บทนำ
เฉินซิ่วลี่ ปรือตาตื่น ในหัวรู้สึกอื้ออึงสับสน ความทรงจำสุดท้ายก่อนหน้านี้ก็คือเธอกำลังนั่งอ่านนิยายเรื่อง “เล่ห์แค้นรักลวง” ที่ภรรยาของตัวร้ายในเรื่องมีชื่อเหมือนเธอทุกตัวอักษร แต่เพราะใช้เวลาอ่านอย่างตั้งใจถึงสามวันสามคืน ร่างกายจึงอ่อนล้า ตอนที่ลุกขึ้นยืนก็รู้สึกหน้ามืดและสติวูบดับ เพียงแต่ตอนที่ได้สติอีกครั้ง กลับพบว่าตนเองนอนอยู่ที่ริมแม่น้ำในสภาพเปียกปอนไม่ใช่บนเตียงนอนอย่างที่ควรจะเป็น
เกิดอะไรขึ้น ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
เป็นคำถามแรกที่เกิดขึ้นในความคิดของเฉินซิ่วลี่ ก่อนที่ภาพเรื่องราวต่างๆ จะค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาในความคิดของเธอ
เฉินซิ่วลี่ ชื่อนี่ผุดขึ้นมาก่อนเป็นอันดับแรกตามด้วยเหตุการณ์ มากมาย จนตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าตัวเองทะลุมิติมาอยู่ในร่างของภรรยาตัวร้ายในนิยายเรื่อง “เล่ห์แค้นรักลวง” ที่เพิ่งอ่านจบไป
เพียงแต่จะทะลุมิติทั้งทีทำไมไม่ไปอยู่ในร่างของคนที่มีชีวิตดีๆ สักหน่อยกลับมาอยู่ในร่างของเฉินซิ่วลี่ ภรรยาของตัวร้ายของเรื่องได้กัน
พดูดถึงตัวร้ายของเรื่อง หลี่อันเฉิง เขาคือชายหนุ่มที่มีหน้าตาโดดเด่นที่สุดในหมู่บ้าน ยิ่งต่อมาเขาได้เป็นทหารยิ่งทำให้ผู้หญิงค่อนหมู่บ้านหลงใหลแม่สื่อมากมายเดินเข้าบ้านตระกูลหลี่มาทาบทามเสนอหญิงสาวในมืออย่างไม่อาย แต่สุดท้ายกลับเป็น เฉินซิ่วจู นางเอกในนิยายที่ได้รับหนังสือหมั้นหมายจากเขา
เรื่องคงจบที่ชายหนุ่มโดดเด่น หญิงสาวงดงามครองรักกันอย่างสุขสงบ หากไม่เพราะ เฉินซิ่วลี่ เจ้าของร่างเดิมผู้นี้จะทำเรื่องน่าละอายอย่างการวางยาปลุกอารมณ์ หลี่อันเฉิง ผู้เป็นคู่หมั้นของญาติผู้พี่จนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งและได้แต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ใหญ่บ้านตระกูลหลี่
แน่นอนว่าหลังแต่งงานหลี่อันเฉิงก็ไม่ได้ใส่ใจภรรยาร้ายกาจแบบเธอเลยแม้แต่น้อย ในคืนแต่งงานหลังเข้าพิธีเสร็จเขาก็ออกจากบ้านไปทำงานในทันที ไม่แม้แต่จะอยู่ร่วมหอกับเธอ เรื่องนี้ทำให้เฉินซิ่วลี่อับอายจนไม่กล้าออกจากรั้วบ้านตระกูลหลี่ถึงสามเดือน จนกระทั่งเธอตั้งครรภ์จึงกล้าเอาท้องกลมๆ เดินออกมาอวดผู้คนว่าหลี่อันเฉินกับเธอรักกันลึกซึ้งจนมีพยานรัก สร้างความเจ็บปวดใจให้เฉินซิ่วจูเป็นอย่างยิ่งสุดท้ายจึงหนีความช้ำใจไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
แม้ในนิยายหลี่อันเฉินจะเป็นตัวร้ายที่โหดเหี้ยม แต่เมื่อรู้ว่าตนเองกำลังมีลูกก็ยอมถอยหนึ่งก้าว ส่งเงินมาให้เฉินซิ่วลี่ใช้ไม่ขาดมือ ในหนึ่งปีเขายังกลับบ้านมาถึงสองครั้งเพื่อเยี่ยมลูกชายฝาแฝดของเขา ทว่าเข้าสู่ปีที่สี่ทางกองทัพก็ส่งจดหมายมาแจ้งว่าเขาเสียชีวิตแล้ว
เฉินซิ่วลี่กลายเป็นหม้ายตั้งแต่อายุ 20 ปีอีกทั้งยังมีลูกติดเป็นฝาแฝดวัย 3 ขวบ ในใจของเธอนั้นยากจะยอมรับสถานะนี้แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง ต่อมาเธอได้บังเอิญพบเจอกับชายหนุ่มที่หน้าตาดี ดูมีฐานะ หลังพูดคุยกันเพียงเดือนเศษอีกฝ่ายก็สารภาพรักและชวนเธอไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน เฉินซิ่วลี่จึงวางแผนหนีตามเขาในทันที
