ด้านเรือนใหญ่ต่างสั่งบ่าวไพร่เร่งมือเก็บของ เพื่อต้องการออกเดินทางให้เร็วที่สุด แต่ด้วยข้าวของที่มีมากจำต้องใช้เวลาสองสามวัน กว่าจะเก็บทั้งหมดให้แล้วเสร็จได้
ส่วนจางหมิ่นที่นอนเอกเขนกรอสาวใช้ หลังจากคิดเรื่องอาชีพของตนไว้เรียบร้อยแล้ว ก็นึกถึงระบบขึ้นมาได้ว่าวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆที่จำเป็นต้องใช้สำหรับค้าขาย ย่อมมีให้นางได้เลือกซื้อจึงเรียกระบบออกมาอย่างเร็วรี่
“ระบบ ข้าต้องการค้นหาสิ่งจำเป็นในการสร้างอาชีพ”
[ติ๊ง ระบบออนไลน์ขั้นเทพยินดีรับใช้ ไม่ทราบว่าท่านต้องการสิ่งของประเภทใด]
“ข้าอยากรู้ราคาพวกเตาและตะแกรง สำหรับอาหารจำพวกเสียบไม้ย่าง รวมถึงราคาของลูกชิ้น ไม้เสียบลูกชิ้น น้ำจิ้มแบบหวานและเผ็ด ถาดดินเผาสำหรับวางอาหาร หรือสิ่งที่จำเป็นต้องใช้อื่น ๆ เพื่อคำนวณค่าใช้จ่ายก่อนจะสร้างอาชีพ” จ้าวจางหมิ่นต้องคำนวณต้นทุนการค้าเสียก่อน นางจะได้ตั้งราคาขายที่ทุกคนสามารถซื้อกินได้
[กรุณารอสักครู่ ระบบกำลังเรียกรายการสินค้าที่เกี่ยวข้อง]
“ขอบใจมาก”
[ติ๊ง สิ่งที่ท่านต้องการปรากฏตามหน้าจอ พร้อมราคาขายท่านสามารถคำนวณเงินไว้ล่วงหน้าได้ พร้อมเมื่อใดแจ้งกับระบบได้ทุกเวลา]
จางหมิ่นใช้นิ้วป้อม ๆ เลื่อนหน้าจอไปมา เพื่อดูราคาสิ่งของที่ต้องการซื้อ และบวกเป็นจำนวนเงินออกมาคร่าว ๆ หลังจากนี้จะได้เตรียมเลือกซื้อให้ครบในครั้งเดียว
“ระบบ สิ่งที่ข้าต้องการซื้ออยู่ในรายการคำสั่งแล้ว เจ้าช่วยนำมันไปเก็บไว้ที่ช่องเก็บของให้ข้าทีนะ”
[ได้รับคำสั่งซื้อสินค้าที่ท่านต้องการแล้ว ทั้งหมดเป็นเงินห้าสิบสามตำลึงเงินสามสิบอีแปะ เชิญท่านวางเงินค่าสินค้า]
พรึ่บ!
[ขอบคุณที่ใช้บริการระบบออนไลน์ขั้นเทพ เราได้รับเงินค่าสินค้าเรียบร้อยแล้ว ในระบบยังมีสินค้าจากโลกอนาคตอีกมากมายหากท่านต้องการซื้อกรุณาเตรียมเงินให้พร้อม ติ๊ง]
“ขอบใจระบบที่มีสินค้าทุกอย่างที่ข้าต้องการ ไว้ข้าหาเงินได้เยอะ ๆ จะมาอุดหนุนเจ้าอีกแน่” จางหมิ่นมองดูสิ่งของที่ตนได้ซื้อไว้ในช่องเก็บของ ก็อยากเปิดร้านค้าเสียวันนี้พรุ่งนี้ ที่สำคัญนางอยากกินเองด้วยนี่สิ
แม้อยากกินมากแค่ไหน จางหมิ่นต้องอดทนให้ได้ เมื่อใดที่นางมีจวนเป็นของตนเอง อาหารเลิศรสทุกอย่างจะกินให้หายอยากก็ยังได้ และสาวใช้ของนางต้องได้กินเหมือนกับนาง
ทางด้านสาวใช้ทั้งสองคน ได้แยกกันหาซื้อสิ่งที่จางหมิ่นต้องการ พวกนางเลือกชิ้นที่ดูงดงามลวดลายแปลกตา เสื้อผ้ามีทั้งของบุรุษและสตรีที่การตัดเย็บละเอียด เนื้อผ้าไหมอย่างดีย่อมมีราคา เมื่อได้ครบจึงรีบกลับเพราะอยากรู้ว่า เจ้านายจะนำของพวกนี้ไปหาเงินได้อย่างไร
หนิงอวี่เรียกหาจ้าวจางหมิ่นทันทีที่เข้ามาในเรือน “คุณหนูเจ้าคะพวกบ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“กลับมาแล้วหรือ ได้ของตามที่ข้าสั่งครบหรือไม่?” จ้าวจางหมิ่นเดินออกมาจากห้องนอนและถามกลับหนิงอวี่
“ครบเจ้าค่ะ ทั้งปิ่นปักผม กำไลหยกและเสื้อผ้าบุรุษกับสตรีเจ้าค่ะ แล้วคุณหนูจะนำมันไปหาเงินอย่างไรหรือเจ้าคะ?” ฮุยอินรายงานจบจึงถามกลับบ้าง
“อืม เรื่องนี้คงต้องบอกว่าเป็นความลับที่สำคัญมาก จะบอกให้คนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาด จะมีพวกท่านสองคนเท่านั้นที่ข้ายอมบอก แต่ต้องสาบานต่อฟ้าดินว่า จะเก็บเป็นความลับไปจนตาย พวกท่านกล้าสาบานหรือไม่” เพราะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป หากหลุดไปถึงหูคนชั่วนางย่อมเป็นอันตราย
“พวกบ่าวสาบานว่าจะเก็บความลับนี้ไว้จนตัวตาย จะไม่บอกผู้ใดเด็ดขาดหากผิดคำสาบาน ขอให้ถูกฟ้าผ่าทันทีเจ้าค่ะ”
หนิงอวี่และฮุยอินกล้ากล่าวคำสาบาน ด้วยความรักที่มีต่อจ้าวจางหมิ่นอย่างแท้จริง หลังจากได้เห็นความจริงใจของสาวใช้ นางจึงบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวที่แต่งขึ้นกับทั้งสองคน ว่าดวงจิตได้หลุดออกจากร่างยามที่ล้มป่วย และได้ล่องลอยไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของแปลกตา แต่มันน่าดึงดูดนางจึงได้เรียนรู้และทดลองใช้จนชำนาญ
เมื่อดวงจิตกลับมาเข้าร่างอีกครั้ง ก็มีของวิเศษบางอย่างติดตัวกลับมา โดยสามารถใช้เงินตำลึงซื้อสินค้าของโลกแห่งนั้น หรือนำของมีค่าในโลกนี้ขายแลกเงินก็ได้เช่นกัน พอได้ฟังเรื่องอัศจรรย์นี้ทำเอาสองสาวใช้ตาโตเท่าไข่ห่าน และรบเร้ากับจ้าวจางหมิ่นว่าอยากเห็นของวิเศษ เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก
“น่าอัศจรรย์จริง ๆ เจ้าค่ะคุณหนู นอกจากท่านจะเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ ของวิเศษที่ได้มาต้องเป็นเทพบนสวรรค์ ประทานให้ท่านเพราะมองเห็นชีวิตของท่านก็เป็นได้นะเจ้าคะ” หนิงอวี่คิดไปว่าเป็นเทพที่มอบของวิเศษให้จ้าวจางหมิ่น
“ใช่เจ้าค่ะ ว่าแต่ว่าคุณหนูพอจะทำให้ดูได้ไหมเจ้าคะ ว่าเจ้าของวิเศษนี้ใช้หาเงินอย่างไรน่ะ แหะ ๆ ๆ” ฮุยอินก็อยากเห็นแล้วเช่นกัน
“ได้สิพี่ฮุยอิน แต่ก่อนอื่นพวกท่านต้องปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด ป้องกันพวกบ่าวคนอื่นไว้ก่อนดีกว่านะเจ้าคะ”
“โอ้ จริงด้วยเจ้าค่ะ หนิงอวี่พวกเราช่วยกันปิดประตูหน้าต่างเร็วเข้า คุณหนูจะได้เรียกของวิเศษออกมาได้”
เพราะความอยากรู้อยากเห็น ทำให้พวกนางทำงานได้อย่างรวดเร็ว และกลับมายืนอยู่ข้าง ๆ จ้าวจางหมิ่น เพื่อรอดูของวิเศษที่ได้ฟังจากปากเจ้านาย
“ระบบ ข้ามีของต้องการขาย”
[ติ๊ง สวัสดีอีกครั้ง การขายสินค้าท่านสามารถทำตามขั้นตอนได้ ขอเพียงเป็นสินค้ามีคุณภาพย่อมขายได้ราคาดีเช่นกัน]
“นะ นั่นคือของวิเศษเช่นนั้นรึ ฮะ ฮุยอินเจ้าเห็นเหมือนข้าหรือไม่”
“หนะ หนะ หนิงอวี่พวกเราไม่ได้ฝันไปใช่ไหม นะ นั่นคือของวิเศษที่คุณหนูพูดถึงจริง ๆ”
“คิ คิ ข้ามีปิ่นทองคำแท้ลวดลายงดงามสองชิ้น และกำไลหยกอีกสองวง เสื้อผ้าทำจากผ้าไหมอย่างดีของบุรุษและสตรี อย่างละสองชุด” จ้าวจางหมิ่นนำทั้งหมดวางลงบนช่องว่างกลางอากาศ ก่อนจะกดประเมินราคาขายทันที
[กรุณารอสักครู่ ระบบกำลังประเมินราคาสินค้า]
ระหว่างรอการประเมินราคาจากระบบ สาวใช้ทั้งสองยังคงจ้องมองหน้าจอสีขาวตาไม่กระพริบ ด้วยกลัวว่าหากกระพริบตา
มันจะหายไป[ติ๊ง รวมราคาประเมินของสินค้าทั้งหมด เป็นเงินหนึ่งพันสามร้อยสามสิบตำลึงทอง ท่านต้องการขายตอนนี้หรือไม่]
“ขายแน่นอน!”
“ห๋า!! หนึ่งพันสามร้อยสามสิบตำลึงทอง นะ นะ นี่มันมีราคาแพงถึงเพียงนี้เชียวรึ” ฮุยอินตะลึงกับราคาที่ได้ยิน
“เช่นนั้นคุณหนูก็มีเงินซื้อจวน และมีเงินเหลือนำมาเปิดกิจการได้แล้ว บ่าวพูดถูกหรือไม่เจ้าคะคุณหนู” หนิงอวี่ที่ตะลึงไม่ต่างจากสหาย พอตั้งสติได้ก็นึกถึงคำพูดของจ้าวจางหมิ่น
“ใช่แล้วล่ะ และพวกเราสามคนจะไปจากที่นี่ ในต้นยามเฉินของวันพรุ่งนี้ พวกท่านเตรียมตัวให้พร้อมนะเจ้าคะ” เมื่อมีเงินในมือหลักพันตำลึงทอง จะรั้งรออยู่ที่นี่ต่อไปทำไมกัน
[ติ๊ง สินค้าของท่านทำการขายแล้ว ระบบจะวางเป็นตั๋วเงินและก้อนตำลึงในช่องเก็บของ ขอบคุณสำหรับสินค้าคุณภาพดี]
“หากไม่เห็นกับตาก็ยากจะเชื่อ ว่าจะมีของวิเศษเช่นนี้อยู่จริง ขอบคุณท่านเทพทั้งหลายที่เมตตาคุณหนูของข้าเจ้าค่ะ” หนิงอวี่รีบคุกเข่าคำนับขอบคุณสวรรค์
“เช่นนั้นวันนี้คุณหนูต้องเข้านอนเร็วสักนิดนะเจ้าคะ พรุ่งนี้จะได้สดชื่ออารมณ์ดียามออกจากจวนเจ้าค่ะ” ฮุยอินรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง
“ตกลงเจ้าค่ะ”
และในคืนนี้นายบ่าวทั้งสามนอนหลับสนิท ด้วยความสบายใจที่จะเป็นอิสระ ไม่ต้องทนอยู่กับคนเห็นแก่ตัวอย่างตระกูลนี้อีก
ต้นยามเฉินของวันต่อมา บ่าวไพร่คนอื่น ๆ มองจ้าวจางหมิ่นที่มีสาวใช้อีกสองคน เดินตามออกจากจวนไปด้วยความอิจฉาเสียดื้อ ๆ นั่นเพราะว่าหนิงอวี่กับฮุยอิน มีอิสระในการใช้ชีวิตมากกว่าพวกตน แต่อิจฉาแล้วอย่างไรเล่า คิดจะเป็นอิสระจะเก็บเงินไถ่ตนเองได้เมื่อใด
สามคนนายบ่าวที่เดินพ้นประตูจวน ก็ไม่หันกลับไปมองอดีตอันทุกข์ระทมนั่นอีก นับจากนี้ต่อไปพวกเขาจะมองเพียงปัจจุบัน และอนาคตที่จะมีกิจการร้านค้าขนาดใหญ่เท่านั้น
จ้าวจางหมิ่นให้สาวใช้พาไปศาลาว่าการ เพื่อซื้อจวนหลังขนาดกลางเมื่อคิดจะเปิดกิจการ ซึ่งคนที่ทำหน้าที่ตอนนี้คือผู้ช่วยเจ้าเมือง นางเลือกจวนด้านทิศเหนือที่ดูสงบเงียบไม่วุ่นวาย และยังสะดวกยามต้องนำสิ่งของออกมาจากระบบ และไม่ลืมเช่าแผงขายของตลาดเช้าเสียเลย
จวนตระกูลจ้าวหลังที่เลือกซื้อมา ถือว่ายังมีความแข็งแรงทนทาน ไม่ต้องซ่อมแซมหรือปรับปรุงแต่อย่างใด เนื่องจากเจ้าของเพิ่งย้ายออกไปได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน และจ้าวจางหมิ่นซื้อในราคาหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงทอง
ด้วยเป็นจวนที่มีห้องเท่าที่จำเป็น และเรือนเล็กหนึ่งหลัง ทั้งสามคนจึงช่วยกันทำความสะอาด จนผ่านไปหนึ่งชั่วยามเล็กน้อยก็แล้วเสร็จ เป็นเวลาใกล้ยามอู่เสียงท้องของพวกนาง พร้อมใจกันส่งเสียงร้องเรียกหาอาหาร จ้าวจางหมิ่นจึงถือโอกาสนี้นำอุปกรณ์ทั้งหมดออกมา เพื่อทำอาหารมื้อเที่ยงเสียเลย
ทั้งอุปกรณ์และวัตถุดิบแปลกตาวางอยู่ตรงหน้า หนิงอวี่รีบถามทันทีว่าใช้อย่างไร “คุณหนูเจ้าคะ อุปกรณ์พวกนี้ใช้ทำอันใดหรือ แล้วยังมีเจ้าลูกกลม ๆ เหล่านี้อีก”
“อ้อ เจ้าพวกนี้คือเครื่องมือทำมาหากินของพวกเรา และข้าจะทำมันให้พวกพี่สองคนชิมเป็นคนแรก ก่อนที่จะทำไปขายในวันพรุ่งนี้อย่างไรล่ะเจ้าคะ”
“แล้วเราจะเรียกมันว่าอาหารอันใดดีเจ้าคะ” ฮุยอินอยากรู้ชื่ออาหารที่จ้าวจางหมิ่นกำลังจะทำให้ชิม
“เจ้านี่มันเรียกว่าลูกชิ้นหมู พวกเราจะใช้ไม้ปลายแหลมนี้ เสียบลูกชิ้นไม้ละห้าลูกเว้นระยะห่างเล็กน้อย จากนั้นนำไปย่างบนเตาถ่าน พลิกกลับด้านไปมาอย่าให้ไหม้เกรียมจนเกินไป แค่พอมีสีเหลืองนิด ๆ ก็พอ เนื่องจากเจ้าลูกชิ้นนี้มันผ่านความร้อนแล้ว หรือจะบอกว่ามันสุกก็ย่อมได้ เพียงแค่เราเอามาปิ้งให้ร้อนกินกับน้ำจิ้ม ยิ่งทำให้อร่อยกว่ากินลูกชิ้นเปล่า ๆ เจ้าค่ะ”
“โอ้ ฟังเช่นนี้แล้วก็อยากชิมขึ้นมาทันทีเลยเจ้าค่ะ งั้นบ่าวจะไปติดเตาถ่านไว้รอ ให้หนิงอวี่ช่วยคุณหนูเสียบเจ้าลูกชิ้นนะเจ้าคะ”
“ดีเหมือนกันเจ้าค่ะ จะได้ชิมลูกชิ้นปิ้งแสนอร่อยเร็ว ๆ” แบ่งหน้าที่กันทำทุกอย่างย่อมรวดเร็ว
เมื่อทุกอย่างพร้อมลูกชิ้นหลายสิบไม้ ก็วางเรียงรายอยู่บนเตาถ่าน ทั้งสามคนช่วยกันปิ้งลูกชิ้นอย่างสนุกสนาน จนมันสุกได้ที่ตามที่จ้าวจางหมิ่นพูดไว้ จึงนำไปวางในจานและเทน้ำจิ้ม ที่มีรสหวานและรสเผ็ดร้อนใส่ถ้วยใบเล็ก แค่คำแรกก็ไม่อาจหยุดกินได้อีก
“อื้ม! อร่อยมากเจ้าค่ะคุณหนู กินกับน้ำจิ้มแล้วเข้ากันมาก”
“โอย ร้อน ๆ ๆ อร่อยอย่างที่ฮุยอินพูดจริง ๆ ถ้าพวกเราทำขายวันพรุ่งนี้ บ่าวว่าคงหมดก่อนถึงยามเฉินแน่เจ้าค่ะ” หนิงอวี่ชอบน้ำจิ้มรสเผ็ดร้อนหรือก็คือน้ำจิ้มซีฟู้ดนั่นเอง
“นั่นมันแน่อยู่แล้วเจ้าค่ะ ของอร่อยจะขายไม่หมดได้อย่างไร แต่ข้าคิดว่าเย็นนี้จะปิ้งเอาไว้และเก็บในช่องเก็บของ หากพรุ่งนี้เช้าไปปิ้งที่ตลาดคงขายไม่ทัน”
“บ่าวเห็นด้วยเจ้าค่ะ เพราะต้องใช้เวลาในการปิ้งพอสมควร หากเตรียมไว้ล่วงหน้าจะขายได้เร็ว และลูกค้าไม่ต้องรอนานด้วยนะเจ้าคะ” ฮุยอินแค่คิดก็สนุกกับการค้าขายครั้งแล้ว
“อืม กินเสร็จก็พักผ่อนให้หายเหนื่อยเสียก่อน พอยามเซินพวกเราค่อยมาช่วยกันปิ้งลูกชิ้นอีกครั้งนะเจ้าคะ”
“เจ้าค่ะคุณหนู/เจ้าค่ะคุณหนู”
เมื่อถึงยามเซินนายบ่าวก็มานั่งเสียบลูกชิ้น ซึ่งจ้าวจางหมิ่นจะทำประมาณสามร้อยไม้ และจะปิ้งให้พอมีสีสันน่ากิน ก่อนจะเก็บเข้ามิติคงสภาพไว้เช่นนั้น ยามที่พวกนางเปิดร้านในวันพรุ่งนี้ ก็แค่นำไปอุ่นให้ร้อนก็ทานได้ทันที อาหารรูปร่างแปลกตาที่ทำจากเนื้อหมู รวมกับน้ำจิ้มสองรสชาติให้เลือกได้ จะไม่เป็นที่สนใจของผู้คนในเมืองเหอเฟยได้อย่างไร
ยามเหม่าของวันต่อมา จ้าวจางหมิ่นตื่นพร้อมกับสาวใช้ทั้งสอง เพื่อเตรียมของสำหรับการค้าวันแรก รถเข็นที่มีวัตถุดิบและอุปกรณ์ครบครัน ถูกเข็นออกจากจวนมุ่งหน้าไปยังตลาดเช้า ซึ่งแผงขายของนี้ของจ้าวจางหมิ่น อยู่ข้าง ๆ กับแผงขายผักพอดีทั้งสามคนแบ่งงานกันทำเช่นเมื่อวาน เมื่อเตาถ่านเริ่มร้อนลูกชิ้นที่เตรียมไว้ ถูกนำออกมาวางลงบนเตา เพื่ออุ่นให้ร้อนอีกครั้งสำหรับขายให้ลูกค้า และกลิ่นหอมของลูกชิ้นปิ้ง ก็เรียกความสนใจของคนที่เดินผ่านไปมา จนมีบุรุษวัยกลางคนเดินเข้ามาถาม ด้วยความสนใจอาหารของจ้าวจางหมิ่น“เอ่อ แม่ค้าเจ้าทำอันใดมาขายเช่นนั้นหรือ กลิ่นมันคล้ายเนื้อแต่ทำไมมันถึงเป็นลูกกลม ๆ ไปเสียได้เล่า”“นั่นน่ะสิ แต่ข้าสองคนทนกลิ่นหอมนี้ไม่ไหว ถึงได้มาถามดูเสียก่อนว่ามันคือสิ่งใด”“ท่านอาทั้งสองช่างมีจมูกที่ดีมากเจ้าค่ะ เจ้าลูกกลม ๆ นี้ข้าเรียกมันว่าลูกชิ้น และมันทำมาจากเนื้อหมูจริง ๆ พอนำมาปิ้งกับเตาถ่านจึงมีกลิ่นหอม นอกจากนี้ยังมีน้ำจิ้มสองรสให้เลือก หากท่านอาสนใจข้าจะหั่นให้พวกท่านลองชิมดู ถ้าถูกใจในรสชาติค่อยซื้อก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นตอบคำถามลูกค้าอย่างเป็นกันเองบุรุษทั้งสองรับไม้จิ้มขนา
