้าจำนวนมากบนรถบรรทุก ที่สามารถมาถึงเมืองหลวงได้ในเวลาอันรวดเร็ว ก็ได้สร้างปรากฏการณ์แตกตื่นขึ้น เนื่องจากรถบรรทุกไม่สามารถเข้าประตูเมืองได้ จึงต้องจอดเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่ภายนอกกำแพงเมือง โดยหยางไห่รับหน้าที่เข้าไปรายงานต่อเสิ่นฮูหยินที่จวนเสิ่นอันโหวรู้สึกแปลกใจมากกับเรื่องนี้ เพราะไม่น่าเป็นไปได้ที่สินค้าจากเมืองชายแดน จะมาถึงเมืองหลวงได้รวดเร็วในเวลาไม่กี่วัน จึงได้ตามเสิ่นฮูหยินออกมาดูด้วยตาตนเอง ว่าที่หยางไห่บอกกับพวกเขานั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่เมื่อหยางไห่พาเสิ่นอันโหวและเสิ่นฮูหยิน ออกมาเจอกับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ทำเอาทั้งสองคนตกตะลึงพูดอันใดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่เป็นเสิ่นฮูหยินที่เรียกสติของตนกลับมาได้“หยางไห่เจ้าบอกว่าสินค้าที่อยู่บนรถ รถอะไรนะ?”“อ้อ นายหญิงเรียกมันว่ารถบรรทุกขอรับเสิ่นฮูหยิน” หยางไห่ตอบตามที่เขาจดจำมาจากคำพูดของจ้าวจางหมิ่น“ชะ ชะ ใช่เจ้ารถบรรทุก สินค้าที่ต้องส่งเข้าวังหลวงทั้งหมด อยู่บนหลังรถบรรทุกตรงหน้านี้ และนี่เป็นสิ่งที่หมิ่นเอ๋อร์จัดการด้วยตนเองงั้นรึ”หยางไห่ยืดอกตอบอย่างฉะฉาน “ถูกต้องแล้วขอรับเสิ่นฮูหยิน นายหญิงขอ
คำสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากของเสิ่นฮูหยิน ถูกส่งผ่านนกพิราบสื่อสารของร้านอาหารหงอวิ้นไหล ซึ่งคำสั่งซื้อนี้มาถึงจวนตระกูลจ้าวแห่งเหอเฟย ขณะที่จ้าวจางหมิ่นกำลังสอนลูกจ้าง ฝึกทำปอเปี๊ยะทอดสำหรับเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ที่จะทำขายเพิ่มในร้านอาหารของนางเซิ่งปินที่ดูแลความเรียบร้อยของเรือนใหญ่ เมื่อเห็นนกพิราบบินมาเกาะยังกิ่งไม้ต้นเดิม ก็เดินไปหยิบจดหมายจากกระบอกไม้เล็ก ๆ และนำมามอบให้จ้าวจางหมิ่นยังห้องครัว“นายหญิงขอรับ มีจดหมายจากเมืองหลวงเพิ่งมาถึงที่นี่ขอรับ”จ้าวจางหมิ่นรับมาเปิดอ่านด้วยท่าทางปกติ แต่เพียงชั่วพริบตาก็เริ่มตาโตจากข้อความในจดหมาย “โอ้ว! แม่เจ้า เงินทองไหลมาเทมาหาพวกเราได้ทุกวันสิน่า”คนที่ทนไม่ไหวมากที่สุดคงหนีไม่พ้นสาวใช้ทั้งสอง และฮุยอินจึงถามเพื่อคลายความสงสัยแทนทุกคน “นายหญิงเจ้าคะ ที่ท่านพูดมาหมายความว่าเช่นไรหรือเจ้าคะ ท่านถึงดูตกใจและดีใจในเวลาเดียวกันเช่นนี้”จ้าวจางหมิ่นเงยหน้ามองทุกคนในห้องครัว ที่เฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “นี่เป็นจดหมายจากมารดาของพี่ชายเสิ่น บอกเอาไว้ว่าฮ่องเต้ทรงต้องการสีทาบ้านจำนวนหนึ่งหมื่นถังเจ้าค่ะ”“ห๋า!! หนึ่งหมื่นถัง!!”หย่างไห่ถึงกับละล่ำ
