ภายหลังพาเหล่าทาสที่ซื้อมาถึงจวน จ้าวจางหมิ่นให้สาวใช้ทั้งสองคน ช่วยกันหุงหาอาหารสำหรับสมาชิกใหม่ ซึ่งยามนี้พวกเขายังคงอ่อนแรง แม้จะพยายามทำให้นางเห็นว่าเข้มแข็งก็ตาม นางรอจนกระทั่งพ่อบ้านกับทาสอีกสามคนกลับมา และแจกจ่ายเสื้อผ้าให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว จึงได้พูดคุยในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกท่านทุกคนก็มาอยู่ในจวนของข้าแล้ว ตัวข้ามีนามว่าจ้าวจางหมิ่น สาวใช้ทั้งสองมีชื่อว่าหนิงอวี่และฮุยอินอย่างที่พวกท่านเห็นว่า จวนของข้ามีขนาดกลางลำพังเด็กและสตรีสองคนไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง นอกจากนี้ข้ายังต้องทำการค้า ถึงได้ตัดสินใจไปซื้อตัวพวกท่านมา” จ้าวจางหมิ่นหยุดพูดเมื่อเห็นว่ามีคนอยากถามบางอย่าง
“เอ่อ ทำไมคุณหนูจ้าวถึงเลือกเฉพาะพวกข้า ที่มีวรยุทธ์ทั้งหมดเล่าขอรับ แม้แต่คนที่จะทำหน้าที่พ่อบ้านยังมีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา”
“ที่ข้าเลือกพวกท่านทุกคน เพราะมองเห็นถึงความซื่อสัตย์ สตรีคอยดูแลรับผิดชอบภายในเรือน พ่อบ้านความหมายย่อมบ่งบอกอยู่แล้ว ส่วนพวกท่านหลังจากรักษาตัวจนหาย มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและทำสินค้าไว้สำหรับนำไปขาย ในอนาคตอันใกล้ข้าจะมีร้านเป็นของตนเอง จากนั้นจะมีการค้าชนิดใหม่เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ความสามารถด้านการต่อสู้ของพวกท่าน จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกิจการของข้า”
สมาชิกใหม่ทั้งหลายเกิดความเงียบไปชั่วขณะ ซึ่งหนิงอวี่ที่เดินออกมาเพื่อบอกเรื่องอาหาร จึงถือโอกาสพูดยืนยันเรื่องความสามารถที่ออกมาจากในศีรษะเล็ก ๆ นี้ของเจ้านายน้อย
“อะแฮ่ม พวกเจ้ามิต้องคิดให้เสียเวลา เรื่องการค้าคุณหนูของข้าเป็นคนคิด และลงมือทำด้วยตนเองอย่างแน่นอน แม้คุณหนูกำลังจะมีอายุย่างเข้าเจ็ดหนาว แต่อย่าได้คิดดูถูกความฉลาดของคุณหนู ขอเพียงพวกเจ้าทำงานด้วยความซื่อสัตย์ภักดี ในอนาคตย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดีเช่นกัน” หนิงอวี่ไม่ยอมให้ใครไม่เคารพจ้าวจางหมิ่นแน่
“พวกข้ามิได้มีเจตนาจะดูถูกคุณหนูแม้แต่น้อย กลับกันท่านคือผู้มีพระคุณ ที่พาพวกข้าออกจากขุมนรกนั่นต่างหากขอรับ”
“ข้าไม่ชอบการกดขี่ข่มเหง หรือมองว่าพวกท่านมีฐานะต่ำต้อย จะเหยียบย่ำจิกหัวใช้อย่างไรก็ได้ สำหรับคนที่จะเข้ามาอยู่ใต้อาณัติของข้า ทุกคนคือลูกจ้างที่จะได้รับค่าแรง สามารถมีคนรักแต่งงานมีบุตรได้ปกติ ขอเพียงไม่กระทบกับงาน และไม่นำความในไปเล่าให้คนนอกฟัง
พวกท่านกล้าสาบานหรือไม่ว่าจะจงรักภักดี และซื่อสัตย์กับตระกูลจ้าวไปจนตาย หากกล้าจงกล่าวมันออกมา และข้าจะฉีกสัญญาทาสนี้ทิ้งต่อหน้าพวกท่านทันที อ้อ ส่วนพวกท่านสามคนไม่ต้องสาบาน เพราะข้าจะคุยเรื่องสำคัญทีหลัง” จ้าวจางหมิ่นรู้ดีอยู่แล้วนางแค่ต้องการให้พวกเขายืนยันด้วยตนเอง
เมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงใจของจ้าวจางหมิ่น ทั้งสิบหกคนจึงได้กล่าวคำสาบานอย่างพร้อมเพรียงกัน และเจ้านายตัวน้อยก็ทำตามที่ลั่นวาจาเอาไว้ นั่นก็คือการฉีกหนังสือสัญญาทาสทิ้ง
แคว่ก! แคว่ก! แคว่ก
“ขอบคุณหนูที่เมตตาขอรับ/เจ้าค่ะ”
“อ้อ ข้าเกือบลืมถามไปเรื่องหนึ่ง พวกท่านมีชื่อเรียกว่าอันใดกันบ้าง ยามต้องการให้ช่วยงานจะได้เรียกหาตัวคนได้ถูกเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริง ๆ
ว่าที่พ่อบ้านตระกูลจ้าว เป็นตัวแทนของทุกคนเอ่ยกับนาง เรื่องการตั้งชื่อใหม่เพื่อเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ “รบกวนคุณหนูช่วยตั้งชื่อให้กับพวกข้าด้วยเถิดขอรับ”
“อืม งั้นเริ่มจากซ้ายมือของข้าก็แล้วกัน ท่านหมิงเช่อ จื่อถง หลิงฉี หยางไห่ เป่าเฟิง จงเหลียน เพ่ยตง ซีหยุน เสียอี้ เหล่ยหง และท่านที่อาวุโสที่สุดห้าวเหลียง รับหน้าที่เป็นพ่อบ้านจวนตระกูลจ้าว ส่วนท่านป้าทำหน้าที่แม่ครัวชื่อว่าหงชิง พี่สาวอีกสี่คนชื่อซูเจีย เป้ยอิง เฟิงอู่และเซินเจี๋ย นี่เป็นชื่อที่ข้าคิดออกพวกท่านพอใจหรือไม่? เจ้าคะ” จ้าวจางหมิ่นตั้งชื่อทุกคนเพียงสองพยาง เนื่องจากนางขี้เกียจจำชื่อยาก ๆ
“พวกเราทุกคนย่อมพอใจกับชื่อที่คุณหนูเป็นคนตั้งให้ขอรับ” ห้าวเหลียงเป็นตัวแทนทุกคนตอบคำถามของเจ้านายคนใหม่
“เช่นนั้นสิ่งแรกที่พวกท่านต้องทำในตอนนี้ คือการทำความสะอาดร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ และทานข้าวที่พี่หนิงอวี่ทำไว้ให้เรียบร้อย เรือนพักของพวกท่านอยู่ด้านหลัง สองสามวันนี้ข้าจะให้พวกท่านพักรักษาตัว จนกว่าจะแข็งแรงเสียก่อน ค่อยมาเรียนรู้การทำสินค้ากับข้าเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นเห็นถึงความดีใจ ที่พวกเขามิได้ขึ้นชื่อว่าทาสอีกต่อไป
เหว่ยหงที่เคยทำงานสำนักคุ้มภัยมาก่อน เอ่ยท้วงเนื่องจากเขาเห็นว่า พวกตนแค่ได้กินอิ่มท้องสักสองสามมื้อ นอนพักให้เต็มอิ่มร่างกายย่อมฟื้นฟูได้เร็ว “ได้อย่างไรขอรับคุณหนู พวกข้ามิได้บาดเจ็บหนักเช่นเด็กหนุ่มสองคนนี้ พักแค่หนึ่งวันก็ลุกขึ้นมาทำงานได้แล้วขอรับ”
