ภารกิจที่ 35 : ขายคูปองรับ 200 แต้ม]
เฉินเฟิ่นอี้ที่กำลังหุงข้าวทำอาหารเช้าให้คนในบ้านสะดุ้งเมื่อกระดานใสปรากฏตรงหน้า เหลือบมองเฉินเหม่ยเย่ที่คนหม้อน้ำซุปผักอยู่ข้างๆ ก็ได้แต่ถอนหายใจ
วันนี้โรงเรียนในตำบลปิดการเรียนการสอนหลังจากสอบเสร็จแล้ว อีกสามวันจะมีการสอบเทียบ และเปิดโรงเรียนอีกครั้งคือหนึ่งเดือนหลังจากนี้พร้อมโรงเรียนในอำเภอ
ระหว่างนี้เด็กๆ ในบ้านก็ต้องออกไปทำงานเก็บแต้มในแปลงนาช่วยผู้ใหญ่ แต่จะมีการสอบเทียบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผู้ใหญ่ในบ้านเฉินจึงตกลงกันว่าไม่ต้องช่วยงานในแปลงนา เอาเรื่องเรียนไว้ก่อนซึ่งเธอก็เห็นด้วย การสอบแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแต่เธอจะได้เปรียบคนอื่นบ้างเรื่องที่ไม่ใช่คนในโลกใบนี้
ผู้ใหญ่ออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืด อาหารมื้อเช้าที่เฉินเฟิ่นอี้ทำไว้ให้ก็คือคะน้าผัดไข่ไก่ ส่วนของพวกเธอก็เพิ่งจะมาทำเพราะเฉินเฟิ่นอี้กลัวว่าหากทำเยอะจะเสร็จไม่ทันทุกคน
“เหม่ยเย่เธอไปเรียกเฉินตงมาหาพี่หน่อย” เฉินเฟิ่นอี้บอกน้องสาว เธอกำลังทำอาหารอยู่หากไปเองกลัวว่ามันจะไหม้เอาได้
“ได้ค่ะ”
เฉินเหม่ยเย่เดินออกจากครัวเพื่อไปเรียกเฉินตงที่คงอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน เฉินเฟิ่นอี้จึงใช้โอกาสนี้ลอบสอบถามระบบที่ไม่ค่อยจะตอบเธอ จริงๆ หากเธอเรียก มันก็จะตอบแต่กลัวว่าจะเป็นประสาทเสียก่อน
“นี่ๆ ระบบ ฉันอยากรู้ว่าทำไมแต้มคะแนนครั้งนี้ถึงเยอะขนาดนี้ นายเคยบอกไม่ใช่เหรอว่ามีแค่หนึ่งถึงสิบแต้ม” ใช่แล้ว นี่คือเหตุผลที่เฉินเฟิ่นอี้สะดุ้ง คะแนนสองร้อยแต้มมันเยอะกว่าคะแนนรวมของเธอในตอนนี้อีก! ครึ่งต่อครึ่งเลยด้วยซ้ำ
(ระบบ : การซื้อขายมีความเสี่ยง ภารกิจนี้เป็นภารกิจอันตราย)
“อันตราย?” เฉินเฟิ่นอี้กระพริบตาปริบๆ เมื่อกระดานใสเปลี่ยนข้อความและระบบไม่ยอมคุยกับเธอ ทั้งที่ปกติต้องโผล่ออกมาจิกกัดซึ่งถือว่าดีแล้ว
กระดานใสกระพริบสองครั้งก่อนจะหายไป เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจให้กับความขี้เกียจของระบบ ใช่! เจ้าระบบเส็งเคร็งนี่ขี้เกียจตัวเป็นขน ทำให้รางวัลของเธอได้รับแต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ! ซึ่งที่เธอรู้ก็เพราะมันหลุดปากออกมาสองวันก่อนว่ายังไม่ได้เอารางวัลใหญ่ใส่ระบบสุ่มให้เพราะหลับอยู่
เธอมาอยู่ที่นี่เป็นเดือนแต่เจ้าระบบกลับไม่ยอมใส่รางวัลใหญ่ลงไปในระบบสุ่ม เฉินเฟิ่นอี้แทบร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด ทำงานหนักมาตั้งหลายครั้งแต่ได้รับแค่ถุงแป้งเป็นของรางวัล
“มาแล้วค่ะ” เฉินเหม่ยเย่เดินออกไปไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมเฉินตงที่เดินงัวเงียเข้ามา
“พี่สาวสามมีอะไรเหรอครับ” เฉินตงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กก่อนเอ่ยถาม เมื่อครู่เขาเผลอหลับจนน้องสาวเข้าไปปลุกจึงตื่น
“พี่อยากเข้าอำเภอ นายพาพี่ไปได้หรือเปล่า” เธอไม่อ้อมค้อมรีบถามทันที ส่วนเรื่องการไปตลาดมืด ไปถึงที่นั่นเฉินเฟิ่นอี้จะให้เขาพาไป หากบอกว่าจะไปตลาดมืดตอนนี้เกรงว่าเขาจะปฏิเสธเอา
“เข้าอำเภอ? ไปซื้อของเหรอครับ”
ปกติคนที่ออกไปซื้อของในตำบลหรือในอำเภอส่วนมากถ้าไม่ใช่ผู้ใหญ่ในบ้านก็จะเป็นเฉินไห่หลิวกับเฉินตง เพราะเดินเท้าไปตำบลใช้เวลาเกือบสี่สิบนาที ส่วนเข้าอำเภอใช้เวลาสองชั่วโมง ผู้หญิงบ้านเฉินจึงเลือกที่จะไม่ไปซื้อเอง
“อืม” เครื่องปรุงที่มีอยู่ก็หมดแล้ว เฉินเฟิ่นอี้อยากได้เครื่องปรุงเพิ่มและหาซื้อเครื่องปรุงมาใช้ โดยเฉพาะน้ำมันที่เหลือแค่ไม่กี่ช้อน ทั้งที่หากคนในบ้านทำอาหารคงใช้ได้อีกหลายเดือน
“ผมต้องถามเฉินไห่หลิวก่อน” เพราะในบรรดาพี่ชายน้องชาย ในตอนนี้เฉินไห่หลิวถือว่าอาวุโสที่สุด เพราะพี่ใหญ่เฉินไม่ได้อยู่ที่นี่ อีกทั้งหากให้เฉินไห่หลิวพาไป คนในบ้านจะอนุญาต
“ได้”
เฉินเฟิ่นอี้มองสองข้างทางที่มีร้านค้าต่างๆ แต่ต้องใช้คูปองถึงจะสามารถซื้อของได้ ซึ่งหลังจากทำอาหารเช้าเสร็จเฉินไห่หลิวกับเฉินตงก็ตกลงที่จะพาเธอเข้าอำเภอ
