ด้านเรือนใหญ่ต่างสั่งบ่าวไพร่เร่งมือเก็บของ เพื่อต้องการออกเดินทางให้เร็วที่สุด แต่ด้วยข้าวของที่มีมากจำต้องใช้เวลาสองสามวัน กว่าจะเก็บทั้งหมดให้แล้วเสร็จได้
ส่วนจางหมิ่นที่นอนเอกเขนกรอสาวใช้ หลังจากคิดเรื่องอาชีพของตนไว้เรียบร้อยแล้ว ก็นึกถึงระบบขึ้นมาได้ว่าวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆที่จำเป็นต้องใช้สำหรับค้าขาย ย่อมมีให้นางได้เลือกซื้อจึงเรียกระบบออกมาอย่างเร็วรี่
“ระบบ ข้าต้องการค้นหาสิ่งจำเป็นในการสร้างอาชีพ”
[ติ๊ง ระบบออนไลน์ขั้นเทพยินดีรับใช้ ไม่ทราบว่าท่านต้องการสิ่งของประเภทใด]
“ข้าอยากรู้ราคาพวกเตาและตะแกรง สำหรับอาหารจำพวกเสียบไม้ย่าง รวมถึงราคาของลูกชิ้น ไม้เสียบลูกชิ้น น้ำจิ้มแบบหวานและเผ็ด ถาดดินเผาสำหรับวางอาหาร หรือสิ่งที่จำเป็นต้องใช้อื่น ๆ เพื่อคำนวณค่าใช้จ่ายก่อนจะสร้างอาชีพ” จ้าวจางหมิ่นต้องคำนวณต้นทุนการค้าเสียก่อน นางจะได้ตั้งราคาขายที่ทุกคนสามารถซื้อกินได้
[กรุณารอสักครู่ ระบบกำลังเรียกรายการสินค้าที่เกี่ยวข้อง]
“ขอบใจมาก”
[ติ๊ง สิ่งที่ท่านต้องการปรากฏตามหน้าจอ พร้อมราคาขายท่านสามารถคำนวณเงินไว้ล่วงหน้าได้ พร้อมเมื่อใดแจ้งกับระบบได้ทุกเวลา]
จางหมิ่นใช้นิ้วป้อม ๆ เลื่อนหน้าจอไปมา เพื่อดูราคาสิ่งของที่ต้องการซื้อ และบวกเป็นจำนวนเงินออกมาคร่าว ๆ หลังจากนี้จะได้เตรียมเลือกซื้อให้ครบในครั้งเดียว
“ระบบ สิ่งที่ข้าต้องการซื้ออยู่ในรายการคำสั่งแล้ว เจ้าช่วยนำมันไปเก็บไว้ที่ช่องเก็บของให้ข้าทีนะ”
[ได้รับคำสั่งซื้อสินค้าที่ท่านต้องการแล้ว ทั้งหมดเป็นเงินห้าสิบสามตำลึงเงินสามสิบอีแปะ เชิญท่านวางเงินค่าสินค้า]
พรึ่บ!
[ขอบคุณที่ใช้บริการระบบออนไลน์ขั้นเทพ เราได้รับเงินค่าสินค้าเรียบร้อยแล้ว ในระบบยังมีสินค้าจากโลกอนาคตอีกมากมายหากท่านต้องการซื้อกรุณาเตรียมเงินให้พร้อม ติ๊ง]
“ขอบใจระบบที่มีสินค้าทุกอย่างที่ข้าต้องการ ไว้ข้าหาเงินได้เยอะ ๆ จะมาอุดหนุนเจ้าอีกแน่” จางหมิ่นมองดูสิ่งของที่ตนได้ซื้อไว้ในช่องเก็บของ ก็อยากเปิดร้านค้าเสียวันนี้พรุ่งนี้ ที่สำคัญนางอยากกินเองด้วยนี่สิ
แม้อยากกินมากแค่ไหน จางหมิ่นต้องอดทนให้ได้ เมื่อใดที่นางมีจวนเป็นของตนเอง อาหารเลิศรสทุกอย่างจะกินให้หายอยากก็ยังได้ และสาวใช้ของนางต้องได้กินเหมือนกับนาง
ทางด้านสาวใช้ทั้งสองคน ได้แยกกันหาซื้อสิ่งที่จางหมิ่นต้องการ พวกนางเลือกชิ้นที่ดูงดงามลวดลายแปลกตา เสื้อผ้ามีทั้งของบุรุษและสตรีที่การตัดเย็บละเอียด เนื้อผ้าไหมอย่างดีย่อมมีราคา เมื่อได้ครบจึงรีบกลับเพราะอยากรู้ว่า เจ้านายจะนำของพวกนี้ไปหาเงินได้อย่างไร
หนิงอวี่เรียกหาจ้าวจางหมิ่นทันทีที่เข้ามาในเรือน “คุณหนูเจ้าคะพวกบ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“กลับมาแล้วหรือ ได้ของตามที่ข้าสั่งครบหรือไม่?” จ้าวจางหมิ่นเดินออกมาจากห้องนอนและถามกลับหนิงอวี่
“ครบเจ้าค่ะ ทั้งปิ่นปักผม กำไลหยกและเสื้อผ้าบุรุษกับสตรีเจ้าค่ะ แล้วคุณหนูจะนำมันไปหาเงินอย่างไรหรือเจ้าคะ?” ฮุยอินรายงานจบจึงถามกลับบ้าง
“อืม เรื่องนี้คงต้องบอกว่าเป็นความลับที่สำคัญมาก จะบอกให้คนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาด จะมีพวกท่านสองคนเท่านั้นที่ข้ายอมบอก แต่ต้องสาบานต่อฟ้าดินว่า จะเก็บเป็นความลับไปจนตาย พวกท่านกล้าสาบานหรือไม่” เพราะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป หากหลุดไปถึงหูคนชั่วนางย่อมเป็นอันตราย
“พวกบ่าวสาบานว่าจะเก็บความลับนี้ไว้จนตัวตาย จะไม่บอกผู้ใดเด็ดขาดหากผิดคำสาบาน ขอให้ถูกฟ้าผ่าทันทีเจ้าค่ะ”
หนิงอวี่และฮุยอินกล้ากล่าวคำสาบาน ด้วยความรักที่มีต่อจ้าวจางหมิ่นอย่างแท้จริง หลังจากได้เห็นความจริงใจของสาวใช้ นางจึงบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวที่แต่งขึ้นกับทั้งสองคน ว่าดวงจิตได้หลุดออกจากร่างยามที่ล้มป่วย และได้ล่องลอยไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของแปลกตา แต่มันน่าดึงดูดนางจึงได้เรียนรู้และทดลองใช้จนชำนาญ