เสียอี้ที่มาจากสำนักคุ้มภัยเช่นเหว่ยหง ก็ไม่อยากพักถึงสามวันเช่นกัน “ใช่ขอรับคุณหนู ข้าแค่ได้นอนให้เต็มอิ่มก็มีแรงเช่นเดิมแล้ว คุณหนูอย่าได้เป็นกังวลไปเลยขอรับ พวกข้าอยากช่วยงานคุณหนูเร็ว ๆ มากกว่า”
“ป้าเองก็เช่นกันเจ้าค่ะ เพราะไม่สร้างปัญหายามอยู่ในโรงค้าทาส จึงไม่ถูกลงโทษแค่เพียงอ่อนเพลียเล็กน้อยเท่านั้น หากพักหลายวันคุณหนูกับสาวใช้อีกสองคน มิเหนื่อยแย่ยามออกไปขายของหรือเจ้าคะ” หงชิงก็เอ่ยค้านเช่นกัน นางเห็นเจ้านายตัวน้อยก็ให้รู้สึกเอ็นดูนัก แม้จะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องครอบครัว แต่นั่นเป็นเรื่องของเจ้านาย นางแค่ต้องทำงานอย่างซื่อสัตย์เพื่อตอบแทนบุญคุณก็พอ
“ในเมื่อพวกท่านเห็นพ้องต้องกันเช่นนี้ ข้าย่อมไม่ห้ามส่วนเรื่องงานของเหล่าบุรุษ พวกท่านหารือแบ่งหน้าที่กันดู เอาที่พวกท่านถนัดอย่าได้ฝืนทำเด็ดขาด ฉะนั้นจึงมีพวกท่านสามคน ต้องรักษาบาดแผลให้หายเสียก่อน ข้ารู้ว่าท่านมีคำถามไว้หลังทานอาหารเสร็จ ข้าจะไปพบที่เรือนเล็กเอง” จ้าวจางหมิ่นไม่คิดว่าลูกจ้างทั้งหลาย จะกระตือรือร้นในการทำงานเช่นนี้
ส่วนคุณชายน้อยหน้านิ่งผู้ที่จ้องมองนาง ด้วยมีคำถามที่ปรากฏออกมาทางสายตานั้น จ้าวจางหมิ่นย่อมต้องไปพบเป็นการส่วนตัว เพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อน เพราะนางไม่อยากให้ทุกคนต้องอยู่ด้วยความระแวง
เพราะบางคนเคยเป็นบ่าวไพร่มาก่อน การเดินหาเรือนพักนั้นจึงไม่ยากเท่าใดนัก นอกจากความปิติยินดีที่ได้รับอิสระแล้ว พวกเขายังมีงานทำได้รับค่าตอบแทนทันที แม้เจ้านายจะเป็นเพียงเด็กหญิงวัยย่างเจ็ดหนาว แต่น้ำเสียงยามพูดจากลับดูมีอำนาจ และทำให้คนฟังอย่างพวกตนรู้สึกเกรงใจได้
อาหารรสชาติอร่อยแปลกลิ้น พวกเขานั่งทานร่วมกันที่ลานใกล้ห้องครัว ส่วนอีกสามคนจ้าวจ้างหมิ่นให้ฮุยอิน ยกไปให้ที่เรือนเล็กซึ่งเป็นที่พักชั่วคราวของพวกเขา จนกระทั่งผ่านมื้ออาหารที่กินอิ่มท้อง ในรอบหลายเดือนมานี้แล้ว จึงได้แยกย้ายไปพักผ่อนตามคำสั่ง ส่วนคนที่เป็นหัวข้อภารกิจพิเศษ กลับนั่งคิดทบทวนบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นเงียบ ๆ
‘เสิ่นหนิงเทียน’ บุตรชายเพียงคนเดียวของเสิ่นอันโหว ผู้มีความมุ่งมั่นที่จะเข้ากองทัพ เพื่อต้องการสร้างชื่อเสียงด้วยตนเอง โดยไม่พึ่งบารมีของผู้เป็นบิดาอย่างเสิ่นชิงหลาง ตัวของเสิ่นหนิงเทียนเพิ่งเข้าร่วมกองทัพได้หนึ่งปี ยังมิทันไรกลับถูกใครบางคน วางแผนสกปรกกำจัดตนเอง ขณะที่กำลังทำงานอยู่ในค่ายทหาร และขายเป็นทาสส่งมายัง
เมืองเหอเฟย ที่อยู่ติดชายแดนทิศบูรพาแห่งนี้ความคิดของเสิ่นหนิงเทียนคิดไว้ว่า คนที่จ้องจะล้มตระกูลเสิ่นของตน ซึ่งเป็นตระกูลที่ฮ่องเต้ทรงให้ความไว้วางพระทัย คงจะเป็นใครไปมิได้ นอกจากตระกูลของเจากุ้ยเฟย ส่วนคนลงมือคงหนีไม่พ้นเจาเต๋อผิงเสนาบดีสำนักเลขานุการผู้นั้น
เขาและคนสนิทหายเงียบไปหลายเดือนเช่นนี้ ไม่รู้เลยว่าทางด้านครอบครัวจะเป็นอย่างไรบ้างในยามนี้ คิดได้ดังนั้นเสิ่นหนิงเทียนก็มีแววตาที่เปลี่ยนไป เขาจดจำความแค้นนี้เอาไว้ หากวันใดที่มีอำนาจมากพอ ตระกูลเจาต้องได้รับผลกรรมอย่างสาสม
ชูชางที่เจ็บน้อยกว่าสหาย เห็นคุณชายแห่งจวนตระกูลเสิ่น เอาแต่นั่งนิ่งก็อดสงสัยไม่ได้ “คุณชายขอรับ ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่เช่นนั้นหรือ”
“ไม่มีอันใด ข้าแค่คิดเรื่องคนชุดดำที่ส่งพวกเรามาที่นี่ ว่าจะเป็นคนของผู้ใดได้บ้างเท่านั้น” เสินหนิงเทียนตอบคนสนิท ด้วยเสียงทุ้มของวัยที่กำลังเติบโต และสิ่งที่เขาคิดต้องสืบหาความจริงเมื่อกลับถึงเมืองหลวง
“บ่าวไม่คิดเลยว่า ในค่ายทหารของแม่ทัพใหญ่ไป๋ จะมีคนของเสนาบดีเจาอยู่รอจัดการพวกเรา แค่ก ๆ” เฉียนฟานรู้สึกแค้นใจไม่ต่างจากเจ้านายเช่นกัน
“อืม เพราะพวกเราประมาทและยังขาดประสบการณ์ ต่อไปต้องเรียนรู้ให้มากกว่าเดิม และต้องไม่หยุดพัฒนาตนเอง เจ้ายังบาดเจ็บอยู่มากอย่าเพิ่งพูดอันใดจะดีกว่า” เสิ่นหนิงเทียนที่ได้รับการอบรมสั่งสอน จากผู้เป็นปู่อดีตอาจารย์ของฮ่องเต้ เขาเข้าใจสาเหตุความผิดพลาดได้รวดเร็วอย่างยิ่ง
สิ้นคำพูดของเสิ่นหนิงเทียน ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเพื่อบอกคนทั้งสาม ว่ายามนี้มีผู้มาเยือนพวกตนแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก แอ๊ดดด
จ้าวจางหมิ่นเดินเข้าไปในห้องโถงของเรือน มองเห็นถ้วยชามบนโต๊ะทานอาหาร ไม่มีแม้แต่เศษเม็ดข้าว ก็เข้าใจได้เพราะพวกเขาคงกินไม่อิ่มท้องมานาน
“พี่หนิงอวี่อาหารฝีมือของท่านอร่อยมากนะ คนที่ได้ทานถึงจัดการจนเกลี้ยงเช่นนี้ คารวะคุณชายเสิ่นเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นเอ่ยเย้าแขกของเรือน ก่อนทำความเคารพตามมารยาท
“คารวะคุณชายเสิ่นเจ้าค่ะ” หนิงอวี่ที่ติดตามมาจึงทำความเคารพตามจ้าวจางหมิ่น
“..??..”