แน่นอนว่าเรื่องโชคดีเช่นนี้จะมีที่ไหนกัน ชายหนุ่มที่เธอคิดว่าเป็นขาทองคำมาให้เธอเกาะ กลับกลายเป็นคนต่ำทรามล่อลวงเธอไปขายให้ผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง
เฉินซิ่วลี่จึงหยิบขวดเหล้าต่างประเทศฟาดหัวชายวัยห้าสิบปีที่คิดลวนลามเธอ แล้วหยิบกระเป๋าเงินของอีกฝ่ายวิ่งหนีออกมา
จับตัวนางคนสารเลวนั่นไว้
เฉินซิ่วลี่วิ่งหนีออกมาจากร้านอาหารอย่างสุดชีวิต แต่เพราะถูกไล่ล่าจนถึงทางตันสุดท้ายจึงเลือกกระโดดน้ำ และซมซานกลับบ้านในชนบท
เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวแม้จะตกใจกับเหตุการณ์ที่กำลังพบเจอ แต่ชีวิตเดิมเธอมีอายุ 38 ปีแล้วจึงสามารถจัดการอารมณ์ตนเองได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังคิดวางแผนชีวิตต่อจากนี้ในทันที
ดวงตาเรียวมองกระเป๋าเงินในมือแล้วเปิดออก ในนิยายกล่าวถึงนิสัยของเจ้าของร่างว่ามีความรักในเงินหยวนเท่าชีวิต ดูจากที่แม้จะหมดลมหายใจแล้วเฉินซิ่วลี่คนนี้ก็ยังกำกระเป๋าเงินของผู้อื่นเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เรื่องรักเงินหยวนเท่าชีวิตนี้คงจะจริงไม่น้อยทีเดียว
แต่ทั้งนี้เฉินซิ่วลี่ก็อดที่จะรู้สึกยินดีไม่ได้เมื่อพบว่าในกระเป๋ากว้างขนาดหนึ่งฟุตนี้มีเงินสดถึง 3,000 หยวน
ในเมื่อตอนนี้ยังคืนเงินคนไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเงินนี้เธอก็ขอเอาไว้เป็นทุนก่อนก็แล้วกัน
หากจำไม่ผิดคนที่เจ้าของร่างเดิมตีจนหัวแตกคือนายท่านตระกูลเย่ พ่อของเย่ชิงเหวิน พระเอกของนิยายเรื่องนี้นั่นเอง ในเมื่อเฉินซิ่วจูนางเอกในนิยายคือญาติผู้พี่ของเธอ เช่นนั้นเย่ชิงเหวินก็นับเป็นพี่เขยในอนาคต อาจจะดูไม่สมเหตุสมผลแต่เอาเป็นว่าเงินก้อนนี้เธอขอยืมตระกูลเย่มาใช้ก่อน อนาคตค่อยชดใช้คืนให้เขาก็แล้วกัน
ในนิยายกล่าวไว้ว่าหลังจากที่เฉินซิ่วลี่หนีตามชายชู้ไป หม่าอิงหงมารดาเลี้ยงของหลี่อันเฉิง ก็จะขายลูกแฝดของเขาออกไปในทันที เมื่อเฉินซิ่วลี่ซมซานกลับมาที่บ้านตระกูลหลี่ หม่าอิงหงก็ไล่เธอกลับบ้านเดิม คุณนายใหญ่เฉินเดิมทีก็มีใจลำเอียงรักเพียงหลานสาวบ้านใหญ่อย่างเฉินซิ่วจู เมื่อเฉินซิ่วลี่กลับไปก็ด่าทอเช้าเย็น เฉินซิ่วลี่ที่ไร้พ่อแม่ตอนนี้จึงกลายเป็นโดดเดี่ยวชีวิตต่อจากนี้จึงยากลำบากจนต้องใช้กายสาวแลกเงินประทังชีวิต
จนกระทั่งหนึ่งปีต่อมาหลี่อันเฉินที่ทุกคนคิดว่าตายไปแล้วก็กลับมาในหมู่บ้านอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าลูกชายสองคนถูกขายก็แค้นใจจับมารดาเลี้ยงอย่างหม่าอิงหงเข้าคุก แล้วทวงคืนเฉินซิ่วจูจากพระเอกเป็นตัวร้ายที่ทำให้เส้นทางรักของพระเอกและนางเอกในนิยายเรื่องนี้สะบักสะบอมไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเพราะที่สำคัญก็คือ ตัวร้ายหลี่อันเฉินผู้นี้ยังจับภรรยาเดิมอย่างเจ้าของร่างไปทรมานจนตายอีกด้วย แน่นอนว่าเฉินซิ่วลี่ที่ตอนนี้มาอาศัยอยู่ในร่างของเฉินซิ่วลี่ย่อมไม่ยินดีเดินตามชะตานี้ ดังนั้นเวลานี้เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือรีบไปช่วยเหลือเด็กชายทั้งสอง เพื่อหลีกหนีชะตาตามบทที่นักเขียนบังคับ
.......................................................
