ช่วงห้าโมงเช้าเป็นเวลาที่เหล่าสะใภ้จะกลับมาเอาอาหารไปให้คนในบ้านที่ทำงานในแปลงนา เฉินเฟิ่นอี้ที่ทำอาหารเสร็จพอดีจึงหิ้วตะกร้าไข่เจียวน้ำและข้าวที่หุงไปด้วย เนื่องจากมีสมาชิกเยอะจึงนำอาหารไปจำนวนมาก และเป็นย่าเฉินที่บอกให้เธอทำอาหารอย่างไรก็ได้ แม้ตอนแรกจะเอ่ยค้านเพราะคิดว่ามันสิ้นเปลือง
เฉินเฟิ่นอี้รีบเดินไปที่แปลงนาก่อนที่จะมีคนกลับมาทำอาหาร ถ้าจำไม่ผิดห้าโมงครึ่งจะเป็นเวลาพักกลางวันของคนในหมู่บ้าน และจะลงแปลงนาอีกทีคือบ่ายโมง เฉินเฟิ่นอี้คนก่อนก็เคยลงแปลงนา แต่นั่นก็เป๊นตอนที่หล่อนยังไม่ได้ป่วย
ระหว่างทางเดินไปยังแปลงนาเฉินเฟิ่นอี้ก็เจอเข้ากับคนที่กลับมาเอาอาหารมื้อกลางวัน ยังดีที่ไม่มีบ้านเฉินของเธอ ไม่เช่นนั้นคนที่กลับมาเอาคงเหนื่อยเปล่าๆ
“นั่นเฉินเฟิ่นอี้ไม่ใช่เหรอ”
เหมือนจะได้ยินชื่อของตนเองเฉินเฟิ่นอี้จึงเดินช้าลงเพื่อฟัง และกลุ่มคนตรงหน้าของเธอเป็นเยาวชนหญิงที่ถูกส่งมาพัฒนาหมู่บ้าน แต่มาพัฒนาหรือมาสร้างปัญหาให้ก็ไม่รู้ เพราะคนในหมู่บ้านต้องหาที่พักและแบ่งอาหารให้พวกหล่อน
“ใช่ๆ หล่อนป่วยไม่ใช่เหรอ” เยาวชนที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มถามกันด้วยความสงสัย เฉินเฟิ่นอี้คนนี้แต่ก่อนก็ลงแปลงนาจึงพอจำชื่อและหน้าได้บ้าง
“คงจะหายแล้ว เหอะ คงไม่อยากลงแปลงนาสินะถึงแกล้งป่วย” เยาวชนหญิงอีกคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูก เป็นแค่คนในชนบทแท้ๆ ยังหวังสูง
“ไม่เอาน่าโม่เหลียน หล่อนก็คงป่วยหนัก อีกอย่างได้ยินว่าถูกคู่หมั้นถอนหมั้นไปไม่ใช่เหรอ หล่อนจะล้มป่วยก็ไม่แปลก” เยาวชนหญิงเซี่ยหลินหวาเอ่ยห้ามเพื่อนของหล่อนเบาๆ
เฉินเฟิ่นอี้ปล่อยให้พวกหล่อนสนทนากันต่อไปและรีบไปยังแปลงนา ดูจากจำนวนคนที่กลับมาเอาอาหารแล้ว อีกไม่นานบ้านเฉินคงจะกลับมา
ฤดูเก็บเกี่ยวจะมีทั้งหมดสามฤดู ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูฝน และฤดูหนาว ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิอากาศจึงร้อนมากกว่าอีกสองฤดู ยังดีที่เป็นเพียงช่วงเริ่มต้นเท่านั้น เดือนหน้าคงร้อนมากกว่านี้ เฉินเฟิ่นอี้มองผู้คนที่เดินสวนทางมาเพื่อเก็บรายละเอียดว่าเธอรู้จักหรือไม่
“ป้าสะใภ้รอง”
จนกระทั่งเมื่อใกล้ถึงแปลงนาที่บ้านเฉินได้รับมอบหมาย เฉินเฟิ่นอี้ก็เห็นป้าสะใภ้รองกำลังจะเดินกลับไปเอาอาหารมื้อกลางวันพอดี เฉินเฟิ่นอี้ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะถูกป้าสะใภ้รีบแย่งตะกร้าไปถือเอง ทั้งยังต่อว่าเธอที่ตากแดดร้อนๆ มา
“เฟิ่นอี้หลานมาได้ยังไง! ร้อนขนาดนี้ดูสิ” สะใภ้รองชี้ไปยังเหงื่อที่ไหลจากใบหน้าของหลานสาว
“ฉันเอาอาหารมื้อกลางวันมาให้ค่ะ แล้วจะอยู่เอาตะกร้ากลับด้วย” เพราะเธอต้องนำมันกลับไปล้าง ส่วนของในครัวที่ใช้ทำอาหารเธอล้างเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว
“เร็วๆ มานั่งพักเร็ว!”