เมื่อดวงจิตกลับมาเข้าร่างอีกครั้ง ก็มีของวิเศษบางอย่างติดตัวกลับมา โดยสามารถใช้เงินตำลึงซื้อสินค้าของโลกแห่งนั้น หรือนำของมีค่าในโลกนี้ขายแลกเงินก็ได้เช่นกัน พอได้ฟังเรื่องอัศจรรย์นี้ทำเอาสองสาวใช้ตาโตเท่าไข่ห่าน และรบเร้ากับจ้าวจางหมิ่นว่าอยากเห็นของวิเศษ เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก
“น่าอัศจรรย์จริง ๆ เจ้าค่ะคุณหนู นอกจากท่านจะเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ ของวิเศษที่ได้มาต้องเป็นเทพบนสวรรค์ ประทานให้ท่านเพราะมองเห็นชีวิตของท่านก็เป็นได้นะเจ้าคะ” หนิงอวี่คิดไปว่าเป็นเทพที่มอบของวิเศษให้จ้าวจางหมิ่น
“ใช่เจ้าค่ะ ว่าแต่ว่าคุณหนูพอจะทำให้ดูได้ไหมเจ้าคะ ว่าเจ้าของวิเศษนี้ใช้หาเงินอย่างไรน่ะ แหะ ๆ ๆ” ฮุยอินก็อยากเห็นแล้วเช่นกัน
“ได้สิพี่ฮุยอิน แต่ก่อนอื่นพวกท่านต้องปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด ป้องกันพวกบ่าวคนอื่นไว้ก่อนดีกว่านะเจ้าคะ”
“โอ้ จริงด้วยเจ้าค่ะ หนิงอวี่พวกเราช่วยกันปิดประตูหน้าต่างเร็วเข้า คุณหนูจะได้เรียกของวิเศษออกมาได้”
เพราะความอยากรู้อยากเห็น ทำให้พวกนางทำงานได้อย่างรวดเร็ว และกลับมายืนอยู่ข้าง ๆ จ้าวจางหมิ่น เพื่อรอดูของวิเศษที่ได้ฟังจากปากเจ้านาย
“ระบบ ข้ามีของต้องการขาย”
[ติ๊ง สวัสดีอีกครั้ง การขายสินค้าท่านสามารถทำตามขั้นตอนได้ ขอเพียงเป็นสินค้ามีคุณภาพย่อมขายได้ราคาดีเช่นกัน]
“นะ นั่นคือของวิเศษเช่นนั้นรึ ฮะ ฮุยอินเจ้าเห็นเหมือนข้าหรือไม่”
“หนะ หนะ หนิงอวี่พวกเราไม่ได้ฝันไปใช่ไหม นะ นั่นคือของวิเศษที่คุณหนูพูดถึงจริง ๆ”
“คิ คิ ข้ามีปิ่นทองคำแท้ลวดลายงดงามสองชิ้น และกำไลหยกอีกสองวง เสื้อผ้าทำจากผ้าไหมอย่างดีของบุรุษและสตรี อย่างละสองชุด” จ้าวจางหมิ่นนำทั้งหมดวางลงบนช่องว่างกลางอากาศ ก่อนจะกดประเมินราคาขายทันที
[กรุณารอสักครู่ ระบบกำลังประเมินราคาสินค้า]
ระหว่างรอการประเมินราคาจากระบบ สาวใช้ทั้งสองยังคงจ้องมองหน้าจอสีขาวตาไม่กระพริบ ด้วยกลัวว่าหากกระพริบตา
มันจะหายไป[ติ๊ง รวมราคาประเมินของสินค้าทั้งหมด เป็นเงินหนึ่งพันสามร้อยสามสิบตำลึงทอง ท่านต้องการขายตอนนี้หรือไม่]
“ขายแน่นอน!”
“ห๋า!! หนึ่งพันสามร้อยสามสิบตำลึงทอง นะ นะ นี่มันมีราคาแพงถึงเพียงนี้เชียวรึ” ฮุยอินตะลึงกับราคาที่ได้ยิน
“เช่นนั้นคุณหนูก็มีเงินซื้อจวน และมีเงินเหลือนำมาเปิดกิจการได้แล้ว บ่าวพูดถูกหรือไม่เจ้าคะคุณหนู” หนิงอวี่ที่ตะลึงไม่ต่างจากสหาย พอตั้งสติได้ก็นึกถึงคำพูดของจ้าวจางหมิ่น
“ใช่แล้วล่ะ และพวกเราสามคนจะไปจากที่นี่ ในต้นยามเฉินของวันพรุ่งนี้ พวกท่านเตรียมตัวให้พร้อมนะเจ้าคะ” เมื่อมีเงินในมือหลักพันตำลึงทอง จะรั้งรออยู่ที่นี่ต่อไปทำไมกัน
[ติ๊ง สินค้าของท่านทำการขายแล้ว ระบบจะวางเป็นตั๋วเงินและก้อนตำลึงในช่องเก็บของ ขอบคุณสำหรับสินค้าคุณภาพดี]
“หากไม่เห็นกับตาก็ยากจะเชื่อ ว่าจะมีของวิเศษเช่นนี้อยู่จริง ขอบคุณท่านเทพทั้งหลายที่เมตตาคุณหนูของข้าเจ้าค่ะ” หนิงอวี่รีบคุกเข่าคำนับขอบคุณสวรรค์
“เช่นนั้นวันนี้คุณหนูต้องเข้านอนเร็วสักนิดนะเจ้าคะ พรุ่งนี้จะได้สดชื่ออารมณ์ดียามออกจากจวนเจ้าค่ะ” ฮุยอินรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง
“ตกลงเจ้าค่ะ”
และในคืนนี้นายบ่าวทั้งสามนอนหลับสนิท ด้วยความสบายใจที่จะเป็นอิสระ ไม่ต้องทนอยู่กับคนเห็นแก่ตัวอย่างตระกูลนี้อีก
ต้นยามเฉินของวันต่อมา บ่าวไพร่คนอื่น ๆ มองจ้าวจางหมิ่นที่มีสาวใช้อีกสองคน เดินตามออกจากจวนไปด้วยความอิจฉาเสียดื้อ ๆ นั่นเพราะว่าหนิงอวี่กับฮุยอิน มีอิสระในการใช้ชีวิตมากกว่าพวกตน แต่อิจฉาแล้วอย่างไรเล่า คิดจะเป็นอิสระจะเก็บเงินไถ่ตนเองได้เมื่อใด
สามคนนายบ่าวที่เดินพ้นประตูจวน ก็ไม่หันกลับไปมองอดีตอันทุกข์ระทมนั่นอีก นับจากนี้ต่อไปพวกเขาจะมองเพียงปัจจุบัน และอนาคตที่จะมีกิจการร้านค้าขนาดใหญ่เท่านั้น
จ้าวจางหมิ่นให้สาวใช้พาไปศาลาว่าการ เพื่อซื้อจวนหลังขนาดกลางเมื่อคิดจะเปิดกิจการ ซึ่งคนที่ทำหน้าที่ตอนนี้คือผู้ช่วยเจ้าเมือง นางเลือกจวนด้านทิศเหนือที่ดูสงบเงียบไม่วุ่นวาย และยังสะดวกยามต้องนำสิ่งของออกมาจากระบบ และไม่ลืมเช่าแผงขายของตลาดเช้าเสียเลย