เสิ่นหนิงเทียนขมวดคิ้วคมเข้าหากัน และเกิดความระแวงขึ้นมาอย่างฉับพลัน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าแซ่เสิ่น? มีใครส่งประวัติของข้ามาให้เจ้าเช่นนั้นรึ”
“จุ๊ ๆ ๆ อย่าได้คิดว่าข้าเป็นศัตรูของท่านเด็ดขาด และอย่าสนใจว่าข้าจะรู้อันใดเกี่ยวกับท่านหรือไม่ ปัญหาหรือความแค้นส่วนตัวของท่าน จงจดจำมันเอาไว้เสียก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดยามนี้ คือการพักรักษาตัวของท่านและคนสนิททั้งสอง หลังจากหายดีแล้วข้าจะให้น้าเหว่ยหงไปส่งท่านที่เมืองหลวงอย่างปลอดภัย” จ้าวจางหมิ่นมิได้มีท่าทีหวาดกลัว เมื่อเสิ่นหนิงเทียนส่งสายตาดุดันมาให้นาง
“ทำไมถึงได้ช่วยพวกข้าออกมาจากที่นั่น ข้อนี้เจ้าคงตอบข้าได้กระมังคุณหนูจ้าว”
“เรื่องนี้ข้าตอบได้เพียงว่า เป็นภารกิจที่ข้าต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ส่วนหนึ่งเพราะคุณชายเสิ่นมีความมุ่งมั่น รวมถึงความตั้งใจจริงในสิ่งที่ตนต้องการ ในวันหน้ารบกวนคุณชายเสิ่น ช่วยกำจัดขุนนางชั่วที่ไม่เห็นหัวชาวบ้าน ที่ทำงานหาเงินอย่างยากลำบาก แต่พวกเขากลับนั่งกินนอนกินอยู่บนกองเงินกองทอง ที่ฉ้อฉลคดโกงไปเป็นของตนด้วยนะเจ้าคะ” จ้าวจางหมิ่นตอบโดยไม่หลบสายตาคม ทำเอาเจ้าของคำถามถูกตรึงไว้ด้วย ดวงตาดอกท้อที่งดงามน่ามองเข้าอย่างไม่รู้ตัว
“อะฮึ่ม ในเมื่อเป็นความช่วยเหลือด้วยความบริสุทธิ์ใจ ข้าผู้แซ่เสิ่นต้องขอบคุณคุณหนูจ้าวเป็นอย่างมาก วันหน้าหากเจ้าต้องการความช่วยเหลือใด สามารถส่งคนไปที่จวนตระกูลเสิ่นอันโหวได้ทุกเมื่อ” เพราะนางเป็นผู้มีพระคุณ จะให้เขาเย่อหยิ่งถือตัวว่าเป็นชนชั้นสูงได้อย่างไร
“เจ้าค่ะ แต่ระหว่างพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ ท่านมิใช่บุตรชายขุนนางใหญ่ ทำตัวเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป หมั่นฟื้นฟูกำลัง
และฝึกฝนวรยุทธ์ให้ดีก็พอ เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของผู้คนมากมายที่เข้าออกเมืองเหอเฟยแห่งนี้ด้วยนะเจ้าคะ ส่วนในถาดที่พี่หนิงอวี่ถือมา มีทั้งยากินและยาทารักษาแผล พวกท่านใช้ตามคำอธิบาย ที่เขียนติดเอาไว้อย่างเคร่งครัดก็พอ อีกอย่างอย่าได้อยากรู้ในสิ่งที่ข้าไม่อนุญาตหวังว่าพวกท่านจะเข้าใจ” จ้าวจางหมิ่นพูดเน้นน้ำเสียงให้ดูจริงจัง รวมถึงดวงตาที่บ่งบอกว่ามิได้พูดเล่นด้วยเช่นกันจ้าวจางหมิ่นยังคงจดจ้องเสิ่นหนิงเทียนตาไม่กระพริบ จนได้รับคำตอบที่น่าพอใจถึงมีรอยยิ้ม และรอยบุ๋มตรงแก้มด้านซ้ายปรากฏให้เห็น
“คุณหนูจ้าววางใจ ข้ากับคนสนิทรู้ว่าอะไรควรไม่ควร”
“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ เมื่อทำความเข้าใจกันตรงกันแล้ว ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน พวกท่านจะได้พักผ่อนเสียที หากขาดเหลือสิ่งใดให้บอกกับคนของข้าได้อย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ”
“รบกวนคุณหนูจ้าวแล้ว”
จ้าวจางหมิ่นไม่ลืมทำความเคารพ ก่อนจะออกจากเรือนหลังเล็กนี้ไป โดยมีสายตาคู่คมคอยมองตามหลังของนาง จนเจ้าของร่างหายไปยังเรือนใหญ่ เสิ่นหนิงเทียนคิดถึงท่าทางของจ้าวจางหมิ่น ก็แอบยกยิ้มมุมปากเล็กพร้อมส่ายหน้า
คงมีเพียงนางกระมังที่ไม่ยอมหลบสายตา ยามถูกเขาจ้องมองด้วยสายตาดุดันเช่นนั้น แม้แต่ญาติพี่น้องที่เป็นสตรี พวกนางไม่มีใครกล้าอย่างนางสักคน
‘หึ จ้าวจางหมิ่นข้าจดจำชื่อนี้ของเจ้าไว้แล้ว’
ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน ในคืนแรกของการได้รับอิสระห้าวเหลียงได้หารือกับคนอื่น ๆ เกี่ยวกับหน้าที่ต่าง ๆ ที่ต้องทำในแต่ละวัน พวกเขาได้ข้อสรุปที่ตรงกันก็คือ การเรียนรู้ทำสินค้าของจ้าวจางหมิ่นจะทำร่วมกัน เผื่อวันใดวันหนึ่งคนในกลุ่มไม่อยู่ พวกเขาสามารถทำแทนกันได้โดยเฉพาะเหว่ยหงกับเสียอี้สองคนนี้ เคยทำงานในสำนักคุ้มภัยมาก่อน ในอนาคตหากการค้าของเจ้านายขยายไปต่างเมือง ทั้งสองจะเป็นกำลังหลักสำหรับการส่งสินค้าทันที ดังนั้นห้าวเหลียงและทุกคนจึงลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันเมื่อได้กินอิ่มท้องและพักผ่อนเต็มที่ ทำให้สมาชิกใหม่ของจวนตระกูลจ้าว พร้อมใจกันตื่นตั้งแต่ยามเหม่า และเป็นเวลาที่จ้าวจางหมิ่นเตรียมออกไปขายของเช่นทุกวัน ห้าวเหลียงเห็นอุปกรณ์บนรถเข็น ก็รู้สึกเห็นใจสาวใช้ของจ้าวจางหมิ่น ที่เป็นสตรีรูปร่างบอบบาง แต่กลับต้องมายกข้าวของที่มีน้ำหนักมากเช่นนี้ จึงให้เป่าเฟิงกับจงเหลียนช่วยเข็นไปที่ตลาดแทน คนที่เหลือก็คิดไม่ต่างจางห้าวเหลียงนัก“พ่อบ้าน อย่าหาว่าข้าสอดรู้สอดเห็นไม่เข้าเรื่องเลย คนในครอบครัวของคุณหนูหายไปที่ใดหมด ถึงปล่อยให้เด็กที่ควรได้วิ่งเล่น ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานหาเงินเช่นน