สะใภ้รองรีบดึงหลานสาวให้ไปนั่งพักบริเวณใต้ต้นไม้ที่อยู่ใกล้แปลงนาที่บ้านเฉินได้รับมอบหมาย อีกทั้งใกล้ๆ กันยังมีชาวบ้านอีกหลายกลุ่มที่นั่งพักกันอยู่ แต้มค่าแรงจะมีตั้งแต่หนึ่งแต้มถึงสิบแต้ม ทุกคนสามารถเลือกได้ว่าจะรับกี่แต้มและต้องทำงานตามแต้มที่ได้รับมอบหมาย
เช่น ผู้หญิงบ้านเฉินที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดรับห้าแต้มก็จะได้พักก่อนผู้ชายที่รับสิบแต้มและทำงานที่หนักกว่า หลายๆ บ้านก็เป็นแบบนี้ เพราะช่วงพักกลางวันผู้หญิงต้องกลับไปทำอาหาร อีกอย่างบางคนก็ตั้งครรภ์หรือมีเรี่ยวแรงน้อย ยิ่งบ้านไหนมีจำนวนสมาชิกเยอะผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ก็ต้องทำงานด้วย
สะใภ้สี่และสะใภ้ใหญ่ที่นั่งพักอยู่มองสะใภ้รองที่ลากเฉินเฟิ่นอี้เข้ามานั่งด้วย สะใภ้สี่มีท่าทีตกใจและรีบใช้หมวกสานพัดให้ลูกสาวของนางที่มีเหงื่อไหลและหน้าแดง
“แม่นั่งพักเถอะค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ” เฉินเฟิ่นอี้ได้แต่ยิ้มแห้งที่ต้องให้คนที่ทำงานเหนื่อยๆ มาพัดให้
“ร้อนขนาดนี้หลานจะมาทำไม” สะใภ้ใหญ่บ่น
“ฉันเอาอาหารมื้อกลางวันมาให้ค่ะ ไหนๆ ก็ว่าง อีกอย่างคุณย่าก็กลัวว่าทุกคนจะเหนื่อยกัน” การเก็บเกี่ยวฤดูนี้เป็นการเก็บเกี่ยวที่หนักที่สุด
และคนในหมู่บ้านจะได้รับส่วนแบ่งแค่สองครั้งเท่านั้น นั่นก็คือหลังการเก็บเกี่ยวครั้งนี้และก่อนปีใหม่เพื่อให้ชาวบ้านได้ฉลองกัน หากบ้านไหนได้รับส่วนแบ่งน้อยก็ต้องรัดเข็มขัดให้ดี ไม่อย่างนั้นก็อาจอดอาหารตาย
“แหม่ แค่เอาอาหารมาส่ง สะใภ้บ้านเฉินก็ทำเหมือนหลานสาวจะตาย”
เฉินเฟิ่นอี้หันไปมองตามเสียงที่พูด เธอต้องเพ่งมองว่าสตรีวัยกลางคนตรงหน้าเป็นใคร เพราะใบหน้าคุ้นๆ อีกทั้งความทรงจำก็ขาดๆ หายๆ
“สะใภ้รองอี้มีปัญหาหรือ?” สะใภ้ใหญ่ถือตัวว่าตนเองใหญ่ที่สุดในบรรดาสะใภ้บ้านเฉิน หันไปถามสะใภ้รองบ้านอี้ที่เป็นบ้านเดิมของสะใภ้สี่ หล่อนไม่ถูกกับบ้านอี้มาตั้งแต่แต่งเข้าสกุลเฉิน พอเกิดเรื่องเฉินเฟิ่นอี้ขึ้น หล่อนก็ยิ่งเกลียดชังบ้านอี้เข้าไส้
“สะใภ้ใหญ่เฉิน เฉินเฟิ่นอี้เป็นเด็กสาวขี้โรค บ้านเฉินยังจะเก็บหล่อนไว้อีกเหรอ หากเป็นบ้านอี้ของพวกฉัน ฉันไม่เอาไว้แน่ๆ เลี้ยงไว้ก็ไร้ประโยชน์ทั้งยังเป็นภาระ” หล่อนหันไปหัวเราะกับเหล่าสะใภ้บ้านอี้ ผู้ใดก็รู้ว่าเด็กสาวบ้านอี้น่ะเต็มไปด้วยคนมีความสามารถ ต่างจากเด็กสาวบ้านเฉินที่ป่วยใกล้ตาย
“ใช่ อีกอย่างนะ ตอนนี้หมิงหลานฮุ่ยก็จะให้ครอบครัวหมิงมาหมั้นหมายอี้เหม่ยเฟิ่งของพวกเราแล้ว ต้องโทษเฉินเฟิ่นอี้แล้วแหละที่ไม่มีวาสนาได้แต่งงานกับหมิงหลานฮุ่ย” สะใภ้ใหญ่อี้ผู้เป็นแม่แท้ๆ ของอี้เหม่ยเฟิ่งเอ่ยอย่างดูแคลนที่ลูกสาวของหล่อนสามารถแย่งชิงคู่หมั้นที่ร่ำรวยมาจากเฉินเฟิ่นอี้ได้
“แม่คะอย่าไปสนใจเลยค่ะ”
สะใภ้สี่ที่กำลังจะตอบโต้ถูกลูกสาวห้ามปราม หล่อนกำมือแน่นมองไปยังบ้านอี้อย่างโกรธแค้น ที่ผ่านมาเวลาสามีของหล่อนได้ของดีๆ มา หรือพี่ชายสามนำของมาให้เหล่าพี่สะใภ้ น้องสะใภ้นำไปให้บ้านเดิม สะใภ้สี่ก็นำไปให้บ้านอี้ทุกครั้ง แต่ดูทุกคนทำกับครอบครัวของหล่อนสิ แม้แต่พ่อแม่และพี่ชายทั้งสามยังเห็นดีเห็นงามไปด้วย
เฉินเฟิ่นอี้มองสะใภ้บ้านอี้ที่ยังหัวเราะไม่หยุด บ้านอี้เป็นบ้านเดิมแม่ของเธอ และมองดูแล้วแม่ของเธอก็ไม่ได้ยอมบ้านอี้ขนาดนั้น คงเป็นเพราะป้าสะใภ้ใหญ่ชอบบ่นแน่
“หรือมันไม่จริง ฮ่าๆ”
ระหว่างนั่งรอผู้ชายบ้านเฉินพักกลางวัน เฉินเฟิ่นอี้ก็หันมองรอบๆ ว่ามีใครที่รู้จักบ้าง ซึ่งก็คุ้นหน้าคุ้นตาไม่น้อยเลย ยังดีที่เฉินเฟิ่นอี้เป็นเด็กสาวที่เรียบร้อยเธอจึงไม่ต้องปวดหัว
“อ้าว เฟิ่นอี้มาทำอะไรเหรอ” เฉินเต๋อหมิงที่มาถึงก่อนคนอื่นร้องถามลูกสาวคนโตที่นั่งอยู่
“ฉันเอาอาหารกลางวันมาส่งค่ะพ่อ” เฉินเฟิ่นอี้ตอบ เธอมองพ่อของเธอเล็กน้อย แม้จะแปลกๆ ที่ต้องเอ่ยคำว่าพ่อบ้างก็ตาม อย่างที่รู้กันว่าชีวิตก่อนเธอมีเพียงแม่ จึงไม่เคยเอ่ยคำว่าพ่อเลยสักครั้ง
“ลำบากแล้ว”
เฉินเฟิ่นอี้ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตักข้าวใส่ถ้วยให้ทุกคน มีหลายบ้านต่างมองมาเพราะปกติบ้านเฉินจะมีเพียงแผ่นแป้ง ส่วนข้าวขาวนานๆ ทีจะได้รับประทาน ซึ่งทุกบ้านก็เป็นเช่นนี้
“ข้าวขาวเหรอ!” สะใภ้ใหญ่ตกใจ เพราะข้าวขาวบ้านเฉินจะเก็บไว้รับประทานมื้อเย็น ทำงานเหนื่อยๆ พอได้รับประทานข้าวขาวก็มีแรงขึ้นมาก อีกอย่างเพราะไม่ต้องการให้คนในหมู่บ้านสนใจจึงเลือกที่จะกลมกลืนไป
