ยามเฉินของเช้าวันที่สี่ หลังจากเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างเสร็จ จ้าวจางหมิ่นและสาวใช้กำลังจะกลับจวนของตน ก็ได้ยินเสียงแสดงความยินดีกับอดีตเจ้าเมือง ที่ได้เลื่อนตำแหน่งเข้าทำงานในราชสำนัก ถึงจะไม่มีใครพูดชื่อตระกูลจ้าวจางหมิ่นย่อมรู้ดีว่าคือใคร
หนิงอวี่เห็นเจ้านายน้อยหยุดมองนิ่ง ๆ ก็ฉุกคิดได้และจะพานางกลับจวน แต่กลับได้รับคำปฏิเสธ นอกจากนี้จ้าวจางหมิ่นยังเดินเข้าไปใกล้อีกนิด เพื่อจดจำคนตระกูลฉู่นี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ และมีคำอวยพรที่พึมพำออกมาเบา ๆ
หึ ขอให้พวกเจ้าตระกูลฉู่อยู่กับความสุขเหล่านี้มาก ๆ วันใดที่ถูกหลอกใช้จนหมดประโยชน์ ผู้มีอำนาจเฉดหัวทิ้งขึ้นมาจะได้รู้เสียทีว่าการถูกทอดทิ้งมันสิ้นหวังเพียงใด
“คุณหนูเจ้าคะ” ฮุยอินเรียกเพียงสั้น ๆ
จ้าวจางหมิ่นได้ยินเสียงสาวใช้ จึงดึงสติของตนกลับมา “พี่ฮุยอินไม่ต้องคิดมากเจ้าค่ะ ข้าแค่อยากยืนส่งพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย และรอคอยให้เวรกรรมตามสนองคนตระกูลนี้เท่านั้น”
หนิงอวี่ได้ยินคำนี้ของจ้าวจางหมิ่น ก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง “คุณหนูพูดถูกสักวันหนึ่งสิ่งที่พวกเขาทำไว้กับท่าน ย่อมสนองกลับหลายร้อยหลายพันเท่า แต่ตอนนี้กลับจวนไปพักเถิดเจ้าค่ะ”
“อืม ไปกันเถิด พวกพี่สองคนคิดอย่างไร เมื่อเปิดร้านขายของครบสิบห้าวันข้าจะหยุดพักการค้าหนึ่งวัน และจะกำหนดให้เป็นเช่นนี้ทุกเดือน พวกท่านทำงานทุกวันสมควรมีวันหยุดพักผ่อน และกลับไปเยี่ยมครอบครัวบ้างนะเจ้าคะ” จ้าวจางหมิ่นคิดว่าตนเองเป็นคนขยันมากแล้ว แต่นางยังสู้บ่าวสองคนนี้ไม่ได้สักนิด
สองสาวใช้ไม่คิดว่าจ้าวจางหมิ่น จะมีวันหยุดและคิดเผื่อพวกนางสองคน เรื่องการกลับไปเยี่ยมครอบครัว
“คุณหนูพูดจริงหรือเจ้าคะ! ที่ว่าจะหยุดหนึ่งวันทุกเดือน”
“จริงสิ ใครจะแกล้งพูดให้ดีใจเก้อเล่าพี่ฮุยอิน”
“คุณหนูของบ่าวใจดีที่สุดเลย ขอบคุณมากนะเจ้าคะคุณหนู” หนิงอวี่แทบจะกระโดดโลดเต้น หากไม่ใช่ว่ายามนี้อยู่กลางตลาด
“บ่าวเองก็ขอบคุณเช่นกันเจ้าค่ะ ยังดีที่ครอบครัวของบ่าวสองคน อยู่หมู่บ้านที่ไม่ไกลจากเมืองเหอเฟยมากนัก” ฮุยอินไม่ได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวอีกเลย ตั้งแต่คอยเลี้ยงดูจ้าวจางหมิ่น นางทำเพียงส่งเงินกลับบ้านเท่านั้น
“แต่ข้าอยากไปเที่ยวที่หมู่บ้านของพวกพี่ด้วย ตั้งแต่เล็กจนโตก็อุดอู้อยู่แต่ในเรือน ไม่เคยเห็นว่าโลกภายนอกเป็นเช่นไร ที่สำคัญข้าอยากเห็นภูเขาที่เขียวขจีใกล้ ๆ เผื่อจะมีอะไรที่สามารถนำมาขายได้” นี่เป็นความจริงของร่างนี้ ที่ถูกจำกัดให้อยู่แต่เรือนท้ายจวน
“ถ้าคุณหนูต้องการไปที่หมู่บ้านของบ่าว พวกเราต้องมีเกวียนวัวหรือรถม้านะเจ้าคะ ลำพังพวกบ่าวนั่งเกวียนรับจ้างได้ แต่บ่าวไม่อยากให้คุณหนูต้องลำบากไปนั่งเบียดเสียดกับคนอื่นเจ้าค่ะ” ฮุยอินเกรงว่าจ้าวจางหมิ่นจะทนไม่ไหว กับชาวบ้านที่มักจะนินทาผู้อื่นบนเกวียนวัว
“อ้อ เรื่องนี้นี่เอง เช่นนั้นพวกเรารีบกลับจวนกันเถิด ข้าจะได้ซื้อรถม้าสักหนึ่งคัน ว่าแต่พวกพี่สองคนมีใครบังคับรถม้าเป็นบ้างเจ้าคะ” เมื่อคำถามนี้จบลงจ้าวจางหมิ่นได้รับคำตอบคือการส่ายหน้า
“เอ่อ พวกบ่าวบังคับรถม้าไม่เป็นเจ้าค่ะ หรือคุณหนูจะไปหาซื้อทาส ที่เป็นบุรุษสักสองคนเจ้าคะ หากมีรถม้าต้องมีคนดูแลเรื่องทำความสะอาด และหาอาหารให้ม้ากิน ส่วนอีกคนก็ทำหน้าที่เป็นพ่อบ้าน คอยดูแลจวนยามคุณหนูไม่อยู่” หนิงอวี่เสนอความเห็นเรื่องการซื้อหาทาสมาทำงานเพิ่ม
“ข้าเห็นด้วยเจ้าค่ะที่พวกเราควรมีคนมาเพิ่ม เอาเป็นว่ากลับไปถึงจวนและซื้อรถม้าเสียก่อน จากนั้นค่อยไปซื้อทาสอย่างที่พี่หนิงอวี่เสนอ”
“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ข้อสรุปทั้งสามคนจึงเข็นรถกลับจวน ไม่สนใจขบวนเดินทางอันยาวเหยียดอีกต่อไป ซึ่งข้อเสนอของหนิงอวี่ผู้เป็นเจ้านายมิได้คิดถาม แต่นางจะไม่ซื้อเพียงสองคน เพราะยังมีงานอื่น ๆ อีกมากให้ทำ ที่สำคัญจ้าวจางหมิ่นต้องทำบางอย่าง ก่อนที่จะมีบ่าวในเรือนเพิ่มขึ้นมา
นั่นคือการเจ้าระบบออนไลน์ขั้นเทพ สั่งซื้อเครื่องบดเนื้อหมูหม้อใบใหญ่ และอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการทำลูกชิ้น เนื่องจากจ้าวจางหมิ่นไม่อาจเรียกใช้ระบบพร่ำเพรื่อได้อีก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ระบบนำมาเสนอกับนางแลกกับเงินรางวัลก้อนโต หลังจากจ้าวจางหมิ่นกดซื้อสิ่งที่ต้องการครบแล้ว