ลูกจ้างของจ้าวจางหมิ่นต่างตื่นตาตื่นใจ สำหรับเครื่องมือที่นางได้สอนพวกเขา แต่ละคนคิดว่านี่คือสิ่งที่อัศจรรย์มาก และขั้นตอนการทำมิได้ยุ่งยากเลยสักนิด พอทำจนถึงขั้นตอนสุดท้ายนำลูกชิ้นสะเด็ดน้ำ ก็มานั่งช่วยกันเสียบลูกชิ้นไม้ละห้าลูก ซึ่งเป็นลูกขนาดพอดีไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป แค่ให้สมกับราคาที่ตั้งเอาไว้เท่านั้นก็พอเนื่องจากครั้งทดลองทำและได้ลูกชิ้นถึงเจ็ดร้อยไม้ จ้าวจางหมิ่นจึงให้นำเตามาย่างลูกชิ้นหนึ่งร้อยไม้ เพื่อให้ทุกคนได้ชิมฝีมือของตนเอง ดังนั้นในยามอู่อาหารมื้อเที่ยงจึงเป็นลูกชิ้นปิ้ง และไม่ลืมให้เป้ยอิงแบ่งใส่จาน นำไปให้กับคนสนิทของเสิ่นหนิงเทียนที่เรือนเล็กด้วยนับตั้งแต่ได้เรียนวิธีการทำลูกชิ้น จ้าวจางหมิ่นได้มอบเงินให้ห้าวเหลียงจำนวนหนึ่ง สำหรับให้แม่ครัวหงชิงใช้ซื้อวัตถุดิบทำอาหาร และซื้อเนื้อหมูสำหรับทำลูกชิ้นไว้รอจ้าวจางหมิ่นเสมอ แต่เรื่องที่พวกห้าวเหลียงได้พูดคุยไว้ ก็เป็นหยางไห่ที่ออกไปสืบหาข้อมูล เกี่ยวกับครอบครัวของเจ้านายและเขาก็เลือกมาถูกที่เสียด้วยหน้าจวนเจ้าเมืองที่ปิดประตูเอาไว้ ยังคงมีทหารผลัดเปลี่ยนมาคอยดูแล เพื่อป้องกันมิให้มีใครฉวยโอกาส เข้าไปอยู่อาศัยจนทำให้เร
เนื่องจากวัตถุดิบมีหลายอย่าง จ้าวจางหมิ่นจึงให้ฮุยอินไปตามพ่อบ้าน และคนอื่นมาช่วยเพื่อนำไปเก็บที่ห้องเสบียง โดยแบ่งส่วนหนึ่งไว้สำหรับทำเป็นมื้อเย็น แม้จะรู้สึกแปลกใจว่าสิ่งของเหล่านี้ มาอยู่ในห้องของเจ้านายพวกตนได้อย่างไร แต่นั่นเป็นคำถามที่ต้องเก็บไว้ในใจเท่านั้นเมื่อเลือกที่จะซื่อสัตย์ภักดีกับจ้าวจางหมิ่นแล้ว ถึงจะอยากรู้ถ้าเจ้านายไม่บอกด้วยตนเอง พวกเขาไม่สมควรก้าวก่าย พ่อบ้านห้าวและเพ่ยตงที่มาช่วยยกของ จึงทำเพียงหน้าที่ของตนเท่านั้นจ้าวจางหมิ่นเดินตามทุกคนไปถึงห้องครัว เพื่ออธิบายถึงวัตถุดิบทั้งหมดว่าใช้สำหรับทำอะไร รวมถึงบอกว่าจะสอนแม่ครัวหงชิงหรือคนอื่น ๆ ที่สนใจอยากทำอาหารชนิดนี้เป็น เผื่อวันใดอยากกินจะได้ลงมือทำด้วยตนเองได้ทันที ไม่ต้องร้องขอให้แม่ครัวหงชิงทำให้“คุณหนูเจ้าคะ ของพวกนี้จะใช้ทำอาหารชนิดใดหรือเจ้าคะ บ่าวไม่เคยเห็นผักที่เป็นหัวหรือเจ้าลูกสีแดงนี่มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” แม่ครัวหงชิงมองผักที่นางไม่รู้จัก เพราะตั้งแต่เล็กจนโตนางรู้จักอยู่ไม่กี่อย่าง“อ้อ วัตถุดิบที่ทุกคนเห็นตรงหน้าทั้งหมด คือส่วนประกอบของอาหารชนิดใหม่ ที่ข้าจะทำให้ลองชิมก่อนจะทำขายเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นตอบ
และแล้วก็ถึงวันหยุดที่จ้าวจางหมิ่นได้พูดไว้ ซึ่งวันนี้นางจะไปยังหมู่บ้านหลิ่วซู่ของหนิงอวี่ ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองเหอเฟยมากนัก นั่งรถม้าไปเพียงสองเค่อก็ถึงหมู่บ้านแห่งนี้แล้วครั้งนี้จ้าวจางหมิ่นให้เหล่ยหง เสียอี้และซีหยุนติดตามไปดูแล ด้านหนิงอวี่ดีใจที่จะได้กลับไปเยี่ยมครอบครัว แม้ไม่รู้ว่าพวกเขาจะยินดียามที่เห็นตนเองหรือไม่ แต่หนิงอวี่ยังมีใจซื้อข้าวสารอาหารแห้ง รวมถึงผ้าอีกหนึ่งพับไปเป็นของฝากส่วนจ้าวจางหมิ่นไม่ได้แต่งกายหรูหราอันใด นางสวมใส่ชุดสำหรับเด็กทั่วไปเพียงแค่เนื้อผ้า อาจจะดูดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้น เพราะนางไม่คิดว่าจะต้องแต่งกายไปอวดผู้ใดก่อนจะออกเดินทางจ้าวจางหมิ่นไม่ลืมกำชับพ่อบ้านห้าว เรื่องของคนที่พักอยู่ในเรือนเล็ก “ลุงพ่อบ้านข้าฝากดูแลคุณชายเสิ่นด้วยนะเจ้าคะ หากเขาต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมก็จัดหาให้ ไม่เกินยามเซินพวกข้าก็กลับมาแล้วล่ะ”“ขอรับ บ่าวจะดูแลคุณชายเสิ่นเป็นอย่างดีขอรับ เหล่ยหงพวกเจ้าสามคนดูแลคุณหนูให้ดีเล่า อย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีกับคุณหนูเป็นอันขาด”“พ่อบ้านวางใจเถิด หากใครกล้าคิดทำร้ายคุณหนูล่ะก็ รับรองพวกมันไม่มีโอกาสได้ร้องขอความเมตตาแน่”“น้าเหล่ยหงไปกันเ