“ใช่ค่ะ วันนี้คุณย่าอนุญาตให้ฉันทำค่ะป้าสะใภ้ใหญ่”
“สิ้นเปลืองเปล่าๆ” ลุงใหญ่โบกมือแต่ก็ไม่ได้ต่อว่าหลานสาวเพราะมีคนอื่นอยู่ด้วย
เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้ว่าอะไรต่อ เธอตักข้าวส่งให้ทุกคนที่ทยอยนั่งลง ผู้ชายจะได้เยอะกว่าผู้หญิงเพราะต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมาก ส่วนเฉินเฟิ่นอี้ที่ไม่ได้ทำงานเธอจึงตักข้าวให้ตัวเองนิดเดียว
“นี่คืออะไร” ปู่เฉินชี้ไข่เจียวน้ำอย่างสงสัย
“ไข่เจียวน้ำค่ะคุณปู่” เฉินเฟิ่นอี้ยื่นมือไปตักไข่เจียวน้ำใส่ถ้วยของปู่เฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะจำนวนสมาชิกเยอะ เธอจึงใส่ผักลงไปหลายอย่าง แต่ก็ยังมีเอกลักษณ์ของไข่เจียวน้ำที่เคยทำรับประทาน ซึ่งรสชาติก็ต่างกันอยู่บ้างเนื่องจากมีเครื่องปรุงไม่เยอะ
“หอมมาก”
เฉินเฟิ่นอี้มองทุกคนรีบตักไข่เจียวน้ำยิ้มๆ มีแต่คนเอ่ยปากชมว่ามันอร่อยมาก ซึ่งเธอก็ทำเพียงพยักหน้า ทุกคนรีบรับประทานอาหารและใช้เวลาที่เหลือนอนพักเอาแรงก่อนไปทำงานต่อ
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็เก็บจานและของที่นำมาใส่ตะกร้า ผู้ใหญ่บ้านเฉินต่างหาที่นอนพักกลางวันแล้ว เธอจะกลับบ้านพักผ่อนเหมือนกัน อาหารที่นำมาส่งหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ข้าวสักเม็ด สร้างความพึงพอใจให้เฉินเฟิ่นอี้เป็นอย่างมาก ข้าวหมดก็หมายความว่ามันอร่อย อีกอย่างเธอก็ไม่ค่อยได้ทำอาหารด้วย
หลังกลับมาจากแปลงนาเฉินเฟิ่นอี้ก็เห็นย่าเฉินและเฉินชิงชิงนอนหลับอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน ข้างในบ้านคงจะร้อน ทั้งสองจึงออกมานอนที่ด้านนอก ก่อนจะรีบนำของไปล้างและเก็บไว้ที่เดิม
เมื่อจัดการอะไรเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็เข้าไปในห้องนอนของเธอ เปิดหน้าต่างออกให้กลิ่นในห้องจางลง แสงแดดเริ่มส่องเข้ามาในห้องนอนเธอจึงนั่งลงบนเตียง มองกระดานใสตรงหน้าที่ได้ทำการกดตกลงยืนยันภารกิจไปเมื่อครู่
[คะแนนรวม : 10 แต้ม]
เดี๋ยวนะ? เมื่อวานเธอได้หนึ่งแต้มและเจ็ดแต้ม ภารกิจในวันนี้อย่าบอกนะว่าเธอได้เพียงสองแต้ม! ระบบนี้คงรวนแน่ๆ เฉินเฟิ่นอี้จะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก จะร้องไห้ก็ร้องไห้ไม่ได้ ระบบเส็งเคร็ง! แล้วรางวัลพิเศษล่ะ
“แป้ง?” เฉินเฟิ่นอี้มองถุงแป้งจำนวนสองชั่งที่เธอกดรับรางวัลสำเร็จภารกิจ แป้งขาวจำนวนสองชั่งก็หล่นลงบนเตียงทันที
แม้แต่รางวัลพิเศษเธอก็ยังได้แค่แป้งหรือ! ไม่มีเนื้อหมูหรือพวกเงินให้หน่อยเหรอ เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจ ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรกคงไม่ยอมเชื่อมต่อกับระบบแน่ๆ เธอนึกว่ามันจะช่วยอะไรได้ แต่นี่ช่วยทำให้เหนื่อยมากกว่า
เฉินเฟิ่นอี้ถือถุงแป้งที่ได้รับมาไปเทใส่โหลแป้งเอาไว้ เธอไม่ได้ไปซื้อมาจะมีคนสงสัยเอาได้ แต่ถ้ามีคนสังเกตว่าจำนวนมันเพิ่มขึ้นก็คงหาสาเหตุไม่ได้ซึ่งเหตุผลหลังมันดีกว่า
คงต้องทำเกี๊ยวผักให้บรรดาเด็กที่ไปโรงเรียนเป็นของว่าง ซึ่งเหลืออีกหลายชั่วโมง กว่าที่พวกเขาจะกลับมา เฉินเฟิ่นอี้จึงตัดสินใจนอนพักกลางวันก่อนเพื่อเอาแรง ตื่นอีกทีเด็กๆ คงใกล้จะกลับแล้ว
กะหล่ำปลีถูกแบ่งมาหั่นฝอยครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเฉินเฟิ่นอี้จะเก็บไว้ทำอาหารมื้อเย็น และแครอทเฉินเฟิ่นอี้ทำการหั่นเต๋า เธอตื่นขึ้นมาทำแป้งเตรียมไว้สองชั่วโมงก่อนและดูแลน้องชายให้ย่าเฉินได้พัก พอถึงเวลาใกล้เลิกเรียนของน้องชายน้องสาว เฉินเฟิ่นอี้จึงปลีกตัวมาทำเกี๊ยวผักน้ำ เป็นของว่างระหว่างทำการบ้านน้ำมันสองช้อนถูกเทลงในกระทะที่ตั้งเตรียมไว้ โยนกระเทียมสับหยาบตามลงไป เฉินเฟิ่นอี้ผัดกระเทียมให้เหลืองและส่งกลิ่นหอม ตักส่วนหนึ่งเก็บไว้ และนำผักที่เตรียมไว้มาผัดจนผักนิ่ม ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงรสที่มีในบ้านเล็กน้อยเพื่อความอร่อย จึงนำไส้ขึ้นมาพักให้เย็นระหว่างรอไส้เย็น เฉินเฟิ่นอี้ก็เดินไปตัดผักในสวนหลังบ้านมาทั้งคะน้า ผักกวางตุ้ง และผักชี คะน้าจะทำอาหารมื้อเย็นส่วนผักกวางตุ้งและผักชีจะใส่ในเกี๊ยวผักน้ำนำผักกวางตุ้งไปล้างน้ำจนสะอาด หั่นเป็นท่อนเล็กๆ ก่อนจะนำไปลวกในน้ำร้อนที่เตรียมเอาไว้ เฉินเฟิ่นอี้ใช้เวลาลวกครู่เดียวก็เอาขึ้นมาใส่ชามที่มีน้ำให้คลายร้อน ส่วนผักชีจะหั่นเอาไว้โรยหน้าพอไส้ผักเย็นได้ที่เฉินเฟิ่นอี้ก็ทำการห่อเกี๊ยวด้วยแป้งที่พักเอาไว้ นอกจากจะเป็นของว่างให้น้องแล้ว เฉินเฟิ่นอี้ก็ท