จวนตระกูลจ้าวหลังที่เลือกซื้อมา ถือว่ายังมีความแข็งแรงทนทาน ไม่ต้องซ่อมแซมหรือปรับปรุงแต่อย่างใด เนื่องจากเจ้าของเพิ่งย้ายออกไปได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน และจ้าวจางหมิ่นซื้อในราคาหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงทอง
ด้วยเป็นจวนที่มีห้องเท่าที่จำเป็น และเรือนเล็กหนึ่งหลัง ทั้งสามคนจึงช่วยกันทำความสะอาด จนผ่านไปหนึ่งชั่วยามเล็กน้อยก็แล้วเสร็จ เป็นเวลาใกล้ยามอู่เสียงท้องของพวกนาง พร้อมใจกันส่งเสียงร้องเรียกหาอาหาร จ้าวจางหมิ่นจึงถือโอกาสนี้นำอุปกรณ์ทั้งหมดออกมา เพื่อทำอาหารมื้อเที่ยงเสียเลย
ทั้งอุปกรณ์และวัตถุดิบแปลกตาวางอยู่ตรงหน้า หนิงอวี่รีบถามทันทีว่าใช้อย่างไร “คุณหนูเจ้าคะ อุปกรณ์พวกนี้ใช้ทำอันใดหรือ แล้วยังมีเจ้าลูกกลม ๆ เหล่านี้อีก”
“อ้อ เจ้าพวกนี้คือเครื่องมือทำมาหากินของพวกเรา และข้าจะทำมันให้พวกพี่สองคนชิมเป็นคนแรก ก่อนที่จะทำไปขายในวันพรุ่งนี้อย่างไรล่ะเจ้าคะ”
“แล้วเราจะเรียกมันว่าอาหารอันใดดีเจ้าคะ” ฮุยอินอยากรู้ชื่ออาหารที่จ้าวจางหมิ่นกำลังจะทำให้ชิม
“เจ้านี่มันเรียกว่าลูกชิ้นหมู พวกเราจะใช้ไม้ปลายแหลมนี้ เสียบลูกชิ้นไม้ละห้าลูกเว้นระยะห่างเล็กน้อย จากนั้นนำไปย่างบนเตาถ่าน พลิกกลับด้านไปมาอย่าให้ไหม้เกรียมจนเกินไป แค่พอมีสีเหลืองนิด ๆ ก็พอ เนื่องจากเจ้าลูกชิ้นนี้มันผ่านความร้อนแล้ว หรือจะบอกว่ามันสุกก็ย่อมได้ เพียงแค่เราเอามาปิ้งให้ร้อนกินกับน้ำจิ้ม ยิ่งทำให้อร่อยกว่ากินลูกชิ้นเปล่า ๆ เจ้าค่ะ”
“โอ้ ฟังเช่นนี้แล้วก็อยากชิมขึ้นมาทันทีเลยเจ้าค่ะ งั้นบ่าวจะไปติดเตาถ่านไว้รอ ให้หนิงอวี่ช่วยคุณหนูเสียบเจ้าลูกชิ้นนะเจ้าคะ”
“ดีเหมือนกันเจ้าค่ะ จะได้ชิมลูกชิ้นปิ้งแสนอร่อยเร็ว ๆ” แบ่งหน้าที่กันทำทุกอย่างย่อมรวดเร็ว
เมื่อทุกอย่างพร้อมลูกชิ้นหลายสิบไม้ ก็วางเรียงรายอยู่บนเตาถ่าน ทั้งสามคนช่วยกันปิ้งลูกชิ้นอย่างสนุกสนาน จนมันสุกได้ที่ตามที่จ้าวจางหมิ่นพูดไว้ จึงนำไปวางในจานและเทน้ำจิ้ม ที่มีรสหวานและรสเผ็ดร้อนใส่ถ้วยใบเล็ก แค่คำแรกก็ไม่อาจหยุดกินได้อีก
“อื้ม! อร่อยมากเจ้าค่ะคุณหนู กินกับน้ำจิ้มแล้วเข้ากันมาก”
“โอย ร้อน ๆ ๆ อร่อยอย่างที่ฮุยอินพูดจริง ๆ ถ้าพวกเราทำขายวันพรุ่งนี้ บ่าวว่าคงหมดก่อนถึงยามเฉินแน่เจ้าค่ะ” หนิงอวี่ชอบน้ำจิ้มรสเผ็ดร้อนหรือก็คือน้ำจิ้มซีฟู้ดนั่นเอง
“นั่นมันแน่อยู่แล้วเจ้าค่ะ ของอร่อยจะขายไม่หมดได้อย่างไร แต่ข้าคิดว่าเย็นนี้จะปิ้งเอาไว้และเก็บในช่องเก็บของ หากพรุ่งนี้เช้าไปปิ้งที่ตลาดคงขายไม่ทัน”
“บ่าวเห็นด้วยเจ้าค่ะ เพราะต้องใช้เวลาในการปิ้งพอสมควร หากเตรียมไว้ล่วงหน้าจะขายได้เร็ว และลูกค้าไม่ต้องรอนานด้วยนะเจ้าคะ” ฮุยอินแค่คิดก็สนุกกับการค้าขายครั้งแล้ว
“อืม กินเสร็จก็พักผ่อนให้หายเหนื่อยเสียก่อน พอยามเซินพวกเราค่อยมาช่วยกันปิ้งลูกชิ้นอีกครั้งนะเจ้าคะ”
“เจ้าค่ะคุณหนู/เจ้าค่ะคุณหนู”
เมื่อถึงยามเซินนายบ่าวก็มานั่งเสียบลูกชิ้น ซึ่งจ้าวจางหมิ่นจะทำประมาณสามร้อยไม้ และจะปิ้งให้พอมีสีสันน่ากิน ก่อนจะเก็บเข้ามิติคงสภาพไว้เช่นนั้น ยามที่พวกนางเปิดร้านในวันพรุ่งนี้ ก็แค่นำไปอุ่นให้ร้อนก็ทานได้ทันที อาหารรูปร่างแปลกตาที่ทำจากเนื้อหมู รวมกับน้ำจิ้มสองรสชาติให้เลือกได้ จะไม่เป็นที่สนใจของผู้คนในเมืองเหอเฟยได้อย่างไร
ยามเหม่าของวันต่อมา จ้าวจางหมิ่นตื่นพร้อมกับสาวใช้ทั้งสอง เพื่อเตรียมของสำหรับการค้าวันแรก รถเข็นที่มีวัตถุดิบและอุปกรณ์ครบครัน ถูกเข็นออกจากจวนมุ่งหน้าไปยังตลาดเช้า ซึ่งแผงขายของนี้ของจ้าวจางหมิ่น อยู่ข้าง ๆ กับแผงขายผักพอดีทั้งสามคนแบ่งงานกันทำเช่นเมื่อวาน เมื่อเตาถ่านเริ่มร้อนลูกชิ้นที่เตรียมไว้ ถูกนำออกมาวางลงบนเตา เพื่ออุ่นให้ร้อนอีกครั้งสำหรับขายให้ลูกค้า และกลิ่นหอมของลูกชิ้นปิ้ง ก็เรียกความสนใจของคนที่เดินผ่านไปมา จนมีบุรุษวัยกลางคนเดินเข้ามาถาม ด้วยความสนใจอาหารของจ้าวจางหมิ่น“เอ่อ แม่ค้าเจ้าทำอันใดมาขายเช่นนั้นหรือ กลิ่นมันคล้ายเนื้อแต่ทำไมมันถึงเป็นลูกกลม ๆ ไปเสียได้เล่า”“นั่นน่ะสิ แต่ข้าสองคนทนกลิ่นหอมนี้ไม่ไหว ถึงได้มาถามดูเสียก่อนว่ามันคือสิ่งใด”“ท่านอาทั้งสองช่างมีจมูกที่ดีมากเจ้าค่ะ เจ้าลูกกลม ๆ นี้ข้าเรียกมันว่าลูกชิ้น และมันทำมาจากเนื้อหมูจริง ๆ พอนำมาปิ้งกับเตาถ่านจึงมีกลิ่นหอม นอกจากนี้ยังมีน้ำจิ้มสองรสให้เลือก หากท่านอาสนใจข้าจะหั่นให้พวกท่านลองชิมดู ถ้าถูกใจในรสชาติค่อยซื้อก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นตอบคำถามลูกค้าอย่างเป็นกันเองบุรุษทั้งสองรับไม้จิ้มขนา