ระหว่างนั่งรถม้ากลับเข้าเมือง จ้าวจางหมิ่นยังโมโหไม่หาย เมื่อเห็นใบหน้าของหนิงอวี่เริ่มเห็นรอยนิ้วมือชัดเจนขึ้น “ฮึ่ย! ข้าไม่น่าให้น้าเหล่ยหงสั่งสอนแค่นั้นเลยจริง ๆ พี่หนิงอวี่จากนี้ไปท่านสนใจแค่ตัวเองก็พอ ตัดครอบครัวเช่นนั้นออกไปจากชีวิตเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรเสียก็มีข้ากับทุกคนเป็นครอบครัว ภายหน้าท่านต้องแต่งงานมีคู่ชีวิตที่ดีได้แน่”“บ่าวจะมีครอบครัวได้อย่างไรเจ้าคะ คุณหนูยังไม่ถึงวัยปักปิ่นเลยด้วยซ้ำ รอคุณหนูปักปิ่นเมื่อใดบ่าวค่อยแต่งงานเจ้าค่ะ หากคนรักของบ่าวรับข้อนี้ไม่ได้ ก็แค่ไม่แต่งและอยู่ดูแลคุณหนูจนแก่ รอเลี้ยงคุณชายน้อยคุณหนูน้อยก็ไม่เป็นอันใดนะเจ้าคะ” หนิงอวี่คิดเอาไว้เช่นนั้นจริง ๆ“บ่าวก็คิดแบบเดียวกับหนิงอวี่เจ้าค่ะ แม้จะแต่งงานแล้วเราสองคนก็จะติดตามคุณหนูเช่นเดิม ไม่มีทางแยกไปสุขสบายไม่สนใจคุณหนูได้อย่างไรเจ้าคะ” ฮุยอินเคยพูดคุยเรื่องนี้กับหนิงอวี่อยู่บ้าง“อืม ก็ดีเหมือนกันนะไว้ข้าสร้างกิจการให้มั่นคง ค้าขายมีกำไรร่ำรวยเป็นเศรษฐีนีมีเงินเหลือกินเหลือใช้ จะมอบเป็นสินเดิมเจ้าสาวให้พวกพี่สองคนก็แล้วกันนะเจ้าคะ อิ อิ” จ้าวจางหมิ่นพิจารณาสิ่งที่สาวใช้พูดมา ก็เห็นจะจริงนางยังเ
เมื่อกลับมาถึงจวนจ้าวจางหมิ่นขอแยกกลับเรือนตนเอง โดยไม่ลืมให้พ่อบ้านห้าวบอกทุกคน ไปรวมตัวกันที่ห้องครัวรอนาง พ่อบ้านห้าวรับคำยังไม่ทันหันหลังกลับ จงเหลียนที่ยืนอยู่ด้วยกันกลับหายตัวไปก่อนแล้ว ด้วยความตื่นเต้นที่จ้าวจางหมิ่นจะสอนทำอาหารจ้าวจางหมิ่นนั่งคิดมาในรถม้าระหว่างกลับจวน ว่านางจะทำสิ่งใดเพิ่มอีกพอคิดไปคิดมา ก็คิดถึงอาหารที่ชอบขึ้นมาได้ และมันยังเป็นวิธีการถนอมอาหารอย่างหนึ่งเช่นกัน นั่นก็คือแหนมซี่โครงหมูและสามชั้นต้มจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด แค่จ้าวจางหมิ่นคิดก็เริ่มน้ำลายสอเสียเองพอเข้ามาในห้องไม่พูดพร่ำทำเพลง สาวใช้ยังไม่ทันได้เอ่ยถามเรื่องร้านค้า จ้าวจางหมิ่นกลับเรียกหาระบบทันที “ระบบข้าต้องการซื้อสินค้ากับเจ้า”[ติ๊ง ระบบออนไลน์ขั้นเทพยินดีให้บริการ ไม่ทราบว่าท่านต้องการซื้อสินค้าชนิดใด จากโลกไหนบ้างกรุณาแจ้งต่อระบบได้เลย]“ข้าต้องการซี่โครงหมูหนึ่งร้อยชั่ง สามชั้นมันน้อยหนึ่งร้อยชั่ง ข้าวเหนียวหนึ่งร้อยชั่ง กระเทียม น้ำปลา มะนาว พริกขี้หนู ผักชี ผักกาดขาว ผักสลัด ขิงดอง อย่างละห้าสิบจิน และใบเซียงเจียวพร้อมเชือกป่าน จำนวนหนึ่งร้อยพับนะระบบ”[ตกลง รายการสินค้าที่ท่านต้องการ ระบบจ
กลางดึกของคืนวันเดียวกันนั้น จ้าวจางหมิ่นได้เลือกซื้อข้าวสารอาหารแห้ง ยาชนิดต่าง ๆ สำหรับสามคน ที่สำคัญนางไม่ลืมซื้อรถม้าเพิ่ม ซึ่งมันเป็นรถม้าที่คันใหญ่กว่าเดิม โดยใช้ม้าตัวใหญ่แข็งแรงถึงสามตัว เนื่องจากรถม้าคันนี้เสิ่นหนิงเทียนกับคนสนิท สามารถนอนพักระหว่างเดินทางได้สบาย จ้าวจางหมิ่นยังไม่ลืมซื้อกระโจมที่กางง่าย มอบให้เหล่ยหงเพิ่มเพราะไม่อยากให้ใครต้องนอนตากยุงนั่นเองต้นยามเหม่าคนที่รับหน้าที่คุ้มกันเสิ่นหนิงเทียน ก็มาพบจ้าวจางหมิ่นที่เรือนเพื่อรับสิ่งของที่จำเป็น ก็รู้สึกแปลกตามากแล้ว แต่พอได้เห็นรถม้าคันใหม่ยิ่งทำให้ตาโตเป็นไข่ห่าน พวกเขาต่างหยิกแขนตบหน้าตนเอง เพราะคิดว่ากำลังอยู่ในความฝันเสียอี้ลูบแขนตนเองไปมาและถามอย่างไม่เชื่อ กับสิ่งที่เห็นตรงหน้ากับเหล่ยหง “พะ พะ พี่เหล่ยหงนี่มันใช่รถม้าจริง ๆ รึ ข้าไม่เคยเห็นรถม้าเช่นนี้มาก่อน”“คุณหนูเป็นคนซื้อมาก็ต้องใช่รถม้าแล้วล่ะ อึก แต่ข้าไม่อยากนึกถึงราคาของมันเลยนะเสียอี้”“ใช่เจ้าคนเดียวที่ไหนเสียอี้ พวกข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน แต่ข้าคิดว่ามันงดงามกว่ารถม้าของเชื้อพระวงศ์เสียอีกนะ พวกเจ้าคิดเช่นเดียวกับข้าหรือไม่” หยางไห่ที่ตะล
