ซะเมื่อไหร่ล่ะ!
เฉินเฟิ่นอี้มองไข่ไก่ในมือของเธอหนึ่งฟองอย่างอึ้งๆ นี่คือรางวัลภารกิจแรกที่เธอไปช่วยน้องสาวเก็บผัก อุตส่าห์ลงทุนช่วยขุดหัวมันแต่เธอได้ไข่ไก่ตอบแทนนี่นะ ระบบเส็งเคร็งนี่เอาเปรียบเธอมาก!
[ภารกิจและการรับรางวัลพิเศษเสร็จสิ้นแล้ว กดตกลง]
เสียงในหัวยังดังต่อเนื่องเมื่อเฉินเฟิ่นอี้ยังมองไข่ไก่ในมือนิ่งๆ หากหญิงสาวไม่กดตกลงภารกิจก็จะถือว่ายังไม่เสร็จสิ้น เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจก่อนจะวางไข่ไก่ลงในตะกร้าไข่ที่เธอไปเก็บมา รวมกันแล้วอย่างน้อยก็มีสิบสองฟองแหละ
ร่างบอบบางหิ้วตะกร้าไข่ไก่เข้าไปในห้องครัวที่มีบรรดาป้าสะใภ้และแม่ของเธอกำลังทำอาหารอยู่ เฉินเฟิ่นอี้หยุดอยู่หน้าเตาทำอาหาร ที่มีสะใภ้รองกำลังย่างแผ่นแป้งอยู่
“ป้าสะใภ้รองฉันช่วยค่ะ”
ไม่ว่าเปล่าเฉินเฟิ่นอี้รีบนำตะกร้าไข่ไก่ไปวางบนโต๊ะ ก่อนที่จะมาช่วยผู้เป็นป้าสะใภ้ย่างแผ่นแป้ง มันเป็นอาหารมื้อเช้าของคนที่จะไปลงแปลงนาพรุ่งนี้ เพื่อย่นเวลาทำอาหารจึงต้องทำตอนนี้ พรุ่งนี้เช้าก็แค่อุ่น
“อั๊ยย่ะ เฟิ่นอี้ไม่ต้องๆ หลานเพิ่งฟื้นก็ควรที่จะพักผ่อนให้มาก แค่นี้ป้าทำเองคนเดียวได้” เพราะพี่สะใภ้ น้องสะใภ้ต่างแบ่งงานกันอย่างยุติธรรม นี่คืองานของหล่อน หล่อนจึงกลัวว่าจะถูกแม่สามีต่อว่าที่ให้หลานสาวมาช่วย
ปกติเฉินเฟิ่นอี้จะช่วยป้าสะใภ้หรือแม่ของเธอทำอาหารมื้อกลางวัน แต่พอมีอาการป่วยเข้ามาแทรก งานในครัวก็แทบจะไม่ได้แตะ หน้าที่นี้จึงตกไปเป็นของน้องสาวสี่ของเธอแทน เพียงแต่วันนี้หล่อนมีการบ้านที่ต้องทำ จึงไม่ได้เข้ามาช่วย
“ป้าสะใภ้รองถ้าไม่ให้ฉันช่วย ฉันคงไม่หายป่วยง่ายแน่ๆ ค่ะ” เฉินเฟิ่นอี้กล่าวยิ้มๆ
พอล้มป่วย ทุกคนก็ไม่ให้เธอช่วยทำงานในแปลงนา งานในบ้านก็แทบจะไม่ได้แตะเพราะอาการป่วยและถูกห้าม เมื่อไม่ได้ออกแรงอาการป่วยของเธอจึงทรุดตัวลงเพราะไม่แข็งแรง เนื่องจากบ้านของเฉินเฟิ่นอี้อยู่ในชนบทและไม่มีรถ ทำให้การเดินทางไปโรงพยาบาลในอำเภอเป็นเรื่องที่ยากมาก
ลุงสามเคยปรึกษาเรื่องนี้กับคนที่บ้านว่าจะพาเฉินเฟิ่นอี้ไปรักษาในเมือง เพราะการรักษาในเมืองพัฒนามากกว่าในแถบชนบทแบบนี้ อีกอย่างเขาก็มีสวัสดิการทหาร ลุงสามไม่มีภรรยาและลูกจึงเอ็นดูหลานสาวในบ้านเป็นที่สุด