ยามเฉินของเช้าวันที่สี่ หลังจากเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างเสร็จ จ้าวจางหมิ่นและสาวใช้กำลังจะกลับจวนของตน ก็ได้ยินเสียงแสดงความยินดีกับอดีตเจ้าเมือง ที่ได้เลื่อนตำแหน่งเข้าทำงานในราชสำนัก ถึงจะไม่มีใครพูดชื่อตระกูลจ้าวจางหมิ่นย่อมรู้ดีว่าคือใครหนิงอวี่เห็นเจ้านายน้อยหยุดมองนิ่ง ๆ ก็ฉุกคิดได้และจะพานางกลับจวน แต่กลับได้รับคำปฏิเสธ นอกจากนี้จ้าวจางหมิ่นยังเดินเข้าไปใกล้อีกนิด เพื่อจดจำคนตระกูลฉู่นี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ และมีคำอวยพรที่พึมพำออกมาเบา ๆหึ ขอให้พวกเจ้าตระกูลฉู่อยู่กับความสุขเหล่านี้มาก ๆ วันใดที่ถูกหลอกใช้จนหมดประโยชน์ ผู้มีอำนาจเฉดหัวทิ้งขึ้นมาจะได้รู้เสียทีว่าการถูกทอดทิ้งมันสิ้นหวังเพียงใด“คุณหนูเจ้าคะ” ฮุยอินเรียกเพียงสั้น ๆจ้าวจางหมิ่นได้ยินเสียงสาวใช้ จึงดึงสติของตนกลับมา “พี่ฮุยอินไม่ต้องคิดมากเจ้าค่ะ ข้าแค่อยากยืนส่งพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย และรอคอยให้เวรกรรมตามสนองคนตระกูลนี้เท่านั้น”หนิงอวี่ได้ยินคำนี้ของจ้าวจางหมิ่น ก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง “คุณหนูพูดถูกสักวันหนึ่งสิ่งที่พวกเขาทำไว้กับท่าน ย่อมสนองกลับหลายร้อยหลายพันเท่า แต่ตอนนี้กลับจวนไปพักเถิดเจ้าค่ะ”“อืม ไปกันเถิด พวก
ภายหลังพาเหล่าทาสที่ซื้อมาถึงจวน จ้าวจางหมิ่นให้สาวใช้ทั้งสองคน ช่วยกันหุงหาอาหารสำหรับสมาชิกใหม่ ซึ่งยามนี้พวกเขายังคงอ่อนแรง แม้จะพยายามทำให้นางเห็นว่าเข้มแข็งก็ตาม นางรอจนกระทั่งพ่อบ้านกับทาสอีกสามคนกลับมา และแจกจ่ายเสื้อผ้าให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว จึงได้พูดคุยในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้“เอาล่ะ ตอนนี้พวกท่านทุกคนก็มาอยู่ในจวนของข้าแล้ว ตัวข้ามีนามว่าจ้าวจางหมิ่น สาวใช้ทั้งสองมีชื่อว่าหนิงอวี่และฮุยอินอย่างที่พวกท่านเห็นว่า จวนของข้ามีขนาดกลางลำพังเด็กและสตรีสองคนไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง นอกจากนี้ข้ายังต้องทำการค้า ถึงได้ตัดสินใจไปซื้อตัวพวกท่านมา” จ้าวจางหมิ่นหยุดพูดเมื่อเห็นว่ามีคนอยากถามบางอย่าง“เอ่อ ทำไมคุณหนูจ้าวถึงเลือกเฉพาะพวกข้า ที่มีวรยุทธ์ทั้งหมดเล่าขอรับ แม้แต่คนที่จะทำหน้าที่พ่อบ้านยังมีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา”“ที่ข้าเลือกพวกท่านทุกคน เพราะมองเห็นถึงความซื่อสัตย์ สตรีคอยดูแลรับผิดชอบภายในเรือน พ่อบ้านความหมายย่อมบ่งบอกอยู่แล้ว ส่วนพวกท่านหลังจากรักษาตัวจนหาย มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและทำสินค้าไว้สำหรับนำไปขาย ในอนาคตอันใกล้ข้าจะมีร้านเป็นของตนเอง จากนั้นจะมีการค้าชนิดใหม่เพิ่มขึ้นอีกมากม
ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน ในคืนแรกของการได้รับอิสระห้าวเหลียงได้หารือกับคนอื่น ๆ เกี่ยวกับหน้าที่ต่าง ๆ ที่ต้องทำในแต่ละวัน พวกเขาได้ข้อสรุปที่ตรงกันก็คือ การเรียนรู้ทำสินค้าของจ้าวจางหมิ่นจะทำร่วมกัน เผื่อวันใดวันหนึ่งคนในกลุ่มไม่อยู่ พวกเขาสามารถทำแทนกันได้โดยเฉพาะเหว่ยหงกับเสียอี้สองคนนี้ เคยทำงานในสำนักคุ้มภัยมาก่อน ในอนาคตหากการค้าของเจ้านายขยายไปต่างเมือง ทั้งสองจะเป็นกำลังหลักสำหรับการส่งสินค้าทันที ดังนั้นห้าวเหลียงและทุกคนจึงลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันเมื่อได้กินอิ่มท้องและพักผ่อนเต็มที่ ทำให้สมาชิกใหม่ของจวนตระกูลจ้าว พร้อมใจกันตื่นตั้งแต่ยามเหม่า และเป็นเวลาที่จ้าวจางหมิ่นเตรียมออกไปขายของเช่นทุกวัน ห้าวเหลียงเห็นอุปกรณ์บนรถเข็น ก็รู้สึกเห็นใจสาวใช้ของจ้าวจางหมิ่น ที่เป็นสตรีรูปร่างบอบบาง แต่กลับต้องมายกข้าวของที่มีน้ำหนักมากเช่นนี้ จึงให้เป่าเฟิงกับจงเหลียนช่วยเข็นไปที่ตลาดแทน คนที่เหลือก็คิดไม่ต่างจางห้าวเหลียงนัก“พ่อบ้าน อย่าหาว่าข้าสอดรู้สอดเห็นไม่เข้าเรื่องเลย คนในครอบครัวของคุณหนูหายไปที่ใดหมด ถึงปล่อยให้เด็กที่ควรได้วิ่งเล่น ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานหาเงินเช่นน