[ติ๊ง ระบบมีข้อเสนอพิเศษ โดยมีเงินรางวัลหนึ่งหมื่นตำลึงทอง เมื่อท่านรับทำภารกิจและสามารถทำได้สำเร็จ หากสนใจกดหนึ่ง ไม่สนใจกดสอง]
ภารกิจพิเศษอันใดกัน ถึงมีเงินรางวัลตั้งหนึ่งหมื่นตำลึงทอง แต่ก็น่าสนใจไม่น้อยลองดูหน่อยก็แล้วกัน
ตื้ด
“ข้าสนใจรับทำภารกิจพิเศษนี้ ว่าแต่มันคือภารกิจอันใดเล่าระบบ เจ้าช่วยอธิบายให้มากกว่านี้ได้ไหม”
[ภารกิจคือช่วยเหลือบุตรชายขุนนางใหญ่ นำตัวมารักษาและส่งคนคืนครอบครัว]
“ห๋า!! นี่ระบบแล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร ว่าคนไหนคือบุตรชายขุนนางใหญ่ ไหนจะบาดเจ็บมากหรือน้อย จากอาวุธของมีคมหรือถูกวางยาพิษ ข้าไม่มีตาวิเศษที่มองปราดเดียวก็รู้ได้หรอกนะ” จ้าวจางหมิ่นอึ้งตะลึงกับภารกิจพิเศษนี้ นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเงินรางวัลถึงสูงนัก
[ท่านลืมไปหรือไม่ว่าข้าคือระบบออนไลน์ขั้นเทพ ท่านอยากได้อุปกรณ์ช่วยเหลือแบบไหน สามารถเลือกซื้อได้มิใช่หรือ]
“ไอหยา นี่ข้าความจำเลอะเลือนหรืออย่างไร มีตัวช่วยระดับเทพแท้ ๆ ดันลืมเสียได้ เช่นนั้นเจ้าช่วยจัดยาถอนพิษ ยารักแผลชนิดต่าง ๆ ยากินยาทาเอามาให้หมด แล้วก็ยังมีเครื่องสแกนขนาดพกพา ที่ช่วยตามหาคุณชายท่านนี้ได้ พร้อมบอกข้อมูลจำเพาะให้รู้อัตโนมัติ เพราะข้าจะใช้มันคัดเลือกคนมาเป็นบ่าวเพิ่ม” จ้าวจางหมิ่นบอกสิ่งที่นางต้องการ เพื่อให้ระบบค้นหาและนำออกมาให้กับนาง
[ระบบกำลังทำการค้นหา ติ๊ง สิ่งที่ท่านต้องการวางอยู่ในช่องเก็บของแล้ว เนื่องจากเป็นภารกิจพิเศษสิ้นค้าที่เลือกซื้อ จึงมีส่วนลดให้ทั้งหมดเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ต้องการจ่ายเงินทันทีหรือหักจากเงินรางวัล]
“โอ้โห ลดตั้งเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ยังมีราคาเกือบห้าร้อยตำลึงทอง ข้ายอมให้หักจากเงินรางวัลก็แล้วกัน ถึงอย่างไรข้ามั่นใจว่าภารกิจนี้ทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน” เมื่อมีเครื่องมือที่นางต้องการ ภารกิจจะไม่สำเร็จได้อย่างไร
[ติ๊ง กรุณาสแกนลายนิ้วมือเพื่อลงนามในสัญญา]
ฟึบ ฟึบ
[การทำสัญญาเสร็จสมบูรณ์ พบกันอีกครั้งเมื่อท่านต้องการ ติ๊ง]
แหมมม ขายตรงเสร็จก็รีบไปเชียวนะ
หลังจากรับภารกิจเรียบร้อย จ้าวจางหมิ่นจึงสวมเสื้อคลุมอย่างมิดชิด และให้สาวใช้พาไปยังโรงค้าทาส ที่ตั้งอยู่ทางด้าน
ทิศตะวันตกของเมืองเหอเฟย โดยไม่ลืมอุปกรณ์พิเศษในการตามหาคนโรงค้าทาสขนาดใหญ่ถูกล้อมด้วยกำแพงสูง ด้านในเต็มไปด้วยเสียงโซ่เหล็กที่เสียดสีกัน เสียงตะโกนจากเหล่าผู้คุม และเสียงร้องของทาสที่ถูกข่มขู่และทุบตี เมื่อไม่เชื่อฟังคำพูดของผู้คุม
ท่ามกลางความมืดที่ครอบคลุม โรงค้าทาสมีกลิ่นอับชื้นของเหงื่อและสิ่งสกปรก ร่างกายของทาสที่ถูกจับไว้แน่นในกรงเหล็ก ทำให้ภาพที่เห็นยิ่งน่าสะเทือนใจ ทาสเหล่านี้ส่วนมากเป็นบ่าวไพร่ที่ทำผิด และถูกเจ้านายขายออกมา หรือเป็นลูกหลานชาวบ้านที่ถูกล่อลวงมาขาย
ทั้งสามคนไม่เคยมาสถานที่เช่นนี้ เมื่อเห็นลูกจ้างหน้าตาดุร้ายด้านหน้า ก็ตัวสั่นแต่พยายามข่มความกลัวเอาไว้
“พวกเจ้าสามคนมาที่นี่ต้องการซื้อทาส ไถ่ตัวญาติพี่น้องหรือนำคนมาขายรึ”
“เอ่อ พี่ชายพวกข้ามาหาซื้อทาสบุรุษ ไปทำงานในจวนเพิ่มให้เจ้านายน่ะ พวกท่านพอจะพาเข้าไปเลือกดูได้หรือไม่” ฮุยอินเป็นคนเจรจากับลูกจ้างหน้าดุคนนี้
“โอ้ วันนี้เจ้าเป็นลูกค้าคนแรกของที่นี่ เจ้าอยากได้ทาสลักษณะเช่นไรพอจะบอกได้หรือไม่ ข้าจะได้พาเจ้าไปดูทาสที่เจ้าต้องการ”
“เอ่อ คุณหนูต้องการทาสเช่นใดเจ้าคะ บ่าวลืมถามไปเสียสนิทเจ้าค่ะ” ฮุยอินได้ยินคำถามที่เจาะจงลักษณะของทาส ก็หันไปถามกับจ้าวจางหมิ่น
“ข้าต้องการทาสบุรุษอายุไม่เกินสี่สิบปี ร่างกายแข็งแรงและมีวรยุทธ์จำนวนสิบคน คนที่ทำงานเป็นพ่อบ้านหนึ่งคน แม่ครัวและสาวใช้ที่รู้งานไม่ปากมากอีกห้าคน” จ้าวจางหมิ่นบอกคุณลักษณะของทาส ที่นางต้องการซื้อตัวกลับจวนกับผู้คุมของที่นี่
“เช่นนั้นเชิญตามข้าไปทางด้านหลัง ทาสเหล่านี้ถูกแยกจากทาสใช้แรงงาน” ลูกจ้างของที่นี่พาทั้งสามเดินอ้อมไปด้านหลังทันที
พอได้มาเห็นส่วนที่แยกไว้สำหรับทาสที่เป็นบุรุษ ทำเอาสามคนนายบ่าวถึงกับพูดไม่ออก เพราะพวกเขาถูกโซ่ตรวจที่หนามาก ล่ามที่ข้อเท้าไว้ทุกคนและดูจากสภาพร่างกาย เต็มไปด้วยบาดแผลถูกโบย รวมถึงท่าทางอ่อนเพลีย สาเหตุคงไม่พ้นการคิดหนีและอาหารที่ได้รับ