หลังจากรับประทานมื้อเช้า ทำอาหารมื้อกลางวันให้ผู้ใหญ่บ้านเฉินและคนในบ้านแล้ว เฉินเฟิ่นอี้จึงได้เวลาเข้าอำเภอสักที พวกเธอได้ขออนุญาตย่าเฉินพร้อมทั้งบอกว่าจะมาซื้อเครื่องปรุง ย่าเฉินจึงนำเงินมาให้เฉินเฟิ่นอี้ห้าหยวนและคูปองบางส่วน เฉินเหม่ยเย่ไม่ได้มาด้วยเธอกลัวว่าหล่อนจะเกิดอันตราย อีกอย่างก็ต้องช่วยย่าเฉินเลี้ยงเฉินชิงชิง
“กินข้าวกันก่อนไหม” เพราะกว่าจะเดินทางถึงต้องใช้พลังงานมาก ถึงระหว่างทางจะมีรถแทรกเตอร์ขับผ่านแต่ก็มีคนอื่นๆ นั่งอยู่ด้วย เหลือที่นั่งแค่ที่เดียวซึ่งเฉินเฟิ่นอี้ไม่ยอมขึ้นไปนั่ง และเลือกเดินกับน้องชายแทน
“เราไม่มีคูปอง” เฉินไห่หลิวเตือน ถึงจะเคยรับประทานอาหารในร้านค้าของรัฐเพราะมันถูก แต่วันนี้พวกเขาไม่มีคูปอง
เฉินเฟิ่นอี้รีบหาคูปองอาหารในกระเป๋าผ้าของเธอ ถ้าจำไม่ผิดเธอได้มาไม่กี่วันก่อนจำนวนห้าใบ ซึ่งหาไม่นานก็เจอเพราะมีคูปองที่ย่าเฉินให้มาด้วย
“เจอแล้ว”
“พี่เอามาจากไหน?” เฉินตงสงสัย พี่สาวสามไม่ได้ทำงานการที่มีคูปองจึงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งคูปองของบ้านหากไม่จำเป็นก็จะไม่เอาออกมาใช้ ส่วนคูปองที่ย่าเฉินให้มาเขามั่นใจว่าไม่มีคูปองอาหารแน่
“ลุงสามให้ไว้น่ะ จะกินหรือเปล่าล่ะ” เฉินเฟิ่นอี้ไม่ใช่คนโง่ ย่าเฉินยื่นคูปองอาหารให้ก็จริงแต่มันมีแค่ใบเดียว ส่วนลุงสามเขาเอ็นดูเฉินเฟิ่นอี้มากกว่าหลานคนอื่นจะได้คูปองก็ไม่แปลก
“ได้ครับ”
เฉินไห่หลิวเดินนำเฉินตงและเฉินเฟิ่นอี้เข้าไปในร้านอาหารรัฐที่เขาเคยเข้า มันเป็นร้านที่ราคาถูก อร่อย ที่สำคัญยังให้เยอะมาก จานละไม่กี่เฟินเท่านั้นเอง ระหว่างเดินเข้าในร้านก็มีคนนั่งเต็มทุกโต๊ะ การันตีได้เลยว่าร้านนี้เป็นร้านอันดับหนึ่งในอำเภอ
“นั่งรอตรงนี้ครับ ผมไปเอาให้เอง”
เฉินเฟิ่นอี้พยักหน้านั่งลงตรงโต๊ะที่ว่างอยู่ ปล่อยให้น้องชายทั้งสองไปซื้ออาหารมาให้ เธอเป็นคนที่รับประทานอะไรก็ได้ไม่เรื่องมากอีกทั้งยังต้องนั่งเฝ้าโต๊ะเอาไว้ด้วย
“ดูสิเราเจอใคร”
ระหว่างนั่งรอน้องชายไปซื้อข้าว เฉินเฟิ่นอี้ก็ได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นหูเธอจึงเงยหน้าขึ้นมอง ตรวจสอบครู่หนึ่งจึงจำได้ว่ากลุ่มคนตรงหน้าเป็นใคร มีผู้ชายสามคนและผู้หญิงสามคน สองคนในนั้นเป็นใครไม่ได้เลย หมิงหลานฮุ่ยกับอี้เหม่ยเฟิ่งอดีตคู่หมั้นหมายของเฉินเฟิ่นอี้กับญาติผู้พี่ที่เป็นอดีตคนสนิทนั่นเอง
“เรียกฉันเหรอคะ” เฉินเฟิ่นอี้ถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่ต่างจากใบหน้า
เธอไม่ได้รู้จักกับพวกเขามาก แต่ในความทรงจำก็พอจะจำได้ว่าใครเป็นใครบ้าง ผู้ชายเป็นเพื่อนของหมิงหลานฮุ่ยส่วนผู้หญิงเป็นเพื่อนตอนประถมของอี้เหม่ยเฟิ่งที่ไม่ได้เรียนต่อ
“ได้ยินว่าเธอล้มป่วยนี่ หายดีแล้วเหรอ” หนึ่งในกลุ่มผู้ชายเป็นคนเอ่ยปากถาม
“ค่ะ”
“แค่ถูกถอนหมั้นยังป่วย แบบนี้จะมีคนแต่งหล่อนเป็นสะใภ้เหรอ” เพื่อนของอี้เหม่ยเฟิ่งเหยียดยิ้มอย่างดูถูก แต่ก่อนเฉินเฟิ่นอี้ถูกนำมาเปรียบเทียบกับพวกหล่อน ดูตอนนี้สิเทียบพวกหล่อนไม่ติดเลย
“มีอะไรกันเหรอครับ” เฉินตงเห็นว่ามีคนมามุงบริเวณที่พี่สาวนั่งอยู่ จึงรีบถือจานข้าวตนเองมาก่อนเฉินไห่หลิวที่กำลังจ่ายเงิน
“ไม่มีอะไรหรอกเฉินตง”
เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้า เธอมีเรื่องที่ต้องไปทำจึงไม่ต้องการจะสนทนากับใคร คนพวกนี้ก็เป็นได้เพียงเสียงนกเสียงกาสำหรับเฉินเฟิ่นอี้ อีกอย่างมันก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะเอาคืน รอให้เธอมีทุกอย่างก่อนเถอะ
“หลบด้วยผมจะนั่ง” เฉินตงโบกมือไล่หมิงหลานฮุ่ยที่ยืนขวางอยู่ ทั้งที่จริงเขาสามารถนั่งได้เลย
เสียงกระซิบบางอย่างดังอยู่ข้างๆ เฉินเฟิ่นอี้ยกแก้วน้ำที่เฉินตงถือมาด้วยขึ้นจิบและฟังสิ่งที่ได้ยินไปด้วย โต๊ะทั้งหมดเต็มแล้วยกเว้นโต๊ะที่พวกเธอกำลังนั่งอยู่ พวกเขาต้องการจะรับประทานอาหารที่นี่พอดี
“ของพี่ครับ”
“ขอบใจ” เฉินเฟิ่นอี้รับจานอาหารจากเฉินไห่หลิว เป็นข้าวราดแกงอะไรสักอย่างพร้อมหมูผัดถั่วงอก ซึ่งปริมาณเยอะมากเมื่อเทียบกับราคาสองเฟิน
‘เอายังไงดีคะ’
‘แต่โต๊ะที่นี่มันเต็มแล้วนะ’
‘ก็นั่งโต๊ะนี้’
‘เธอจะบ้าหรือ!’