ตั้งแต่ได้ใช้ชีวิตในร่างของเฉินเฟิ่นอี้นี่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเธอจะทำอาหารมื้อกลางวันไปส่งที่แปลงนาทุกวัน จะมีบางวันที่ป้าสะใภ้หรือแม่ของเธอมาช่วยถือตะกร้าอาหาร ต้องบอกว่าทุกคนมีเรี่ยวแรงมากขึ้นจริงๆ เมื่อรับประทานข้าวขาวเป็นมื้อกลางวันยิ่งช่วงนี้บ้านเฉินจับกระต่ายที่ออกมากินธัญพืชที่กำลังเก็บเกี่ยวได้ ทุกคนก็ดูเหมือนจะเจริญอาหารมากขึ้น หากเป็นปีก่อนๆ กระต่ายจะถูกนำไปขายในตำบล แต่เฉินเฟิ่นอี้ไม่ให้นำไปขาย อีกทั้งบางครั้งเธอก็ได้เนื้อกระต่ายเป็นรางวัล ปริมาณเนื้อกระต่ายจึงมีมากกว่าเดิม ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงสอบของน้องๆ แล้ว เฉินเฟิ่นอี้จึงต้องทำอาหารที่มีประโยชน์และการสอบเลื่อนชั้นปีที่ว่าจริงๆ ทางโรงเรียนเรียกว่าสอบเทียบ หลังจากจบเทอมนี้ชั้นปีสุดท้ายก็จบการศึกษาทั้งมัธยมต้น และมัธยมปลาย ทำให้คนที่ยังไม่จบต้องสอบเทียบว่าจะผ่านหรือเปล่า ถ้าสอบผ่านก็จะจบแต่สอบไม่ผ่านต้องไปเรียนใหม่ทั้งหมดทีแรกผู้ปกครองของเด็กต่างไม่พอใจเพราะถ้าสอบไม่ผ่านและให้เข้าไปเรียนในอำเภอใหม่ เงินที่เคยจ่ายค่าเทอมไปล่ะ? อีกอย่างค่าใช้จ่ายในอำเภอไม่ใช่น้อยๆ แต่มีเด็กหลายคนที่เห็นด้วยกับการต
ภารกิจที่ 35 : ขายคูปองรับ 200 แต้ม]เฉินเฟิ่นอี้ที่กำลังหุงข้าวทำอาหารเช้าให้คนในบ้านสะดุ้งเมื่อกระดานใสปรากฏตรงหน้า เหลือบมองเฉินเหม่ยเย่ที่คนหม้อน้ำซุปผักอยู่ข้างๆ ก็ได้แต่ถอนหายใจวันนี้โรงเรียนในตำบลปิดการเรียนการสอนหลังจากสอบเสร็จแล้ว อีกสามวันจะมีการสอบเทียบ และเปิดโรงเรียนอีกครั้งคือหนึ่งเดือนหลังจากนี้พร้อมโรงเรียนในอำเภอระหว่างนี้เด็กๆ ในบ้านก็ต้องออกไปทำงานเก็บแต้มในแปลงนาช่วยผู้ใหญ่ แต่จะมีการสอบเทียบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผู้ใหญ่ในบ้านเฉินจึงตกลงกันว่าไม่ต้องช่วยงานในแปลงนา เอาเรื่องเรียนไว้ก่อนซึ่งเธอก็เห็นด้วย การสอบแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแต่เธอจะได้เปรียบคนอื่นบ้างเรื่องที่ไม่ใช่คนในโลกใบนี้ผู้ใหญ่ออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืด อาหารมื้อเช้าที่เฉินเฟิ่นอี้ทำไว้ให้ก็คือคะน้าผัดไข่ไก่ ส่วนของพวกเธอก็เพิ่งจะมาทำเพราะเฉินเฟิ่นอี้กลัวว่าหากทำเยอะจะเสร็จไม่ทันทุกคน“เหม่ยเย่เธอไปเรียกเฉินตงมาหาพี่หน่อย” เฉินเฟิ่นอี้บอกน้องสาว เธอกำลังทำอาหารอยู่หากไปเองกลัวว่ามันจะไหม้เอาได้“ได้ค่ะ”เฉินเหม่ยเย่เดินออกจากครัวเพื่อไปเรียกเฉินตงที่คงอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน เฉินเฟิ่นอี้จึงใ
สหกรณ์อำเภอเป็นแหล่งรวมสินค้าที่ผู้คนมากมายต่างมาเลือกซื้อของ ยิ่งช่วงต้นเดือนมีสินค้าเข้ามาใหม่ก็จะถูกยื้อแย่ง ใครมาเร็วก็ได้ใครมาช้าก็อด แต่ที่นี่ต้องใช้คูปอง ซึ่งหากมีเงินแต่ไม่มีคูปองก็ไม่สามารถซื้อได้อยู่ดี ยกเว้นจะมีเส้นสายหรือรู้จักพนักงานของที่นี่เฉินเฟิ่นอี้เดินเข้าสหกรณ์พร้อมเฉินตงที่ถือตะกร้าให้ เฉินไห่หลิวต้องการหนังสือและเขามีเงินที่จะซื้อหนังสืออยู่บ้าง ซึ่งมันเป็นเงินเก็บของเขาและเฉินตง ที่พวกเขาทำงานให้เพื่อนร่วมชั้น และเป็นเงินที่ได้รับจากย่าเฉินวันละสองเฟินต่อวันช่วงนี้เป็นช่วงกลางเดือน คนในสหกรณ์จึงมีไม่เยอะมาก และสินค้าต่างๆ ก็ใกล้จะหมดแล้ว เฉินเฟิ่นอี้เดินไปยังโซนเครื่องปรุงตามที่ตาเห็น เครื่องปรุงมีอะไรบ้างเธอก็จับใส่ตะกร้าให้หมด มีทั้งซอสหอย ซีอิ๊ว น้ำปลา ผงปรุงรส น้ำมัน และของอย่างอื่น ซึ่งเธอได้คำนวณไว้แล้วว่าให้พอดีกับคูปอง“พี่สาวสาม เงินเราจะพอเหรอครับ” เฉินตงกระซิบถามเมื่อเห็นของพูนเต็มตะกร้า“พอสิ”นอกจากเครื่องปรุงแล้วเฉินเฟิ่นอี้ยังซื้ออาหารแห้งที่สามารถใช้บำรุงร่างกายกลับไปด้วย เฉินเฟิ่นอี้นำเงินที่ได้รับจากระบบมาด้วย เข้าอำเภอทั้งทีเธอต้องซื้อให้คุ้
จะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายสามแล้ว โชคดีที่ก่อนทางเข้าตำบลมีรถแทรกเตอร์ของหมู่บ้านขับผ่าน สามพี่น้องบ้านเฉินจึงขอติดรถกลับมาด้วยเพราะของหนักมาก มีทั้งเครื่องปรุง ไข่ แตงโม แอปเปิล เนื้อ และของอื่นๆ อีกมากมาย ยังดีที่มีกระสอบและตะกร้าใส่ไม่อย่างนั้นคนขับรถแทรกเตอร์คงมองเห็นของที่ซื้อมาเฉินเฟิ่นอี้เป็นคนลงจากรถคนแรก เธอหยิบเอาของที่สามารถถือได้ ที่เหลือปล่อยให้เฉินไห่หลิวกับเฉินตงจัดการ จากนั้นจึงเดินเข้าบ้านที่มีย่าเฉิน เฉินเหม่ยเย่ และเฉินชิงชิงนั่งเล่นกันอยู่“ซื้ออะไรมาเยอะขนาดนั้น!” ย่าเฉินอุทานมองตะกร้าของที่หลานทั้งสามคนแบกมา“อาหารค่ะ เอาไปไว้ในครัว” เฉินเฟิ่นอี้ตอบ พร้อมหันไปบอกน้องชายที่แบกกระสอบอยู่ เธอจะคุยกับย่าเฉินสักหน่อยค่อยเข้าไปจัดการของในครัว“ครับพี่”เฉินเฟิ่นอี้หยิบคูปองและเงินจำนวนสามหยวน ยื่นคืนย่าเฉินที่มองมาอย่างสงสัย นี่คือเงินที่หักจากการซื้อเครื่องปรุง ส่วนเงินอื่นๆ เฉินเฟิ่นอี้เป็นคนจ่ายเอง ย่าเฉินให้เงินไปซื้อแค่เครื่องปรุง“นี่คือเงินที่เหลือจากซื้อเครื่องปรุงค่ะ ส่วนของอย่างอื่นฉันซื้อเอง” เพื่อป้องกันการถูกด่าที่ซื้อของสิ้นเปลือง เฉินเฟิ่นอี้จึงบอกตั้งแต่แรก
เรื่องที่บ้านเฉินมีเนื้อกินถูกพูดถึงทั้งหมู่บ้าน หากไม่ใช่เฉินหมิงกลับมาที่บ้านก็ต้องเป็นช่วงที่ได้รับผลผลิต บ้านเฉินรวมถึงทุกคนจึงจะมีเนื้อกิน แต่อยู่ๆ สามวันก่อนกลับมีคนได้กลิ่นเนื้อจากบ้านเฉิน ซึ่งเพื่อนบ้านต่างยืนยันว่าเป็นกลิ่นเนื้อจริงๆเฉินเฟิ่นอี้ถูกคนในบ้านเฉินซักถามว่าได้เนื้อมายังไง ก็เป็นย่าเฉินที่ออกหน้าและบอกว่านางเป็นคนเอาเงินและคูปองให้เฉินเฟิ่นอี้ไปซื้อเอง ทุกคนจึงทำได้แค่เงียบวันนี้มีการสอบเทียบ พี่ใหญ่เฉินหยุดงานหนึ่งวันเพื่อพาเฉินเฟิ่นอี้ เฉินไห่หลิว และเฉินตงไปสอบเทียบขึ้นมัธยมปลายในตำบล การสอบครั้งนี้ไม่ใช่การสอบใหญ่ ผู้ใหญ่ในบ้านเฉินจึงตกลงให้พี่ใหญ่เฉินไปคนเดียว ส่วนเรื่องลางานในแปลงนาทำเรื่องเอาไว้ตั้งแต่รู้วันสอบแล้วเดินทางไปในตำบลใช้เวลาเดินเท้าแค่ครึ่งชั่วโมง สมาชิกบ้านเฉินจึงไม่ได้เร่งรีบ เพราะมีสอบตอนเก้าโมง ลุงใหญ่ของบ้านจึงพาลูกชาย หลานชายและหลานสาวเดินเท้าไปยังตำบลถ้าเลือกได้เฉินเฟิ่นอี้ก็อยากได้จักรยานมาใช้ อย่างน้อยคงได้ไปซื้อของบ่อยๆ เอาไว้ลุงสามกลับมาที่บ้าน เธอจะลองขอให้เขาซื้อให้ดู หากให้พึ่งตนเองตอนนี้คงไม่ได้ เพราะต้องสำรองเงินบางส่วนไว้ใช้
พักได้ไม่นานเฉินเฟิ่นอี้ก็ต้องเข้าห้องสอบต่อ วิชาที่สองเป็นวิชาคณิตศาสตร์ เธอใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม แน่นอนว่าครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ยังสอบเสร็จก่อนคนอื่น ช่วยไม่ได้ที่เธอมีตัวช่วยอย่างระบบเส็งเคร็งที่ชอบบอกคำตอบบ้าง แค่กๆเฉินเฟิ่นอี้ส่งกระดาษคำตอบทันทีที่หมดเวลาสอบ ท่ามกลางสีหน้าเคร่งเครียดของนักเรียนระดับมัธยมต้น คงมีเพียงเฉินเฟิ่นอี้ที่มีสีหน้าผ่อนคลาย เมื่อออกจากห้องสอบ บางคนรีบไปรับประทานอาหารมื้อกลางวันเพราะต้องกลับมาอ่านหนังสือต่อ วิชาต่อไปคือภาษาต่างประเทศอย่างภาษาอังกฤษที่เธอรู้จักดี เนื่องจากการทำงานเป็นเลขาของท่านประธานที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ เธอในตอนนั้นจึงถูกส่งไปเรียนพิเศษแต่บางคนไม่ได้ไปรับประทานอาหารกลางวันเหมือนคนอื่น พวกเขาหาที่นั่งพร้อมกับอ่านหนังสือ จะสอบผ่านหรือไม่ผ่านก็อยู่ที่วิชาภาษาต่างประเทศแล้ว ยกเว้นบ้านเฉินที่เฉินเฟิ่นอี้ชวนไปหาที่รับประทานอาหารมื้อกลางวันข้างนอกโรงเรียนกองทัพต้องเดินด้วยท้อง และแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ไม่ต้องการอดอาหาร หากเฉินไห่หลิวกับเฉินตงเครียดและไม่ได้รับประทานอาหารมื้อกลางวัน พวกเขาอาจเป็นลมได้ ส่วนเธอนั้นไม่น่าห่วงเพราะไม่ได้
ห้าโมงเย็นเป็นเวลาเลิกงานของคนในหมู่บ้าน หลังจากเลขาธิการจดชื่อว่าใครได้กี่แต้ม ทุกคนก็ทยอยกลับบ้าน บ้านไหนที่จัดการเสร็จก่อนคนอื่นก็รีบร้อนกลับบ้าน เพราะผู้หญิงต้องไปทำงานบ้านและอาหารมื้อเย็น ต่างจากบ้านเฉินที่รอให้คนน้อยค่อยไปต่อแถวจดชื่อ ที่บ้านมีคนทำอาหารรอแล้ว“วันนี้เด็กๆ ไปสอบ ฉันหวังว่าทุกคนจะสอบผ่านหมดนะคะ จะได้ไปเรียนพร้อมกัน” สะใภ้สี่เฉินเอ่ยระหว่างยืนรอต่อแถวสมาชิกบ้านอื่น“อืม เฟิ่นอี้จะได้สอนน้องๆ ได้” สะใภ้ใหญ่เห็นด้วย เรื่องการเรียนของเฉินเฟิ่นอี้บ้านเฉินต่างรับรู้กันดี ขนาดเฉินไห่หลิวที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะยังไม่สู้หล่อน“ฮ่าๆ หลานสาวต้องสอบผ่านแน่ครับ หล่อนสอนการบ้านน้องสาวแทบทุกวัน ไหนจะอ่านหนังสือหนักอีก” พี่รองเฉินหัวเราะอย่างอารมณ์ดี“ใช่” ปู่เฉินเห็นด้วย“เหล่าสะใภ้อี้มีเรื่องอะไรกันเหรอ เห็นกลับจากสอบ ก็ตรงมาหาคนบ้านอี้เลย” สะใภ้สี่กล่าวด้วยความสนใจ หล่อนเป็นคนบ้านอี้มาก่อน เห็นแบบนี้จึงรับรู้ได้ว่าเกิดเรื่องขึ้น และรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย“จะอะไรก็เถอะ คุณไม่ต้องไปสนใจหรอก ขอแค่พวกหล่อนไม่ไปทำอะไรให้สูกสาวของเราก็พอ” น้องชายสี่เฉินบอกภรรยา แต่ก่อนเรื่องบ้านอี