“เชิญลูกค้าเลือกดูก่อน หากท่านถูกใจทาสคนไหนให้บอกข้าทันที ลูกน้องที่ดูแลจะช่วยนำตัวออกมาให้ท่าน”
ฮุยอินรับหน้าที่เป็นคนพูดคุยกับลูกจ้างผู้นี้ “ขอบคุณพี่ชายมาก ขอพวกเราคัดเลือกคนสักประเดี๋ยวนะ”
“ตามสบายไม่ต้องรีบร้อน ทาสในส่วนนี้ล้วนมีฝีมือการต่อสู้ไม่เลว พวกท่านซื้อไปไม่ผิดหวังแน่นอน”
จ้าวจางหมิ่นไม่สนใจว่าลูกจ้างคนนี้ จะพูดข้อดีของทาสกลุ่มนี้ว่าอย่างไร เพราะตั้งแต่เดินตามมาถึงกรงขังทาส นางก็กดใช้เครื่องสแกนขนาดเล็กในมือ ซึ่งมันสามารถบอกชื่อ เพศ อายุ และความผิดที่ถูกจับมาขายที่นี่ จ้าวจางหมิ่นไม่ต้องการให้ผู้คุมคนนี้จับผิดนางได้
จึงแสร้งคัดเลือกทาสบุรุษอายุไม่เกินสี่สิบปีได้สิบคน อดีตพ่อบ้านจวนขุนนางอายุสี่สิบปี และแม่ครัวรวมสาวใช้ห้าคน ซึ่งทั้งสิบหกคนนี้มีเครื่องสแกนรับรองแล้วว่า เป็นคนดีที่ถูกใส่ร้ายและรับผิดแทนเจ้านาย ส่วนเรื่องความซื่อสัตย์พวกเขาย่อมมีให้นางเต็มสิบส่วน
จนกระทั่งเดินเลยมาอีกไม่ไกล ในกรงขังมีเด็กหนุ่มและคาดว่า จะหล่อเหลาไม่น้อยเมื่อถึงวัยสวมกวาน อีกสองคนมีอาการบาดเจ็บพอสมควร แม้ใบหน้าจะไม่หล่อเหลา แต่ก็ดูดีมากกว่าบุตรหลานชาวบ้านทั่วไป ที่สำคัญข้อมูลบนหน้าจอได้บอกจ้าวจางหมิ่นว่า เด็กหนุ่มที่ดวงตาแข็งกร้าวแฝงไปด้วยความเคียดแค้นผู้นี้ คือบุตรชายขุนนางใหญ่ในภารกิจพิเศษของนาง
“ชะ ช่วยคุณชายของข้าด้วยเถิด”
“ได้โปรดขอเพียงท่านช่วยคุณชายของข้า ชาติหน้าข้าจะขอเป็นทาสรับใช้คุณหนูจนวันตาย”
“หุบปาก! ใครอนุญาตให้พวกเจ้าพูด หากยังกล้าอ้าปากพ่นคำไร้สาระออกมา รับรองว่าบนตัวพวกเจ้าจะมีแผลเพิ่มทันที”
เมื่อเห็นเช่นนี้ผู้รับภารกิจพิเศษ จำต้องช่วยออกมาทั้งสามคน อย่างน้อยจ้าวจางหมิ่นก็ได้รู้ว่า อีกสองคนที่บาดเจ็บหนัก คงเป็นคนสนิทของคุณชายท่านนี้
ครั้งนี้จ้าวจางหมิ่นเป็นผู้เอ่ยถามด้วยตนเอง “ท่านอาไม่ทราบว่าสามคนในกรงนี้ ตั้งราคาขายไว้ที่เท่าใดหรือ”
“หืม ทาสสามคนนี้เช่นนั้นหรือ นายท่านของข้าตั้งราคาขายไว้ห้าร้อยตำลึงทอง”
“ห๋า!! ห้าร้อยตำลึงทอง!” ทั้งนายทั้งบ่าวตกใจกับราคาไม่แพ้กัน
“ไอหยา พวกท่านไม่รู้อะไร สามคนนี้ถูกส่งมาจากเมืองหลวงเชียวนะ ฉะนั้นจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร”
“ท่านอาช่วยลดราคาอีกนิดเถิด ท่านดูสิพวกเขาบาดแผลเต็มตัว ไม่ว่าข้าหรือใครซื้อไปย่อมเสียตำลึงพาไปรักษานะ” จ้าวจางหมิ่นเริ่มต่อรองราคาตามประสาคนเป็นแม่ค้า
“เอ่อ แต่ว่า”
“นี่ท่านอา ไม่มีใครอยากได้ทาสที่บาดเจ็บ และต้องเสียเงินรักษาเช่นข้าแล้วล่ะ หากมิใช่ว่าข้าอยากมีองครักษ์ ที่อายุไม่ห่างจากข้าจนเกินไปก็คงไม่ตัดสินใจซื้อหรอก สามร้อยตำลึงทองขาดตัวว่าอย่างไร” พอราคาที่จ้าวจางหมิ่นพูดออกไป แต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“โธ่ คุณหนูน้อยราคานี้คงขายไม่ได้จริง ๆ”
จ้าวจางหมิ่นเห็นผ่านหน้าจอเครื่องสแกนแล้ว ว่าราคาขายของทั้งสามคนไม่ถึงห้าร้อยตำลึงทอง เนื่องจากต้องการขายออกไปให้เร็วที่สุด ป้องกันคนที่กำลังคิดจะตามหาพวกเขามาเจอ หมับ!
“ท่านอา เห็นแก่เด็กอย่างข้าที่อยากมีเพื่อนเล่นเถิดนะ ๆ ๆ”
สิ่งที่ถูกยัดเข้ามาในมือหยาบหนา ทำให้การขายถูกตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
“ในเมื่อคุณหนูน้อยมีเมตตาเช่นนี้ สามร้อยตำลึงทองถือว่าเป็นราคาที่ถูกต้องแล้ว เชิญพวกท่านกลับไปรอที่ห้องโถงด้านหน้าเถิด ประเดี๋ยวข้าจะให้ลูกน้องนำตัวทาสทั้งหมดตามไป แล้วค่อยคิดเงินทั้งหมดพร้อมหนังสือสัญญาของทาสทุกคน”
“ขอบคุณท่านอาที่เข้าใจเจ้าค่ะ”
เข้าใจกับผีน่ะสิ ขอแค่มีเงินสินบนนิด ๆ หน่อย ๆ พวกเจ้าก็ยอมขายคนอย่างง่ายดายแล้ว ตายไปจะตกนรกอเวจีขุมไหนกัน
จ้าวจางหมิ่นเดินกลับมาที่ห้องโถงพร้อมสาวใช้ เพื่อรอจ่ายเงินค่าตัวทาสทั้งสิบหกคน ไม่นานทาสผู้อ่อนระโหยโรยแรง ก็เดินตามกันมาอย่างทุลักทุเล โดยเฉพาะเด็กหนุ่มสองคนที่บาดเจ็บ จึงมีทาสที่ยังพอมีแรงเข้าไปช่วยพยุงเอาไว้ ไม่ให้ล้มลงกลางทางเสียก่อน
“แหะ ๆ ๆ คุณหนูน้อย ทาสทั้งหมดของท่านอยู่ที่นี่แล้วขอรับ”
“เชิญท่านอาแจ้งราคามาเถิด ข้ายังมีงานอีกมากที่ต้องทำ จะรั้งอยู่ที่นี่นานไม่ได้” ใครมันจะอยากอยู่ในสถานที่อันน่าหดหู่แห่งนี้นาน ๆ
“ราคาของทาสที่คุณหนูน้อยได้ซื้อวันนี้ รวมทั้งหมดสามร้อยหกสิบสองตำลึงทอง และนี่เป็นหนังสือประจำตัวของทาสแต่ละคนขอรับ”
ปึก!