‘โรงหนังใกล้เปิดแล้วนะ ถ้าไม่รีบพวกเราจะไปไม่ทัน'
“เฉินเฟิ่นอี้”
เฉินเฟิ่นอี้เงยหน้าขึ้นมองอี้เหม่ยเฟิ่งที่เรียกเธอ เสียงกระซิบเมื่อครู่เธอได้ยินทั้งหมดแต่ไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับ เพราะพวกเขายังไม่ได้ขอเธอ
“พวกฉันนั่งด้วยสิ โต๊ะเต็มหมดแล้ว”
[ภารกิจพิเศษ : ปฏิเสธอี้เหม่ยเฟิ่งรับ 100 แต้ม]
ดวงตาเฉินเฟิ่นอี้เป็นประกายเมื่อเห็นภารกิจพิเศษและคะแนนที่ลอยอยู่ หากเธอทำภารกิจวันนี้ก็จะได้ถึงหกร้อยแต้ม! เธอส่ายหน้าพลางเอ่ยตอบ
“ไม่ได้หรอก น้องชายฉันไม่ชอบคนเยอะ” และมันก็เป็นเรื่องจริง เฉินไห่หลิวไม่ชอบคนเยอะ ขนาดเข้ามาในร้านนี้เขายังไม่ค่อยชอบเลยถ้าไม่ติดว่าเธอต้องการรับประทานอาหาร
หากเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้กลุ่มคนมาใหม่คงได้นั่งลงนานแล้วเพราะเฉินเฟิ่นอี้ไม่เคยปฏิเสธ ต่อให้เฉินไห่หลิวจะไม่ชอบแต่ก็ไม่ได้ขัดใจพี่สาว และครั้งนี้ที่เฉินเฟิ่นอี้ปฏิเสธจึงสร้างความแปลกใจให้กับทุกคนโดยเฉพาะพี่น้องบ้านเฉิน ทั้งยังไม่สนใจหมิงหลานฮุ่ยเหมือนกับที่ผ่านมา
“ผมต้องไปโรงหนังต่อ เฉินเฟิ่นอี้คุณให้พวกเรานั่งด้วยไม่ได้เหรอ” เพราะได้สัญญาณจากคนรักและเพื่อนสนิท หมิงหลานฮุ่ยที่ตอนแรกไม่ยอมพูดอะไรถึงกล้าพูดกับเฉินเฟิ่นอี้
เฉินเฟิ่นอี้เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา นี่คือหมิงหลานฮุ่ยอดีตคู่หมั้นของเฉินเฟิ่นอี้หรือ? หน้าตาก็งั้นๆ สู้เฉินไห่หลิวกับเฉินตงไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่อยากเชื่อว่าหล่อนจะตกหลุมรักผู้ชายตรงหน้า
“ไปโรงหนังฉันต้องไปกับพวกคุณเหรอคะ? ถ้ารีบก็แค่หาร้านอื่นหรือไม่ก็รอโต๊ะว่าง”
“นี่!”
“หมิงหลานฮุ่ยไม่ต้องค่ะ ฉันว่าเราไปร้านอื่นกันดีกว่า” น้ำเสียงอ่อนโยนเรียกสติคนรักตนเองของอี้เหม่ยเฟิ่งสร้างความพึงพอใจให้กับหมิงหลานฮุ่ยเป็นอย่างมาก
“ไปกันเถอะ”
เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้ามองหมิงหลานฮุ่ยที่เดินฟึดฟัดออกไปอย่างไม่เชื่อสายตาเท่าไร ในความทรงจำที่ได้รับมาหมิงหลานฮุ่ยผู้นี้เป็นคนใจเย็นมาก และเขาถูกเรียกว่าอัจฉริยะตั้งแต่ประถม ทำให้มีคนไปถามเกี่ยวกับเรื่องเรียนเยอะมากซึ่งเขาไม่เคยมีท่าทีแบบนี้
“หมิงหลานฮุ่ยนิสัยเสียจริงๆ” เฉินตงบ่น
“เอาเถอะ อย่าไปยุ่งกับพวกเขาเลย” เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้า วันสอบเทียบพวกเธอก็คงต้องเจอกันอีกแน่
“จะไปสหกรณ์ต่อใช่ไหมครับ” เฉินไห่หลิวที่นั่งเงียบเอ่ยถามพร้อมกับรับประทานอาหารไปด้วย
“อ้อ ใช่ พวกนายจะไปไหนกันต่อหรือเปล่า ร้านหนังสือก็อยู่ใกล้ๆ กันนี่” หลังจากซื้อของเสร็จเฉินเฟิ่นอี้จึงจะให้เฉินตงพาเข้าไปในตลาดมืด ส่วนเฉินไห่หลิวนั้นเขาเงียบมาก เธอจะล่อให้เขาเข้าไปที่ร้านหนังสือแทน
“จริงสิ นายจะซื้อหนังสือนี่ไห่หลิว”
“อืม”
สหกรณ์อำเภอเป็นแหล่งรวมสินค้าที่ผู้คนมากมายต่างมาเลือกซื้อของ ยิ่งช่วงต้นเดือนมีสินค้าเข้ามาใหม่ก็จะถูกยื้อแย่ง ใครมาเร็วก็ได้ใครมาช้าก็อด แต่ที่นี่ต้องใช้คูปอง ซึ่งหากมีเงินแต่ไม่มีคูปองก็ไม่สามารถซื้อได้อยู่ดี ยกเว้นจะมีเส้นสายหรือรู้จักพนักงานของที่นี่เฉินเฟิ่นอี้เดินเข้าสหกรณ์พร้อมเฉินตงที่ถือตะกร้าให้ เฉินไห่หลิวต้องการหนังสือและเขามีเงินที่จะซื้อหนังสืออยู่บ้าง ซึ่งมันเป็นเงินเก็บของเขาและเฉินตง ที่พวกเขาทำงานให้เพื่อนร่วมชั้น และเป็นเงินที่ได้รับจากย่าเฉินวันละสองเฟินต่อวันช่วงนี้เป็นช่วงกลางเดือน คนในสหกรณ์จึงมีไม่เยอะมาก และสินค้าต่างๆ ก็ใกล้จะหมดแล้ว เฉินเฟิ่นอี้เดินไปยังโซนเครื่องปรุงตามที่ตาเห็น เครื่องปรุงมีอะไรบ้างเธอก็จับใส่ตะกร้าให้หมด มีทั้งซอสหอย ซีอิ๊ว น้ำปลา ผงปรุงรส น้ำมัน และของอย่างอื่น ซึ่งเธอได้คำนวณไว้แล้วว่าให้พอดีกับคูปอง“พี่สาวสาม เงินเราจะพอเหรอครับ” เฉินตงกระซิบถามเมื่อเห็นของพูนเต็มตะกร้า“พอสิ”นอกจากเครื่องปรุงแล้วเฉินเฟิ่นอี้ยังซื้ออาหารแห้งที่สามารถใช้บำรุงร่างกายกลับไปด้วย เฉินเฟิ่นอี้นำเงินที่ได้รับจากระบบมาด้วย เข้าอำเภอทั้งทีเธอต้องซื้อให้คุ้
จะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายสามแล้ว โชคดีที่ก่อนทางเข้าตำบลมีรถแทรกเตอร์ของหมู่บ้านขับผ่าน สามพี่น้องบ้านเฉินจึงขอติดรถกลับมาด้วยเพราะของหนักมาก มีทั้งเครื่องปรุง ไข่ แตงโม แอปเปิล เนื้อ และของอื่นๆ อีกมากมาย ยังดีที่มีกระสอบและตะกร้าใส่ไม่อย่างนั้นคนขับรถแทรกเตอร์คงมองเห็นของที่ซื้อมาเฉินเฟิ่นอี้เป็นคนลงจากรถคนแรก เธอหยิบเอาของที่สามารถถือได้ ที่เหลือปล่อยให้เฉินไห่หลิวกับเฉินตงจัดการ จากนั้นจึงเดินเข้าบ้านที่มีย่าเฉิน เฉินเหม่ยเย่ และเฉินชิงชิงนั่งเล่นกันอยู่“ซื้ออะไรมาเยอะขนาดนั้น!” ย่าเฉินอุทานมองตะกร้าของที่หลานทั้งสามคนแบกมา“อาหารค่ะ เอาไปไว้ในครัว” เฉินเฟิ่นอี้ตอบ พร้อมหันไปบอกน้องชายที่แบกกระสอบอยู่ เธอจะคุยกับย่าเฉินสักหน่อยค่อยเข้าไปจัดการของในครัว“ครับพี่”เฉินเฟิ่นอี้หยิบคูปองและเงินจำนวนสามหยวน ยื่นคืนย่าเฉินที่มองมาอย่างสงสัย นี่คือเงินที่หักจากการซื้อเครื่องปรุง ส่วนเงินอื่นๆ เฉินเฟิ่นอี้เป็นคนจ่ายเอง ย่าเฉินให้เงินไปซื้อแค่เครื่องปรุง“นี่คือเงินที่เหลือจากซื้อเครื่องปรุงค่ะ ส่วนของอย่างอื่นฉันซื้อเอง” เพื่อป้องกันการถูกด่าที่ซื้อของสิ้นเปลือง เฉินเฟิ่นอี้จึงบอกตั้งแต่แรก
เรื่องที่บ้านเฉินมีเนื้อกินถูกพูดถึงทั้งหมู่บ้าน หากไม่ใช่เฉินหมิงกลับมาที่บ้านก็ต้องเป็นช่วงที่ได้รับผลผลิต บ้านเฉินรวมถึงทุกคนจึงจะมีเนื้อกิน แต่อยู่ๆ สามวันก่อนกลับมีคนได้กลิ่นเนื้อจากบ้านเฉิน ซึ่งเพื่อนบ้านต่างยืนยันว่าเป็นกลิ่นเนื้อจริงๆเฉินเฟิ่นอี้ถูกคนในบ้านเฉินซักถามว่าได้เนื้อมายังไง ก็เป็นย่าเฉินที่ออกหน้าและบอกว่านางเป็นคนเอาเงินและคูปองให้เฉินเฟิ่นอี้ไปซื้อเอง ทุกคนจึงทำได้แค่เงียบวันนี้มีการสอบเทียบ พี่ใหญ่เฉินหยุดงานหนึ่งวันเพื่อพาเฉินเฟิ่นอี้ เฉินไห่หลิว และเฉินตงไปสอบเทียบขึ้นมัธยมปลายในตำบล การสอบครั้งนี้ไม่ใช่การสอบใหญ่ ผู้ใหญ่ในบ้านเฉินจึงตกลงให้พี่ใหญ่เฉินไปคนเดียว ส่วนเรื่องลางานในแปลงนาทำเรื่องเอาไว้ตั้งแต่รู้วันสอบแล้วเดินทางไปในตำบลใช้เวลาเดินเท้าแค่ครึ่งชั่วโมง สมาชิกบ้านเฉินจึงไม่ได้เร่งรีบ เพราะมีสอบตอนเก้าโมง ลุงใหญ่ของบ้านจึงพาลูกชาย หลานชายและหลานสาวเดินเท้าไปยังตำบลถ้าเลือกได้เฉินเฟิ่นอี้ก็อยากได้จักรยานมาใช้ อย่างน้อยคงได้ไปซื้อของบ่อยๆ เอาไว้ลุงสามกลับมาที่บ้าน เธอจะลองขอให้เขาซื้อให้ดู หากให้พึ่งตนเองตอนนี้คงไม่ได้ เพราะต้องสำรองเงินบางส่วนไว้ใช้
พักได้ไม่นานเฉินเฟิ่นอี้ก็ต้องเข้าห้องสอบต่อ วิชาที่สองเป็นวิชาคณิตศาสตร์ เธอใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม แน่นอนว่าครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ยังสอบเสร็จก่อนคนอื่น ช่วยไม่ได้ที่เธอมีตัวช่วยอย่างระบบเส็งเคร็งที่ชอบบอกคำตอบบ้าง แค่กๆเฉินเฟิ่นอี้ส่งกระดาษคำตอบทันทีที่หมดเวลาสอบ ท่ามกลางสีหน้าเคร่งเครียดของนักเรียนระดับมัธยมต้น คงมีเพียงเฉินเฟิ่นอี้ที่มีสีหน้าผ่อนคลาย เมื่อออกจากห้องสอบ บางคนรีบไปรับประทานอาหารมื้อกลางวันเพราะต้องกลับมาอ่านหนังสือต่อ วิชาต่อไปคือภาษาต่างประเทศอย่างภาษาอังกฤษที่เธอรู้จักดี เนื่องจากการทำงานเป็นเลขาของท่านประธานที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ เธอในตอนนั้นจึงถูกส่งไปเรียนพิเศษแต่บางคนไม่ได้ไปรับประทานอาหารกลางวันเหมือนคนอื่น พวกเขาหาที่นั่งพร้อมกับอ่านหนังสือ จะสอบผ่านหรือไม่ผ่านก็อยู่ที่วิชาภาษาต่างประเทศแล้ว ยกเว้นบ้านเฉินที่เฉินเฟิ่นอี้ชวนไปหาที่รับประทานอาหารมื้อกลางวันข้างนอกโรงเรียนกองทัพต้องเดินด้วยท้อง และแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ไม่ต้องการอดอาหาร หากเฉินไห่หลิวกับเฉินตงเครียดและไม่ได้รับประทานอาหารมื้อกลางวัน พวกเขาอาจเป็นลมได้ ส่วนเธอนั้นไม่น่าห่วงเพราะไม่ได้