การเปิดกิจการสีทาบ้านของจ้าวจางหมิ่นครั้งนี้ มิได้มีการจัดงานหรือจุดประทัดให้เสียงดังแต่อย่างใด นางเพียงอาศัยร้านอาหารเป็นตัวอย่างสินค้า และการตอบคำถามของเหล่าลูกจ้าง เมื่อมีลูกค้าในร้านอาหารสอบถามเท่านั้นเพียงเท่านี้ก็มีลูกค้ามาต่อแถวซื้อสีทาบ้าน จนพ่อบ้านห้าวต้องให้เหล่ยหง รวมถึงลูกจ้างอีกหลายคนในจวน ออกมาช่วยกันจัดระเบียบแถวของลูกค้า เพื่อป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ในวันแรกที่เปิดขายสีทาบ้าน จ้าวจางหมิ่นได้กำไรถึงหลักพันตำลึงทองหนิงอวี่ที่ได้ช่วยนายหญิงของตนทำบัญชี ยังอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “โอ้ว นายหญิงเจ้าคะบ่าวมิได้คิดเลขผิดใช่หรือไม่ เพียงแค่ท่านเปิดขายสีทาบ้านวันแรก จากการพูดปากต่อปาก ก็ได้กำไรมากมายเช่นนี้แล้วนะเจ้าคะ”ฮุยอินที่นับทั้งก้อนเงินและตั๋วเงิน เพื่อให้ตรงกับบัญชีรายรับในมือของสหาย ยังคงมีอาการตื่นเต้นดีใจไม่หาย “นั่นสิเจ้าคะนายหญิง นี่ท่านเพิ่งขายให้คนในเมืองเหอเฟยเท่านั้น ยังได้กำไรหลักพันตำลึงทองแล้ว บ่าวไม่อยากจะคิดเลยว่าเมื่อสีทาบ้านไปถึงเมืองหลวง เหล่าขุนนางหรือคนที่ฐานะร่ำรวยไม่มีทางที่จะไม่อยากได้นะเจ้าคะ คงมีคนสั่งซื้อสินค้าชนิดนี้จำ
เรื่องการลงโทษสาวใช้ของเสิ่นหนิงเทียน บ่าวไพร่ในจวนปิดปากเงียบสนิท ไม่มีใครกล้าพูดหรือนำไปเล่าต่อแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขายังอยากมีชีวิต ทำงานแลกเงินส่งให้ครอบครัวและก่อนจะแยกย้ายกันเพื่อพักผ่อน จ้าวจางหมิ่นจึงบอกเสิ่นหนิงเทียนว่า นางมีเรื่องอยากพูดคุยกับเขาเล็กน้อย “พี่ชายเสิ่นเจ้าคะ รบกวนท่านอยู่พูดคุยกับข้าสักประเดี๋ยวเถิดเจ้าค่ะ”เมื่อเห็นว่ายังไม่ดึกมากเสิ่นหนิงเทียนจึงนั่งลงที่เดิม “ได้สิ ว่าแต่หมิ่นเอ๋อร์มีเรื่องอันใดจะคุยกับพี่งั้นหรือ”“ไม่มีอันใดมากหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่มีของมอบให้ท่านเล็กน้อย เพื่อขอบคุณที่ท่านอุตส่าห์ยกปิ่นปักผมให้ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นของมีค่ากับท่านมาก ข้าจึงอยากตอบแทนสิ่งที่คล้ายกันกลับไปให้ท่านบ้างเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นพูดจบก็หันไปรับกล่องไม้ ที่หนิงอวี่กลับไปหยิบจากในห้องพักมาให้นางเสิ่นหนิงเทียนมองกล่องไม้ในมือบาง พร้อมกับเลิกคิ้วเข้มด้วยความอยากรู้ ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในนั้นคืออันใดกันแน่ “เจ้านำสิ่งใดมาให้พี่เช่นนั้นหรือ ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นสิ่งของชิ้นใด ล้วนไม่สำคัญเท่ากับเจ้าหรอกนะหมิ่นเอ๋อร์”“ท่านรับไว้เถิดเจ้าค่ะ เพราะข้าตั้งใจมอบให้ท่านจริง ๆ”