บทที่ 1.1แม่ที่เปลี่ยนไป“ผมไม่ไป! ปล่อย! แม่ช่วยพวกเราด้วย แม่!”เสียงของเด็กชายฝาแฝดวัยสามขวบร้องประสานหาคนเป็นแม่ลั่นอยู่ที่หน้าบ้านตระกูลหลี่ แม้จะรู้ว่าต่อให้อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีทางช่วยเหลือปกป้องพวกเขา แต่เวลานี้พวกเขานึกถึงใครไม่ออกแล้วจริงๆ แขนเล็กของทั้งสองคนถูกหญิงแปลกหน้าสองคนฉุดกระชากไปคนละทิศละทาง โดยมีหม่าอิงหงผู้เป็นย่ายืนนับเงินหยวนด้วยสีหน้าพอใจ ไม่แม้แต่จะชายตามองหลานชายตัวน้อยทั้งสองคนที่ถูกผู้อื่นฉุดกระชากอย่างไร้ความปรานีก็แค่หลานนอกไส้ ที่พ่อมันตายแล้ว ส่วนแม่มันก็หนีตามชู้ เธอจะเลี้ยงดูให้ยากลำบากต่อไปทำไม สู้ขายเอาเงินมาซื้อผ้าใหม่ตอนสิ้นปีไม่ดีกว่าหรือ“ปล่อย! ย่าช่วยพวกเราด้วยครับ อย่าขายพวกเราเลยพวกเราจะไม่ดื้อ จะเชื่อฟัง ย่าครับ!”เด็กชายที่ตัวเล็กกว่าอีกคนร้องอ้อนวอนย่า ก่อนจะทิ้งตัวดิ้นรนต่อต้านสุดกำลัง ทว่าไม่เพียงหญิงแปลกหน้าที่ฉุดกระชากจะไม่สนใจเขา เธอยังง้างมือขึ้นฟาดลงมาที่เขาสุดแรงเพี๊ยะ! ใบหน้าตอบแห้งของเด็กชายตัวน้อยพลันชาวาบ ริ้วแดงขึ้นเป็นแถบรอยนิ้วมือ ยังไม่ทันส่งเสียงร้องร่างกายก็ถูกทุบตีอย่างต่อเนื่องจนดวงตากลมแดงก่ำ หยาดน้ำตาไหลริน
บทที่ 1.2แม่ที่เปลี่ยนไปเฉินซิ่วลี่ประคองเด็กชายสองคนเข้ามาในบ้าน ถึงแม้บทบาทที่เกี่ยวข้องกับตัวละครเฉินซิ่วลี่ในนิยายจถูกกล่าวถึงไม่มาก แต่เรื่องตำแหน่งบ้านหลังต่างๆ ในตระกูลหลี่ผู้แต่งได้บรรยายเอาไว้ค่อนข้างละเอียดเลยทีเดียว อาจเพราะหลี่อันเฉิงเป็นตัวร้ายหลักของเรื่อง ดังนั้นถึงจะเป็นครั้งแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาในรั้วบ้านตระกูลหลี่ เฉินซิ่วลี่ก็เดินไปยังตำแหน่งบ้านที่เธอกับเด็กๆ พักอาศัยได้อย่างถูกต้อง แต่ถึงจะบอกว่าผู้แต่งบรรยายลักษณะตำแหน่งบ้านตระกูลหลี่ได้ละเอียด แต่ก็ไม่เคยบรรยายลักษณะตัวบ้านที่พวกเขาอาศัยดวงตาของเฉินซิ่วลี่เบิกกว้างมองบ้านดินสองห้องนอน หนึ่งห้องครัวที่สภาพทรุดโทรมพร้อมถล่มลงมาได้ตลอดเวลาตรงหน้าแล้วลำคอแห้งผาก ผู้อื่นทะลุมิติข้ามเวลามาล้วนมีต้นทุนที่ดี หรือไม่ก็มีโปรแกรมผู้ช่วย มีมิติเวลาที่อุดมสมบูรณ์ ทว่าเธอกลับไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากเงิน 3,000 หยวน ที่เจ้าของร่างหยิบเอาของผู้อื่นมาหากบอกว่าสภาพตัวบ้านภายนอกทำให้เฉินซิ่วลี่เบิกตากว้าง เวลานี้สภาพในตัวบ้านกลับยิ่งทำให้เธอตาแทบถลนไม่ใช่ว่าเจ้าของร่างเดิมผู้นี้รักสวยรักงามเป็นอย่างยิ่งหรือไง ทำไม่สภาพบ้านถึงได้...
บทที่ 1.3แม่ที่เปลี่ยนไปในตอนเช้าเฉินซิ่วลี่ฝากลูกชายฝาแฝดไว้กับกู้เหยียน โดยบอกกับเขาว่าเธอจะไปเอาเอกสารประจำตัวของเด็กๆที่บ้านเพื่อพาไปตรวจที่โรงพยาบาลในเมือง ทว่ากลับหายไปร่วมค่อนวัน“แม่ของพวกนายคงไม่ได้จะทิ้งพวกนายไว้ที่นี่ใช่ไหม”แม้จะไม่อยากคิดในแง่ร้ายแต่ชื่อเสียงของเฉินซิ่วลี่ก็ทำให้กู้เหยียนอดคิดไม่ได้ว่าหญิงสาวอาจจะหลอกเอาเด็กๆ มาทิ้งแล้วหนีตามชายชู้ไป อีกทั้งเขารู้เพียงว่าเด็กๆ ถูกทุบตีมาแต่ไม่ทราบว่าเจอเรื่องอะไรมาเมื่อคืน ดังนั้นจึงเอ่ยถามไปตามความคิด แต่เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของเด็กชายทั้งสองเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองก็ตระหนักได้ในทันทีว่าตนเองพูดเรื่องที่ไม่สมควรออกไป"พวกนายยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม อย่างนั้นฉันจะไปเอาของกินมาให้กินระหว่างรอแม่ของพวกนายมารับ"“ไม่เป็นไรครับ"ถึงแม้ว่าจะหิว แต่ท่านพ่อเคยบอกว่าไม่ให้พวกเขารับของจากคนแปลกหน้า ไม่ว่าจะเป็นของกินหรือของใช้ก็ตามดังนั้นหลี่หมิงกับหลี่ชุนจึงเอ่ยปฏิเสธความหวังดีของคุณหมอหนุ่มด้วยน้ำเสียงสุภาพ"รบกวนคุณหมอกู้นานแล้ว พวกเราขอกลับบ้านดีก่อนนะครับ”“ไม่ได้สิ พวกนายยังเด็กจะกลับบ้านเองได้ยังไงกัน ต้องรอให้ผู้ปกครองมารับ”ต