หลังจากที่ส่งเสิ่นหนิงเทียนออกเดินทาง จ้าวจางหมิ่นและลูกจ้างอีกที่เหลือ จึงไปช่วยกันทำความสะอาดร้านค้า พร้อมกับนำอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่าง นำมาจัดวางให้เข้าที่เข้าทางภายในร้าน ชั้นสองของร้านมีห้องส่วนตัวสองห้อง จ้าวจางหมิ่นนำวัสดุออกมาตกแต่งจนงดงาม โต๊ะเก้าอี้ที่สีซีดก็นำมาทาสีเสียใหม่ส่วนแม่ครัวหงชิงกับสาวใช้ที่เหลือ จ้าวจางหมิ่นให้อยู่ที่จวนและทำแหนมซี่โครงหมูเพิ่ม โดยไม่ลืมให้พวกนางแยกตะกร้าเอาไว้ ว่าตะกร้าไหนทำก่อนหรือหลังเพื่อง่ายต่อการนำไปขายที่ร้าน ทุกคนร่วมแรงร่วมใจทำงานอย่างขยันขันแข็งจ้าวจางหมิ่นไม่ได้จ้างใครมาทำงานเพิ่ม เนื่องจากแค่ลูกจ้างที่มีอยู่ตอนนี้ ก็สามารถช่วยกันทำงานได้ แต่ต่อไปก็ไม่แน่หากกิจการทำเงินได้ดี นางอาจจะหาลูกจ้างมาเพิ่มและให้คนอื่น ๆ ถอนตัวเพื่อไปช่วยจัดการกิจการใหม่ ๆ ในอนาคต และก่อนจะถึงวันเปิดร้านหนึ่งวัน จ้าวจางหมิ่นได้ให้พ่อบ้านห้าวกับหมิงเช่อ ไปซื้อเสื้อผ้ามาให้ทุกคนเพิ่มอีกคนละสองชุด เพราะพวกเขาต้องมีเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนทุกวันพ่อบ้านห้าวเป็นตัวแทนของทุกคนพูดกับจ้าวจางหมิ่น “ขอบคุณคุณหนูที่ใส่ใจพวกเราขอรับ"“อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ นี่ยัง
จ้าวจางหมิ่นพาทุกคนออกเดินทางอีกครั้ง และมาถึงเมืองหลวงตอนกลางยามเหม่า จึงได้ปลุกทุกคนให้ตื่นเพื่อเตรียมตัวผ่านประตูเมือง ซึ่งเสิ่นหนิงเทียนใช้ป้ายประจำตำแหน่ง ในการเปิดทางให้จ้าวจางหมิ่น ขับพาหนะแปลกประหลาดเข้าเมืองหลวง โดยได้สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนที่พบเห็นอีกครั้งเมื่อรถตู้สีดำสนิทหยุดลงที่หน้าจวนเสิ่นอันโหว บ่าวที่เฝ้าหน้าประตูจวนจึงรีบวิ่งไปตามพ่อบ้านมาทันที“ไหน ๆ สิ่งแปลกประหลาดที่วิ่งได้ พวกเจ้าอย่าได้โกหกข้าเชียว”“ท่านพ่อบ้านข้าจะโกหกไปทำไมกัน ก็เจ้านั่นมันหยุดอยู่หน้าจวนจริง ๆ นะขอรับ”พ่อบ้านเสิ่นเมื่อวิ่งตามบ่าวออกมา ก็พบเสิ่นหนิงเทียนยืนอยู่กับจ้าวจางหมิ่น “คารวะคุณชาย ๆ ที่แท้เป็นท่านเองหรือนี่ บ่าวคิดว่าเจ้าพวกนี้โกหกเสียอีก เอ่อ คุณหนูผู้นี้คือ?”“นางก็คือนายหญิงจ้าวคู่หมั้นของข้าเอง และเป็นเจ้าของสีทาบ้านที่งดงามอย่างไรเล่า”“โอ้ว คารวะนายหญิงจ้าวขอรับ เชิญคุณชายกับนายหญิงจ้าวที่โถงรับแขกเถิด ป่านนี้นายท่านกับฮูหยินคงรู้เรื่องนี้ จากพวกสาวใช้ในจวนแล้วขอรับ”“อืม หมิ่นเอ๋อร์เข้าไปพักด้านในก่อนเถิด เจ้าคงเหนื่อยไม่น้อยเพราะขับเจ้ารถนี่เพียงลำพัง”“เจ้าค่ะพี่ชายเสิ่
ณ เมืองหลวงแคว้นเฉินภายหลังสินค้าจำนวนมากบนรถบรรทุก ที่สามารถมาถึงเมืองหลวงได้ในเวลาอันรวดเร็ว ก็ได้สร้างปรากฏการณ์แตกตื่นขึ้น เนื่องจากรถบรรทุกไม่สามารถเข้าประตูเมืองได้ จึงต้องจอดเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่ภายนอกกำแพงเมือง โดยหยางไห่รับหน้าที่เข้าไปรายงานต่อเสิ่นฮูหยินที่จวนเสิ่นอันโหวรู้สึกแปลกใจมากกับเรื่องนี้ เพราะไม่น่าเป็นไปได้ที่สินค้าจากเมืองชายแดน จะมาถึงเมืองหลวงได้รวดเร็วในเวลาไม่กี่วัน จึงได้ตามเสิ่นฮูหยินออกมาดูด้วยตาตนเอง ว่าที่หยางไห่บอกกับพวกเขานั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่เมื่อหยางไห่พาเสิ่นอันโหวและเสิ่นฮูหยิน ออกมาเจอกับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ทำเอาทั้งสองคนตกตะลึงพูดอันใดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่เป็นเสิ่นฮูหยินที่เรียกสติของตนกลับมาได้“หยางไห่เจ้าบอกว่าสินค้าที่อยู่บนรถ รถอะไรนะ?”“อ้อ นายหญิงเรียกมันว่ารถบรรทุกขอรับเสิ่นฮูหยิน” หยางไห่ตอบตามที่เขาจดจำมาจากคำพูดของจ้าวจางหมิ่น“ชะ ชะ ใช่เจ้ารถบรรทุก สินค้าที่ต้องส่งเข้าวังหลวงทั้งหมด อยู่บนหลังรถบรรทุกตรงหน้านี้ และนี่เป็นสิ่งที่หมิ่นเอ๋อร์จัดการด้วยตนเองงั้นรึ”หยางไห่ยืดอกตอบอย่างฉะฉาน “ถูกต้องแล้วขอรับเสิ่นฮูหยิน นายหญิงขอ
คำสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากของเสิ่นฮูหยิน ถูกส่งผ่านนกพิราบสื่อสารของร้านอาหารหงอวิ้นไหล ซึ่งคำสั่งซื้อนี้มาถึงจวนตระกูลจ้าวแห่งเหอเฟย ขณะที่จ้าวจางหมิ่นกำลังสอนลูกจ้าง ฝึกทำปอเปี๊ยะทอดสำหรับเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ที่จะทำขายเพิ่มในร้านอาหารของนางเซิ่งปินที่ดูแลความเรียบร้อยของเรือนใหญ่ เมื่อเห็นนกพิราบบินมาเกาะยังกิ่งไม้ต้นเดิม ก็เดินไปหยิบจดหมายจากกระบอกไม้เล็ก ๆ และนำมามอบให้จ้าวจางหมิ่นยังห้องครัว“นายหญิงขอรับ มีจดหมายจากเมืองหลวงเพิ่งมาถึงที่นี่ขอรับ”จ้าวจางหมิ่นรับมาเปิดอ่านด้วยท่าทางปกติ แต่เพียงชั่วพริบตาก็เริ่มตาโตจากข้อความในจดหมาย “โอ้ว! แม่เจ้า เงินทองไหลมาเทมาหาพวกเราได้ทุกวันสิน่า”คนที่ทนไม่ไหวมากที่สุดคงหนีไม่พ้นสาวใช้ทั้งสอง และฮุยอินจึงถามเพื่อคลายความสงสัยแทนทุกคน “นายหญิงเจ้าคะ ที่ท่านพูดมาหมายความว่าเช่นไรหรือเจ้าคะ ท่านถึงดูตกใจและดีใจในเวลาเดียวกันเช่นนี้”จ้าวจางหมิ่นเงยหน้ามองทุกคนในห้องครัว ที่เฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “นี่เป็นจดหมายจากมารดาของพี่ชายเสิ่น บอกเอาไว้ว่าฮ่องเต้ทรงต้องการสีทาบ้านจำนวนหนึ่งหมื่นถังเจ้าค่ะ”“ห๋า!! หนึ่งหมื่นถัง!!”