“นี่เป็นเงินสามร้อยหกสิบสองตำลึงทอง ไม่ขาดไม่เกินเมื่อจ่ายเงินแล้วข้าต้องขอตัวกลับก่อน” จ้าวจางหมิ่นวางเงินลงบนโต๊ะ และมองมันด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
“ขอบคุณคุณหนูน้อย ไว้มาอุดหนุนอีกนะค่อย ๆ เดินขอรับ”
จ้าวจางหมิ่นรีบเก็บหนังสือสัญญาทั้งหมด และเดินนำทุกคนออกมาด้านนอกทันที และนางไม่ลืมให้คนที่เป็นพ่อบ้าน กับบุรุษที่ยังมีแรงอีกสองสามคน นำเงินไปซื้อเสื้อผ้าใหม่สำหรับพวกเขาคนละสองชุด ส่วนคนที่เหลือตามนางกลับไปรอที่จวน
แม้จะรู้สึกได้ถึงสายตาของคนบางคน ที่มีข้อสงสัยในตัวนางมองตามอยู่ตลอดเวลา แต่จ้าวจางหมิ่นไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก นางรอให้พวกเขากลับไปถึงจวนเสียก่อน ค่อยพูดคุยทำความเข้าใจในสิ่งที่นางต้องการ
ภายหลังพาเหล่าทาสที่ซื้อมาถึงจวน จ้าวจางหมิ่นให้สาวใช้ทั้งสองคน ช่วยกันหุงหาอาหารสำหรับสมาชิกใหม่ ซึ่งยามนี้พวกเขายังคงอ่อนแรง แม้จะพยายามทำให้นางเห็นว่าเข้มแข็งก็ตาม นางรอจนกระทั่งพ่อบ้านกับทาสอีกสามคนกลับมา และแจกจ่ายเสื้อผ้าให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว จึงได้พูดคุยในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้“เอาล่ะ ตอนนี้พวกท่านทุกคนก็มาอยู่ในจวนของข้าแล้ว ตัวข้ามีนามว่าจ้าวจางหมิ่น สาวใช้ทั้งสองมีชื่อว่าหนิงอวี่และฮุยอินอย่างที่พวกท่านเห็นว่า จวนของข้ามีขนาดกลางลำพังเด็กและสตรีสองคนไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง นอกจากนี้ข้ายังต้องทำการค้า ถึงได้ตัดสินใจไปซื้อตัวพวกท่านมา” จ้าวจางหมิ่นหยุดพูดเมื่อเห็นว่ามีคนอยากถามบางอย่าง“เอ่อ ทำไมคุณหนูจ้าวถึงเลือกเฉพาะพวกข้า ที่มีวรยุทธ์ทั้งหมดเล่าขอรับ แม้แต่คนที่จะทำหน้าที่พ่อบ้านยังมีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา”“ที่ข้าเลือกพวกท่านทุกคน เพราะมองเห็นถึงความซื่อสัตย์ สตรีคอยดูแลรับผิดชอบภายในเรือน พ่อบ้านความหมายย่อมบ่งบอกอยู่แล้ว ส่วนพวกท่านหลังจากรักษาตัวจนหาย มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและทำสินค้าไว้สำหรับนำไปขาย ในอนาคตอันใกล้ข้าจะมีร้านเป็นของตนเอง จากนั้นจะมีการค้าชนิดใหม่เพิ่มขึ้นอีกมากม
ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน ในคืนแรกของการได้รับอิสระห้าวเหลียงได้หารือกับคนอื่น ๆ เกี่ยวกับหน้าที่ต่าง ๆ ที่ต้องทำในแต่ละวัน พวกเขาได้ข้อสรุปที่ตรงกันก็คือ การเรียนรู้ทำสินค้าของจ้าวจางหมิ่นจะทำร่วมกัน เผื่อวันใดวันหนึ่งคนในกลุ่มไม่อยู่ พวกเขาสามารถทำแทนกันได้โดยเฉพาะเหว่ยหงกับเสียอี้สองคนนี้ เคยทำงานในสำนักคุ้มภัยมาก่อน ในอนาคตหากการค้าของเจ้านายขยายไปต่างเมือง ทั้งสองจะเป็นกำลังหลักสำหรับการส่งสินค้าทันที ดังนั้นห้าวเหลียงและทุกคนจึงลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันเมื่อได้กินอิ่มท้องและพักผ่อนเต็มที่ ทำให้สมาชิกใหม่ของจวนตระกูลจ้าว พร้อมใจกันตื่นตั้งแต่ยามเหม่า และเป็นเวลาที่จ้าวจางหมิ่นเตรียมออกไปขายของเช่นทุกวัน ห้าวเหลียงเห็นอุปกรณ์บนรถเข็น ก็รู้สึกเห็นใจสาวใช้ของจ้าวจางหมิ่น ที่เป็นสตรีรูปร่างบอบบาง แต่กลับต้องมายกข้าวของที่มีน้ำหนักมากเช่นนี้ จึงให้เป่าเฟิงกับจงเหลียนช่วยเข็นไปที่ตลาดแทน คนที่เหลือก็คิดไม่ต่างจางห้าวเหลียงนัก“พ่อบ้าน อย่าหาว่าข้าสอดรู้สอดเห็นไม่เข้าเรื่องเลย คนในครอบครัวของคุณหนูหายไปที่ใดหมด ถึงปล่อยให้เด็กที่ควรได้วิ่งเล่น ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานหาเงินเช่นน
ลูกจ้างของจ้าวจางหมิ่นต่างตื่นตาตื่นใจ สำหรับเครื่องมือที่นางได้สอนพวกเขา แต่ละคนคิดว่านี่คือสิ่งที่อัศจรรย์มาก และขั้นตอนการทำมิได้ยุ่งยากเลยสักนิด พอทำจนถึงขั้นตอนสุดท้ายนำลูกชิ้นสะเด็ดน้ำ ก็มานั่งช่วยกันเสียบลูกชิ้นไม้ละห้าลูก ซึ่งเป็นลูกขนาดพอดีไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป แค่ให้สมกับราคาที่ตั้งเอาไว้เท่านั้นก็พอเนื่องจากครั้งทดลองทำและได้ลูกชิ้นถึงเจ็ดร้อยไม้ จ้าวจางหมิ่นจึงให้นำเตามาย่างลูกชิ้นหนึ่งร้อยไม้ เพื่อให้ทุกคนได้ชิมฝีมือของตนเอง ดังนั้นในยามอู่อาหารมื้อเที่ยงจึงเป็นลูกชิ้นปิ้ง และไม่ลืมให้เป้ยอิงแบ่งใส่จาน นำไปให้กับคนสนิทของเสิ่นหนิงเทียนที่เรือนเล็กด้วยนับตั้งแต่ได้เรียนวิธีการทำลูกชิ้น จ้าวจางหมิ่นได้มอบเงินให้ห้าวเหลียงจำนวนหนึ่ง สำหรับให้แม่ครัวหงชิงใช้ซื้อวัตถุดิบทำอาหาร และซื้อเนื้อหมูสำหรับทำลูกชิ้นไว้รอจ้าวจางหมิ่นเสมอ แต่เรื่องที่พวกห้าวเหลียงได้พูดคุยไว้ ก็เป็นหยางไห่ที่ออกไปสืบหาข้อมูล เกี่ยวกับครอบครัวของเจ้านายและเขาก็เลือกมาถูกที่เสียด้วยหน้าจวนเจ้าเมืองที่ปิดประตูเอาไว้ ยังคงมีทหารผลัดเปลี่ยนมาคอยดูแล เพื่อป้องกันมิให้มีใครฉวยโอกาส เข้าไปอยู่อาศัยจนทำให้เร