“เฟิ่นอี้ทุกคนเป็นห่วงลูกมากนะ” สะใภ้สี่ที่เห็นว่าลูกสาวคนโตของหล่อนขัดพี่สะใภ้ก็รีบเอ่ยท้วงทันที
“แม่คะ แม่ไม่ต้องห่วงฉันค่ะ ฉันอาการดีขึ้นมาก” เฉินเฟิ่นอี้พูดจริงๆ อาการปวดตามร่างกายตอนนี้เริ่มหายไปแล้ว แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามใคร
“เอาน่าสะใภ้สี่ เฟิ่นอี้อยากช่วยเราก็ปล่อยให้หลานช่วย” สะใภ้ใหญ่ส่ายหน้าพร้อมกับหั่นผักที่หลานสาวเก็บมาให้
“เฮ้อ พวกพี่ก็เข้าข้างหล่อน”
เด็กสาวบ้านเฉินช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้เกิดมาในบ้านหลังนี้ หากเป็นบ้านหลังอื่น ต่อให้ป่วยหรือใกล้ตายก็ต้องทำงานให้เสร็จ เปรียบเทียบได้กับบ้านข้างๆ ที่ตอนนี้มีเสียงด่าทอออกมาให้ได้ยิน และไม่ใช่แค่หลังเดียว ยังมีหลังอื่นอีก ซึ่งที่นี่มันเป็นเรื่องปกติมากยกเว้นบ้านเฉิน
“น่าสงสารหลานสาวบ้านหลี่จริงๆ” สะใภ้ใหญ่พึมพำ
บ้านหลี่ที่ว่าก็เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันนี่เอง บ้านหลี่มีสมาชิกพอๆ กันกับบ้านเฉิน แต่ทุกคนทำงานแค่ในแปลงนาและมีเพียงหลานชายที่ถูกส่งเข้าเรียน จะว่าหลานชายก็ไม่ถูก เป็นหลานชายจากลูกชายคนโตของบ้านที่บ้านหลี่ส่งเรียน
ทุกคนส่ายหน้าเพราะนี่คือเรื่องปกติของหลายๆ บ้าน แม้แต่บ้านเดิมของเหล่าสะใภ้ก็เป็นเช่นนี้ พอแต่งเข้าบ้านเฉินที่ยอมกัดฟันส่งลูกชายคนที่สามเข้าเรียนและได้เป็นถึงทหาร ความคิดของสะใภ้ก็เปลี่ยนไปมากจากคำสอนของแม่สามี แรกๆ พวกหล่อนไม่ถูกกันเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะมีพ่อสามี แม่สามีที่ดี เหล่าสามีที่เป็นพี่น้องกันก็รักใคร่กลมเกลียว พวกหล่อนก็สามัคคีกันขึ้นมา
“เราก็ช่วยหล่อนไม่ได้หรอก”
เฉินเฟิ่นอี้นั่งย่างแผ่นแป้งพร้อมเก็บข้อมูลไปด้วย เธอมีความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมก็จริง แต่เหมือนหล่อนจะไม่คบค้าสมาคมกับใคร จึงทำให้ไม่ค่อยได้รู้จักคนอื่นๆ มากนัก
[ภารกิจพิเศษ : สอนน้องสาวทำการบ้านเพื่อรับเจ็ดแต้ม]
อยู่ๆ เสียงระบบเส็งเคร็งที่เธออาสาตั้งชื่อให้ใหม่ก็ดังขึ้นในหัวพร้อมแผ่นกระดานใสที่ลอยอยู่ตรงหน้า เธอสะดุ้งจนป้าสะใภ้รองทักขึ้นมา เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้าเพราะอีกฝ่ายคงไม่เห็นแผ่นกระดานใสด้วย