บทที่ 2.1แม่ที่น่าโมโหทันทีที่เปิดประตูบ้านหลี่หมิงและหลี่ชุนก็ตกใจจนตาโต ข้าวของที่กระจัดกระจายไม่เป็นที่เป็นทางถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ เศษอาหาร และข้าวของที่เน่าเสียถูกจัดการออกไปแล้ว ภายในบ้านยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้อีกด้วย เมื่อเลื่อนสายตาไปที่โต๊ะอาหารและชั้นวางของที่มุมบ้านก็พบว่ามีดอกกุหลาบพื้นบ้านหลายดอกถูกนำมาจัดใส่แจกัน บ้านที่เคยให้ความรู้สึกอึดอัดและอยากหลีกหนีไปให้ไกล วันนี้กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด หลี่หมิงลอบมองแม่ที่ไม่สวยงามเหมือนทุกวัน แต่กลับทำให้เขาอยากมองเธอมากกว่าทุกวัน“ในห้องของลูกแม่ไม่กล้าเอาอะไรทิ้ง แต่แม่จัดการเก็บกวาดให้แล้ว ของในกล่องลังมุมห้อง ลูกๆ ลองเลือกดูว่ามีอะไรอยากเก็บอยากทิ้งบ้าง”ในห้องของพวกเขาแม่ก็เข้าไปทำความสะอาดให้หรือ ที่แท้คนเป็นแม่หายหน้าไปร่วมค่อนวันก็เพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้านนี่เอง แต่เรื่องเหนื่อยยากเช่นนี้แม่เขาจะยอมลงมือทำจริงๆ หรือ หลี่หมิงที่ยืนนิ่งด้วยอาการสงบ ลอบมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด ตั้งแต่เขาจำความได้จนถึงตอนนี้แม่ของพวกเขาไม่เคยแม้แต่จะซักผ้า เมื่อก่อนพวกเขายังเด็กแม่ก็จะส่งให้ป้าอวี้ซักให้ เมื่อพว
บทที่ 2.2แม่ที่น่าโมโหประมาณ 9 โมงหลี่หมิงก็กลับเข้าบ้าน เนื้อตัวของเขามอมแมมเต็มไปด้วยใบชาและเศษหญ้า ดูก็รู้ว่างานที่เขาไปทำน่าจะเป็นการเก็บใบชาหรือเกี่ยวหญ้าเลี้ยงสัตว์"อาชุน มากิน..."เสียงของเด็กชายชะงักทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้านแล้วพบว่าแม่ที่ควรนอนอยู่ในห้องวันนี้กลับตื่นเช้ากว่าปกติ มือเล็กรีบขยับไปยังด้านหลังเพื่อซ่อนไข่ต้มสุกสองฟองในมือจากสายตาของมารดา แต่เมื่อเห็นว่าสายตาของเฉินซิ่วลี่จดจ้องมาที่เขาด้วยท่าทางนิ่งงัน ด้านข้างมีน้องชายฝาแฝดของเขานั่งอยู่อย่างสงบนิ่งก็จำต้องยื่นส่งไข่ทั้งสองฟองให้เธอถือเสียว่าวันนี้เขากับน้องชายดวงไม่ดี อดอาหารเช้าสักวันก็แล้วกันเฉินซิ่วลี่รับไข่ต้มมาจากมือเล็ก เดิมทีตั้งใจจะตำหนิที่เขาออกจากบ้านสักประโยค แต่ภาพหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำเสียก่อนเจ้าเด็กสารเลว แกกล้าซ่อนอาหารฉันเหรอมือที่กุมไข่ไก่สั่นสะท้าน ภาพเจ้าของร่างเดิมเดินออกจากห้องมาแย่งชิงอาหารจากมือของหลี่หมิงซ้อนทับกับการกระทำของเธอในตอนนี้ อีกทั้งหลังจากแย่งชิงของกินแล้วเจ้าของร่างเดิมยังด่าทอทุบตีเด็กชายตรงหน้าอย่างรุนแรง ก่อนจะให้พวกเขาสองพี่น้องนั่งคุกเข่ามองเธอกินอาหารดวงต
บทที่ 2.3แม่ที่น่าโมโหเฉินซิ่วลี่แทบอยากจะขอคืนคำพูดของตนเอง เดิมทีคิดว่าก็แค่เก็บชาเกี่ยวหญ้าเลี้ยงสัตว์ง่ายๆ ไม่ได้ยุ่งยากวุ่นวายอะไร หลี่หมิงอายุสามขวบยังทำได้ แล้วทำไมเธอที่อยู่ในร่างของหญิงสาววัยยี่สิบจะทำไม่ได้ ทว่าที่เฉินซิ่วลี่คาดไม่ถึงก็คือร่างกายนี้ดันเแพ้ขนหญ้า ทำงานได้เพียงหนึ่งชั่วโมงผื่นแดงก็ขึ้นทั้งตัว สุดท้ายยังต้องลำบากให้ ถังซาน บุตรชายลำดับที่สามของผู้ใหญ่บ้านถังปั่นจักรยานพาเธอไปส่งยังสถานพยาบาลหมู่บ้าน“นี่เป็นยาแก้แพ้กินครั้งละเม็ดวันละสามครั้งหลังอาหาร ส่วนนี่ยาทาแก้ผดผื่น ทั้งหมด 3 หยวนครับ”กู้เหยียน เอ่ยบอกพร้อมกับส่งถุงยาให้ เฉินซิ่วลี่รับซองกระดาษสีน้ำตาลตรงหน้ามาถือเอาไว้ด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ทำงานครั้งแรกไม่เพียงไม่ได้ค่าจ้างยังต้องเสียค่ายาอีก หากเด็กชายทั้งสองคนรู้เข้าคงผิดหวังในตัวเธออย่างแน่นอน หากแต่ตอนที่เฉินซิ่วลี่กำลังจะเอ่ยปากขอกลับไปเอาเงินหยวนที่บ้านมาจ่ายค่ายา บนโต๊ะจ่ายยาก็มีคนวางเงินจ่ายแทนเฉินซิ่วลี่เงยหน้ามองเจ้าของเงินด้วยความสงสัย ถังซานถอนหายใจอย่างนึกรำคาญแล้วพูดเสียงห้วน“เธอป่วยเพราะทำงานให้ฉัน ฉันจ่ายค่ายาให้ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือไง”