หลังจากเห็นว่าจ้าวจางหมิ่นนอนหลับสนิท เสิ่นหนิงเทียนย้อนกลับไปที่เดิมอีกครั้ง เพื่อจัดการกับพวกหมิงเฉียว แต่เขากลับพบกับความว่างเปล่า คนตั้งมากมายกลับหายไปอย่างไร้ร่อยรอย แม้แต่เลือดสักหยดยังไม่มีให้เห็น “เป็นไปได้อย่างไรกัน? คนหลายสิบคนหายไปพร้อมกัน ใครจะมีความสามารถจัดการได้รวดเร็วเช่นนี้”เสิ่นหนิงเทียนจึงเดินกลับด้วยความงุนงง และมีข้อสงสัยมากมายอยู่ในใจของเขา ว่าเหตุการณ์ประหลาดนี้ เป็นฝีมือของคนหรือภูตผีปีศาจกันแน่ เสิ่นหนิงเทียนรู้สึกเสียดายไม่น้อย ที่คนของตนกลับนอนหลับสนิท ไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาสักนิด มิเช่นนั้นเขาคงได้รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใดเมื่อยามเช้ามาถึงภายหลังจัดการเรื่องอาหารมื้อเช้า ทุกคนช่วยกันเก็บของทั้งหมดเพื่อเดินทางต่อ โดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอันใดอีก ครั้งนี้ใช้เวลาเดินทางกลับเร็วกว่าเล็กน้อย แต่พวกเขามาถึงเมืองฟู่ชิงในเขตชายแดนแคว้นเฉิน ก็เข้าสู่ปลายยามเซินแล้ว เสิ่นหนิงเทียนไม่อยากให้จ้าวจางหมิ่นเดินทางยามค่ำคืน จึงได้เชิญนางพักเสียที่จวนของตน“หมิ่นเอ๋อร์ตอนนี้ใกล้จะมืดค่ำเข้าไปทุกที เจ้ากับคนอื่น ๆ พักเสียที่จวนของพี่เถิด พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับเมืองเหอเฟยจะดีกว
หมิงเฉียวพาคนที่เถ้าแก่หนานเลี้ยงไว้ห้าสิบคน ออกเดินทางเพื่อตามจ้าวจางหมิ่นให้ทัน ขบวนเดินทางเล็ก ๆ ของหมิงเฉียวก็ขี่ม้าออกนอกเมืองไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงต้องพยายามเร่งฝีเท้าม้า เพิ่มความเร็วให้มากขึ้นจะได้ตามไม่ห่างจนเกินไปเมื่อออกจากเมืองเชาหูได้ครึ่งทาง จ้าวจางหมิ่นได้รับข้อความจากระบบอีกครั้ง [ติ๊ง มีภารกิจด่วนแลกเงินรางวัลหนึ่งแสนตำลึงทองไม่ทราบว่าท่านจะรับภารกิจนี้หรือไม่]ห๋า! ทำไมครั้งนี้เงินรางวัลถึงมากเช่นนี้เล่า นี่ระบบภารกิจด่วนของเจ้าคงไม่ได้ให้ไปฆ่าคนหรอกนะ[ท่านไม่ต้องลงมือฆ่าคนพวกนั้นเอง เพราะอีกโลกหนึ่งที่ห่างไกลจากที่นี่ ต้องการแรงงานจำนวนมาก ท่านแค่คิดหาวิธีให้คนกลุ่มนี้มีชีวิต ส่วนที่เหลือระบบจะจัดการเก็บกวาดเอง]โอ้โห! แค่ไม่ต้องถึงตายแล้วยังได้เงินถึงหนึ่งแสนตำลึง ใครไม่รับทำก็โง่เต็มทีกระมัง ตกลง! ข้ารับทำภารกิจด่วนนี้ของเจ้านะระบบ ว่าแต่จะให้ข้าลงมือกับใครและเมื่อใดรึ[อีกสองชั่วยามพวกท่านต้องหาที่พักกันแล้ว ด้านหลังพวกท่านมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังตามมา และที่สำคัญคนพวกนั้นมิได้มีเจตนาดี ท่านหยุดพักให้คนพวกนั้นตามมาทัน แล้วค่อยลงมือยามค่ำจะดีที่สุด]นี่พวกข้าถูกคนส