ห้าโมงเย็นเป็นเวลาเลิกงานของคนในหมู่บ้าน หลังจากเลขาธิการจดชื่อว่าใครได้กี่แต้ม ทุกคนก็ทยอยกลับบ้าน บ้านไหนที่จัดการเสร็จก่อนคนอื่นก็รีบร้อนกลับบ้าน เพราะผู้หญิงต้องไปทำงานบ้านและอาหารมื้อเย็น ต่างจากบ้านเฉินที่รอให้คนน้อยค่อยไปต่อแถวจดชื่อ ที่บ้านมีคนทำอาหารรอแล้ว“วันนี้เด็กๆ ไปสอบ ฉันหวังว่าทุกคนจะสอบผ่านหมดนะคะ จะได้ไปเรียนพร้อมกัน” สะใภ้สี่เฉินเอ่ยระหว่างยืนรอต่อแถวสมาชิกบ้านอื่น“อืม เฟิ่นอี้จะได้สอนน้องๆ ได้” สะใภ้ใหญ่เห็นด้วย เรื่องการเรียนของเฉินเฟิ่นอี้บ้านเฉินต่างรับรู้กันดี ขนาดเฉินไห่หลิวที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะยังไม่สู้หล่อน“ฮ่าๆ หลานสาวต้องสอบผ่านแน่ครับ หล่อนสอนการบ้านน้องสาวแทบทุกวัน ไหนจะอ่านหนังสือหนักอีก” พี่รองเฉินหัวเราะอย่างอารมณ์ดี“ใช่” ปู่เฉินเห็นด้วย“เหล่าสะใภ้อี้มีเรื่องอะไรกันเหรอ เห็นกลับจากสอบ ก็ตรงมาหาคนบ้านอี้เลย” สะใภ้สี่กล่าวด้วยความสนใจ หล่อนเป็นคนบ้านอี้มาก่อน เห็นแบบนี้จึงรับรู้ได้ว่าเกิดเรื่องขึ้น และรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย“จะอะไรก็เถอะ คุณไม่ต้องไปสนใจหรอก ขอแค่พวกหล่อนไม่ไปทำอะไรให้สูกสาวของเราก็พอ” น้องชายสี่เฉินบอกภรรยา แต่ก่อนเรื่องบ้านอี
เรื่องที่สะใภ้สี่บ้านเฉินเอ่ยตัดขาดบ้านเดิมแพร่กระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว อย่างที่รู้กันว่าผู้หญิงที่แต่งงานออกจากบ้านก็จะเป็นคนในครอบครัวของสามี ไม่ใช่คนของบ้านเดิม แต่ถ้าไม่มีเรื่องร้ายแรงหรือบ้านเดิมตัดขาดกับคนที่แต่งออกจากบ้าน ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ลูกสาวเอ่ยตัดขาดจากบ้านเดิมมาก่อนแต่เมื่อวานนี้สะใภ้สี่บ้านเฉินได้ทำลงไปแล้ว และเรื่องต่อมาที่จะพูดไม่ได้เลยก็คือหมิงหลานฮุ่ยยังไม่ได้มาหมั้นหมายอี้เหม่ยเฟิ่ง ทั้งๆ ที่สะใภ้ใหญ่บ้านอี้ป่าวประกาศไปทั่วหมู่บ้านเฉินเฟิ่นอี้กำลังต้มข้าวใส่ไข่ให้แม่ของเธอที่นอนป่วยอยู่ในห้องนอนได้รับประทาน บ้านเฉินลงความเห็นกันว่าให้สะใภ้สี่พักจิตใจก่อน ส่วนเรื่องแปลงนาย่าเฉินจะลงไปทำแทน อีกทั้งสามพี่น้องบ้านอี้ยังไปช่วยผู้ใหญ่ทำงานอีก ที่บ้านตอนนี้จึงเหลือแค่สะใภ้สี่ เฉินเฟิ่นอี้ เฉินเหม่ยเย่และเฉินชิงชิงที่รับหน้าที่ดูแลน้องชายยังเป็นเฉินเฟิ่นอี้ที่รับหน้าที่ทำอาหารมื้อกลางวันให้ทุกคนเช่นเคย วันนี้มีตุ๋นไก่ในเล้าหนึ่งตัว ที่เฉินเฟิ่นอี้ขอพ่อของเธอฆ่าให้เพราะมันเกินจำนวนสมาชิกในบ้านที่ตอนนี้เหลือเพียงสิบหกคนแต่มีไก่เก้าตัว“พี่ทำข้าวต้มให้แม่เหร
พี่สาวรองนอนที่บ้านแค่หนึ่งคืนก็กลับบ้านสามี หล่อนกล่าวว่ายังอยากอยู่ที่บ้านต่อ แต่บอกแม่สามีไว้แล้วว่าจะกลับตอนเช้า ย่าเฉินจึงให้เฉินตงไปส่งพี่สาวและให้นำผลไม้กลับไปด้วยเพียงบางส่วน ถึงเฉินเยี่ยนฉิงจะปฏิเสธก็ตามเฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้กล่าวและเตือนพี่สาวรอง อย่างที่รู้กันว่าหล่อนเรียนถึงมัธยมปลาย คงไม่ได้โง่ถึงกับให้บ้านสามีทำร้ายตนเองหรอก อีกอย่างบ้านฉางยังเกรงกลัวบ้านเฉินอยู่แม่ของเธอนอนพักแค่วันเดียวก็กลับไปทำงานต่อ เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้ว่าอะไรในเมื่อหายดีแล้ว มีเพียงย่าเฉินที่ยังอยากให้สะใภ้ของนางนอนพักอีกวันนี้เป็นวันที่คะแนนสอบเทียบออก คนในบ้านเฉินไม่มีใครได้หยุดงานสักคนเพราะการเก็บเกี่ยวฤดูนี้ใกล้สิ้นสุดลงแล้ว เฉินเฟิ่นอี้จึงเป็นคนที่พาเฉินไห่หลิว เฉินตง และเฉินเหม่ยเย่ที่อยากเข้าไปดูคะแนนสอบด้วย ส่วนเฉินจางถูกลากไปลงแปลงนาตั้งแต่เช้ามืดถ้าทุกคนสอบผ่านจะได้ส่งจดหมายไปบอกลุงสามเรื่องบ้านเช่าในอำเภอ ครั้งก่อนลุงสามตอบจดหมายกลับมาว่าช่วงสิ้นปีถึงจะกลับและลาพักได้สามเดือน ระหว่างนี้คงไม่ได้ตอบจดหมายบ่อยๆ เนื่องจากการทำงาน แต่อย่างน้อยก็ต้อง
หลังจากจากยื่นเอกสารเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็รีบพาน้องๆ เดินออกจากอาคาร ยังดีที่อี้เหม่ยเฟิ่งกับหมิงหลานฮุ่ยต่อแถวรอยื่นเอกสารอยู่ พวกเธอจึงไม่ได้ปะทะหน้ากัน เธอเดินมาหยุดที่หน้าโรงเรียนอย่างใช้ความคิดพรุ่งนี้ถึงจะมารับใบขอจบระดับมัธยมศึกษาตอนต้นได้พวกเธอจึงกลับได้เลย แต่อย่าลืมว่าเฉินเฟิ่นอี้มีภารกิจช่วยเหลือเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ถูกล้อ พวกเธอจะกลับแล้วแต่ยังไม่เห็นคนนั้นที่ว่า“เจียวซีเธอสอบไม่ผ่านเหรอ? ฮ่าๆ ฉันเดาเอาไว้ไม่มีผิด รู้ไหมว่าห้องเรียนของเราสอบผ่านหมดนะ อ้อ ยกเว้นเธอน่ะ”เสียงหัวเราะเรียกความสนใจของเฉินเฟิ่นอี้ได้เป็นอย่างดี เธอเพ่งมองเด็กสาวคนนั้นอย่างใช้ความคิด หล่อนคุ้นหน้าไม่น้อยคงเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอตอนที่ยังเรียนอยู่ แต่น่าจะอยู่คนละห้องกันเพราะเหมือนจะไม่เคยคุยกัน“ไม่เอาน่าซ่งเยว่ลี่ เจียวซีหล่อนก็แค่ไม่เข้าใจการเรียน ยังไงหล่อนก็แค่เรียนมัธยมต้นต่อ ไม่เหมือนพวกเราที่ต้องไปเรียนมัธยมปลาย ฮ่าๆ”“ฉันรู้ๆ จางเฟยหง แต่อีกห้องจะหัวเราะให้ห้องพวกเราที่มีคนสอบไม่ผ่าน! ได้ยินว่าอีกห้องสอบผ่านหม