ลูกจ้างของจ้าวจางหมิ่นต่างตื่นตาตื่นใจ สำหรับเครื่องมือที่นางได้สอนพวกเขา แต่ละคนคิดว่านี่คือสิ่งที่อัศจรรย์มาก และขั้นตอนการทำมิได้ยุ่งยากเลยสักนิด พอทำจนถึงขั้นตอนสุดท้ายนำลูกชิ้นสะเด็ดน้ำ ก็มานั่งช่วยกันเสียบลูกชิ้นไม้ละห้าลูก ซึ่งเป็นลูกขนาดพอดีไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป แค่ให้สมกับราคาที่ตั้งเอาไว้เท่านั้นก็พอเนื่องจากครั้งทดลองทำและได้ลูกชิ้นถึงเจ็ดร้อยไม้ จ้าวจางหมิ่นจึงให้นำเตามาย่างลูกชิ้นหนึ่งร้อยไม้ เพื่อให้ทุกคนได้ชิมฝีมือของตนเอง ดังนั้นในยามอู่อาหารมื้อเที่ยงจึงเป็นลูกชิ้นปิ้ง และไม่ลืมให้เป้ยอิงแบ่งใส่จาน นำไปให้กับคนสนิทของเสิ่นหนิงเทียนที่เรือนเล็กด้วยนับตั้งแต่ได้เรียนวิธีการทำลูกชิ้น จ้าวจางหมิ่นได้มอบเงินให้ห้าวเหลียงจำนวนหนึ่ง สำหรับให้แม่ครัวหงชิงใช้ซื้อวัตถุดิบทำอาหาร และซื้อเนื้อหมูสำหรับทำลูกชิ้นไว้รอจ้าวจางหมิ่นเสมอ แต่เรื่องที่พวกห้าวเหลียงได้พูดคุยไว้ ก็เป็นหยางไห่ที่ออกไปสืบหาข้อมูล เกี่ยวกับครอบครัวของเจ้านายและเขาก็เลือกมาถูกที่เสียด้วยหน้าจวนเจ้าเมืองที่ปิดประตูเอาไว้ ยังคงมีทหารผลัดเปลี่ยนมาคอยดูแล เพื่อป้องกันมิให้มีใครฉวยโอกาส เข้าไปอยู่อาศัยจนทำให้เร
เนื่องจากวัตถุดิบมีหลายอย่าง จ้าวจางหมิ่นจึงให้ฮุยอินไปตามพ่อบ้าน และคนอื่นมาช่วยเพื่อนำไปเก็บที่ห้องเสบียง โดยแบ่งส่วนหนึ่งไว้สำหรับทำเป็นมื้อเย็น แม้จะรู้สึกแปลกใจว่าสิ่งของเหล่านี้ มาอยู่ในห้องของเจ้านายพวกตนได้อย่างไร แต่นั่นเป็นคำถามที่ต้องเก็บไว้ในใจเท่านั้นเมื่อเลือกที่จะซื่อสัตย์ภักดีกับจ้าวจางหมิ่นแล้ว ถึงจะอยากรู้ถ้าเจ้านายไม่บอกด้วยตนเอง พวกเขาไม่สมควรก้าวก่าย พ่อบ้านห้าวและเพ่ยตงที่มาช่วยยกของ จึงทำเพียงหน้าที่ของตนเท่านั้นจ้าวจางหมิ่นเดินตามทุกคนไปถึงห้องครัว เพื่ออธิบายถึงวัตถุดิบทั้งหมดว่าใช้สำหรับทำอะไร รวมถึงบอกว่าจะสอนแม่ครัวหงชิงหรือคนอื่น ๆ ที่สนใจอยากทำอาหารชนิดนี้เป็น เผื่อวันใดอยากกินจะได้ลงมือทำด้วยตนเองได้ทันที ไม่ต้องร้องขอให้แม่ครัวหงชิงทำให้“คุณหนูเจ้าคะ ของพวกนี้จะใช้ทำอาหารชนิดใดหรือเจ้าคะ บ่าวไม่เคยเห็นผักที่เป็นหัวหรือเจ้าลูกสีแดงนี่มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” แม่ครัวหงชิงมองผักที่นางไม่รู้จัก เพราะตั้งแต่เล็กจนโตนางรู้จักอยู่ไม่กี่อย่าง“อ้อ วัตถุดิบที่ทุกคนเห็นตรงหน้าทั้งหมด คือส่วนประกอบของอาหารชนิดใหม่ ที่ข้าจะทำให้ลองชิมก่อนจะทำขายเจ้าค่ะ” จ้าวจางหมิ่นตอบ
และแล้วก็ถึงวันหยุดที่จ้าวจางหมิ่นได้พูดไว้ ซึ่งวันนี้นางจะไปยังหมู่บ้านหลิ่วซู่ของหนิงอวี่ ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองเหอเฟยมากนัก นั่งรถม้าไปเพียงสองเค่อก็ถึงหมู่บ้านแห่งนี้แล้วครั้งนี้จ้าวจางหมิ่นให้เหล่ยหง เสียอี้และซีหยุนติดตามไปดูแล ด้านหนิงอวี่ดีใจที่จะได้กลับไปเยี่ยมครอบครัว แม้ไม่รู้ว่าพวกเขาจะยินดียามที่เห็นตนเองหรือไม่ แต่หนิงอวี่ยังมีใจซื้อข้าวสารอาหารแห้ง รวมถึงผ้าอีกหนึ่งพับไปเป็นของฝากส่วนจ้าวจางหมิ่นไม่ได้แต่งกายหรูหราอันใด นางสวมใส่ชุดสำหรับเด็กทั่วไปเพียงแค่เนื้อผ้า อาจจะดูดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้น เพราะนางไม่คิดว่าจะต้องแต่งกายไปอวดผู้ใดก่อนจะออกเดินทางจ้าวจางหมิ่นไม่ลืมกำชับพ่อบ้านห้าว เรื่องของคนที่พักอยู่ในเรือนเล็ก “ลุงพ่อบ้านข้าฝากดูแลคุณชายเสิ่นด้วยนะเจ้าคะ หากเขาต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมก็จัดหาให้ ไม่เกินยามเซินพวกข้าก็กลับมาแล้วล่ะ”“ขอรับ บ่าวจะดูแลคุณชายเสิ่นเป็นอย่างดีขอรับ เหล่ยหงพวกเจ้าสามคนดูแลคุณหนูให้ดีเล่า อย่าให้เกิดเรื่องไม่ดีกับคุณหนูเป็นอันขาด”“พ่อบ้านวางใจเถิด หากใครกล้าคิดทำร้ายคุณหนูล่ะก็ รับรองพวกมันไม่มีโอกาสได้ร้องขอความเมตตาแน่”“น้าเหล่ยหงไปกันเ