หลังจากส่งหลัวเซิ่งอ๋องกลับจวนเจ้าเมืองแล้ว นายท่านหลี่ให้บุตรชายพาจ้าวจางหมิ่นไปพบที่ห้องทำงาน เพื่อบอกเรื่องที่หลัวเซิ่งอ๋องสนใจกับนาง เผื่อว่ากิจการใหม่ของจ้าวจางหมิ่นจะเปิดขายเร็วขึ้นจ้าวจางหมิ่นที่ยังมีเสิ่นหนิงเทียนตามติด ขึ้นมาพบนายท่านหลี่ที่อยู่รอนางเพียงลำพัง “ท่านลุงหลี่ให้พี่ชายหลี่ไปตามข้า มีเรื่องอันใดเกี่ยวกับร้านอาหารหรือไม่เจ้าคะ”“มาแล้วหรืออาหมิ่น ที่ลุงอยากพบเจ้ามิใช่เรื่องร้านอาหารหรอก แต่เป็นเรื่องของสีทาบ้านของเจ้าต่างหากเล่า” นายท่านหลี่บอกนางไปตามตรง“หืม สีทาบ้านของข้าทำไมหรือเจ้าคะ?”เสิ่นหนิงเทียนคาดว่าสินค้าของจ้าวจางหมิ่น คงจะมีคนสนใจจึงสอบถามผ่านนายหลี่เป็นแน่ “เรื่องที่นายท่านหลี่พูดถึงข้าขอเดาว่า สีทาบ้านที่ช่วยให้ผนังเหล่านี้งดงามได้ คงเป็นที่ถูกใจลูกค้าที่มาร่วมงานวันนี้ถูกต้องหรือไม่”“ท่านแม่ทัพเสิ่นกล่าวได้ถูกต้องแล้ว สินค้าใหม่ของอาหมิ่นมีคนอยากได้มากมายเชียวล่ะ รวมถึงท่านอ๋องที่อยากจะเจรจาซื้อสินค้านี้กับเจ้า เพราะอยากนำไปปรับปรุงตำหนักที่เมืองเจินโจว และเอาใจพระชายากับซื่อจื่อน่ะ” แม้แต่ตัวนายท่านหลี่ก็อยากได้ไปทาที่จวนเช่นกันจ้าวจางหมิ่นเพิ่
เมื่อการปรับปรุงร้านเสร็จเรียบร้อย การทาสีก็เริ่มขึ้นทันทีเพื่อให้ทันการเปิดร้าน ซึ่งการทาสีในครั้งนี้เรียกความสนใจได้มาก มีชาวบ้านพ่อค้าเร่หรือแม้แต่เหล่าเศรษฐีมายืนมองจำนวนมาก เหล่าทหารที่มากับหลัวเซิ่งอ๋องยังหยุดมอง ว่าคนงานเหล่านี้กำลังทำให้ผนังของร้านค้าทั้งด้านในและด้านนอกเปลี่ยนสีมีคนอยากรู้เกี่ยวกับเจ้าสิ่งใหม่นี้มากมาย แต่พวกเขาไม่รู้ว่าควรไปถามกับผู้ใด พวกเขารู้แค่เพียงว่าเจ้าของร้านคือตระกูลหลี่ อาจจะต้องรอจนกว่าร้านอาหารจะเปิดอีกครั้ง ถึงจะหาทางสอบถามเรื่องนี้จากลูกจ้างในร้านได้หนึ่งวันก่อนที่จะเปิดร้านอาหารอีกครั้ง จ้าวจางหมิ่นเข้ามาตรวจดูความเรียบร้อย การจัดวางโต๊ะเก้าอี้รวมถึงการตกแต่งร้าน โดยมีเสิ่นหนิงเทียนเดินตามนางทุกฝีก้าว มีเพียงเขาที่สนใจเพียงจ้าวจางหมิ่น ส่วนคนอื่น ๆ ที่ติดตามมาจากตระกูลหลี่ พวกเขาให้ความสนใจเรื่องสีทาผนัง เพราะยามนี้ร้านอาหารของพวกเขานั้นโดดเด่นมากหลี่ซู่เฟิงที่อายุไล่เลี่ยกับเสิ่นหนิงเทียน ยังเสียอาการเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของร้านอาหาร “ขะ ขะ ข้าไม่อยากเชื่อสายตาตนเองเลย ว่าสีทาบ้านที่คุณหนูจ้าวนำมานั้น จะช่วยให้ผนังสีเก่า ๆ กลายเป็นผนังที