เนื่องจากวัตถุดิบมีหลายอย่าง จ้าวจางหมิ่นจึงให้ฮุยอินไปตามพ่อบ้าน และคนอื่นมาช่วยเพื่อนำไปเก็บที่ห้องเสบียง โดยแบ่งส่วนหนึ่งไว้สำหรับทำเป็นมื้อเย็น แม้จะรู้สึกแปลกใจว่าสิ่งของเหล่านี้ มาอยู่ในห้องของเจ้านายพวกตนได้อย่างไร แต่นั่นเป็นคำถามที่ต้องเก็บไว้ในใจเท่านั้นเมื่อเลือกที่จะซื่อสัตย์ภักดีกับจ้าวจางหมิ่นแล้ว ถึงจะอยากรู้ถ้าเจ้านายไม่บอกด้วยตนเอง พวกเขาไม่สมควรก้าวก่าย พ่อบ้านห้าวและเพ่ยตงที่มาช่วยยกของ จึงทำเพียงหน้าที่ของตนเท่านั้นจ้าวจางหมิ่นเดินตามทุกคนไปถึงห้องครัว เพื่ออธิบายถึงวัตถุดิบทั้งหมดว่าใช้สำหรับทำอะไร รวมถึงบอกว่าจะสอนแม่ครัวหงชิงหรือคนอื่น ๆ ที่สนใจอยากทำอาหารชนิดนี้เป็น เผื่อวันใดอยากกินจะได้ลงมือทำด้วยตนเองได้ทันที ไม่ต้องร้องขอให้แม่ครัวหงชิงทำให้“คุณหนูเจ้าคะ ของพวกนี้จะใช้ทำอาหารชนิดใดหรือเจ้าคะ บ่าวไม่เคยเห็นผักที่เป็นหัวหรือเจ้าลูกสีแดงนี่มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” แม่ครัวหงชิงมองผักที่นางไม่รู้จัก เพราะตั้งแต่เล็กจนโตนางรู้จักอยู่ไม่กี่อย่าง“อ้อ วัตถุดิบที่ทุกคนเห็นตรงหน้าทั้งหมด คือส่วนประกอบของอาหารชนิดใหม่ ที่ข้าจะทำให้ลองชิมก่อนจะทำขายเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นตอบ
และแล้วก็ถึงวันหยุดที่จ้าวจางหมิ่นได้พูดไว้ ซึ่งวันนี้นางจะไปยังหมู่บ้านหลิ่วซู่ของหนิงอวี่ ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองเหอเฟยมากนัก นั่งรถม้าไปเพียงสองเค่อก็ถึงหมู่บ้านแห่งนี้แล้วครั้งนี้จ้าวจางหมิ่นให้เหล่ยหง เสียอี้และซีหยุนติดตามไปดูแล ด้านหนิงอวี่ดีใจที่จะได้กลับไปเยี่ยมครอบครัว แม้ไม่รู้ว่าพวกเขาจะยินดียามที่เห็นตนเองหรือไม่ แต่หนิงอวี่ยังมีใจซื้อข้าวสารอาหารแห้ง รวมถึงผ้าอีกหนึ่งพับไปเป็นของฝากส่วนจ้าวจางหมิ่นไม่ได้แต่งกายหรูหราอันใด นางสวมใส่ชุดสำหรับเด็กทั่วไปเพียงแค่เนื้อผ้า อาจจะดูดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้น เพราะนางไม่คิดว่าจะต้องแต่งกายไปอวดผู้ใดก่อนจะออกเดินทางจ้าวจางหมิ่นไม่ลืมกำชับพ่อบ้านห้าว เรื่องของคนที่พักอยู่ในเรือนเล็ก “ลุงพ่อบ้านข้าฝากดูแลคุณชายเสิ่นด้วยนะเจ้าคะ หากเขาต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมก็จัดหาให้ ไม่เกินยามเซินพวกข้าก็กลับมาแล้วล่ะ”“ขอรับ บ่าวจะดูแลคุณชายเสิ่นเป็นอย่างดีขอรับ เหล่ยหงพวกเจ้าสามคนดูแลคุณหนูให้ดีเล่า อย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีกับคุณหนูเป็นอันขาด”“พ่อบ้านวางใจเถิด หากใครกล้าคิดทำร้ายคุณหนูล่ะก็ รับรองพวกมันไม่มีโอกาสได้ร้องขอความเมตตาแน่”“น้าเหล่ยหงไปกันเ
ระหว่างนั่งรถม้ากลับเข้าเมือง จ้าวจางหมิ่นยังโมโหไม่หาย เมื่อเห็นใบหน้าของหนิงอวี่เริ่มเห็นรอยนิ้วมือชัดเจนขึ้น “ฮึ่ย! ข้าไม่น่าให้น้าเหล่ยหงสั่งสอนแค่นั้นเลยจริง ๆ พี่หนิงอวี่จากนี้ไปท่านสนใจแค่ตัวเองก็พอ ตัดครอบครัวเช่นนั้นออกไปจากชีวิตเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรเสียก็มีข้ากับทุกคนเป็นครอบครัว ภายหน้าท่านต้องแต่งงานมีคู่ชีวิตที่ดีได้แน่”“บ่าวจะมีครอบครัวได้อย่างไรเจ้าคะ คุณหนูยังไม่ถึงวัยปักปิ่นเลยด้วยซ้ำ รอคุณหนูปักปิ่นเมื่อใดบ่าวค่อยแต่งงานเจ้าค่ะ หากคนรักของบ่าวรับข้อนี้ไม่ได้ ก็แค่ไม่แต่งและอยู่ดูแลคุณหนูจนแก่ รอเลี้ยงคุณชายน้อยคุณหนูน้อยก็ไม่เป็นอันใดนะเจ้าคะ” หนิงอวี่คิดเอาไว้เช่นนั้นจริง ๆ“บ่าวก็คิดแบบเดียวกับหนิงอวี่เจ้าค่ะ แม้จะแต่งงานแล้วเราสองคนก็จะติดตามคุณหนูเช่นเดิม ไม่มีทางแยกไปสุขสบายไม่สนใจคุณหนูได้อย่างไรเจ้าคะ” ฮุยอินเคยพูดคุยเรื่องนี้กับหนิงอวี่อยู่บ้าง“อืม ก็ดีเหมือนกันนะไว้ข้าสร้างกิจการให้มั่นคง ค้าขายมีกำไรร่ำรวยเป็นเศรษฐีนีมีเงินเหลือกินเหลือใช้ จะมอบเป็นสินเดิมเจ้าสาวให้พวกพี่สองคนก็แล้วกันนะเจ้าคะ อิ อิ” จ้าวจางหมิ่นพิจารณาสิ่งที่สาวใช้พูดมา ก็เห็นจะจริงนางยังเ