เฉินเฟิ่นอี้นอนไม่หลับ หลังจากแยกย้ายกับกลุ่มเเพื่อนเธอนอนลืมตาในห้องจนถึงเช้าที่ต้องตื่นมาเตรียมอาหารนั่นแหละถึงไม่นอนต่อ เมื่อคืนเฉินเฟิ่นอี้ถึงจะไม่ค่อยสนุกเท่าไรแต่ก็อยู่จนจบและเก็บของ พออยู่คนเดียวความคิดมันฟุ้งซ่าน"หลานสาวสาม" สะใภ้ใหญ่เรียกหลานสาวที่นั่งอยู่หน้าเตา"ป้าสะใภ้ใหญ่"อาหารมื้อเช้าวันนี้เป็นโจ๊ก เฉินเฟิ่นอี้จึงต้องอยู่คนหม้อไม่ให้ข้าวติดก้นกระทะจนไหม้ เธอขยับให้ป้าสะใภ้นั่งลงด้วย วันนี้คนที่มีสอนก็ต้องไปสอนคนที่มีเรียนก็ต้องไปเรียนและไม่รู้ว่าพวกผู้ชายบ้านเฉินจะมาทำงานหรือเปล่า หลานสาวอย่างเหรินอี้ก็ไม่รู้ว่าพ่อของเขาจะมาส่งไหมเฉินเฟิ่นอี้นั่งเงียบเพื่อคิดหาทางออก อันที่จริงก็นอนคิดมาทั้งคืน แต่เพราะไม่รู้ว่าคนแปลกหน้าที่ว่าคือใครจึงยังไม่ฟันธง เสียงรถยนต์จอดลงหน้าบ้านเฉินเฟิ่นอี้รีบยกหม้อข้าวมาวางลงเตาถ่านที่ว่างแล้วรีบเดินออกไปหน้าบ้านที่คาดว่าจะเป็นคนที่กลับบ้านตั้งแต่เมื่อวาน"ลุงสาม"มีเพียงลุงสามกับหลานสาวตัวน้อยของพวกเธอเหรินอี้ เฉินเฟิ่นอี้ยังไม่ได้ถามอะไรรีบพาหลานสาวไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปโรงเรียน เหรินอี้อายุเจ็ดขวบหล่อนเป็นลูกสาวของพี่สาวใหญ่ที่ตอนแรกจะใ
บรรยากาศที่ควรสนุกสนานแต่ตอนนี้เด็กบ้านเฉินไม่ได้สนุกเท่าไรนัก ผู้ชายบ้านเฉินกลับไปที่หมู่บ้านจนถึงตอนนี้เกือบห้าชั่วโมงและยังไม่กลับมา เฉินเฟิ่นอี้ลงมือทำอาหารให้เพื่อนที่มางานเลี้ยง เด็กบ้านเฉินออกไปร่วมด้วย ส่วนสะใภ้ใหญ่ช่วยหลานสาวทำอาหารในครัวแล้วเข้าไปพักในบ้านเลี้ยงฉลองทั้งทีเครื่องดื่มเฉินเฟิ่นอี้ก็นำออกมาให้ทุกคนดื่มยกเว้นเหล้าที่พวกผู้ชายเอาออกมาเอง เมื่อคืนเธอคั้นน้ำผลไม้ทิ้งไว้ในตู้จึงนำออกมาให้ทุกคนได้ดื่ม และมีเครื่องดื่มอัดลมที่นำออกมากจากในระบบซึ่งนาน ๆ ทีเฉินเฟิ่นอี้จึงจะนำออกมาเพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหากับแกล้มที่ดีที่สุดก็คือย่างเนื้อหมู เฉินเฟิ่นอี้จุดไฟย่างอยู่ไม่ไกลจากม้านั่ง ต่อให้ในใจยังมีความกังวลอยู่แต่วันนี้กว่าจะรวมตัวได้เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่อยากให้เสียบรรยากาศ ชิงช้าแกว่งไปมาหลังเธอนั่งลงและมองกลุ่มเพื่อนที่ดื่มฉลองกัน อาหารหลายอย่างของวันนี้ส่วนมากจะเป็นเมนูที่เฉินเฟิ่นอี้เคยกินมาในชีวิตก่อน ไม่ว่าจะเป็นต้มยำกุ้ง แกงส้ม ไข่ทอดชะอม และยังมีอีกหลายอย่างตั้งแต่ที่เรียนจบต้องบอกว่าทุกคนจะแวะเวียนกันมาที่บ้านเช่าให้เฉินเฟิ่นอี้ทำอาหารให้กิน แรก ๆ ก็เป็นเมนูที่เคยท
พอรู้ว่าวันนี้เพื่อนคนอื่น ๆ จะมาที่บ้าน เฉินเฟิ่นอี้ก็ให้น้องชายเป็นคนเอาปิ่นโตไปส่งที่สถานีตำรวจและกองทัพทหาร ส่วนตนเองกับน้องสาวและคนที่เหลือช่วยกันจัดสถานที่สำหรับคืนนี้ และมีจี้หลัน ซ่งเวยหลาน กับเจียวซีที่ตอนนี้รับหน้าที่เก็บค่าเช่าห้องแถวให้บ้านมาสามีมาช่วยด้วยอันที่จริงมันจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง หากมีการจัดงานเลี้ยงจะมีคนมาช่วยตั้งแต่เช้าเพื่อไม่ให้พวกเฉินเฟิ่นอี้ต้องเหนื่อยอยู่ฝ่ายเดียว ที่สำคัญค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทุกคนจะหารจ่ายเท่ากันและนำเงินมาให้เฉินเฟิ่นอี้ทำอาหาร และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีงานฉลองทุกคนจึงรู้หน้าที่โดยไม่ต้องบอกในบ้านคือพื้นที่ส่วนตัว เฉินเฟิ่นอี้ให้เพื่อนเข้าไปได้และเป็นพวกเขาเองที่ไม่ยอมเข้าไป ม้านั่งหน้าบ้านที่เคยนั่งเรียนภาษาต่างประเทศคือสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยง ปกติมันจะไม่มีไฟห้อยบริเวณนี้แต่พอมาฉลองกันบ่อย ๆ เฉินเฟิ่นอี้ก็ให้ช่างมาต่อไฟไว้ และมีชิงช้าแขวนที่ทำขึ้นเพราะต้นไม้มันใหญ่ขึ้นมากงานเลี้ยงฉลองบางคนอาจทำเพียงอาหาร กับแกล้ม และเครื่องดื่ม แต่ไม่ใช่กับเฉินเฟิ่นอี้ที่จัดเต็มกับอาหาร สถานที่ และบรรยากาศ เพราะฉะนั้นผ้าสีขาวถูกนำมาผูกตกแต่งไว้ที่เสา