วันที่ 5 เดือน 3 ปี 1984 งานมงคลสมรสของเฉินเฟิ่นอี้และโอวหยางจิงจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่ได้รับเชิญต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างหนาแน่น เฉินเฟิ่นอี้ต้องลุกมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืด ทั้งต้องคอยถามถึงหน้างานเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาดในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง สิ่งที่รอคอยนั่นคือการแต่งงานสักครั้งในชีวิต ในตอนที่เป็นแป้งร่ำ เธอพลาดโอกาสนั้นแล้ว ครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ย่อมไม่พลาด"พี่สาวสามสวยมาก" เฉินเหม่ยเย่เอ่ยชมพี่สาวด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ไม่ใช่งานของตนเองนาน ๆ ที เฉินเฟิ่นอี้จะได้แต่งหน้าและแต่งตัว หากไม่ใช่วันสำคัญ แต่ก็ไม่ได้จัดเต็มเหมือนวันนี้ ภายใต้ชุดสีแดงมงคล เฉินเฟิ่นอี้เป็นผู้หญิงที่สวยมากในสายตาของน้องสาว"พี่สาวสามของเธอเป็นคนสวยมาตั้งนานแล้ว หล่อนแค่ไม่แต่งตัวเหมือนกับเธอที่ต้องทำงาน" พี่สาวใหญ่เดินเข้ามานั่งใกล้น้องสาวภายในห้องเจ้าสาวตอนนี้ มีพี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง เฉินเหม่ยเย่ และเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นเจ้าสาว ทั้งสี่คนเป็นหลานสาวสายหลักของลุงสามที่เป็นผู้นำตระกูล ต่อให้แต่งงานแล้วแต่ยังเป็นคนสำคัญเฉินเฟิ่นอี้แต่งงานแล้วเธอจะเป็นคนของตระกูลโอวหยาง แต่ว่ายังสามารถมีปากเสียงในตระกูลเ
ต่อให้เร่งมากแค่ไหน การสร้างบ้านยังต้องใช้เวลาสองเดือน เฉินเฟิ่นอี้จึงใช้เวลาที่ว่างในการช่วยเฉียนลี่เซียนเปิดร้านตัดเย็บ มันเป็นเพียงการตัดเย็บที่ลูกค้าสั่งตัดไม่เกินห้าตัว ปะซ่อมบริเวณที่ขาดกว่าบ้านจะเสร็จ ร้านตัดเย็บเฉียนก็เริ่มเข้าที่แล้ว เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เธอปล่อยให้หล่อนจัดการร้านเอาเอง เพราะมีเฉียนเฟยเข้ามาช่วยจึงไม่ค่อยห่วงนักบ้านที่สร้างใหม่เป็นบ้านปูนห้าห้องนอน ล้อมรั้วแข็งแรงไม่ให้คนนอกเข้าไป แต่เฉินเฟิ่นอี้ฝากกุญแจให้ผู้ใหญ่บ้านจ้างคนไปทำความสะอาดข้างนอกบ้านให้ รวมถึงถางหญ้าในที่ดิน ค่าดูแลเดือนละยี่สิบหยวน แน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยอมจ่ายทันทีที่บ้านเสร็จ กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ก็เดินทางกลับปักกิ่งเพื่อเริ่มงาน พวกผู้หญิงมีงานถ่ายแบบเข้ามาบ้าง เฉินเฟิ่นอี้อนุญาตให้ทำและลดเงินเดือนบางส่วนของพวกหล่อนลงร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ยอีกสองสาขาอยู่ห่างจากสาขาใหญ่พอสมควร แต่เป็นบริเวณที่มีคนเดินผ่าน แน่นอนว่าร้านของเธอพี่ใหญ่เฉินเป็นคนหาให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าสาขาที่สองเป็นสาขาที่เฉินเฟิ่นอี้สร้างร่วมกับน้องชายน้องสาว ส่วนสาขาใหญ่ตอนนี้มันเป็นเพียงชื่อของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าการ
งานมงคลผ่านไปแล้ว มีแต่คนอิจฉาเจ้าสาวเพราะได้รับสินสอดจำนวนมาก หลังงานมงคลเฉินเฟิ่นอี้เรียกผู้รับเหมาเข้าไปดูบ้านพร้อมกับสร้างบ้านใหม่ด้วยเวลาอันน้อยนิด เฉินเฟิ่นอี้จ่ายไม่อั้นเพื่อให้บ้านเสร็จก่อนกลับปักกิ่ง แต่ถึงจะเสร็จไม่ทันเธอก็จะรอให้มันเสร็จก่อนอยู่ดี ต่อให้มีคนนินทาและด่าว่าโง่ที่เอาเงินมาทิ้งกับบ้านที่ไม่ได้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้สนใจ"พี่จัดการเรื่องผ้าถุงเสร็จแล้ว พวกเรากลับไปที่ร้านกันก่อนเถอะครับ" โอวหยางจิงบอกคนรักที่นั่งรออยู่ในโรงงานวันนี้เฉินเฟิ่นอี้เข้ามาจัดการเรื่องที่จะให้โรงงานส่งผ้าถุงเข้าไปในปักกิ่ง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยินดีจ่าย ขอแค่ให้ของไปถึงมือส่วนร้านเซี่ยเซี่ยร้านแรกของเธอจะยุติการขาย เรื่องนี้ได้คุยกับลุงเหว่ยเทาไปแล้วตอนที่กลับมาถึงวันแรก แต่ต้องเข้าไปคุยอีกทีเพื่อยกเลิกสัญญาพอมีการประกาศออกไปดูเหมือนว่าทุกคนจะตกใจและรีบมาซื้อเก็บเอาไว้ สินค้าจะมีเหลือให้ขายเพียงห้าพันผืนสุดท้าย หากขายหมดก่อนร้านจะปิดลงทันที"ค่ะ"หากเป็นเมื่อก่อนเฉินเฟิ่นอี้กับโอหยางจิงคงปั่นจักรยานกัน แต่ตอนนี้คุณลุงโอวหยางให้คนรักของเธอนำรถมาใช้งานระหว่างอยู