เมื่อกลับมาถึงจวนจ้าวจางหมิ่นขอแยกกลับเรือนตนเอง โดยไม่ลืมให้พ่อบ้านห้าวบอกทุกคน ไปรวมตัวกันที่ห้องครัวรอนาง พ่อบ้านห้าวรับคำยังไม่ทันหันหลังกลับ จงเหลียนที่ยืนอยู่ด้วยกันกลับหายตัวไปก่อนแล้ว ด้วยความตื่นเต้นที่จ้าวจางหมิ่นจะสอนทำอาหารจ้าวจางหมิ่นนั่งคิดมาในรถม้าระหว่างกลับจวน ว่านางจะทำสิ่งใดเพิ่มอีกพอคิดไปคิดมา ก็คิดถึงอาหารที่ชอบขึ้นมาได้ และมันยังเป็นวิธีการถนอมอาหารอย่างหนึ่งเช่นกัน นั่นก็คือแหนมซี่โครงหมูและสามชั้นต้มจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด แค่จ้าวจางหมิ่นคิดก็เริ่มน้ำลายสอเสียเองพอเข้ามาในห้องไม่พูดพร่ำทำเพลง สาวใช้ยังไม่ทันได้เอ่ยถามเรื่องร้านค้า จ้าวจางหมิ่นกลับเรียกหาระบบทันที “ระบบข้าต้องการซื้อสินค้ากับเจ้า”[ติ๊ง ระบบออนไลน์ขั้นเทพยินดีให้บริการ ไม่ทราบว่าท่านต้องการซื้อสินค้าชนิดใด จากโลกไหนบ้างกรุณาแจ้งต่อระบบได้เลย]“ข้าต้องการซี่โครงหมูหนึ่งร้อยชั่ง สามชั้นมันน้อยหนึ่งร้อยชั่ง ข้าวเหนียวหนึ่งร้อยชั่ง กระเทียม น้ำปลา มะนาว พริกขี้หนู ผักชี ผักกาดขาว ผักสลัด ขิงดอง อย่างละห้าสิบจิน และใบเซียงเจียวพร้อมเชือกป่าน จำนวนหนึ่งร้อยพับนะระบบ”[ตกลง รายการสินค้าที่ท่านต้องการ ระบบจ
กลางดึกของคืนวันเดียวกันนั้น จ้าวจางหมิ่นได้เลือกซื้อข้าวสารอาหารแห้ง ยาชนิดต่าง ๆ สำหรับสามคน ที่สำคัญนางไม่ลืมซื้อรถม้าเพิ่ม ซึ่งมันเป็นรถม้าที่คันใหญ่กว่าเดิม โดยใช้ม้าตัวใหญ่แข็งแรงถึงสามตัว เนื่องจากรถม้าคันนี้เสิ่นหนิงเทียนกับคนสนิท สามารถนอนพักระหว่างเดินทางได้สบาย จ้าวจางหมิ่นยังไม่ลืมซื้อกระโจมที่กางง่าย มอบให้เหล่ยหงเพิ่มเพราะไม่อยากให้ใครต้องนอนตากยุงนั่นเองต้นยามเหม่าคนที่รับหน้าที่คุ้มกันเสิ่นหนิงเทียน ก็มาพบจ้าวจางหมิ่นที่เรือนเพื่อรับสิ่งของที่จำเป็น ก็รู้สึกแปลกตามากแล้ว แต่พอได้เห็นรถม้าคันใหม่ยิ่งทำให้ตาโตเป็นไข่ห่าน พวกเขาต่างหยิกแขนตบหน้าตนเอง เพราะคิดว่ากำลังอยู่ในความฝันเสียอี้ลูบแขนตนเองไปมาและถามอย่างไม่เชื่อ กับสิ่งที่เห็นตรงหน้ากับเหล่ยหง “พะ พะ พี่เหล่ยหงนี่มันใช่รถม้าจริง ๆ รึ ข้าไม่เคยเห็นรถม้าเช่นนี้มาก่อน”“คุณหนูเป็นคนซื้อมาก็ต้องใช่รถม้าแล้วล่ะ อึก แต่ข้าไม่อยากนึกถึงราคาของมันเลยนะเสียอี้”“ใช่เจ้าคนเดียวที่ไหนเสียอี้ พวกข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน แต่ข้าคิดว่ามันงดงามกว่ารถม้าของเชื้อพระวงศ์เสียอีกนะ พวกเจ้าคิดเช่นเดียวกับข้าหรือไม่” หยางไห่ที่ตะล
หลังจากวันที่ทำสัญญาการค้า นายท่านหลี่จัดการเรื่องสินค้าแล้วเสร็จ จึงได้พาหลี่ลู่เหอไปพบจ้าวจางหมิ่นที่จวน ทั้งสองคนนอกจากได้ทานอาหารและของว่างที่อร่อย ยังได้เห็นวิธีทำลูกชิ้นก่อนคนของตนจะมาร่ำเรียนสิ่งนี้ เมื่อได้เห็นการทำงานของเครื่องมือสองชิ้นนี้ นายท่านหลี่ยิ่งดีใจที่ตนคิดถูก เรื่องมาเจรจาการค้ากับจ้าวจางหมิ่นเมื่อถึงกำหนดต้องกลับเมืองเชาหู สองพ่อลูกยังได้อาหารไว้ทานระหว่างวัน จากจวนตระกูลจ้าวอีกเล็กน้อย ภายหลังนายท่านหลี่กลับไปได้ไม่นาน คนจากตระกูลหลี่ก็ถือจดหมายมาพบจ้าวจางหมิ่น และการเรียนวิธีทำลูกชิ้นจึงเริ่มขึ้น พวกเขาเรียนรู้ได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ พอมั่นใจแล้วว่าทุกอย่างไม่มีปัญหา ทั้งคนทั้งเครื่องมือสองชิ้นนี้ก็เดินทางกลับเมืองเชาหูพวกเหล่ยหงที่ออกเดินทางจากเมืองหลวง ภายหลังพาเสิ่นหนิงเทียนไปส่งถึงจวนเสิ่นอันโหว ก็เดินทางกลับมาถึงเมืองเหอเฟยเมื่อผ่านไปเกือบสามเดือน และนำของตอบแทนจากเสิ่นอันโหว ซึ่งเป็นตำลึงทองรวมถึงหีบใบชาชั้นดีขึ้นชื่อของเสิ่นฮูหยิน จ้าวจางหมิ่นไม่คิดว่าครอบครัวของเสิ่นหนิงเทียน จะมอบของตอบแทนมีราคากลับมาให้นางภารกิจใหญ่ครั้งแรกสำเร็จลุล่วงด้วยดี ทำใ
ระหว่างสองวันที่พวกเหล่ยหงพักอยู่ในโรงเตี๊ยมชุ่ยฮวา มีคนในเมืองหลวงไม่น้อยที่แอบเมียงมองไปที่รถม้า เนื่องจากมันดูงดงามแปลกตาจากรถม้าทั่วไป จนกลายเป็นที่กล่าวถึงอย่างรวดเร็ว ไม่แพ้ข่าวของเสิ่นหนิงเทียนเลยสักนิดเมื่อถึงวันออกเดินทางกลับเมืองเหอเฟย อวี่หรงได้มาเชิญเหล่ยหงกับพวกไปที่จวนเสิ่นอันโหว เพื่อนำของตอบแทนจากเจ้าตระกูล ไปมอบให้กับจ้าวจางหมิ่น เหล่ยหงคิดว่าคงเป็นของตอบแทนเล็กน้อย แต่ผิดคาดมันเป็นหีบขนาดใหญ่ถึงสามหีบ และหีบขนาดเล็กอีกหนึ่งหีบซึ่งผู้ที่ออกมาส่งมอบของตอบแทนในครั้งนี้ ก็คือเสิ่นอันโหวและเสิ่นหนิงเทียน “เจ้าคงเป็นเหล่ยหงที่บุตรชายข้าพูดถึงกระมัง ขอบใจพวกเจ้าทุกคนมากที่ดูแลบุตรชายของข้าเป็นอย่างดี และฝากขอบใจคุณหนูจ้าวผู้ที่ช่วยบุตรชายผู้นี้ของข้า ออกมาจากสถานที่อัปมงคลเช่นนั้น หีบที่พวกเจ้าเห็นอยู่คือน้ำใจจากตระกูลเสิ่น วันหน้าหากมีเรื่องเดือดร้อนอันใด พวกข้ายินดียื่นมือให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่แน่นอน”เหล่ยหงที่ถูกกล่าวถึงทำความเคารพเสิ่นอันโหว “ข้าน้อยเหล่ยหงคารวะเสิ่นอันโหวขอรับ สิ่งของเหล่านี้ข้าจะนำไปมอบให้ถึงมือคุณหนู หวังว่าวันหน้าที่ได้พบกันคุณชายเสิ่นจะแข็