เฉินเฟิ่นอี้รีบย่างแผ่นแป้งที่เหลือเพื่อไปให้ทันน้องสาวที่ทำการบ้านอยู่ ภารกิจพิเศษหรือ ทำไมระบบไม่ได้บอกเธอก่อน ขอให้มีเวลาทำใจก่อนก็ไม่ได้หรือยังไง อีกอย่างแผ่นแป้งต้องย่างถึงยี่สิบแผ่น เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่กล้าขอตัวหยุดทำ ก็เมื่อกี้เธอเป็นคนอาสาทำเอง หากขอตัวออกไปคงโดนแม่เธอดุแน่
แผ่นแป้งถูกพลิกไปมาอย่างคล่องแคล่ว ยังดีที่เธอมีสกิลการทำอาหารติดตัว และเฉินเฟิ่นอี้ทำอาหารเป็นอยู่แล้ว แผ่นแป้งยี่สิบแผ่นจึงใช้เวลาไม่นาน
เฉินเฟิ่นอี้รีบล้างมือให้สะอาด แล้วจึงเดินเข้าไปในบ้าน ยังดีที่เฉินเหม่ยเย่ยังทำการบ้านไม่เสร็จ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะไม่ได้เจ็ดแต้มแน่ ซึ่งต่อให้เป็นคะแนนเดียวเธอก็จะทำอยู่ดี
“พี่มาสอนฉันใช่ไหมคะ!” เฉินเหม่ยเย่เอ่ยอย่างตื่นเต้น หล่อนทำการบ้านวิชานี้ไม่เป็นจริงๆ จะถามพี่ชายก็ยังไม่ได้ เพราะทุกคนกำลังทำการบ้านตนเองให้เสร็จก่อนรับประทานอาหาร
“อืม”
เฉินเฟิ่นอี้นั่งลงตรงข้ามน้องสาวที่ดวงตาเป็นประกาย เธอรับสมุดวิชาคณิตศาสตร์มาพลิกดู ในความทรงจำของเธอเฉินเหม่ยเย่ไม่ชอบวิชานี้เอามากๆ จึงไม่แปลกใจที่จะเรียนไม่เข้าใจ ซึ่งจะโทษหล่อนฝ่ายเดียวก็ไม่ได้เพราะจากการอ่านคร่าวๆ มันเป็นวิชาที่เลยวัยของหล่อน!
“ตัวนี้คือตัวอะไร เธอต้องรู้จักตัวนี้ก่อน ค่อยนำมาบวกกับตัวนี้และลบตัวนี้” เฉินเฟิ่นอี้ที่ทำความเข้าใจคร่าวๆ ชี้ให้น้องสาวดู ชีวิตก่อนเธอเป็นพนักงานบัญชีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องตัวเลขมากมายก่อนขึ้นเป็นเลขา ไหนจะเป็นวิชาที่ถนัดของเฉินเฟิ่นอี้อีก จึงไม่แปลกที่เธอจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
“อ้อ ฉันนึกว่าต้องลบตัวนี้ก่อนค่ะ” เฉินเหม่ยเย่ยกมือขึ้นเกาหัว แอบมองน้องชายสี่หรือก็คือเฉินจางที่แอบทำตาม
“ลบได้เหมือนกันแต่มันค่อนข้างจะยุ่งยาก”
ต่อให้เธอสามารถบอกอีกฝ่ายได้ว่าต้องทำยังไงแต่เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้เฉลยให้หล่อนทราบ หากหล่อนทำผิดก็แค่สอนใหม่ แต่ถ้าเฉลยไปแล้วครั้งหน้าหล่อนก็จะทำไม่ได้อีก จริงๆ การบ้านแบบนี้จะมีไม่บ่อยนักเพราะทางโรงเรียนรู้สถานการณ์ทางบ้านของเด็กที่เลิกเรียนแล้วก็ต้องมาทำงานเก็บแต้ม