ยามเฉินของเช้าวันที่สี่ หลังจากเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างเสร็จ จ้าวจางหมิ่นและสาวใช้กำลังจะกลับจวนของตน ก็ได้ยินเสียงแสดงความยินดีกับอดีตเจ้าเมือง ที่ได้เลื่อนตำแหน่งเข้าทำงานในราชสำนัก ถึงจะไม่มีใครพูดชื่อตระกูลจ้าวจางหมิ่นย่อมรู้ดีว่าคือใครหนิงอวี่เห็นเจ้านายน้อยหยุดมองนิ่ง ๆ ก็ฉุกคิดได้และจะพานางกลับจวน แต่กลับได้รับคำปฏิเสธ นอกจากนี้จ้าวจางหมิ่นยังเดินเข้าไปใกล้อีกนิด เพื่อจดจำคนตระกูลฉู่นี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ และมีคำอวยพรที่พึมพำออกมาเบา ๆหึ ขอให้พวกเจ้าตระกูลฉู่อยู่กับความสุขเหล่านี้มาก ๆ วันใดที่ถูกหลอกใช้จนหมดประโยชน์ ผู้มีอำนาจเฉดหัวทิ้งขึ้นมาจะได้รู้เสียทีว่าการถูกทอดทิ้งมันสิ้นหวังเพียงใด“คุณหนูเจ้าคะ” ฮุยอินเรียกเพียงสั้น ๆจ้าวจางหมิ่นได้ยินเสียงสาวใช้ จึงดึงสติของตนกลับมา “พี่ฮุยอินไม่ต้องคิดมากเจ้าค่ะ ข้าแค่อยากยืนส่งพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย และรอคอยให้เวรกรรมตามสนองคนตระกูลนี้เท่านั้น”หนิงอวี่ได้ยินคำนี้ของจ้าวจางหมิ่น ก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง “คุณหนูพูดถูกสักวันหนึ่งสิ่งที่พวกเขาทำไว้กับท่าน ย่อมสนองกลับหลายร้อยหลายพันเท่า แต่ตอนนี้กลับจวนไปพักเถิดเจ้าค่ะ”“อืม ไปกันเถิด พวก
ภายหลังพาเหล่าทาสที่ซื้อมาถึงจวน จ้าวจางหมิ่นให้สาวใช้ทั้งสองคน ช่วยกันหุงหาอาหารสำหรับสมาชิกใหม่ ซึ่งยามนี้พวกเขายังคงอ่อนแรง แม้จะพยายามทำให้นางเห็นว่าเข้มแข็งก็ตาม นางรอจนกระทั่งพ่อบ้านกับทาสอีกสามคนกลับมา และแจกจ่ายเสื้อผ้าให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว จึงได้พูดคุยในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้“เอาล่ะ ตอนนี้พวกท่านทุกคนก็มาอยู่ในจวนของข้าแล้ว ตัวข้ามีนามว่าจ้าวจางหมิ่น สาวใช้ทั้งสองมีชื่อว่าหนิงอวี่และฮุยอินอย่างที่พวกท่านเห็นว่า จวนของข้ามีขนาดกลางลำพังเด็กและสตรีสองคนไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง นอกจากนี้ข้ายังต้องทำการค้า ถึงได้ตัดสินใจไปซื้อตัวพวกท่านมา” จ้าวจางหมิ่นหยุดพูดเมื่อเห็นว่ามีคนอยากถามบางอย่าง“เอ่อ ทำไมคุณหนูจ้าวถึงเลือกเฉพาะพวกข้า ที่มีวรยุทธ์ทั้งหมดเล่าขอรับ แม้แต่คนที่จะทำหน้าที่พ่อบ้านยังมีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา”“ที่ข้าเลือกพวกท่านทุกคน เพราะมองเห็นถึงความซื่อสัตย์ สตรีคอยดูแลรับผิดชอบภายในเรือน พ่อบ้านความหมายย่อมบ่งบอกอยู่แล้ว ส่วนพวกท่านหลังจากรักษาตัวจนหาย มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและทำสินค้าไว้สำหรับนำไปขาย ในอนาคตอันใกล้ข้าจะมีร้านเป็นของตนเอง จากนั้นจะมีการค้าชนิดใหม่เพิ่มขึ้นอีกมากม
ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน ในคืนแรกของการได้รับอิสระห้าวเหลียงได้หารือกับคนอื่น ๆ เกี่ยวกับหน้าที่ต่าง ๆ ที่ต้องทำในแต่ละวัน พวกเขาได้ข้อสรุปที่ตรงกันก็คือ การเรียนรู้ทำสินค้าของจ้าวจางหมิ่นจะทำร่วมกัน เผื่อวันใดวันหนึ่งคนในกลุ่มไม่อยู่ พวกเขาสามารถทำแทนกันได้โดยเฉพาะเหว่ยหงกับเสียอี้สองคนนี้ เคยทำงานในสำนักคุ้มภัยมาก่อน ในอนาคตหากการค้าของเจ้านายขยายไปต่างเมือง ทั้งสองจะเป็นกำลังหลักสำหรับการส่งสินค้าทันที ดังนั้นห้าวเหลียงและทุกคนจึงลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันเมื่อได้กินอิ่มท้องและพักผ่อนเต็มที่ ทำให้สมาชิกใหม่ของจวนตระกูลจ้าว พร้อมใจกันตื่นตั้งแต่ยามเหม่า และเป็นเวลาที่จ้าวจางหมิ่นเตรียมออกไปขายของเช่นทุกวัน ห้าวเหลียงเห็นอุปกรณ์บนรถเข็น ก็รู้สึกเห็นใจสาวใช้ของจ้าวจางหมิ่น ที่เป็นสตรีรูปร่างบอบบาง แต่กลับต้องมายกข้าวของที่มีน้ำหนักมากเช่นนี้ จึงให้เป่าเฟิงกับจงเหลียนช่วยเข็นไปที่ตลาดแทน คนที่เหลือก็คิดไม่ต่างจางห้าวเหลียงนัก“พ่อบ้าน อย่าหาว่าข้าสอดรู้สอดเห็นไม่เข้าเรื่องเลย คนในครอบครัวของคุณหนูหายไปที่ใดหมด ถึงปล่อยให้เด็กที่ควรได้วิ่งเล่น ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานหาเงินเช่นน