เช้าวันถัดมาจากกลุ่มเดินทางไม่กี่คน ยามนี้เปลี่ยนเป็นขบวนเดินทางที่ใหญ่ขึ้น เนื่องจากมีองครักษ์ของตระกูลเสิ่น มาช่วยคุ้มกันบุตรชายของเจ้านายพวกเขา เพื่อพาไปถึงเมืองหลวงโดยไร้ซึ่งบาดแผลภายหลังกำจัดกลุ่มของจิ้งหยิ่งได้ ขบวนของเสิ่นหนิงเทียนก็มิได้สนใจอันใดอีก ทั้งหมดเร่งเดินทางให้เร็วขึ้นกว่าเดิม เพราะต้องการหลีกเลี่ยงสายตาคนของเสนาบดีเจาเต๋อหมิงนั่นเอง หลังจากการเดินทางเกือบสามเดือน ท่ามกลางภูเขาและแม่น้ำที่ผ่านตา ยามนี้เสิ่นหนิงเทียนจับจ้องไปที่เส้นขอบฟ้า ที่เริ่มปรากฏเป็นภาพของเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ตรงหน้า กำแพงเมืองสูงใหญ่ปกคลุมไปด้วยแสงสีทองจากดวงอาทิตย์ที่ใกล้ตกดิน ตัวกำแพงหนาที่แข็งแกร่งมีผู้คนบางตา ด้วยใกล้ถึงเวลาปิดประตูเมืองเข้ามาเต็มทีเมื่อต้องถูกตรวจค้นก่อนเข้าเมือง เฉิงตงจึงอ้างว่าด้านในรถม้าที่สวยแปลกตานี้ เป็นญาติของฮูหยินเสิ่นอันโหว ซึ่งได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนก่อนถึงงานปีใหม่ พอเห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มเพียงสามคน ทหารยามก็มิได้คิดอันใดมากนัก ทุกคนผ่านเข้าเมืองหลวงได้อย่างสบายใจ จนกระทั่งรถม้าหยุดลงด้านหน้าจวนอันใหญ่โตโออ่า ที่บนป้ายเขียนชื่อเอาไว้อย่างชัดเจน“น้าเหล่ย
ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วกับการเปิดร้านอาหาร ไม่มีวันไหนที่ลูกค้าไม่นั่งทานเต็มร้าน บางคนถึงกับนำเถาใส่อาหารติดตัวมาเพื่อซื้อกลับไปฝากคนในครอบครัวของตน แม้แต่แขกที่เข้าพักในโรงเตี๊ยมของเถ้าแก่เย่ ยังอยากซื้อไปกินระหว่างเดินทางเมื่อทุกอย่างของร้านอาหารลงตัวแล้ว ทุกคนจึงขอให้จ้าวจางหมิ่นอยู่พักผ่อนที่จวน หากต้องการไปที่ร้านสามสี่วันไปหนึ่งครั้งก็พอ เพราะพวกเขาอยากให้จ้าวจางหมิ่น ได้ใช้เวลาเป็นส่วนตัวมากขึ้น และได้ยินว่าเจ้านายกำลังคิดจะส่งสินค้าไปต่างเมืองการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นอิสระ จากตระกูลที่มีความเชื่อผิด ๆ ของจ้าวจางหมิ่นเป็นไปอย่างมีความสุข ทั้งเจ้านายและลูกจ้างทั้งหลาย แต่การเดินทางของเสิ่นหนิงเทียน กลับต้องพบเจอปัญหากลางทาง เมื่อเหลืออีกสี่หัวเมืองก็จะถึงเมืองหลวงอยู่แล้วเสียอย่างนั้นกลางภูเขาเฟิงซานรถม้าคันใหญ่งดงาม ซึ่งกลุ่มเดินทางเล็ก ๆ ของเสิ่นหนิงเทียน มาถึงบริเวณนี้ใกล้จะเข้ากลางยามเซินไปทุกที เหล่ยหงจึงส่งสัญญาณให้สหายหยุดรถม้า “เสียอี้เจ้าไปดูที่โล่งด้านหน้าเสียหน่อย ว่าสามารถใช้เป็นที่พักสำหรับคืนนี้ได้หรือไม่”“ได้ข้ากับหยางไห่จะไปดูเพื่อความปลอดภัย” เสียอี้พูดแล
หลังจากที่ส่งเสิ่นหนิงเทียนออกเดินทาง จ้าวจางหมิ่นและลูกจ้างอีกที่เหลือ จึงไปช่วยกันทำความสะอาดร้านค้า พร้อมกับนำอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่าง นำมาจัดวางให้เข้าที่เข้าทางภายในร้าน ชั้นสองของร้านมีห้องส่วนตัวสองห้อง จ้าวจางหมิ่นนำวัสดุออกมาตกแต่งจนงดงาม โต๊ะเก้าอี้ที่สีซีดก็นำมาทาสีเสียใหม่ส่วนแม่ครัวหงชิงกับสาวใช้ที่เหลือ จ้าวจางหมิ่นให้อยู่ที่จวนและทำแหนมซี่โครงหมูเพิ่ม โดยไม่ลืมให้พวกนางแยกตะกร้าเอาไว้ ว่าตะกร้าไหนทำก่อนหรือหลังเพื่อง่ายต่อการนำไปขายที่ร้าน ทุกคนร่วมแรงร่วมใจทำงานอย่างขยันขันแข็งจ้าวจางหมิ่นไม่ได้จ้างใครมาทำงานเพิ่ม เนื่องจากแค่ลูกจ้างที่มีอยู่ตอนนี้ ก็สามารถช่วยกันทำงานได้ แต่ต่อไปก็ไม่แน่หากกิจการทำเงินได้ดี นางอาจจะหาลูกจ้างมาเพิ่มและให้คนอื่น ๆ ถอนตัวเพื่อไปช่วยจัดการกิจการใหม่ ๆ ในอนาคต และก่อนจะถึงวันเปิดร้านหนึ่งวัน จ้าวจางหมิ่นได้ให้พ่อบ้านห้าวกับหมิงเช่อ ไปซื้อเสื้อผ้ามาให้ทุกคนเพิ่มอีกคนละสองชุด เพราะพวกเขาต้องมีเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนทุกวันพ่อบ้านห้าวเป็นตัวแทนของทุกคนพูดกับจ้าวจางหมิ่น “ขอบคุณคุณหนูที่ใส่ใจพวกเราขอรับ"“อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ นี่ยัง