แต่ส่วนมากการบ้านที่ได้รับจะเป็นเด็กที่ไม่เข้าใจในวิชานี้หรือไม่ก็มีคะแนนเก็บที่น้อยและสอบไม่ผ่านบ้าง ซึ่งหากคะแนนยังน้อยอยู่ซ้ำๆ ทางโรงเรียนก็จะโดนต่อว่า
“เสร็จแล้ว!” เฉินเหม่ยเย่วางดินสอพร้อมทั้งถอนหายใจ หล่อนได้รับการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ทุกวัน เพราะคุณครูบอกว่าคะแนนวิชานี้ของเธอน้อย จึงต้องเพิ่มคะแนนด้วยการส่งงานให้ครบ
“อาหารเสร็จพอดี”
เป็นเวลาเดียวกับผู้หญิงในบ้านยกอาหารเข้ามาในห้องโถง เด็กๆ ที่ทำการบ้านรีบเก็บอุปกรณ์ทันที หากทำไม่เสร็จก็ค่อยทำหลังรับประทานอาหาร หรือหากมันมืดแล้วก็รอทำพรุ่งนี้เช้า แต่ตอนนี้ทุกคนทำการบ้านเสร็จพอดี หลังรับประทานอาหารเสร็จจะได้อาบน้ำและเข้านอน
เช้าวันใหม่เฉินเฟิ่นอี้กำลังเก็บผักในสวนหลังบ้าน ผู้ใหญ่ออกไปทำงานเก็บแต้มกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ส่วนเด็กๆ ก็ไปเรียนตั้งแต่เช้า ในบ้านจึงเหลือเพียงเฉินเฟิ่นอี้ ย่าเฉิน และเฉินชิงชิงน้องชายตัวน้อยของเธอ
ภารกิจในวันนี้คือการทำอาหารมื้อกลางวันไปส่งที่แปลงนา ซึ่งที่บ้านจะรับประทานแผ่นแป้งเป็นอาหารเช้าเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนอาหารมื้อกลางวันเหล่าสะใภ้จะกลับมาทำอาหารเพื่อนำไปรับประทานที่แปลงนาและสลับกัน อย่างเมื่อวานเป็นสะใภ้ใหญ่ วันก่อนหน้าคือสะใภ้สี่ วันนี้จึงเป็นสะใภ้รอง
เฉินเฟิ่นอี้ทำการขออนุญาตย่าเฉินแล้วเรื่องการทำอาหารไปส่งที่แปลงนา จริงๆ ต่อไปนี้เธออาจได้ทำอาหารไปส่งตลอดเพราะไม่อยากให้ทุกคนเหนื่อยมากขึ้น อีกอย่างที่ต้องขออนุญาตเพราะวันนี้เธอไม่ได้บอกใครว่าจะทำอาหารไปส่งเอง
ย่าเฉินไม่ได้ลงแปลงนาแล้วเนื่องจากอายุที่มากขึ้น ทั้งยังต้องการเลี้ยงหลานชายคนเล็กเอง คนในบ้านต่างเห็นด้วยและบอกให้ปู่เฉินหยุดทำงานในแปลงนาเหมือนกัน แต่ปู่เฉินไม่ยอมเพราะค่าใช้จ่ายต่างๆ ในบ้านมันมีมาก ทุกคนจึงให้ปู่เฉินรับแต้มที่น้อยลงแทน อย่างน้อยก็คงไม่ได้เหนื่อยมาก
“เฟิ่นอี้หลานจะทำอะไรน่ะ”
มือที่กำลังตอกไข่ใส่ถ้วยชะงัก เฉินเฟิ่นอี้มองคนที่เข้ามาใหม่เป็นย่าเฉินและเฉินชิงชิง เธอจะทำไข่เจียวน้ำ ก่อนจะตอบผู้เป็นย่าด้วยรอยยิ้ม
“ฉันจะทำไข่เจียวน้ำค่ะ ได้ซดน้ำซุปร้อนๆ คงดีไม่น้อย” เพราะเมื่อเช้าทุกคนได้รับประทานเพียงแผ่นแป้งที่ฝืดคอ และดูเหมือนว่าทุกคนจะชินกันยกเว้นเธอ!