ระหว่างนั่งรถม้ากลับเข้าเมือง จ้าวจางหมิ่นยังโมโหไม่หาย เมื่อเห็นใบหน้าของหนิงอวี่เริ่มเห็นรอยนิ้วมือชัดเจนขึ้น “ฮึ่ย! ข้าไม่น่าให้น้าเหล่ยหงสั่งสอนแค่นั้นเลยจริง ๆ พี่หนิงอวี่จากนี้ไปท่านสนใจแค่ตัวเองก็พอ ตัดครอบครัวเช่นนั้นออกไปจากชีวิตเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรเสียก็มีข้ากับทุกคนเป็นครอบครัว ภายหน้าท่านต้องแต่งงานมีคู่ชีวิตที่ดีได้แน่”“บ่าวจะมีครอบครัวได้อย่างไรเจ้าคะ คุณหนูยังไม่ถึงวัยปักปิ่นเลยด้วยซ้ำ รอคุณหนูปักปิ่นเมื่อใดบ่าวค่อยแต่งงานเจ้าค่ะ หากคนรักของบ่าวรับข้อนี้ไม่ได้ ก็แค่ไม่แต่งและอยู่ดูแลคุณหนูจนแก่ รอเลี้ยงคุณชายน้อยคุณหนูน้อยก็ไม่เป็นอันใดนะเจ้าคะ” หนิงอวี่คิดเอาไว้เช่นนั้นจริง ๆ“บ่าวก็คิดแบบเดียวกับหนิงอวี่เจ้าค่ะ แม้จะแต่งงานแล้วเราสองคนก็จะติดตามคุณหนูเช่นเดิม ไม่มีทางแยกไปสุขสบายไม่สนใจคุณหนูได้อย่างไรเจ้าคะ” ฮุยอินเคยพูดคุยเรื่องนี้กับหนิงอวี่อยู่บ้าง“อืม ก็ดีเหมือนกันนะไว้ข้าสร้างกิจการให้มั่นคง ค้าขายมีกำไรร่ำรวยเป็นเศรษฐีนีมีเงินเหลือกินเหลือใช้ จะมอบเป็นสินเดิมเจ้าสาวให้พวกพี่สองคนก็แล้วกันนะเจ้าคะ อิ อิ” จ้าวจางหมิ่นพิจารณาสิ่งที่สาวใช้พูดมา ก็เห็นจะจริงนางยังเ
ภายหลังเสร็จสิ้นการแจกอาหารในวันเกิดแล้ว จ้าวจางหมิ่นให้หลิวฉีพาไปดูจวนหลังดังกล่าว ที่เจ้าของปิดป้ายประกาศขายจวนไว้ ซึ่งมีบ่าวไพร่อยู่ดูแลที่นี่สองคน เพื่อรอให้ขายจวนเรียบร้อยถึงจะตามเจ้านายไปทีหลังกันพ่ายกับกันเตี้ยวสองพี่น้องที่อาสาเฝ้าจวน ได้ยินเสียงเคาะประตูจวนจึงชวนกันออกมาดู กันพ่ายเห็นแขกสี่คนยืนอยู่จึงถามออกไป “เอ่อ ไม่ทราบว่าพวกท่านมาเรื่องซื้อขายจวนใช่หรือไม่ขอรับ?”หลิวฉีทำหน้าที่แทนจ้าวจางหมิ่นในการตอบคำถาม “ใช่แล้วน้องชาย คุณหนูของข้าอยู่จวนหลังติดกันกับจวนหลังนี้ และสนใจอยากซื้อจวนไว้จึงต้องการมาดูด้านในจวนเสียก่อน หากคุณหนูถูกใจก็มาคุยเรื่องราคา พวกเจ้าพอจะพาคุณหนูของข้าเดินชมจวนได้ไหม”กันเตี้ยวได้ยินเช่นนั้นก็หูผึ่งทันที เพราะถ้าขายจวนได้เร็วก็ไม่ต้องอยู่ที่นี่อีก “ได้สิขอรับ เชิญคุณหนูตามพวกข้าเข้าไปดูเรือนทุกหลังเถิด รับรองว่าคุณหนูต้องชอบจวนหลังนี้ขอรับ”จ้าวจางหมิ่นทำเพียงพยักหน้าตอบ และเดินตามสองพี่น้องไปด้านใน ไล่ตั้งแต่โถงรับรองติดเรือนใหญ่ ไปจนถึงเรือนหลักเล็กสำหรับเหล่าอนุ พื้นที่ทั้งหมดดูกว้างขวางกว่าเรือนของนางเล็กน้อยจ้าวจางหมิ่นคิดว่าจะเก็บเรือนใหญ่เอา
หลังจากวันที่ทำสัญญาการค้า นายท่านหลี่จัดการเรื่องสินค้าแล้วเสร็จ จึงได้พาหลี่ลู่เหอไปพบจ้าวจางหมิ่นที่จวน ทั้งสองคนนอกจากได้ทานอาหารและของว่างที่อร่อย ยังได้เห็นวิธีทำลูกชิ้นก่อนคนของตนจะมาร่ำเรียนสิ่งนี้ เมื่อได้เห็นการทำงานของเครื่องมือสองชิ้นนี้ นายท่านหลี่ยิ่งดีใจที่ตนคิดถูก เรื่องมาเจรจาการค้ากับจ้าวจางหมิ่นเมื่อถึงกำหนดต้องกลับเมืองเชาหู สองพ่อลูกยังได้อาหารไว้ทานระหว่างวัน จากจวนตระกูลจ้าวอีกเล็กน้อย ภายหลังนายท่านหลี่กลับไปได้ไม่นาน คนจากตระกูลหลี่ก็ถือจดหมายมาพบจ้าวจางหมิ่น และการเรียนวิธีทำลูกชิ้นจึงเริ่มขึ้น พวกเขาเรียนรู้ได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ พอมั่นใจแล้วว่าทุกอย่างไม่มีปัญหา ทั้งคนทั้งเครื่องมือสองชิ้นนี้ก็เดินทางกลับเมืองเชาหูพวกเหล่ยหงที่ออกเดินทางจากเมืองหลวง ภายหลังพาเสิ่นหนิงเทียนไปส่งถึงจวนเสิ่นอันโหว ก็เดินทางกลับมาถึงเมืองเหอเฟยเมื่อผ่านไปเกือบสามเดือน และนำของตอบแทนจากเสิ่นอันโหว ซึ่งเป็นตำลึงทองรวมถึงหีบใบชาชั้นดีขึ้นชื่อของเสิ่นฮูหยิน จ้าวจางหมิ่นไม่คิดว่าครอบครัวของเสิ่นหนิงเทียน จะมอบของตอบแทนมีราคากลับมาให้นางภารกิจใหญ่ครั้งแรกสำเร็จลุล่วงด้วยดี ทำใ