บทที่ 3.1แม่ที่ใฝ่ฝันหลังจากที่กู้เหยียนจากไป เฉินซิ่วลี่ก็พาหลี่หมิงเข้าไปนอนพัก เอ่ยกำชับเขาห้ามลุกจากเตียงไปไหน ยังเน้นย้ำว่าหากมีอาการปวดหัวมากขึ้นหรือคลื่นไส้อาเจียนให้รีบบอกเธอในทันที“พี่ชาย เจ็บไหมครับ”หลี่ชุนถามพี่ชายทั้งน้ำตา เพราะตอนที่หลี่อันอันลงมือทุบตี พี่ชายกอดเขาเอาไว้ ใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบัง สุดท้ายทุกแรงทุบตีจากอาสามจึงถูกชายแบกรับไว้เพียงผู้เดียว ก่อนหน้านี้เพราะตกใจและหวาดกลัวหลี่ชุนจึงไม่ทันคิดอะไร ตอนนี้เห็นว่าพี่ชายถูกตีจนหัวแตกเลือดไหลในใจจึงรู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง“พี่ไม่เจ็บ อาชุนอย่าร้องไห้”ทั้งที่ปวดระบมไปทั้งตัวแต่เมื่อเห็นน้องชายร้องไห้จนสะอื้น หลี่หมิงก็กัดฟันขามความเจ็บฝืนยิ้มและเอ่ยปลอบโยนน้องชายเสียงอ่อนโยนเฉินซิ่วลี่มองเด็กชายตัวน้อยที่วางท่าเข้มแข็งแล้วรู้สึกสะท้านในอก อยากขึ้นไปบนบ้านใหญ่ดึงคนใจร้ายผู้นั้นกลับมาสั่งสอนเพิ่มอีกสักหน่อยให้สาสมกับการกระทำที่โหดร้ายนี้ ทว่าในบ้านใหญ่เวลานี้ล้วนไม่มีคน เฉินซิ่วลี่จึงได้แต่เก็บความคับแค้นนี้ไว้ในใจ"พี่ชาย..."หลี่ชุนยังคงร้องเรียกพี่ชายเสียงสะอื้น แต่เมื่อเห็นสายตาห่วงใยของหลี่หมิงก็พยายา
บทที่ 3.2แม่ที่ใฝ่ฝันหลายวันมานี้บ้านตระกูลหลี่ค่อนข้างสงบ เพราะหม่าอิงหงพาหลี่อันอันที่ถูกเฉินซิ่วลี่หักข้อมือเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมือง ส่วนหลี่อันเผยลูกชายอีกคนของบ้านหลี่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ในรั้วบ้านหลี่จึงมีเพียงพวกเขาสามคนแม่ลูกเท่านั้นนึกดูตามนิยายแล้วคล้ายจะกล่าวว่าหกเดือนหลังจากที่ทางค่ายทหารส่งข่าวการตายของหลี่อันเฉิง หลี่อันเผย น้องชายต่างมารดาของหลี่อันเฉิงผู้นี้ก็เรียนจบระดับมหาวิทยาลัยกลับมาเป็นครูประจำที่โรงเรียนในหมู่บ้าน และตามตื๊อจีบเฉินซิ่วจูนางเอกของนิยายจนมีเรื่องกับเย่ชิงเหวินพระเอกในนิยายอยู่บ่อยๆ เมื่อนับดูเวลาแล้วก็คืออีก 3 เดือนข้างหน้าเฉินซิ่วลี่ไม่สนใจเส้นชะตารักของเฉินซิ่วจู แต่ที่เธอใส่ใจก็คือนิสัยของน้องสามีหลี่อันเผยผู้นี้ เพราะตอนนี้เขานับเป็นผู้นำตระกูลหลี่ เธอที่เป็นแม่ม่ายสามีตายหากไม่กลับบ้านเดิมก็ต้องพึ่งพาอยู่ภายใต้การดูแลเขา หากอีกฝ่ายมีนิสัยเช่นหม่าอิงหงผู้เป็นมารดา ชีวิตในอีกสามเดือนข้างหน้าของเธอก็นับว่ายากลำบากแล้ว เช่นนี้เธอควรเร่งวางแผนหาทางรอดให้ตนเองกับลูกชายของพ่อตัวร้ายเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ“ลูกว่าแม่เปิดร้
บทที่ 12.4ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิตเฉินซิ่วลี่ปั่นจักรยานกลับบ้านเส้นทางเดิมเช่นทุกครั้ง หากแต่ครั้งนี้กลับพบเจอเรื่องที่แตกต่างจากทุกวัน“แม่! ฉันไม่อยากไป แม่อย่าบังคับฉันเลยนะ”“ไม่ไปได้ยังไง ฉันตกลงยกแกให้เขาไปแล้วยังไงแกก็ต้องไป”เสียงบทสนทนาของหญิงสาวสองคนบนถนนเส้นหลักของหมู่บ้านดังก้องเรียกสายตาของผู้คนโดยรอบให้หยุดมองรวมถึงเฉินซิ่วลี่ด้วย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย หญิงสาวสองคนนั้นมองดูแล้วคล้ายว่าจะมีสถานะเป็นแม่ลูกกัน เพียงแต่ที่น่าแปลกใจคือ เหตุใดคนเป็นแม่จึงคิดยกลูกสาวที่โตเต็มวัยให้ผู้อื่นเช่นนี้“อาซีช่างน่าสงสารจริงๆ เลย ดูสิอายุแค่ 16 ก็ถูกขายไปเป็นเมียน้อยคนอื่นแล้ว”ดวงตาของเฉินซิ่วลี่เบิกกว้างที่แท้เป็นการขายลูกสาวอย่างนั้นหรือ“นั่นน่ะสิ สะใภ้หวังคนนี้ช่างเกินไปจริงๆ ถึงแม้ว่าอาซีจะเป็นลูกเลี้ยง แต่ก็ไม่เห็นต้องทำกันถึงเพียงนี้”"ไม่ทำแบบนี้บ้านหวังจะเอาเงินที่ไหนแต่งสะใภ้เล่า"เฉินซิ่วลี่ได้ยินบทสนทนาของหญิงชาวบ้านในใจก็รู้สึกเวทนาคนขึ้นมา ขายลูกเลี้ยงแต่งสะใภ้ นี่มันเกินไปหรือไม่ก่อนหน้านี้เฉินซิ่วลี่เคยอ่านนิยายเจอเรื่องราวยากลำบากของผู้อื่นที่ผู้เขีย