ลูกจ้างของจ้าวจางหมิ่นต่างตื่นตาตื่นใจ สำหรับเครื่องมือที่นางได้สอนพวกเขา แต่ละคนคิดว่านี่คือสิ่งที่อัศจรรย์มาก และขั้นตอนการทำมิได้ยุ่งยากเลยสักนิด พอทำจนถึงขั้นตอนสุดท้ายนำลูกชิ้นสะเด็ดน้ำ ก็มานั่งช่วยกันเสียบลูกชิ้นไม้ละห้าลูก ซึ่งเป็นลูกขนาดพอดีไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป แค่ให้สมกับราคาที่ตั้งเอาไว้เท่านั้นก็พอเนื่องจากครั้งทดลองทำและได้ลูกชิ้นถึงเจ็ดร้อยไม้ จ้าวจางหมิ่นจึงให้นำเตามาย่างลูกชิ้นหนึ่งร้อยไม้ เพื่อให้ทุกคนได้ชิมฝีมือของตนเอง ดังนั้นในยามอู่อาหารมื้อเที่ยงจึงเป็นลูกชิ้นปิ้ง และไม่ลืมให้เป้ยอิงแบ่งใส่จาน นำไปให้กับคนสนิทของเสิ่นหนิงเทียนที่เรือนเล็กด้วยนับตั้งแต่ได้เรียนวิธีการทำลูกชิ้น จ้าวจางหมิ่นได้มอบเงินให้ห้าวเหลียงจำนวนหนึ่ง สำหรับให้แม่ครัวหงชิงใช้ซื้อวัตถุดิบทำอาหาร และซื้อเนื้อหมูสำหรับทำลูกชิ้นไว้รอจ้าวจางหมิ่นเสมอ แต่เรื่องที่พวกห้าวเหลียงได้พูดคุยไว้ ก็เป็นหยางไห่ที่ออกไปสืบหาข้อมูล เกี่ยวกับครอบครัวของเจ้านายและเขาก็เลือกมาถูกที่เสียด้วยหน้าจวนเจ้าเมืองที่ปิดประตูเอาไว้ ยังคงมีทหารผลัดเปลี่ยนมาคอยดูแล เพื่อป้องกันมิให้มีใครฉวยโอกาส เข้าไปอยู่อาศัยจนทำให้เร
เนื่องจากวัตถุดิบมีหลายอย่าง จ้าวจางหมิ่นจึงให้ฮุยอินไปตามพ่อบ้าน และคนอื่นมาช่วยเพื่อนำไปเก็บที่ห้องเสบียง โดยแบ่งส่วนหนึ่งไว้สำหรับทำเป็นมื้อเย็น แม้จะรู้สึกแปลกใจว่าสิ่งของเหล่านี้ มาอยู่ในห้องของเจ้านายพวกตนได้อย่างไร แต่นั่นเป็นคำถามที่ต้องเก็บไว้ในใจเท่านั้นเมื่อเลือกที่จะซื่อสัตย์ภักดีกับจ้าวจางหมิ่นแล้ว ถึงจะอยากรู้ถ้าเจ้านายไม่บอกด้วยตนเอง พวกเขาไม่สมควรก้าวก่าย พ่อบ้านห้าวและเพ่ยตงที่มาช่วยยกของ จึงทำเพียงหน้าที่ของตนเท่านั้นจ้าวจางหมิ่นเดินตามทุกคนไปถึงห้องครัว เพื่ออธิบายถึงวัตถุดิบทั้งหมดว่าใช้สำหรับทำอะไร รวมถึงบอกว่าจะสอนแม่ครัวหงชิงหรือคนอื่น ๆ ที่สนใจอยากทำอาหารชนิดนี้เป็น เผื่อวันใดอยากกินจะได้ลงมือทำด้วยตนเองได้ทันที ไม่ต้องร้องขอให้แม่ครัวหงชิงทำให้“คุณหนูเจ้าคะ ของพวกนี้จะใช้ทำอาหารชนิดใดหรือเจ้าคะ บ่าวไม่เคยเห็นผักที่เป็นหัวหรือเจ้าลูกสีแดงนี่มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” แม่ครัวหงชิงมองผักที่นางไม่รู้จัก เพราะตั้งแต่เล็กจนโตนางรู้จักอยู่ไม่กี่อย่าง“อ้อ วัตถุดิบที่ทุกคนเห็นตรงหน้าทั้งหมด คือส่วนประกอบของอาหารชนิดใหม่ ที่ข้าจะทำให้ลองชิมก่อนจะทำขายเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นตอบ
และแล้วก็ถึงวันหยุดที่จ้าวจางหมิ่นได้พูดไว้ ซึ่งวันนี้นางจะไปยังหมู่บ้านหลิ่วซู่ของหนิงอวี่ ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองเหอเฟยมากนัก นั่งรถม้าไปเพียงสองเค่อก็ถึงหมู่บ้านแห่งนี้แล้วครั้งนี้จ้าวจางหมิ่นให้เหล่ยหง เสียอี้และซีหยุนติดตามไปดูแล ด้านหนิงอวี่ดีใจที่จะได้กลับไปเยี่ยมครอบครัว แม้ไม่รู้ว่าพวกเขาจะยินดียามที่เห็นตนเองหรือไม่ แต่หนิงอวี่ยังมีใจซื้อข้าวสารอาหารแห้ง รวมถึงผ้าอีกหนึ่งพับไปเป็นของฝากส่วนจ้าวจางหมิ่นไม่ได้แต่งกายหรูหราอันใด นางสวมใส่ชุดสำหรับเด็กทั่วไปเพียงแค่เนื้อผ้า อาจจะดูดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้น เพราะนางไม่คิดว่าจะต้องแต่งกายไปอวดผู้ใดก่อนจะออกเดินทางจ้าวจางหมิ่นไม่ลืมกำชับพ่อบ้านห้าว เรื่องของคนที่พักอยู่ในเรือนเล็ก “ลุงพ่อบ้านข้าฝากดูแลคุณชายเสิ่นด้วยนะเจ้าคะ หากเขาต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมก็จัดหาให้ ไม่เกินยามเซินพวกข้าก็กลับมาแล้วล่ะ”“ขอรับ บ่าวจะดูแลคุณชายเสิ่นเป็นอย่างดีขอรับ เหล่ยหงพวกเจ้าสามคนดูแลคุณหนูให้ดีเล่า อย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีกับคุณหนูเป็นอันขาด”“พ่อบ้านวางใจเถิด หากใครกล้าคิดทำร้ายคุณหนูล่ะก็ รับรองพวกมันไม่มีโอกาสได้ร้องขอความเมตตาแน่”“น้าเหล่ยหงไปกันเ