ตรวจผ้าถุงเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็พาเฉินเหม่ยเย่เดินดูกระบวนการตัดเย็บและแนะนำเทคนิคดี ๆ ให้หล่อนได้ลองใช้ เฉินเหม่ยเย่ตัดเย็บเสื้อผ้าได้แต่ช่วงหลัง ๆ มาต้องสอนหนังสือให้รุ่นน้องทำให้หล่อนไม่มีเวลาตัดเย็บเสื้อผ้าส่วนมากจะซื้อมาใส่เฉินเฟิ่นอี้ใช้เวลาไม่นานก็พาน้องสาวออกจากโรงงานเย็บผ้าของตระกูลโอวหยางไปยังร้านเซี่ยเซี่ยที่อยู่ในย่านการค้าที่เริ่มเปิดตัวขึ้นมา หลายร้านกำลังปรับปรุงสถานที่ขายไม่ต่างจากบ้านเฉิน และไม่ไกลจากร้านเซี่ยเซี่ยยังมองเห็นร้านเสื้อผ้าของตระกูลโอวหยางอีกบริเวณหน้าร้านมีสิ่งของสำหรับการก่อสร้างวางไว้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้บอกน้องสาวให้เดินระวังก่อนเข้าไปดูข้างใน ห้องเช่านี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่แต่สำหรับเฉินเฟิ่นอี้มันยังเล็กอยู่ดี เธอทำสัญญาเช่าที่นี่ห้าปีและหากฝ่ายไหนผิดสัญญาต้องจ่ายสิบเท่าของราคาเช่า และเฉินเฟิ่นอี้จ่ายค่าเช่าห้าปีไปวันที่เซ็นสัญญากัน อันที่จริงก็อยากเซ็นสัญญาปีต่อปีแต่พอมาคำนวณราคาแล้วมันไม่คุ้มยิ่งต้องปรับเปลี่ยนห้องเช่าในแบบที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องการก็ใช้เงินอีกมาก หากอยู่ ๆ เจ้าของห้องเช่าเห็นว่าที่นี่ขายของได้ดีจะไม่ต่อสัญญา ทำให้เฉินเฟิ่นอี้ตัดสินใจเซ็นสัญญาข
ถึงเวลาพักกลางวัน เฉินเต๋อหมิงเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารมามองลูกสาวสองคนที่นั่งอิงแอบกันพร้อมหลับตา เขาส่ายหน้าลุกขึ้นไปหยิบผ้าที่ลูกสาวเอามาให้ใช้ไปห่มให้ลูกสาวทั้งสองคน พร้อมหิ้วปิ่นโตออกจากห้องทำงานไปหาพี่ชายอีกสองคนที่อยู่ข้างนอกเฉินเฟิ่นอี้ลืมตาตื่นทันทีที่ประตูปิดลง เธอไม่ได้หลับเพียงแค่พักสายตาเท่านั้น ตั้งแต่เปิดการค้าเสรีเธอก็ทำงานหนักเพราะกลัวว่าผ้าถุงและร้านจะเสร็จไม่ทันวันที่จะเปิด พวกเธอแวะมาสถานีตำรวจอีกสักพักจะไปโรงงานเย็บผ้าของตระกูลโอวหยางและจะไปดูร้านที่กำลังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุง"พักกลางวันแล้วเหรอคะ" เฉินเหม่ยเย่อ้าปากหาวพร้อมยกมือขึ้นขยี้ดวงตา อันที่จริงหล่อนง่วงมากแต่อยากตามพี่สาวมาที่ทำงานของบรรดาพ่อและลุง"ใช่"ผ้าถูกพับและนำไปเก็บไว้ที่เดิม เฉินเฟิ่นอี้คว้ากระเป๋าผ้าของเธอเดินนำน้องสาวออกจากห้องไปยังโรงอาหารของที่นี่ จริง ๆ พวกเธอไม่จำเป็นต้องทำอาหารมาส่งก็ได้เพราะสถานีตำรวจมีโรงอาหารให้เจ้าหน้าที่ได้รับประทานอาหารตลอดทั้งวันและไม่ต้องจ่ายเงิน แต่อาหารที่มีประโยชน์ที่ร่างกายควรได้รับมีน้อยมาก เฉินเฟิ่นอี้ที่เคยมากินครั้งหนึ่งจึงไม่ยอมให้พ่อและลุงของเธอกินอาหารที
ต้นปี 1977 รัฐบาลประกาศการค้าเสรี สามารถผลิตสินค้าและซื้อขายได้อย่างอิสระ หลายบ้านเริ่มหาช่องทางการค้าขายและบางบ้านยังคิดว่าพ่อค้าแม่ค้าเป็นอาชีพที่ไม่มีเกียรติจึงไม่ยอมเริ่มต้นที่จะค้าขาย จริง ๆ ข่าวลือเรื่องนี้มีตั้งแต่ปลายปี 1976 แล้ว แต่เพิ่งมีประกาศอย่างเป็นทางการบ้านเฉินซื้อที่ีดินรอบ ๆ บ้านเพื่อเลี้ยงไก่และเป็ดตามคำบอกของเฉินเฟิ่นอี้ตั้งแต่ที่มีข่าวลือ แม้จะกลัวว่าเป็นเพียงข่าวลือแต่บ้านเฉินก็เชื่อใจหลานสาวโดยเฉพาะย่าเฉิน พอมีการประกาศอย่างเป็นทางการไก่และเป็ดก็โตพอที่จะขายออกไปได้แล้วนอกจากเลี้ยงไก่และเป็ดไว้ขายเฉินเฟิ่นอี้ยังหาซื้อพันธุ์ที่ออกไข่โดยเฉพาะให้บ้านเฉินเลี้ยง การทำความสะอาด ขั้นตอนการเลี้ยงไก่และอาหารเฉินเฟิ่นอี้เป็นคนบอกผู้ใหญ่บ้านเฉิน นอกจากสัตว์ปีกที่เลี้ยงไว้จะไม่ป่วยแล้วพวกมันยังอ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นมากระบบหน่วยผลิตถูกยกเลิกไปพร้อมกับการแบ่งที่ดินให้แต่ละคนที่ยังคงทำงานของหมู่บ้าน ซึ่งบ้านเฉินไม่มีใครได้ทำงานในแปลงนาเพราะลุงใหญ่ ลุงรอง และอาสี่ของบ้านเฉินเข้าอำเภอไปทำงานในสถานีตำรวจจากการช่วยเหลือของลุงสามของบ้าน หลายปีมานี้บ้านเฉินจึงมีเงินและเป็นที่อิจฉาขอ