วันที่เจ็ดเดือนสามปี 1982 กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้เดินทางมาถึงบ้านพักในอำเภอจวี่ที่เป็นบ้านหลังเดิม และเพื่อนของลุงสามเป็นคนจัดพื้นที่เอาไว้ให้แล้วการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มีผู้ใหญ่บ้านเฉินเดินทางมาด้วย มีเพียงผู้ปกครองที่เดินทางกลับบ้าน เฉินเฟิ่นอี้พร้อมกับน้อง ๆ ต้องการมาเข้าร่วมงานมงคลของเว่ยฟ่งกับเจียวซีถึงได้ตามกันมา ยกเว้นเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านที่ปีนี้อายุสิบเอ็ดปีแล้วเฉินเฟิ่นอี้รับกุญแจจากลุงเหว่ยเทาทันทีที่มาถึง บ้านพักหลังนี้ถือว่าเป็นความทรงจำของเธอก็ว่าได้ อยู่มาตั้งหลายปี ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม"คุณลุงเหว่ยไม่ได้ปล่อยบ้านให้คนอื่นเช่าเหรอคะ" เฉินเฟิ่นอี้หันไปถามเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ในห้องโถง และสอบถามเรื่องราวระหว่างที่ไปอยู่ในปักกิ่ง"บ้านหลังนี้หลานบอกว่ามันเป็นความทรงจำไม่ใช่หรือ ถึงลุงไม่ได้ขายให้แต่ก็เก็บเอาไว้รอพวกหลานกลับมา" เหว่ยเทายิ้มเล็กน้อยเขาไม่ได้แต่งงานมีภรรยา สมบัติที่มีอยู่จึงเป็นของเขาและมีรายได้จากการปล่อยเช่าห้องพัก ไม่จำเป็นต้องปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ให้คนอื่น และเด็กบ้านเฉินก็เหมือนลูกเหมือนหลานของเขา"ขอบคุณค่ะ""ลุงสามฝากบอกว่าถ้ามีเวลาให้ขึ
หลังงานเลี้ยงจบลง ข่าวที่หลายคนจับตามองมากที่สุดไม่พ้นหลานชายหลานสาวของตระกูลเฉินมีคนรักแล้ว หลายคนยังคงต้องการขยับความสัมพันธ์ เผื่อว่าวันหน้าจะมีโอกาส จึงจ้างกลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ไปร่วมงานอยู่บ่อย ๆช่วงปิดภาคเรียนเป็นช่วงที่ต้องทำหลายอย่าง กว่าจะลงตัวก็เปิดภาคเรียนแล้ว ภาคเรียนที่สองเป็นภาคเรียนที่เหนื่อยมาก บ่อยครั้งที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องนอนในหอพักของมหาวิทยาลัยความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนยังคงหนาแน่น ยิ่งที่บ้านย้ายเข้าไปอยู่ในเขตตระกูลเฉิน ทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านพักทำให้ได้พบเจอหน้ากันทุกวันยิ่งได้อยู่ด้วยกันกับเฉินเฟิ่นอี้ ทุกคนต่างลงความเห็นที่จะทำงานกับเพื่อนสาว เว่ยฟ่งถึงขั้นต่อสายมาหาพ่อกับแม่เรื่องที่เขาเรียนจบแล้วจะกลับไปแต่งงานกับเจียวซีแล้วจะกลับมาอยู่ในปักกิ่งคนอื่น ๆ ก็มีท่าทีไม่ต่างกัน ผู้ชายเข้าไปช่วยรุ่นพี่โอวหยางจิงทำงาน ผู้หญิงช่วยเฉินเฟิ่นอี้ในร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ย ตอนนี้ได้ค่าตอบแทนน้อย แต่ถือว่าคุ้มเพราะช่วยอยู่เบื้องหลังแค่มาเรียนปีแรกก็ทำเอาผู้ปกครองปวดหัวแล้ว ปีที่ีสองยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่มีใครกลับบ้านในช่วงปิดภาคเรียน ถ้าอยากเจอก็ให้เดินทางมาหาความสัมพัน
หลานชาย หลานสาว รวมถึงกลุ่มเพื่อนสนิทถูกจับแต่งตัวให้เหมาะสมกับงานสำคัญ อันที่จริงกลุ่มเพื่อนของเฉินเฟิ่นอี้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมก็ได้ แต่ทุกคนลงความคิดเห็นว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของบ้านเฉินแล้วแขกภายในงานมีหลายคนที่เคยสนิทกับคนในตระกูลเฉิน เพราะฉะนั้นเฉินเฟิ่นอี้จึงพยายามบอกคนอื่นให้หลีกเลี่ยงเท่าที่จะทำได้เฉินเฟิ่นอี้มองชุดที่ออกแบบด้วยฝีมือของพี่เยี่ยฉิงจากร้านเยว่ซิน ทันทีที่จะมีการจัดเตรียมงานเธอได้ทำการติดต่อขอตัดเย็บเสื้อผ้าให้ และตระกูลเยี่ยคือหนึ่งในพันธมิตรของปู่เธอ"เสียดายจริง ๆ ที่เธอไม่คิดจะทำงานในวงการบ้างหรือ" เยี่ยฉิงมองชุดบนตัวของเฉินเฟิ่นอี้"ไม่ละค่ะ ฉันชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่า" เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธไป ให้ช่วยแต่งหน้าหรือทำอย่างอื่นได้ แต่จะให้ถ่ายแบบเธอทำไม่ได้จริง ๆ"อื้อ ๆ ฉันก็ว่าแบบนั้นดูเป็นเธอมากกว่า" หล่อนหัวเราะเฉินเฟิ่นอี้เป็นเจ้าของร้านผ้าถุงที่ออกแบบลวดลายเอง เยี่ยฉิงเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าที่ไม่ถ่ายแบบงานตัวเอง จึงเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเยี่ยฉิงที่ช่วยเฉินเฟิ่นอี้แต่งตัวแล้วเดินไปช่วยคนอื่นต่อ ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้แต่งตัว แน่นอนว่างานส