ระหว่างนั่งรถม้ากลับเข้าเมือง จ้าวจางหมิ่นยังโมโหไม่หาย เมื่อเห็นใบหน้าของหนิงอวี่เริ่มเห็นรอยนิ้วมือชัดเจนขึ้น “ฮึ่ย! ข้าไม่น่าให้น้าเหล่ยหงสั่งสอนแค่นั้นเลยจริง ๆ พี่หนิงอวี่จากนี้ไปท่านสนใจแค่ตัวเองก็พอ ตัดครอบครัวเช่นนั้นออกไปจากชีวิตเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรเสียก็มีข้ากับทุกคนเป็นครอบครัว ภายหน้าท่านต้องแต่งงานมีคู่ชีวิตที่ดีได้แน่”“บ่าวจะมีครอบครัวได้อย่างไรเจ้าคะ คุณหนูยังไม่ถึงวัยปักปิ่นเลยด้วยซ้ำ รอคุณหนูปักปิ่นเมื่อใดบ่าวค่อยแต่งงานเจ้าค่ะ หากคนรักของบ่าวรับข้อนี้ไม่ได้ ก็แค่ไม่แต่งและอยู่ดูแลคุณหนูจนแก่ รอเลี้ยงคุณชายน้อยคุณหนูน้อยก็ไม่เป็นอันใดนะเจ้าคะ” หนิงอวี่คิดเอาไว้เช่นนั้นจริง ๆ“บ่าวก็คิดแบบเดียวกับหนิงอวี่เจ้าค่ะ แม้จะแต่งงานแล้วเราสองคนก็จะติดตามคุณหนูเช่นเดิม ไม่มีทางแยกไปสุขสบายไม่สนใจคุณหนูได้อย่างไรเจ้าคะ” ฮุยอินเคยพูดคุยเรื่องนี้กับหนิงอวี่อยู่บ้าง“อืม ก็ดีเหมือนกันนะไว้ข้าสร้างกิจการให้มั่นคง ค้าขายมีกำไรร่ำรวยเป็นเศรษฐีนีมีเงินเหลือกินเหลือใช้ จะมอบเป็นสินเดิมเจ้าสาวให้พวกพี่สองคนก็แล้วกันนะเจ้าคะ อิ อิ” จ้าวจางหมิ่นพิจารณาสิ่งที่สาวใช้พูดมา ก็เห็นจะจริงนางยังเ
จ้าวจางหมิ่นพาทุกคนออกเดินทางอีกครั้ง และมาถึงเมืองหลวงตอนกลางยามเหม่า จึงได้ปลุกทุกคนให้ตื่นเพื่อเตรียมตัวผ่านประตูเมือง ซึ่งเสิ่นหนิงเทียนใช้ป้ายประจำตำแหน่ง ในการเปิดทางให้จ้าวจางหมิ่น ขับพาหนะแปลกประหลาดเข้าเมืองหลวง โดยได้สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนที่พบเห็นอีกครั้งเมื่อรถตู้สีดำสนิทหยุดลงที่หน้าจวนเสิ่นอันโหว บ่าวที่เฝ้าหน้าประตูจวนจึงรีบวิ่งไปตามพ่อบ้านมาทันที“ไหน ๆ สิ่งแปลกประหลาดที่วิ่งได้ พวกเจ้าอย่าได้โกหกข้าเชียว”“ท่านพ่อบ้านข้าจะโกหกไปทำไมกัน ก็เจ้านั่นมันหยุดอยู่หน้าจวนจริง ๆ นะขอรับ”พ่อบ้านเสิ่นเมื่อวิ่งตามบ่าวออกมา ก็พบเสิ่นหนิงเทียนยืนอยู่กับจ้าวจางหมิ่น “คารวะคุณชาย ๆ ที่แท้เป็นท่านเองหรือนี่ บ่าวคิดว่าเจ้าพวกนี้โกหกเสียอีก เอ่อ คุณหนูผู้นี้คือ?”“นางก็คือนายหญิงจ้าวคู่หมั้นของข้าเอง และเป็นเจ้าของสีทาบ้านที่งดงามอย่างไรเล่า”“โอ้ว คารวะนายหญิงจ้าวขอรับ เชิญคุณชายกับนายหญิงจ้าวที่โถงรับแขกเถิด ป่านนี้นายท่านกับฮูหยินคงรู้เรื่องนี้ จากพวกสาวใช้ในจวนแล้วขอรับ”“อืม หมิ่นเอ๋อร์เข้าไปพักด้านในก่อนเถิด เจ้าคงเหนื่อยไม่น้อยเพราะขับเจ้ารถนี่เพียงลำพัง”“เจ้าค่ะพี่ชายเสิ่
ณ เมืองหลวงแคว้นเฉินภายหลังสินค้าจำนวนมากบนรถบรรทุก ที่สามารถมาถึงเมืองหลวงได้ในเวลาอันรวดเร็ว ก็ได้สร้างปรากฏการณ์แตกตื่นขึ้น เนื่องจากรถบรรทุกไม่สามารถเข้าประตูเมืองได้ จึงต้องจอดเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่ภายนอกกำแพงเมือง โดยหยางไห่รับหน้าที่เข้าไปรายงานต่อเสิ่นฮูหยินที่จวนเสิ่นอันโหวรู้สึกแปลกใจมากกับเรื่องนี้ เพราะไม่น่าเป็นไปได้ที่สินค้าจากเมืองชายแดน จะมาถึงเมืองหลวงได้รวดเร็วในเวลาไม่กี่วัน จึงได้ตามเสิ่นฮูหยินออกมาดูด้วยตาตนเอง ว่าที่หยางไห่บอกกับพวกเขานั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่เมื่อหยางไห่พาเสิ่นอันโหวและเสิ่นฮูหยิน ออกมาเจอกับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ทำเอาทั้งสองคนตกตะลึงพูดอันใดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่เป็นเสิ่นฮูหยินที่เรียกสติของตนกลับมาได้“หยางไห่เจ้าบอกว่าสินค้าที่อยู่บนรถ รถอะไรนะ?”“อ้อ นายหญิงเรียกมันว่ารถบรรทุกขอรับเสิ่นฮูหยิน” หยางไห่ตอบตามที่เขาจดจำมาจากคำพูดของจ้าวจางหมิ่น“ชะ ชะ ใช่เจ้ารถบรรทุก สินค้าที่ต้องส่งเข้าวังหลวงทั้งหมด อยู่บนหลังรถบรรทุกตรงหน้านี้ และนี่เป็นสิ่งที่หมิ่นเอ๋อร์จัดการด้วยตนเองงั้นรึ”หยางไห่ยืดอกตอบอย่างฉะฉาน “ถูกต้องแล้วขอรับเสิ่นฮูหยิน นายหญิงขอ
คำสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากของเสิ่นฮูหยิน ถูกส่งผ่านนกพิราบสื่อสารของร้านอาหารหงอวิ้นไหล ซึ่งคำสั่งซื้อนี้มาถึงจวนตระกูลจ้าวแห่งเหอเฟย ขณะที่จ้าวจางหมิ่นกำลังสอนลูกจ้าง ฝึกทำปอเปี๊ยะทอดสำหรับเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ที่จะทำขายเพิ่มในร้านอาหารของนางเซิ่งปินที่ดูแลความเรียบร้อยของเรือนใหญ่ เมื่อเห็นนกพิราบบินมาเกาะยังกิ่งไม้ต้นเดิม ก็เดินไปหยิบจดหมายจากกระบอกไม้เล็ก ๆ และนำมามอบให้จ้าวจางหมิ่นยังห้องครัว“นายหญิงขอรับ มีจดหมายจากเมืองหลวงเพิ่งมาถึงที่นี่ขอรับ”จ้าวจางหมิ่นรับมาเปิดอ่านด้วยท่าทางปกติ แต่เพียงชั่วพริบตาก็เริ่มตาโตจากข้อความในจดหมาย “โอ้ว! แม่เจ้า เงินทองไหลมาเทมาหาพวกเราได้ทุกวันสิน่า”คนที่ทนไม่ไหวมากที่สุดคงหนีไม่พ้นสาวใช้ทั้งสอง และฮุยอินจึงถามเพื่อคลายความสงสัยแทนทุกคน “นายหญิงเจ้าคะ ที่ท่านพูดมาหมายความว่าเช่นไรหรือเจ้าคะ ท่านถึงดูตกใจและดีใจในเวลาเดียวกันเช่นนี้”จ้าวจางหมิ่นเงยหน้ามองทุกคนในห้องครัว ที่เฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “นี่เป็นจดหมายจากมารดาของพี่ชายเสิ่น บอกเอาไว้ว่าฮ่องเต้ทรงต้องการสีทาบ้านจำนวนหนึ่งหมื่นถังเจ้าค่ะ”“ห๋า!! หนึ่งหมื่นถัง!!”