ตัวแทนของโรงเรียนอำเภอจวี่เดินทางกลับมาถึงโรงเรียนสิ้นเดือนมกราคมพร้อมกับชัยชนะและเงินสำหรับทุนการศึกษา พวกเฉินเฟิ่นอี้ได้รับเกียรติบัตรกับทุนการศึกษาที่หน้าเสาธงและกล่าวถึงการแข่งที่ผ่านมาก ต่างจากปีก่อน ๆ ที่ต้องขอบคุณครูที่ปรึกษาแต่ปีนี้ทุกคนรู้กันดีว่าเป็นใครที่ฝึกสอนให้ผลตรวจสุขภาพถูกส่งมาตามมาหนึ่งเดือนให้หลัง และได้รับการยืนยันว่าเฉินเฟิ่นอี้ไม่มีปัญหาเรื่องการมีลูก และสุขภาพของเธอก็ดีมาก ส่วนวันนั้นที่หมดสติเป็นเพราะความกดดันที่รับไม่ไหวแล้ว เด็กบ้านเฉินสุขภาพร่างกายดีทั้งหมดเพราะได้รับการบำรุงที่ดีเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านถูกเฉินเฟิ่นอี้พาไปตรวจสุขภาพในมณฑลส่วนพวกผู้ใหญ่ไม่มีใครยอมไป เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้บังคับจึงมีเพียงน้องชายคนเล็กที่ได้ไปตรวจ และเรื่องผลตรวจของเฉินเฟิ่นอี้สร้างความโล่งใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก เรื่องที่สำคัญกับผู้หญิงมากที่สุดนั้นก็คือการมีลูกการสอนพิเศษภาษาต่างประเทศเฉินเฟิ่นอี้ถูกคะยั้นคะยอจากรักษาการเซียวให้สอนกับเด็กในโรงเรียนอำเภอจวี่ทุกวันที่มีเรียน และคาบเรียนที่ว่างจะถูกแทนที่ด้วยการสอน พร้อมกับเงินตอบแทนวันละหนึ่งหยวนและเฉินเฟิ่นอี้ตอบรับที่จ
การแข่งขันจบลงพร้อมร่างกายของเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นลมล้มต่อหน้าน้องชายและน้องสาว สร้างความตกใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก เฉินเฟิ่นอี้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาบนเตียงพิเศษในโรงพยาบาลและมีน้องสาวนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง เธอพยุงตัวขึ้นนั่งด้วยอาการมึนหัว"ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ได้"ความทรงจำล่าสุดของเธอก็คือทรุดลงพื้นพร้อมอาการหน้ามืดเพราะหมดห่วงเมื่อได้รับชัยชนะ อีกทั้งการแข่งขันเต็มไปด้วยความกดดันตัวแทนแต่ละฝั่งก็อ่อนแรงกันมาก ยิ่งต้องแข่งขันกันถึงแปดคน ความวุ่นวายย่อมมีอยู่แล้วจึงเหนื่อยมากขึ้น"พี่เป็นลมค่ะ"โชคดีที่รักษาการเซียวรีบพามายังโรงพยาบาลพร้อมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ จึงจองห้องพิเศษที่เหลือห้องเดียว ส่วนตอนนี้เขากลับไปจัดการรางวัลที่ตัวแทนของโรงเรียนอำเภอจวี่ต้องได้ ที่โรงพยาบาลเหลือเพียงเฉินเหม่ยเย่เฝ้าพี่สาว คนอื่น ๆ ต้องรอรับรางวัลก่อนเฉินเฟิ่นอี้มองไปที่ประตูเมื่อเห็นว่ามันล็อกจากด้านในจึงเปิดเผยกระดานใสให้น้องสาวได้เห็น จริง ๆ เฉินเหม่ยเย่รู้เรื่องนี้อยู่แล้วแต่กลัวว่าหล่อนจะตกใจหากหยิบออกมาจากกลางอากาศ พร้อมหยิบน้ำอุ่นออกมาจิบให้ลำคอที่แห้งผากลื่นคอ อยากจิบน้ำหวานแต่กลัวว่าหมอที่รักษาจะด
การแข่งขันวิชาการรอบตัดสินเพื่อหาโรงเรียนที่ชนะของหมวดภาษาต่างประเทศหยุดชะงักพร้อมกับการประท้วงของกรรมการหมวดภาษาต่างประเทศของส่วนกลาง รวมถึงกรรมการผู้ช่วยที่เป็นคนของส่วนกลางและครูที่มากจากโรงเรียนรอบข้างการที่จะให้กรรมการผู้ช่วยมาตัดสินผลแพ้ชนะในรอบสุดท้ายหากเกิดปัญหาจริง ๆ ควรให้ผู้ช่วยกรรมการของกรรมการที่ตัดสินมาแทนไม่ใช่ว่าจะเอาใครมาแทนที่ก็ได้ จริงอยู่ที่ว่าเขาสามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้ แต่ไม่เชี่ยวชาญเหมือนกรรมการหมวดภาษาต่างประเทศ และการเอากรรมการหมวดอื่นมาตัดสินย่อมข้ามหน้าข้ามตากรรมการอีกหลายท่าน"จริง ๆ ผมว่ามันไม่น่ามีปัญหาอะไรเลยนะครับ กรรมการเหวินเป็นบุคลากรของที่นี่ เขาย่อมเป็นกลางอยู่แล้ว" รองประธานยังคงยืนยันที่จะให้คนเดิมเป็นกรรมการ"ไม่ใช่เรื่องเป็นกลางไม่เป็นกลาง คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่าโรงเรียนที่จะแข่งรอบนี้มีโรงเรียนอะไรบ้าง กรรมการเหวินเป็นบุคลากรของที่นี่ หากผลแพ้ชนะมันค้านสายตาของผู้คน โรงเรียนอาจเสียหายเอาได้" รักษาการเซียวชี้แนะให้กับรองประธานการแข่งขันวิชาการของปีการศึกษานี้หากโรงเรียนของที่นี่ชนะอาจมีคนพูดถึงโรงเรียนในทางที่ไม่ดีได้ หากผลการแข่งไม่ค้าน