บทที่ 12.3ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิตเฉินซิ่วลี่ตื่นเช้ามาด้วยอาการอ่อนเพลีย ต้องยอมรับว่าเรื่องราวที่พบเจอเมื่อวานทำให้เธอรู้สึกวิตกไม่น้อย ส่งผลให้นอนไม่หลับทั้งคืน วันนี้แม้แต่อาหารเช้าก็ยังกลืนไม่ลง สุดท้ายเพราะความเครียดที่โถมเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ร่างกายก็เกินกว่าจะทนไหว ภาพตรงหน้าโคลงเคลง พร่ามัว ใบหน้าก็ซีดเซียวจนหลี่หมิงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ“หน้าแม่ซีดมาก อาชุนพาแม่ไปนอนพี่จะไปบอกลุงหมอกู้”พูดจบหลี่หมิงก็วางตะเกียบวิ่งออกไปจากบ้านด้วยความรวดเร็ว ไปนานก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านพักของกู้เหยียน“ลุงหมอกู้ครับ ลุงหมอกู้”เสียงเรียกที่มีความร้อนรนอยู่ในทีทำให้กู้เหยียนที่กำลังสวมเสื้อรีบวิ่งออกมาพลางติดกระดุมเสื้อไปด้วย “มีเรื่องอะไรอาหมิง”ถึงแม้จะเอ่ยถามออกไปแต่ในใจกู้เหยียนก็คาดเดาได้ว่า จะต้องเกิดเรื่องกับเฉินซิ่วลี่อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นคนที่ยืนตรงนี้ต้องเป็นเธอ“แม่ไม่สบายครับ”กู้เหยียนไม่เสียเวลาแม้แต่จะสอบถามอาการรีบสวมรองเท้าวิ่งตรงไปยังบ้านพักอีกฝั่งของสถานพยาบาลหมู่บ้านทันที นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าการให้เฉินซิ่วลี่พักห่างไกลจากเขาเป็นเรื่องที่ผิดพลาด“อาชุน
บทที่ 12.2ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิตหลังจากที่ปลอบโยนเด็กชายทั้งสองและส่งเขาเข้านอนแล้ว เฉินซิ่วลี่ก็ออกมานั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆที่พบเจอในวันนี้แน่นอนว่าการพบเจอกับหลี่อันเฉิงในนั้นป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แต่เมื่อทบทวนเส้นเรื่องในนิยายดูคล้ายว่าเหตุผลที่เย่ชิงเหวินและหลี่อันเฉิงไม่ลงรอยกันตั้งแต่แรกพบนั้น เพราะครั้งหนึ่งพ่อตัวร้ายเคยทำให้การเจรจาต่อสัญญาค้าไม้ของเย่ชิงเหวินล้มเหลว ขณะเดียวกันเย่ชิงเหวินก็ทำให้ภารกิจของเขาถูกเปิดโปงเช่นกันหรือจุดเริ่มต้นของการบาดหมางที่ในนิยายเอ่ยถึงจะเป็นเรื่องราวในวันนี้ใบหน้าของเฉินซิ่วลี่ชาวาบ เพราะหากวันนี้คนที่เข้างานไปกับเย่ชิงเหวินคือของเจ้าของร่างเดิม เมื่อได้พบเจอกับชายที่มีหน้าตาคล้ายคลึงสามีเก่าที่ตายไปแล้ว สิ่งแรกที่เธอจะทำแน่นอนว่าต้องเป็นการเปิดโปงตัวตนของเขาหรือนี่จะเป็นเหตุผลที่หลี่อันเฉิงจับตัวเฉินซิ่วลี่ไปขังไว้ ไม่ใช่เพราะโกรธแค้นเรื่องการกระทำอันฉาวโฉ่ร้ายกาจของภรรยา แต่เพราะโกรธเคืองเรื่องที่เธอเปิดโปงภารกิจของเขาเมื่อนึกมาถึงตรงนี้เฉินซิ่วลี่ก็ใจสั่นระรัว นึกขอบคุณตนเองที่วันนี้ไม่ได้เปิดโปงตัวตนของหลี่อันเฉิง พูดให้ถูกคื