ระหว่างสองวันที่พวกเหล่ยหงพักอยู่ในโรงเตี๊ยมชุ่ยฮวา มีคนในเมืองหลวงไม่น้อยที่แอบเมียงมองไปที่รถม้า เนื่องจากมันดูงดงามแปลกตาจากรถม้าทั่วไป จนกลายเป็นที่กล่าวถึงอย่างรวดเร็ว ไม่แพ้ข่าวของเสิ่นหนิงเทียนเลยสักนิดเมื่อถึงวันออกเดินทางกลับเมืองเหอเฟย อวี่หรงได้มาเชิญเหล่ยหงกับพวกไปที่จวนเสิ่นอันโหว เพื่อนำของตอบแทนจากเจ้าตระกูล ไปมอบให้กับจ้าวจางหมิ่น เหล่ยหงคิดว่าคงเป็นของตอบแทนเล็กน้อย แต่ผิดคาดมันเป็นหีบขนาดใหญ่ถึงสามหีบ และหีบขนาดเล็กอีกหนึ่งหีบซึ่งผู้ที่ออกมาส่งมอบของตอบแทนในครั้งนี้ ก็คือเสิ่นอันโหวและเสิ่นหนิงเทียน “เจ้าคงเป็นเหล่ยหงที่บุตรชายข้าพูดถึงกระมัง ขอบใจพวกเจ้าทุกคนมากที่ดูแลบุตรชายของข้าเป็นอย่างดี และฝากขอบใจคุณหนูจ้าวผู้ที่ช่วยบุตรชายผู้นี้ของข้า ออกมาจากสถานที่อัปมงคลเช่นนั้น หีบที่พวกเจ้าเห็นอยู่คือน้ำใจจากตระกูลเสิ่น วันหน้าหากมีเรื่องเดือดร้อนอันใด พวกข้ายินดียื่นมือให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่แน่นอน”เหล่ยหงที่ถูกกล่าวถึงทำความเคารพเสิ่นอันโหว “ข้าน้อยเหล่ยหงคารวะเสิ่นอันโหวขอรับ สิ่งของเหล่านี้ข้าจะนำไปมอบให้ถึงมือคุณหนู หวังว่าวันหน้าที่ได้พบกันคุณชายเสิ่นจะแข็
เช้าวันถัดมาจากกลุ่มเดินทางไม่กี่คน ยามนี้เปลี่ยนเป็นขบวนเดินทางที่ใหญ่ขึ้น เนื่องจากมีองครักษ์ของตระกูลเสิ่น มาช่วยคุ้มกันบุตรชายของเจ้านายพวกเขา เพื่อพาไปถึงเมืองหลวงโดยไร้ซึ่งบาดแผลภายหลังกำจัดกลุ่มของจิ้งหยิ่งได้ ขบวนของเสิ่นหนิงเทียนก็มิได้สนใจอันใดอีก ทั้งหมดเร่งเดินทางให้เร็วขึ้นกว่าเดิม เพราะต้องการหลีกเลี่ยงสายตาคนของเสนาบดีเจาเต๋อหมิงนั่นเอง หลังจากการเดินทางเกือบสามเดือน ท่ามกลางภูเขาและแม่น้ำที่ผ่านตา ยามนี้เสิ่นหนิงเทียนจับจ้องไปที่เส้นขอบฟ้า ที่เริ่มปรากฏเป็นภาพของเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ตรงหน้า กำแพงเมืองสูงใหญ่ปกคลุมไปด้วยแสงสีทองจากดวงอาทิตย์ที่ใกล้ตกดิน ตัวกำแพงหนาที่แข็งแกร่งมีผู้คนบางตา ด้วยใกล้ถึงเวลาปิดประตูเมืองเข้ามาเต็มทีเมื่อต้องถูกตรวจค้นก่อนเข้าเมือง เฉิงตงจึงอ้างว่าด้านในรถม้าที่สวยแปลกตานี้ เป็นญาติของฮูหยินเสิ่นอันโหว ซึ่งได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนก่อนถึงงานปีใหม่ พอเห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มเพียงสามคน ทหารยามก็มิได้คิดอันใดมากนัก ทุกคนผ่านเข้าเมืองหลวงได้อย่างสบายใจ จนกระทั่งรถม้าหยุดลงด้านหน้าจวนอันใหญ่โตโออ่า ที่บนป้ายเขียนชื่อเอาไว้อย่างชัดเจน“น้าเหล่ย
ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วกับการเปิดร้านอาหาร ไม่มีวันไหนที่ลูกค้าไม่นั่งทานเต็มร้าน บางคนถึงกับนำเถาใส่อาหารติดตัวมาเพื่อซื้อกลับไปฝากคนในครอบครัวของตน แม้แต่แขกที่เข้าพักในโรงเตี๊ยมของเถ้าแก่เย่ ยังอยากซื้อไปกินระหว่างเดินทางเมื่อทุกอย่างของร้านอาหารลงตัวแล้ว ทุกคนจึงขอให้จ้าวจางหมิ่นอยู่พักผ่อนที่จวน หากต้องการไปที่ร้านสามสี่วันไปหนึ่งครั้งก็พอ เพราะพวกเขาอยากให้จ้าวจางหมิ่น ได้ใช้เวลาเป็นส่วนตัวมากขึ้น และได้ยินว่าเจ้านายกำลังคิดจะส่งสินค้าไปต่างเมืองการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นอิสระ จากตระกูลที่มีความเชื่อผิด ๆ ของจ้าวจางหมิ่นเป็นไปอย่างมีความสุข ทั้งเจ้านายและลูกจ้างทั้งหลาย แต่การเดินทางของเสิ่นหนิงเทียน กลับต้องพบเจอปัญหากลางทาง เมื่อเหลืออีกสี่หัวเมืองก็จะถึงเมืองหลวงอยู่แล้วเสียอย่างนั้นกลางภูเขาเฟิงซานรถม้าคันใหญ่งดงาม ซึ่งกลุ่มเดินทางเล็ก ๆ ของเสิ่นหนิงเทียน มาถึงบริเวณนี้ใกล้จะเข้ากลางยามเซินไปทุกที เหล่ยหงจึงส่งสัญญาณให้สหายหยุดรถม้า “เสียอี้เจ้าไปดูที่โล่งด้านหน้าเสียหน่อย ว่าสามารถใช้เป็นที่พักสำหรับคืนนี้ได้หรือไม่”“ได้ข้ากับหยางไห่จะไปดูเพื่อความปลอดภัย” เสียอี้พูดแล
หลังจากที่ส่งเสิ่นหนิงเทียนออกเดินทาง จ้าวจางหมิ่นและลูกจ้างอีกที่เหลือ จึงไปช่วยกันทำความสะอาดร้านค้า พร้อมกับนำอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่าง นำมาจัดวางให้เข้าที่เข้าทางภายในร้าน ชั้นสองของร้านมีห้องส่วนตัวสองห้อง จ้าวจางหมิ่นนำวัสดุออกมาตกแต่งจนงดงาม โต๊ะเก้าอี้ที่สีซีดก็นำมาทาสีเสียใหม่ส่วนแม่ครัวหงชิงกับสาวใช้ที่เหลือ จ้าวจางหมิ่นให้อยู่ที่จวนและทำแหนมซี่โครงหมูเพิ่ม โดยไม่ลืมให้พวกนางแยกตะกร้าเอาไว้ ว่าตะกร้าไหนทำก่อนหรือหลังเพื่อง่ายต่อการนำไปขายที่ร้าน ทุกคนร่วมแรงร่วมใจทำงานอย่างขยันขันแข็งจ้าวจางหมิ่นไม่ได้จ้างใครมาทำงานเพิ่ม เนื่องจากแค่ลูกจ้างที่มีอยู่ตอนนี้ ก็สามารถช่วยกันทำงานได้ แต่ต่อไปก็ไม่แน่หากกิจการทำเงินได้ดี นางอาจจะหาลูกจ้างมาเพิ่มและให้คนอื่น ๆ ถอนตัวเพื่อไปช่วยจัดการกิจการใหม่ ๆ ในอนาคต และก่อนจะถึงวันเปิดร้านหนึ่งวัน จ้าวจางหมิ่นได้ให้พ่อบ้านห้าวกับหมิงเช่อ ไปซื้อเสื้อผ้ามาให้ทุกคนเพิ่มอีกคนละสองชุด เพราะพวกเขาต้องมีเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนทุกวันพ่อบ้านห้าวเป็นตัวแทนของทุกคนพูดกับจ้าวจางหมิ่น “ขอบคุณคุณหนูที่ใส่ใจพวกเราขอรับ"“อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ นี่ยัง