ข่าวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งของหลายวันมานี้จะเป็นข่าวอะไรไปไม่ได้นอกจากข่าวผลัดเปลี่ยนผู้นำตระกูลเฉิน เป็นผู้นำที่หลาย ๆ คนคิดว่าเหมาะสมที่สุด นั่นก็คือ เฉินจงอี้ หรือปู่เฉินของเด็ก ๆ บ้านเฉิน ที่รับช่วงต่อระหว่างรอลูกชายทั้งสี่เรียนรู้งานเฉินเฟิ่นอี้ให้พี่ใหญ่เฉินส่งคนคอยตามคนตระกูลเฉินไปอย่างลับ ๆ เธอไม่ไว้ใจพวกเขา อย่าลืมว่าเฉินหานกับ เฉินหว่านทั้งสองต่างมีชื่อเสียง เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ และปู่รอง ปู่สามของตระกูลจะไม่มีน้ำยาทำอะไรจริง ๆ น่ะหรือ"ปู่คะ ฉันว่าพวกเราอยู่ที่บ้านนี้สักพักก่อนดีกว่าค่ะ ส่วนบ้านหลังนั้นก็ให้คนเข้าไปเก็บกวาดซ่อมแซมใหม่ก่อน" เฉินเฟิ่นอี้เสนอเมื่อปู่เฉินจะพาทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านตระกูลเฉินบ้านมันเก่ามากแล้วควรทำความสะอาดครั้งใหญ่ อีกอย่างเธอก็ไม่รู้ว่าข้างในจะมีอะไรที่เป็นอันตรายหรือไม่ และเธอสะดวกใจที่จะอยู่บ้านพักหลังนี้มากกว่า แต่ว่าถ้าปู่เฉินต้องการที่จะย้ายไปเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ขอเพียงให้มั่นใจก่อนว่ามันจะปลอดภัยจริง ๆช่วงนี้เธอไม่สามารถติดต่อกับระบบได้และมันก็หายไปหลายวันแล้ว ทำให้เฉินเฟิ่นอี้เป็นกังวลและคิดว่าควรรอมากกว่า"ทำไมล่ะ ที่จริงพวกเร
ปู่เฉิน ย่าเฉิน ลุงใหญ่ ลุงรอง ลุงสาม พ่อของเธอ พี่ใหญ่เฉิน และเฉินเฟิ่นอี้อยู่บนรถยนต์เพื่อเดินทางไปยังตระกูลเฉินตามที่เคยบอกเฉินหว่านเอาไว้ เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้พูดเล่น ตอนนี้ตระกูลเฉินมีหนี้และอีกไม่นานกิจการค้าขายที่เคยเป็นของปู่เฉินก็จะถูกยึด พี่ใหญ่เฉินกล่าวว่ามีคนจากตระกูลเฉินขอกู้เงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนแลกกับกิจการเฉินเฟิ่นอี้นั่งข้างคนขับซึงก็คือพี่ใหญ่เฉิน นอกจากพวกเธอแล้วยังมีนายทหารอีกสองคันที่พี่ใหญ่เฉินพามาด้วย ดูเหมือนว่าตระกูลเฉินจะไม่มีเงินจ้างคนทำความสะอาดทางเข้า เขตบ้านตระกูลเฉินรกมากรถยนต์ดับลงหน้าบ้าน สมาชิกบ้านเฉินลงจากรถ เฉินเฟิ่นอี้เดินไปหาย่าเฉินที่อยู่ในวงล้อมของลูก ๆ เฉินเฟิ่นไม่ได้กลัวแต่ถ้าเกิดมีการลงไม้ลงมือกัน อย่างน้อยอยู่ใกล้ย่าเฉินจะปลอดภัยที่สุด“ที่นี่คือตระกูลเฉินเหรอคะ?”เฉินเฟิ่นอี้มองไปยังบ้านหลายหลังที่อยู่ติดกัน ด้านหน้าทางเข้าพบว่าเป็นบ้านสมัยใหม่ที่ดูดี แต่พอเข้ามาด้านหลังต้องบอกว่ามันทรุดโทรมมาก โดยเฉพาะหลังที่เป็นเหมือนบ้านรวม ตัวหลังคาหน้าบ้านมันแตกแล้ว“เปลี่ยนไปมากจริง ๆ” ปู่เฉินว่าด้วยความเสียดาย ที่ผ่านมาเขาคิดว่าจะมีคนดูแลที่นี่เหมือนก
เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดร้านนานหลายวัน เฉินเฟิ่นอี้กลับมาเปิดร้านอีกครั้งและจ้างคนมาเฝ้าหน้าร้านถึงสามคนเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หนังสือพิมพ์ลงข่าวทายาทของเจ้าของกิจการที่ยกให้น้องชายก่อนที่เขาจะหายตัวไปพร้อมครอบครัว ทำให้ร้านผ้าถุงมีลูกค้าเข้ามาซื้อของมากขึ้น และมีหลายร้านที่มาจ้างให้เฉินเหม่ยเย่ไปถ่ายงาน นอกจากนี้กลุ่มเพื่อนผู้หญิงก็ยังมีงานตามมาอีกไม่ต่างกันเฉินเฟิ่นอี้นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อตรวจสอบบัญชีของเมื่อวานที่ยังไม่ได้จัดการ ข้าง ๆ กันมีโอวหยางจิงที่ตามมาด้วย เห็นบอกว่างานในโรงงานไม่ได้มีอะไรให้ทำและไม่ได้รับลูกค้าเพิ่ม เพียงตัดเย็บให้ร้านของเธอกับตัดเย็บเสื้อผ้าให้ร้านเยว่ซินก็ทำแทบไม่ทันแล้ว"เมื่อวานโจวซิงฉือบอกว่าที่บ้านติดต่อมา มีคนเข้าไปหาพวกเขาสอบถามถึงเรื่องของเธอ แต่ครอบครัวของเขาบอกไปว่าไม่รู้จักเธอ" โอวหยางจิงเอ่ยขึ้นระหว่างที่นั่งมองคนรักทำงานทุกคนติดต่อไปยังครอบครัวเพื่อให้บอกว่าไม่รู้จักบ้านเฉินหรือหากพวกเขามีพยานให้ตอบว่าเป็นเพื่อนของลูกเท่านั้นไม่ได้รู้จักสนิทสนม และเป็นคำสั่งของเฉินเฟิ่นอี้เองเพื่อความปลอดภัยของทุกคน และไม่มีใครถามเนื่องจากเชื่อในตัวของเพื่อน