หย่างไห่ถึงกับละล่ำ
การเปิดกิจการสีทาบ้านของจ้าวจางหมิ่นครั้งนี้ มิได้มีการจัดงานหรือจุดประทัดให้เสียงดังแต่อย่างใด นางเพียงอาศัยร้านอาหารเป็นตัวอย่างสินค้า และการตอบคำถามของเหล่าลูกจ้าง เมื่อมีลูกค้าในร้านอาหารสอบถามเท่านั้นเพียงเท่านี้ก็มีลูกค้ามาต่อแถวซื้อสีทาบ้าน จนพ่อบ้านห้าวต้องให้เหล่ยหง รวมถึงลูกจ้างอีกหลายคนในจวน ออกมาช่วยกันจัดระเบียบแถวของลูกค้า เพื่อป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ในวันแรกที่เปิดขายสีทาบ้าน จ้าวจางหมิ่นได้กำไรถึงหลักพันตำลึงทองหนิงอวี่ที่ได้ช่วยนายหญิงของตนทำบัญชี ยังอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “โอ้ว นายหญิงเจ้าคะบ่าวมิได้คิดเลขผิดใช่หรือไม่ เพียงแค่ท่านเปิดขายสีทาบ้านวันแรก จากการพูดปากต่อปาก ก็ได้กำไรมากมายเช่นนี้แล้วนะเจ้าคะ”ฮุยอินที่นับทั้งก้อนเงินและตั๋วเงิน เพื่อให้ตรงกับบัญชีรายรับในมือของสหาย ยังคงมีอาการตื่นเต้นดีใจไม่หาย “นั่นสิเจ้าคะนายหญิง นี่ท่านเพิ่งขายให้คนในเมืองเหอเฟยเท่านั้น ยังได้กำไรหลักพันตำลึงทองแล้ว บ่าวไม่อยากจะคิดเลยว่าเมื่อสีทาบ้านไปถึงเมืองหลวง เหล่าขุนนางหรือคนที่ฐานะร่ำรวยไม่มีทางที่จะไม่อยากได้นะเจ้าคะ คงมีคนสั่งซื้อสินค้าชนิดนี้จำ
เรื่องการลงโทษสาวใช้ของเสิ่นหนิงเทียน บ่าวไพร่ในจวนปิดปากเงียบสนิท ไม่มีใครกล้าพูดหรือนำไปเล่าต่อแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขายังอยากมีชีวิต ทำงานแลกเงินส่งให้ครอบครัวและก่อนจะแยกย้ายกันเพื่อพักผ่อน จ้าวจางหมิ่นจึงบอกเสิ่นหนิงเทียนว่า นางมีเรื่องอยากพูดคุยกับเขาเล็กน้อย “พี่ชายเสิ่นเจ้าคะ รบกวนท่านอยู่พูดคุยกับข้าสักประเดี๋ยวเถิดเจ้าค่ะ”เมื่อเห็นว่ายังไม่ดึกมากเสิ่นหนิงเทียนจึงนั่งลงที่เดิม “ได้สิ ว่าแต่หมิ่นเอ๋อร์มีเรื่องอันใดจะคุยกับพี่งั้นหรือ”“ไม่มีอันใดมากหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่มีของมอบให้ท่านเล็กน้อย เพื่อขอบคุณที่ท่านอุตส่าห์ยกปิ่นปักผมให้ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นของมีค่ากับท่านมาก ข้าจึงอยากตอบแทนสิ่งที่คล้ายกันกลับไปให้ท่านบ้างเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นพูดจบก็หันไปรับกล่องไม้ ที่หนิงอวี่กลับไปหยิบจากในห้องพักมาให้นางเสิ่นหนิงเทียนมองกล่องไม้ในมือบาง พร้อมกับเลิกคิ้วเข้มด้วยความอยากรู้ ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในนั้นคืออันใดกันแน่ “เจ้านำสิ่งใดมาให้พี่เช่นนั้นหรือ ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นสิ่งของชิ้นใด ล้วนไม่สำคัญเท่ากับเจ้าหรอกนะหมิ่นเอ๋อร์”“ท่านรับไว้เถิดเจ้าค่ะ เพราะข้าตั้งใจมอบให้ท่านจริง ๆ”
หลังจากเห็นว่าจ้าวจางหมิ่นนอนหลับสนิท เสิ่นหนิงเทียนย้อนกลับไปที่เดิมอีกครั้ง เพื่อจัดการกับพวกหมิงเฉียว แต่เขากลับพบกับความว่างเปล่า คนตั้งมากมายกลับหายไปอย่างไร้ร่อยรอย แม้แต่เลือดสักหยดยังไม่มีให้เห็น “เป็นไปได้อย่างไรกัน? คนหลายสิบคนหายไปพร้อมกัน ใครจะมีความสามารถจัดการได้รวดเร็วเช่นนี้”เสิ่นหนิงเทียนจึงเดินกลับด้วยความงุนงง และมีข้อสงสัยมากมายอยู่ในใจของเขา ว่าเหตุการณ์ประหลาดนี้ เป็นฝีมือของคนหรือภูตผีปีศาจกันแน่ เสิ่นหนิงเทียนรู้สึกเสียดายไม่น้อย ที่คนของตนกลับนอนหลับสนิท ไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาสักนิด มิเช่นนั้นเขาคงได้รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใดเมื่อยามเช้ามาถึงภายหลังจัดการเรื่องอาหารมื้อเช้า ทุกคนช่วยกันเก็บของทั้งหมดเพื่อเดินทางต่อ โดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอันใดอีก ครั้งนี้ใช้เวลาเดินทางกลับเร็วกว่าเล็กน้อย แต่พวกเขามาถึงเมืองฟู่ชิงในเขตชายแดนแคว้นเฉิน ก็เข้าสู่ปลายยามเซินแล้ว เสิ่นหนิงเทียนไม่อยากให้จ้าวจางหมิ่นเดินทางยามค่ำคืน จึงได้เชิญนางพักเสียที่จวนของตน“หมิ่นเอ๋อร์ตอนนี้ใกล้จะมืดค่ำเข้าไปทุกที เจ้ากับคนอื่น ๆ พักเสียที่จวนของพี่เถิด พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับเมืองเหอเฟยจะดีกว
หมิงเฉียวพาคนที่เถ้าแก่หนานเลี้ยงไว้ห้าสิบคน ออกเดินทางเพื่อตามจ้าวจางหมิ่นให้ทัน ขบวนเดินทางเล็ก ๆ ของหมิงเฉียวก็ขี่ม้าออกนอกเมืองไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงต้องพยายามเร่งฝีเท้าม้า เพิ่มความเร็วให้มากขึ้นจะได้ตามไม่ห่างจนเกินไปเมื่อออกจากเมืองเชาหูได้ครึ่งทาง จ้าวจางหมิ่นได้รับข้อความจากระบบอีกครั้ง [ติ๊ง มีภารกิจด่วนแลกเงินรางวัลหนึ่งแสนตำลึงทองไม่ทราบว่าท่านจะรับภารกิจนี้หรือไม่]ห๋า! ทำไมครั้งนี้เงินรางวัลถึงมากเช่นนี้เล่า นี่ระบบภารกิจด่วนของเจ้าคงไม่ได้ให้ไปฆ่าคนหรอกนะ[ท่านไม่ต้องลงมือฆ่าคนพวกนั้นเอง เพราะอีกโลกหนึ่งที่ห่างไกลจากที่นี่ ต้องการแรงงานจำนวนมาก ท่านแค่คิดหาวิธีให้คนกลุ่มนี้มีชีวิต ส่วนที่เหลือระบบจะจัดการเก็บกวาดเอง]โอ้โห! แค่ไม่ต้องถึงตายแล้วยังได้เงินถึงหนึ่งแสนตำลึง ใครไม่รับทำก็โง่เต็มทีกระมัง ตกลง! ข้ารับทำภารกิจด่วนนี้ของเจ้านะระบบ ว่าแต่จะให้ข้าลงมือกับใครและเมื่อใดรึ[อีกสองชั่วยามพวกท่านต้องหาที่พักกันแล้ว ด้านหลังพวกท่านมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังตามมา และที่สำคัญคนพวกนั้นมิได้มีเจตนาดี ท่านหยุดพักให้คนพวกนั้นตามมาทัน แล้วค่อยลงมือยามค่ำจะดีที่สุด]นี่พวกข้าถูกคนส
หลังจากส่งหลัวเซิ่งอ๋องกลับจวนเจ้าเมืองแล้ว นายท่านหลี่ให้บุตรชายพาจ้าวจางหมิ่นไปพบที่ห้องทำงาน เพื่อบอกเรื่องที่หลัวเซิ่งอ๋องสนใจกับนาง เผื่อว่ากิจการใหม่ของจ้าวจางหมิ่นจะเปิดขายเร็วขึ้นจ้าวจางหมิ่นที่ยังมีเสิ่นหนิงเทียนตามติด ขึ้นมาพบนายท่านหลี่ที่อยู่รอนางเพียงลำพัง “ท่านลุงหลี่ให้พี่ชายหลี่ไปตามข้า มีเรื่องอันใดเกี่ยวกับร้านอาหารหรือไม่เจ้าคะ”“มาแล้วหรืออาหมิ่น ที่ลุงอยากพบเจ้ามิใช่เรื่องร้านอาหารหรอก แต่เป็นเรื่องของสีทาบ้านของเจ้าต่างหากเล่า” นายท่านหลี่บอกนางไปตามตรง“หืม สีทาบ้านของข้าทำไมหรือเจ้าคะ?”เสิ่นหนิงเทียนคาดว่าสินค้าของจ้าวจางหมิ่น คงจะมีคนสนใจจึงสอบถามผ่านนายหลี่เป็นแน่ “เรื่องที่นายท่านหลี่พูดถึงข้าขอเดาว่า สีทาบ้านที่ช่วยให้ผนังเหล่านี้งดงามได้ คงเป็นที่ถูกใจลูกค้าที่มาร่วมงานวันนี้ถูกต้องหรือไม่”“ท่านแม่ทัพเสิ่นกล่าวได้ถูกต้องแล้ว สินค้าใหม่ของอาหมิ่นมีคนอยากได้มากมายเชียวล่ะ รวมถึงท่านอ๋องที่อยากจะเจรจาซื้อสินค้านี้กับเจ้า เพราะอยากนำไปปรับปรุงตำหนักที่เมืองเจินโจว และเอาใจพระชายากับซื่อจื่อน่ะ” แม้แต่ตัวนายท่านหลี่ก็อยากได้ไปทาที่จวนเช่นกันจ้าวจางหมิ่นเพิ่
เมื่อการปรับปรุงร้านเสร็จเรียบร้อย การทาสีก็เริ่มขึ้นทันทีเพื่อให้ทันการเปิดร้าน ซึ่งการทาสีในครั้งนี้เรียกความสนใจได้มาก มีชาวบ้านพ่อค้าเร่หรือแม้แต่เหล่าเศรษฐีมายืนมองจำนวนมาก เหล่าทหารที่มากับหลัวเซิ่งอ๋องยังหยุดมอง ว่าคนงานเหล่านี้กำลังทำให้ผนังของร้านค้าทั้งด้านในและด้านนอกเปลี่ยนสีมีคนอยากรู้เกี่ยวกับเจ้าสิ่งใหม่นี้มากมาย แต่พวกเขาไม่รู้ว่าควรไปถามกับผู้ใด พวกเขารู้แค่เพียงว่าเจ้าของร้านคือตระกูลหลี่ อาจจะต้องรอจนกว่าร้านอาหารจะเปิดอีกครั้ง ถึงจะหาทางสอบถามเรื่องนี้จากลูกจ้างในร้านได้หนึ่งวันก่อนที่จะเปิดร้านอาหารอีกครั้ง จ้าวจางหมิ่นเข้ามาตรวจดูความเรียบร้อย การจัดวางโต๊ะเก้าอี้รวมถึงการตกแต่งร้าน โดยมีเสิ่นหนิงเทียนเดินตามนางทุกฝีก้าว มีเพียงเขาที่สนใจเพียงจ้าวจางหมิ่น ส่วนคนอื่น ๆ ที่ติดตามมาจากตระกูลหลี่ พวกเขาให้ความสนใจเรื่องสีทาผนัง เพราะยามนี้ร้านอาหารของพวกเขานั้นโดดเด่นมากหลี่ซู่เฟิงที่อายุไล่เลี่ยกับเสิ่นหนิงเทียน ยังเสียอาการเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของร้านอาหาร “ขะ ขะ ข้าไม่อยากเชื่อสายตาตนเองเลย ว่าสีทาบ้านที่คุณหนูจ้าวนำมานั้น จะช่วยให้ผนังสีเก่า ๆ กลายเป็นผนังที