กลางดึกของคืนวันเดียวกันนั้น จ้าวจางหมิ่นได้เลือกซื้อข้าวสารอาหารแห้ง ยาชนิดต่าง ๆ สำหรับสามคน ที่สำคัญนางไม่ลืมซื้อรถม้าเพิ่ม ซึ่งมันเป็นรถม้าที่คันใหญ่กว่าเดิม โดยใช้ม้าตัวใหญ่แข็งแรงถึงสามตัว เนื่องจากรถม้าคันนี้เสิ่นหนิงเทียนกับคนสนิท สามารถนอนพักระหว่างเดินทางได้สบาย จ้าวจางหมิ่นยังไม่ลืมซื้อกระโจมที่กางง่าย มอบให้เหล่ยหงเพิ่มเพราะไม่อยากให้ใครต้องนอนตากยุงนั่นเองต้นยามเหม่าคนที่รับหน้าที่คุ้มกันเสิ่นหนิงเทียน ก็มาพบจ้าวจางหมิ่นที่เรือนเพื่อรับสิ่งของที่จำเป็น ก็รู้สึกแปลกตามากแล้ว แต่พอได้เห็นรถม้าคันใหม่ยิ่งทำให้ตาโตเป็นไข่ห่าน พวกเขาต่างหยิกแขนตบหน้าตนเอง เพราะคิดว่ากำลังอยู่ในความฝันเสียอี้ลูบแขนตนเองไปมาและถามอย่างไม่เชื่อ กับสิ่งที่เห็นตรงหน้ากับเหล่ยหง “พะ พะ พี่เหล่ยหงนี่มันใช่รถม้าจริง ๆ รึ ข้าไม่เคยเห็นรถม้าเช่นนี้มาก่อน”“คุณหนูเป็นคนซื้อมาก็ต้องใช่รถม้าแล้วล่ะ อึก แต่ข้าไม่อยากนึกถึงราคาของมันเลยนะเสียอี้”“ใช่เจ้าคนเดียวที่ไหนเสียอี้ พวกข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน แต่ข้าคิดว่ามันงดงามกว่ารถม้าของเชื้อพระวงศ์เสียอีกนะ พวกเจ้าคิดเช่นเดียวกับข้าหรือไม่” หยางไห่ที่ตะล
เมื่อกลับมาถึงจวนจ้าวจางหมิ่นขอแยกกลับเรือนตนเอง โดยไม่ลืมให้พ่อบ้านห้าวบอกทุกคน ไปรวมตัวกันที่ห้องครัวรอนาง พ่อบ้านห้าวรับคำยังไม่ทันหันหลังกลับ จงเหลียนที่ยืนอยู่ด้วยกันกลับหายตัวไปก่อนแล้ว ด้วยความตื่นเต้นที่จ้าวจางหมิ่นจะสอนทำอาหารจ้าวจางหมิ่นนั่งคิดมาในรถม้าระหว่างกลับจวน ว่านางจะทำสิ่งใดเพิ่มอีกพอคิดไปคิดมา ก็คิดถึงอาหารที่ชอบขึ้นมาได้ และมันยังเป็นวิธีการถนอมอาหารอย่างหนึ่งเช่นกัน นั่นก็คือแหนมซี่โครงหมูและสามชั้นต้มจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด แค่จ้าวจางหมิ่นคิดก็เริ่มน้ำลายสอเสียเองพอเข้ามาในห้องไม่พูดพร่ำทำเพลง สาวใช้ยังไม่ทันได้เอ่ยถามเรื่องร้านค้า จ้าวจางหมิ่นกลับเรียกหาระบบทันที “ระบบข้าต้องการซื้อสินค้ากับเจ้า”[ติ๊ง ระบบออนไลน์ขั้นเทพยินดีให้บริการ ไม่ทราบว่าท่านต้องการซื้อสินค้าชนิดใด จากโลกไหนบ้างกรุณาแจ้งต่อระบบได้เลย]“ข้าต้องการซี่โครงหมูหนึ่งร้อยชั่ง สามชั้นมันน้อยหนึ่งร้อยชั่ง ข้าวเหนียวหนึ่งร้อยชั่ง กระเทียม น้ำปลา มะนาว พริกขี้หนู ผักชี ผักกาดขาว ผักสลัด ขิงดอง อย่างละห้าสิบจิน และใบเซียงเจียวพร้อมเชือกป่าน จำนวนหนึ่งร้อยพับนะระบบ”[ตกลง รายการสินค้าที่ท่านต้องการ ระบบจ
ระหว่างนั่งรถม้ากลับเข้าเมือง จ้าวจางหมิ่นยังโมโหไม่หาย เมื่อเห็นใบหน้าของหนิงอวี่เริ่มเห็นรอยนิ้วมือชัดเจนขึ้น “ฮึ่ย! ข้าไม่น่าให้น้าเหล่ยหงสั่งสอนแค่นั้นเลยจริง ๆ พี่หนิงอวี่จากนี้ไปท่านสนใจแค่ตัวเองก็พอ ตัดครอบครัวเช่นนั้นออกไปจากชีวิตเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรเสียก็มีข้ากับทุกคนเป็นครอบครัว ภายหน้าท่านต้องแต่งงานมีคู่ชีวิตที่ดีได้แน่”“บ่าวจะมีครอบครัวได้อย่างไรเจ้าคะ คุณหนูยังไม่ถึงวัยปักปิ่นเลยด้วยซ้ำ รอคุณหนูปักปิ่นเมื่อใดบ่าวค่อยแต่งงานเจ้าค่ะ หากคนรักของบ่าวรับข้อนี้ไม่ได้ ก็แค่ไม่แต่งและอยู่ดูแลคุณหนูจนแก่ รอเลี้ยงคุณชายน้อยคุณหนูน้อยก็ไม่เป็นอันใดนะเจ้าคะ” หนิงอวี่คิดเอาไว้เช่นนั้นจริง ๆ“บ่าวก็คิดแบบเดียวกับหนิงอวี่เจ้าค่ะ แม้จะแต่งงานแล้วเราสองคนก็จะติดตามคุณหนูเช่นเดิม ไม่มีทางแยกไปสุขสบายไม่สนใจคุณหนูได้อย่างไรเจ้าคะ” ฮุยอินเคยพูดคุยเรื่องนี้กับหนิงอวี่อยู่บ้าง“อืม ก็ดีเหมือนกันนะไว้ข้าสร้างกิจการให้มั่นคง ค้าขายมีกำไรร่ำรวยเป็นเศรษฐีนีมีเงินเหลือกินเหลือใช้ จะมอบเป็นสินเดิมเจ้าสาวให้พวกพี่สองคนก็แล้วกันนะเจ้าคะ อิ อิ” จ้าวจางหมิ่นพิจารณาสิ่งที่สาวใช้พูดมา ก็เห็นจะจริงนางยังเ