หย่างไห่ถึงกับละล่ำ
การเปิดกิจการสีทาบ้านของจ้าวจางหมิ่นครั้งนี้ มิได้มีการจัดงานหรือจุดประทัดให้เสียงดังแต่อย่างใด นางเพียงอาศัยร้านอาหารเป็นตัวอย่างสินค้า และการตอบคำถามของเหล่าลูกจ้าง เมื่อมีลูกค้าในร้านอาหารสอบถามเท่านั้นเพียงเท่านี้ก็มีลูกค้ามาต่อแถวซื้อสีทาบ้าน จนพ่อบ้านห้าวต้องให้เหล่ยหง รวมถึงลูกจ้างอีกหลายคนในจวน ออกมาช่วยกันจัดระเบียบแถวของลูกค้า เพื่อป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ในวันแรกที่เปิดขายสีทาบ้าน จ้าวจางหมิ่นได้กำไรถึงหลักพันตำลึงทองหนิงอวี่ที่ได้ช่วยนายหญิงของตนทำบัญชี ยังอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “โอ้ว นายหญิงเจ้าคะบ่าวมิได้คิดเลขผิดใช่หรือไม่ เพียงแค่ท่านเปิดขายสีทาบ้านวันแรก จากการพูดปากต่อปาก ก็ได้กำไรมากมายเช่นนี้แล้วนะเจ้าคะ”ฮุยอินที่นับทั้งก้อนเงินและตั๋วเงิน เพื่อให้ตรงกับบัญชีรายรับในมือของสหาย ยังคงมีอาการตื่นเต้นดีใจไม่หาย “นั่นสิเจ้าคะนายหญิง นี่ท่านเพิ่งขายให้คนในเมืองเหอเฟยเท่านั้น ยังได้กำไรหลักพันตำลึงทองแล้ว บ่าวไม่อยากจะคิดเลยว่าเมื่อสีทาบ้านไปถึงเมืองหลวง เหล่าขุนนางหรือคนที่ฐานะร่ำรวยไม่มีทางที่จะไม่อยากได้นะเจ้าคะ คงมีคนสั่งซื้อสินค้าชนิดนี้จำ
เรื่องการลงโทษสาวใช้ของเสิ่นหนิงเทียน บ่าวไพร่ในจวนปิดปากเงียบสนิท ไม่มีใครกล้าพูดหรือนำไปเล่าต่อแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขายังอยากมีชีวิต ทำงานแลกเงินส่งให้ครอบครัวและก่อนจะแยกย้ายกันเพื่อพักผ่อน จ้าวจางหมิ่นจึงบอกเสิ่นหนิงเทียนว่า นางมีเรื่องอยากพูดคุยกับเขาเล็กน้อย “พี่ชายเสิ่นเจ้าคะ รบกวนท่านอยู่พูดคุยกับข้าสักประเดี๋ยวเถิดเจ้าค่ะ”เมื่อเห็นว่ายังไม่ดึกมากเสิ่นหนิงเทียนจึงนั่งลงที่เดิม “ได้สิ ว่าแต่หมิ่นเอ๋อร์มีเรื่องอันใดจะคุยกับพี่งั้นหรือ”“ไม่มีอันใดมากหรอกเจ้าค่ะ ข้าแค่มีของมอบให้ท่านเล็กน้อย เพื่อขอบคุณที่ท่านอุตส่าห์ยกปิ่นปักผมให้ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นของมีค่ากับท่านมาก ข้าจึงอยากตอบแทนสิ่งที่คล้ายกันกลับไปให้ท่านบ้างเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นพูดจบก็หันไปรับกล่องไม้ ที่หนิงอวี่กลับไปหยิบจากในห้องพักมาให้นางเสิ่นหนิงเทียนมองกล่องไม้ในมือบาง พร้อมกับเลิกคิ้วเข้มด้วยความอยากรู้ ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในนั้นคืออันใดกันแน่ “เจ้านำสิ่งใดมาให้พี่เช่นนั้นหรือ ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นสิ่งของชิ้นใด ล้วนไม่สำคัญเท่ากับเจ้าหรอกนะหมิ่นเอ๋อร์”“ท่านรับไว้เถิดเจ้าค่ะ เพราะข้าตั้งใจมอบให้ท่านจริง ๆ”
หลังจากเห็นว่าจ้าวจางหมิ่นนอนหลับสนิท เสิ่นหนิงเทียนย้อนกลับไปที่เดิมอีกครั้ง เพื่อจัดการกับพวกหมิงเฉียว แต่เขากลับพบกับความว่างเปล่า คนตั้งมากมายกลับหายไปอย่างไร้ร่อยรอย แม้แต่เลือดสักหยดยังไม่มีให้เห็น “เป็นไปได้อย่างไรกัน? คนหลายสิบคนหายไปพร้อมกัน ใครจะมีความสามารถจัดการได้รวดเร็วเช่นนี้”เสิ่นหนิงเทียนจึงเดินกลับด้วยความงุนงง และมีข้อสงสัยมากมายอยู่ในใจของเขา ว่าเหตุการณ์ประหลาดนี้ เป็นฝีมือของคนหรือภูตผีปีศาจกันแน่ เสิ่นหนิงเทียนรู้สึกเสียดายไม่น้อย ที่คนของตนกลับนอนหลับสนิท ไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาสักนิด มิเช่นนั้นเขาคงได้รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใดเมื่อยามเช้ามาถึงภายหลังจัดการเรื่องอาหารมื้อเช้า ทุกคนช่วยกันเก็บของทั้งหมดเพื่อเดินทางต่อ โดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอันใดอีก ครั้งนี้ใช้เวลาเดินทางกลับเร็วกว่าเล็กน้อย แต่พวกเขามาถึงเมืองฟู่ชิงในเขตชายแดนแคว้นเฉิน ก็เข้าสู่ปลายยามเซินแล้ว เสิ่นหนิงเทียนไม่อยากให้จ้าวจางหมิ่นเดินทางยามค่ำคืน จึงได้เชิญนางพักเสียที่จวนของตน“หมิ่นเอ๋อร์ตอนนี้ใกล้จะมืดค่ำเข้าไปทุกที เจ้ากับคนอื่น ๆ พักเสียที่จวนของพี่เถิด พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับเมืองเหอเฟยจะดีกว
หมิงเฉียวพาคนที่เถ้าแก่หนานเลี้ยงไว้ห้าสิบคน ออกเดินทางเพื่อตามจ้าวจางหมิ่นให้ทัน ขบวนเดินทางเล็ก ๆ ของหมิงเฉียวก็ขี่ม้าออกนอกเมืองไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงต้องพยายามเร่งฝีเท้าม้า เพิ่มความเร็วให้มากขึ้นจะได้ตามไม่ห่างจนเกินไปเมื่อออกจากเมืองเชาหูได้ครึ่งทาง จ้าวจางหมิ่นได้รับข้อความจากระบบอีกครั้ง [ติ๊ง มีภารกิจด่วนแลกเงินรางวัลหนึ่งแสนตำลึงทองไม่ทราบว่าท่านจะรับภารกิจนี้หรือไม่]ห๋า! ทำไมครั้งนี้เงินรางวัลถึงมากเช่นนี้เล่า นี่ระบบภารกิจด่วนของเจ้าคงไม่ได้ให้ไปฆ่าคนหรอกนะ[ท่านไม่ต้องลงมือฆ่าคนพวกนั้นเอง เพราะอีกโลกหนึ่งที่ห่างไกลจากที่นี่ ต้องการแรงงานจำนวนมาก ท่านแค่คิดหาวิธีให้คนกลุ่มนี้มีชีวิต ส่วนที่เหลือระบบจะจัดการเก็บกวาดเอง]โอ้โห! แค่ไม่ต้องถึงตายแล้วยังได้เงินถึงหนึ่งแสนตำลึง ใครไม่รับทำก็โง่เต็มทีกระมัง ตกลง! ข้ารับทำภารกิจด่วนนี้ของเจ้านะระบบ ว่าแต่จะให้ข้าลงมือกับใครและเมื่อใดรึ[อีกสองชั่วยามพวกท่านต้องหาที่พักกันแล้ว ด้านหลังพวกท่านมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังตามมา และที่สำคัญคนพวกนั้นมิได้มีเจตนาดี ท่านหยุดพักให้คนพวกนั้นตามมาทัน แล้วค่อยลงมือยามค่ำจะดีที่สุด]นี่พวกข้าถูกคนส
หลังจากส่งหลัวเซิ่งอ๋องกลับจวนเจ้าเมืองแล้ว นายท่านหลี่ให้บุตรชายพาจ้าวจางหมิ่นไปพบที่ห้องทำงาน เพื่อบอกเรื่องที่หลัวเซิ่งอ๋องสนใจกับนาง เผื่อว่ากิจการใหม่ของจ้าวจางหมิ่นจะเปิดขายเร็วขึ้นจ้าวจางหมิ่นที่ยังมีเสิ่นหนิงเทียนตามติด ขึ้นมาพบนายท่านหลี่ที่อยู่รอนางเพียงลำพัง “ท่านลุงหลี่ให้พี่ชายหลี่ไปตามข้า มีเรื่องอันใดเกี่ยวกับร้านอาหารหรือไม่เจ้าคะ”“มาแล้วหรืออาหมิ่น ที่ลุงอยากพบเจ้ามิใช่เรื่องร้านอาหารหรอก แต่เป็นเรื่องของสีทาบ้านของเจ้าต่างหากเล่า” นายท่านหลี่บอกนางไปตามตรง“หืม สีทาบ้านของข้าทำไมหรือเจ้าคะ?”เสิ่นหนิงเทียนคาดว่าสินค้าของจ้าวจางหมิ่น คงจะมีคนสนใจจึงสอบถามผ่านนายหลี่เป็นแน่ “เรื่องที่นายท่านหลี่พูดถึงข้าขอเดาว่า สีทาบ้านที่ช่วยให้ผนังเหล่านี้งดงามได้ คงเป็นที่ถูกใจลูกค้าที่มาร่วมงานวันนี้ถูกต้องหรือไม่”“ท่านแม่ทัพเสิ่นกล่าวได้ถูกต้องแล้ว สินค้าใหม่ของอาหมิ่นมีคนอยากได้มากมายเชียวล่ะ รวมถึงท่านอ๋องที่อยากจะเจรจาซื้อสินค้านี้กับเจ้า เพราะอยากนำไปปรับปรุงตำหนักที่เมืองเจินโจว และเอาใจพระชายากับซื่อจื่อน่ะ” แม้แต่ตัวนายท่านหลี่ก็อยากได้ไปทาที่จวนเช่นกันจ้าวจางหมิ่นเพิ่
เมื่อการปรับปรุงร้านเสร็จเรียบร้อย การทาสีก็เริ่มขึ้นทันทีเพื่อให้ทันการเปิดร้าน ซึ่งการทาสีในครั้งนี้เรียกความสนใจได้มาก มีชาวบ้านพ่อค้าเร่หรือแม้แต่เหล่าเศรษฐีมายืนมองจำนวนมาก เหล่าทหารที่มากับหลัวเซิ่งอ๋องยังหยุดมอง ว่าคนงานเหล่านี้กำลังทำให้ผนังของร้านค้าทั้งด้านในและด้านนอกเปลี่ยนสีมีคนอยากรู้เกี่ยวกับเจ้าสิ่งใหม่นี้มากมาย แต่พวกเขาไม่รู้ว่าควรไปถามกับผู้ใด พวกเขารู้แค่เพียงว่าเจ้าของร้านคือตระกูลหลี่ อาจจะต้องรอจนกว่าร้านอาหารจะเปิดอีกครั้ง ถึงจะหาทางสอบถามเรื่องนี้จากลูกจ้างในร้านได้หนึ่งวันก่อนที่จะเปิดร้านอาหารอีกครั้ง จ้าวจางหมิ่นเข้ามาตรวจดูความเรียบร้อย การจัดวางโต๊ะเก้าอี้รวมถึงการตกแต่งร้าน โดยมีเสิ่นหนิงเทียนเดินตามนางทุกฝีก้าว มีเพียงเขาที่สนใจเพียงจ้าวจางหมิ่น ส่วนคนอื่น ๆ ที่ติดตามมาจากตระกูลหลี่ พวกเขาให้ความสนใจเรื่องสีทาผนัง เพราะยามนี้ร้านอาหารของพวกเขานั้นโดดเด่นมากหลี่ซู่เฟิงที่อายุไล่เลี่ยกับเสิ่นหนิงเทียน ยังเสียอาการเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของร้านอาหาร “ขะ ขะ ข้าไม่อยากเชื่อสายตาตนเองเลย ว่าสีทาบ้านที่คุณหนูจ้าวนำมานั้น จะช่วยให้ผนังสีเก่า ๆ กลายเป็นผนังที