บทที่ 12.1ไม่อาจหลีกหนีไปชั่วชีวิต“แล้วถ้าผมไม่ปล่อย! คุณจะทำไม!”ไม่เพียงแต่พูดโต้กลับอย่างไม่เกรงกลัว หลี่อันเฉิงยังกระชับอ้อมแขนโอบกอดคนให้แน่นมากขึ้น เฉินซิ่วลี่พลันขมวดคิ้วเรียวเพราะความอึดอัดยกมือขึ้นวางดันอกเขาออกห่างด้วยท่าทางต่อต้านเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงผลักจากฝ่ามือเล็ก หลี่อันเฉิงก็ก้มมองคนในอ้อมแขนด้วยสายตาไม่พอใจเธอกล้าผลักไสเขาหรือ...ที่ผ่านมาขอเพียงมีโอกาสเฉินซิ่วลี่มักจะฉกฉวยอยากสัมผัสแนบชิดกับเขาเสมอ ทว่าเพียงห้าเดือนที่เขาแจ้งข่าวการตายของตนเองไป หญิงสาวก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเช่นนี้แล้ว ช่างน่าโมโหจริงๆ“เฉินซิ่วลี่อย่าได้ลืมสถานะตนเอง”แม้น้ำเสียงที่ใช้เอ่ยออกมาจะแผ่วเบา ทว่าเฉินซิ่วลี่ก็สัมผัสได้ถึงความเกรี้ยวกราดไม่พอใจอยู่ในทีของเขา มือเรียวที่ผลักไสพลันหยุดชะงัก ไม่กล้าออกแรงดิ้นรนต่อต้านเขาอีกเพียงแต่ไม่ต่อต้านก็ไม่ได้หมายความว่าเธอยินยอมแต่เพราะรู้ดีว่าพ่อตัวร้ายหลี่อันเฉิงคนนี้มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นและไม่ยอมคน ดังนั้นการสร้างปัญหากับเขาย่อมไม่ส่งผลดีต่อตัวเธอในอนาคต ครั้งนี้เฉินซิ่วลี่จึงยอมถอยให้เขาหนึ่งก้าว เธอสูดลมหายใจเข้าพยายามข่มกลั้นความโกรธเคืองในใจ
บทที่ 11.4บางอย่างที่เปลี่ยนไปเย่ชิงเหวินใช้เวลาราว 15 นาทีก็ขับรถมาหยุดที่หน้าภัตตาคารหรูใจกลางเมือง ร่างสูงโปร่งลงจากรถลงมายืนด้านข้าง ปรายตามองดูหญิงสาวที่นั่งนิ่งในรถแล้วยกมุมปากขึ้น ก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูส่งแขนให้เธอวางฝ่ามือแล้วก้าวลงจากรถ“ขอบคุณค่ะ”เสียงหวานเอ่ยบอกก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน ท่าทางเช่นนี้ชวนให้ผู้คนโดยรอบจดจ้องมาที่คนทั้งสองในทันทีขณะที่พนักงานชายคนหนึ่งเร่งเดินเข้ามาต้อนรับพวกเขาด้วยท่าทางสุภาพ “สวัสดีครับคุณเย่”เย่ชิงเหวินพยักหน้ารับคำทักทายก่อนจะยื่นบัตรเชิญให้อีกฝ่าย โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรคนก็นำทางเขาเข้าไปยังห้องรับรองระดับVVIP“หากคุณเดินไม่สะดวกบอกผมนะครับ”เฉินซิ่วลี่ยกมุมปากขึ้นยิ้มบางๆ บอกเขาแล้วอย่างไร หากเธอเดินไม่ไหวจริงๆ เย่ชิงเหวินจะอุ้มเธอเขางานอย่างนั้นหรือ“คุณโจวกำลังเดินทางมา คุณเย่เชิญตามสบายครับ”เย่ชิงเหวินพยักหน้ารับคำคนนำทางแล้วพาเฉินซิ่วลี่ไปนั่งยังโต๊ะด้านใน เพื่อที่จะลดความอึดอัดใจของเธอ“คุณนั่งรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมไปตักของว่างให้”เฉินซิ่วลี่ย่อมเข้าใจดีว่าที่เย่ชิงเหวินใส่ใจเธอเช่นนี้เพียงแค่ไม่ต้องการให้เธอเป็นที่สนใจของผู้ค
บทที่ 11.3บางอย่างที่เปลี่ยนไปเฉินซิ่วลี่นำเงินหยวนที่ได้รับมาจากการขายจักรยานให้เกาหย่ง เก็บใส่ไว้ในถุงผ้าก่อนจะยัดซ่อนไว้ในไส้หมอนอีกครั้ง ตอนนี้คำนวณดูแล้วเธอมีเงินเก็บรวมๆ กันร่วม 4,000 หยวน อนาคตในภายหน้าย่อมไม่กลัวความลำบากอีกต่อไปแต่ถึงจะมีเงินแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่ต้องหาเงินเพิ่ม เพียงแต่บนฝ่ามือยังมีแผลทำให้เฉินซิ่วลี่ไม่สามารถทำซาลาเปาไปขายให้ถังซานได้เช่นเดิม ดังนั้นจึงเอาเวลาทั้งวันอยู่กับกองเศษผ้าเริ่มจัดการเย็บโบว์ติดผมอย่างขะมักเขม้น ผ่านไปสามวันโบว์ติดผมร่วมสามร้อยชิ้นก็เสร็จสิ้นเฉินซิ่วลี่คำนวณราคาคร่าวๆ เธอตกลงราคาซื้อขายโบว์ติดผมกับแม่ค้าขายผ้าไว้ที่ 2 ชิ้น 1 เหมา ตอนนี้เธอมีโบว์ติดผม 300 ชิ้น ย่อมเปลี่ยนเป็นเงินได้ประมาณ 15 หยวน หักค่าอุปกรณ์ต่างๆ แล้วก็ยังคงเหลือที่ 12 หยวน นับว่าทำเงินได้ดีเลยทีเดียวและถึงแม้ร้านผ้าที่ตกลงซื้อขายไว้จะรับซื้อโบว์ติดผมของเธอเพียง 50 ชิ้น อีก 250 ชิ้นก็สามารถนำไปขายที่ร้านอื่นได้ อย่างไรเสียที่นั่นก็คือตัวเมือง ย่อมต้องมีร้านค้าที่ยินดีรับซื้อโบว์ของเธอแน่นอนเมื่อมองเห็นตัวเงินแม้จะเป็นเพียงในความคิด แต่ก็ทำให้เฉินซิ่