กลางดึกของคืนวันเดียวกันนั้น จ้าวจางหมิ่นได้เลือกซื้อข้าวสารอาหารแห้ง ยาชนิดต่าง ๆ สำหรับสามคน ที่สำคัญนางไม่ลืมซื้อรถม้าเพิ่ม ซึ่งมันเป็นรถม้าที่คันใหญ่กว่าเดิม โดยใช้ม้าตัวใหญ่แข็งแรงถึงสามตัว เนื่องจากรถม้าคันนี้เสิ่นหนิงเทียนกับคนสนิท สามารถนอนพักระหว่างเดินทางได้สบาย จ้าวจางหมิ่นยังไม่ลืมซื้อกระโจมที่กางง่าย มอบให้เหล่ยหงเพิ่มเพราะไม่อยากให้ใครต้องนอนตากยุงนั่นเองต้นยามเหม่าคนที่รับหน้าที่คุ้มกันเสิ่นหนิงเทียน ก็มาพบจ้าวจางหมิ่นที่เรือนเพื่อรับสิ่งของที่จำเป็น ก็รู้สึกแปลกตามากแล้ว แต่พอได้เห็นรถม้าคันใหม่ยิ่งทำให้ตาโตเป็นไข่ห่าน พวกเขาต่างหยิกแขนตบหน้าตนเอง เพราะคิดว่ากำลังอยู่ในความฝันเสียอี้ลูบแขนตนเองไปมาและถามอย่างไม่เชื่อ กับสิ่งที่เห็นตรงหน้ากับเหล่ยหง “พะ พะ พี่เหล่ยหงนี่มันใช่รถม้าจริง ๆ รึ ข้าไม่เคยเห็นรถม้าเช่นนี้มาก่อน”“คุณหนูเป็นคนซื้อมาก็ต้องใช่รถม้าแล้วล่ะ อึก แต่ข้าไม่อยากนึกถึงราคาของมันเลยนะเสียอี้”“ใช่เจ้าคนเดียวที่ไหนเสียอี้ พวกข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน แต่ข้าคิดว่ามันงดงามกว่ารถม้าของเชื้อพระวงศ์เสียอีกนะ พวกเจ้าคิดเช่นเดียวกับข้าหรือไม่” หยางไห่ที่ตะล
เมื่อกลับมาถึงจวนจ้าวจางหมิ่นขอแยกกลับเรือนตนเอง โดยไม่ลืมให้พ่อบ้านห้าวบอกทุกคน ไปรวมตัวกันที่ห้องครัวรอนาง พ่อบ้านห้าวรับคำยังไม่ทันหันหลังกลับ จงเหลียนที่ยืนอยู่ด้วยกันกลับหายตัวไปก่อนแล้ว ด้วยความตื่นเต้นที่จ้าวจางหมิ่นจะสอนทำอาหารจ้าวจางหมิ่นนั่งคิดมาในรถม้าระหว่างกลับจวน ว่านางจะทำสิ่งใดเพิ่มอีกพอคิดไปคิดมา ก็คิดถึงอาหารที่ชอบขึ้นมาได้ และมันยังเป็นวิธีการถนอมอาหารอย่างหนึ่งเช่นกัน นั่นก็คือแหนมซี่โครงหมูและสามชั้นต้มจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด แค่จ้าวจางหมิ่นคิดก็เริ่มน้ำลายสอเสียเองพอเข้ามาในห้องไม่พูดพร่ำทำเพลง สาวใช้ยังไม่ทันได้เอ่ยถามเรื่องร้านค้า จ้าวจางหมิ่นกลับเรียกหาระบบทันที “ระบบข้าต้องการซื้อสินค้ากับเจ้า”[ติ๊ง ระบบออนไลน์ขั้นเทพยินดีให้บริการ ไม่ทราบว่าท่านต้องการซื้อสินค้าชนิดใด จากโลกไหนบ้างกรุณาแจ้งต่อระบบได้เลย]“ข้าต้องการซี่โครงหมูหนึ่งร้อยชั่ง สามชั้นมันน้อยหนึ่งร้อยชั่ง ข้าวเหนียวหนึ่งร้อยชั่ง กระเทียม น้ำปลา มะนาว พริกขี้หนู ผักชี ผักกาดขาว ผักสลัด ขิงดอง อย่างละห้าสิบจิน และใบเซียงเจียวพร้อมเชือกป่าน จำนวนหนึ่งร้อยพับนะระบบ”[ตกลง รายการสินค้าที่ท่านต้องการ ระบบจ
ระหว่างนั่งรถม้ากลับเข้าเมือง จ้าวจางหมิ่นยังโมโหไม่หาย เมื่อเห็นใบหน้าของหนิงอวี่เริ่มเห็นรอยนิ้วมือชัดเจนขึ้น “ฮึ่ย! ข้าไม่น่าให้น้าเหล่ยหงสั่งสอนแค่นั้นเลยจริง ๆ พี่หนิงอวี่จากนี้ไปท่านสนใจแค่ตัวเองก็พอ ตัดครอบครัวเช่นนั้นออกไปจากชีวิตเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรเสียก็มีข้ากับทุกคนเป็นครอบครัว ภายหน้าท่านต้องแต่งงานมีคู่ชีวิตที่ดีได้แน่”“บ่าวจะมีครอบครัวได้อย่างไรเจ้าคะ คุณหนูยังไม่ถึงวัยปักปิ่นเลยด้วยซ้ำ รอคุณหนูปักปิ่นเมื่อใดบ่าวค่อยแต่งงานเจ้าค่ะ หากคนรักของบ่าวรับข้อนี้ไม่ได้ ก็แค่ไม่แต่งและอยู่ดูแลคุณหนูจนแก่ รอเลี้ยงคุณชายน้อยคุณหนูน้อยก็ไม่เป็นอันใดนะเจ้าคะ” หนิงอวี่คิดเอาไว้เช่นนั้นจริง ๆ“บ่าวก็คิดแบบเดียวกับหนิงอวี่เจ้าค่ะ แม้จะแต่งงานแล้วเราสองคนก็จะติดตามคุณหนูเช่นเดิม ไม่มีทางแยกไปสุขสบายไม่สนใจคุณหนูได้อย่างไรเจ้าคะ” ฮุยอินเคยพูดคุยเรื่องนี้กับหนิงอวี่อยู่บ้าง“อืม ก็ดีเหมือนกันนะไว้ข้าสร้างกิจการให้มั่นคง ค้าขายมีกำไรร่ำรวยเป็นเศรษฐีนีมีเงินเหลือกินเหลือใช้ จะมอบเป็นสินเดิมเจ้าสาวให้พวกพี่สองคนก็แล้วกันนะเจ้าคะ อิ อิ” จ้าวจางหมิ่นพิจารณาสิ่งที่สาวใช้พูดมา ก็เห็นจะจริงนางยังเ
และแล้วก็ถึงวันหยุดที่จ้าวจางหมิ่นได้พูดไว้ ซึ่งวันนี้นางจะไปยังหมู่บ้านหลิ่วซู่ของหนิงอวี่ ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองเหอเฟยมากนัก นั่งรถม้าไปเพียงสองเค่อก็ถึงหมู่บ้านแห่งนี้แล้วครั้งนี้จ้าวจางหมิ่นให้เหล่ยหง เสียอี้และซีหยุนติดตามไปดูแล ด้านหนิงอวี่ดีใจที่จะได้กลับไปเยี่ยมครอบครัว แม้ไม่รู้ว่าพวกเขาจะยินดียามที่เห็นตนเองหรือไม่ แต่หนิงอวี่ยังมีใจซื้อข้าวสารอาหารแห้ง รวมถึงผ้าอีกหนึ่งพับไปเป็นของฝากส่วนจ้าวจางหมิ่นไม่ได้แต่งกายหรูหราอันใด นางสวมใส่ชุดสำหรับเด็กทั่วไปเพียงแค่เนื้อผ้า อาจจะดูดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้น เพราะนางไม่คิดว่าจะต้องแต่งกายไปอวดผู้ใดก่อนจะออกเดินทางจ้าวจางหมิ่นไม่ลืมกำชับพ่อบ้านห้าว เรื่องของคนที่พักอยู่ในเรือนเล็ก “ลุงพ่อบ้านข้าฝากดูแลคุณชายเสิ่นด้วยนะเจ้าคะ หากเขาต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมก็จัดหาให้ ไม่เกินยามเซินพวกข้าก็กลับมาแล้วล่ะ”“ขอรับ บ่าวจะดูแลคุณชายเสิ่นเป็นอย่างดีขอรับ เหล่ยหงพวกเจ้าสามคนดูแลคุณหนูให้ดีเล่า อย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีกับคุณหนูเป็นอันขาด”“พ่อบ้านวางใจเถิด หากใครกล้าคิดทำร้ายคุณหนูล่ะก็ รับรองพวกมันไม่มีโอกาสได้ร้องขอความเมตตาแน่”“น้าเหล่ยหงไปกันเ