บทที่ 11.2บางอย่างที่เปลี่ยนไป“แม่ครับ แม่จะแต่งงานใหม่ไหมครับ”เมื่อกลับถึงบ้าน หลี่หมิงก็เอ่ยถามคนเป็นแม่ด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก ขณะที่หลี่ชุน เม้มริมฝีปาก ก้มหน้าซ่อนดวงตาที่แดงก่ำของตนเอาไว้ หากแม่แต่งงานใหม่ย่อมต้องมีลูกใหม่ แล้วพวกเขาสองคนพี่น้องเล่า แม่จะยังต้องการอยู่หรือไม่ความคิดที่ว่ามารดาอาจจะขายพวกเขาออกไปเพื่อลดภาระย้อนกลับเข้ามาในใจของเด็กชายทั้งสองอีกครั้ง“ทำไมลูกถึงถามแม่แบบนี้ล่ะ”เฉินซิ่วลี่มองใบหน้าที่แฝงความเศร้าของเด็กๆ แล้วในใจเกิดความปวดหนึบขึ้นมา เธอย่อมไม่คิดแต่งงานใหม่ ชีวิตในยุคที่เธอไม่คุ้นเคยนี้เพียงคิดหาหนทางให้มีชีวิตรอดจากเงื้อมมือหลี่อันเฉิงก็ยากลำบากมากพอแล้ว เธอย่อมไม่คิดหาเรื่องวุ่นวายอย่างการแต่งงานใหม่มาใส่ตัว“หรือว่าลูกๆ อยากให้แม่หาพ่อให้”เด็กๆ อายุยังน้อย บางทีพวกเขาอาจต้องการใครสักคนมาคอยดูแลปกป้องในฐานะพ่อ ทว่าเฉินซิ่วลี่ยังไม่ทันอธิบายว่าภายหน้าพ่อตัวจริงของพวกเขาก็จะกลับมาปกป้องพวกเขาศีรษะเล็กของทั้งสองคนก็ส่ายไปมาในทันที“ไม่ครับ พวกเราไม่อยากได้พ่อ”หลี่หมิงเอ่ยบอกเสียงหนักแน่น หลี่ชุนที่ยืนข้างๆ ก็พยักหน้ารับอย่างเห็นพ้องก่อนจะพู
บทที่ 11.1บางอย่างที่เปลี่ยนไปเฉินซิ่วลี่มองแปลงผักที่ลุงอวี้ขึ้นให้ด้วยความปลาบปลื้ม ก่อนจะหันไปขอบคุณอีกฝ่ายและมอบซาลาเปาหนึ่งถุงให้เขาเป็นการตอบแทน“หมอกู้ หมอกู้ อยู่หรือไม่”เสียงคุ้นหูดังขึ้นเฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเรียวในทันที เธอจำได้แม่นว่านี่เป็นเสียงของหม่าอิงหง ทว่าอีกฝ่ายมาที่นี่ทำไม หรือว่าคนพวกนี้จะไม่ยอมรามือจึงตามมาหาเรื่องเธอถึงที่นี่ ในใจของเฉินซิ่วลี่รู้สึกเป็นห่วงเด็กๆ ขึ้นมาในทันที รีบวางถุงเมล็ดผักกาดในมือแล้วออกไปที่หน้าบ้าน แต่เมื่อเห็นว่าหม่าอิงหงประคองหลี่อันอันเดินเข้าไปในสถานพยาบาลหมู่บ้านก็ผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งใจ“คุณนายหลี่ คุณหนูหลี่ มีอะไรหรือครับ”“หมอกู้ช่วยตรวจอาการของอันอันให้หน่อย เธอถูกนางเฉิน...”หลี่อันอันเห็นว่าแม่กำลังจะพาดพิงถึงเฉินซิ่วลี่ก็รีบสะกิดห้าม นั่นเพราะยังจดจำท่าทีปกป้องเฉินซิ่วลี่ของกู้เหยียนในวันแยกบ้านได้ไม่ลืม หากคิดจะเข้าไปนั่งในใจของชายหนุ่มเธอจะต้องวางตัวให้น่าสงสารกว่าเฉินซิ่วลี่“เอ่อ... หญิงชั่วน่ะ เป็นหญิงชั่วหน้าหนาคนหนึ่งทำร้ายอันอัน หมอกู้คุณช่วยดูอันอันของพวกเราที”กู้เหยียนยกมุมปากเล็กน้อย มือหนาขยับแว่นสายตาให้เข้าท
บทที่ 10.4คิดบัญชีเฉินซิ่วลี่กลับถึงบ้านก็อาบน้ำล้างตัว ก่อนจะสอนเด็กๆ คัดตัวอักษร รอจนตอนบ่ายพวกเขาเข้านอนกลางวันเธอจึงไปหากู้เหยียนที่สถานพยาบาลหมู่บ้าน“คุณเฉิน... มาหาผมไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ”เมื่อเช้าหลี่อันอันมาหาเรื่องเฉินซิ่วลี่ บางทีอาจทำร้ายจนเธอบาดเจ็บ ดังนั้นเมื่อเห็นเฉินซิ่วลี่มาหาเขาถึงตัวอาคารสถานพยาบาลหมู่บ้าน กู้เหยียนจึงรีบลุกขึ้นเดินมาหาเธอด้วยความห่วงใยในทันที“ฉันสบายดีค่ะ มีแค่แผลถลอกนิดหน่อย”เฉินซิ่วลี่ยกฝ่ามือของตนเองให้คุณหมอหนุ่มดู คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หมุนตัวไปหยิบชุดทำแผลออกมาจากในตู้เก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์“จะมากจะน้อยก็เป็นแผลครับ นั่งลงเดี๋ยวผมล้างให้นะครับ”น้ำเสียงที่เข้มขึ้นเล็กน้อยทำให้เฉินซิ่วลี่ยิ้มแห้ง ทิ้งตัวนั่งลงตรงหน้าเขาอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะยื่นมือไปเบื้องหน้ากู้เหยียนมองท่าทางว่าง่ายนร้แล้วยกยิ้ม ช่างเป็นหญิงสาวที่ชวนให้มองได้ทุกกิริยาจริงๆ มือหนาเทน้ำยาล้างแผลลงในถ้วยยา ก่อนจะขยับตัวทำแผลให้เฉินซิ่วลี่อย่างเบามือ"โอ๊ะ!"เสียงเล็กร้องทันทีที่ก้านสำลีจรดลงบนกลางฝ่ามือ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เม้มริมฝีปากกลั้นเสียงร้องไว้ในลำ