“ไข่เจียวน้ำ? ไข่เหรอ เฟิ่นอี้มันสิ้นเปลืองนะ!” ย่าเฉินว่าอย่างไม่เห็นด้วย นางไม่ได้งกเรื่องอาหารแต่ส่วนมากไข่จะทำเป็นอาหารมื้อเย็น
“คุณย่าคะ ตอนนี้ทุกคนกำลังทำงานในแปลงนาต้องการพลังงานเป็นอย่างมาก ฉันคงทำผักต้มไปส่งไม่ได้จริงๆ เมื่อเช้าทุกคนก็รับประทานเพียงแผ่นแป้งแข็งๆ” เฉินเฟิ่นอี้อธิบาย ถึงไข่น้ำจะเป็นอาหารที่ไม่เหมาะเท่าไรแต่มันก็ไม่มีเมนูให้เลือกแล้ว ในบ้านมีเพียงผักและไข่
จะผัดผักใส่ไข่ก็จะสิ้นเปลืองน้ำมันมากไหนจะปรุงรสอีก เฉินเฟิ่นอี้จึงตัดสินใจเจียวไข่และทำไข่น้ำที่ใส่ผักมีประโยชน์แทน คงต้องหาเงินและซื้อของเข้าบ้านแล้ว ถึงที่บ้านจะไม่ได้ขัดสนและไม่ได้ขี้เหนียวแต่ก็ไม่ได้ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย อีกอย่างปีหน้าเฉินไห่หลิวและเฉินตง ต้องเข้าไปเรียนมัธยมปลายในอำเภอจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก
“มันก็จริง” ย่าเฉินพยักหน้า ผักต้มแม้จะรับประทานมาตลอดแต่มันก็ช่วยเพียงอิ่มท้อง ส่วนเรี่ยวแรงหรือก็เหมือนเดิม
เฉินเฟิ่นอี้ยิ้มเมื่อย่าเฉินเห็นด้วย เธอแบ่งไข่สองฟองทำไข่ตุ๋นยอดตำลึงให้น้องชายและย่าเฉินรับประทาน ส่วนไข่เจียวน้ำนั้นใช้ไข่สิบฟองและเธอจะไปรับประทานอาหารพร้อมคนอื่นในแปลงนาเลย จะได้รอเก็บหม้อกลับมาด้วย
ช่วงห้าโมงเช้าเป็นเวลาที่เหล่าสะใภ้จะกลับมาเอาอาหารไปให้คนในบ้านที่ทำงานในแปลงนา เฉินเฟิ่นอี้ที่ทำอาหารเสร็จพอดีจึงหิ้วตะกร้าไข่เจียวน้ำและข้าวที่หุงไปด้วย เนื่องจากมีสมาชิกเยอะจึงนำอาหารไปจำนวนมาก และเป็นย่าเฉินที่บอกให้เธอทำอาหารอย่างไรก็ได้ แม้ตอนแรกจะเอ่ยค้านเพราะคิดว่ามันสิ้นเปลืองเฉินเฟิ่นอี้รีบเดินไปที่แปลงนาก่อนที่จะมีคนกลับมาทำอาหาร ถ้าจำไม่ผิดห้าโมงครึ่งจะเป็นเวลาพักกลางวันของคนในหมู่บ้าน และจะลงแปลงนาอีกทีคือบ่ายโมง เฉินเฟิ่นอี้คนก่อนก็เคยลงแปลงนา แต่นั่นก็เป๊นตอนที่หล่อนยังไม่ได้ป่วยระหว่างทางเดินไปยังแปลงนาเฉินเฟิ่นอี้ก็เจอเข้ากับคนที่กลับมาเอาอาหารมื้อกลางวัน ยังดีที่ไม่มีบ้านเฉินของเธอ ไม่เช่นนั้นคนที่กลับมาเอาคงเหนื่อยเปล่าๆ“นั่นเฉินเฟิ่นอี้ไม่ใช่เหรอ”เหมือนจะได้ยินชื่อของตนเองเฉินเฟิ่นอี้จึงเดินช้าลงเพื่อฟัง และกลุ่มคนตรงหน้าของเธอเป็นเยาวชนหญิงที่ถูกส่งมาพัฒนาหมู่บ้าน แต่มาพัฒนาหรือมาสร้างปัญหาให้ก็ไม่รู้ เพราะคนในหมู่บ้านต้องหาที่พักและแบ่งอาหารให้พวกหล่อน“ใช่ๆ หล่อนป่วยไม่ใช่เหรอ” เยาวชนที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มถามกันด้วยความสงสัย เฉินเฟิ่นอี้คนนี้แต่ก่อนก็ลงแปลง
กะหล่ำปลีถูกแบ่งมาหั่นฝอยครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเฉินเฟิ่นอี้จะเก็บไว้ทำอาหารมื้อเย็น และแครอทเฉินเฟิ่นอี้ทำการหั่นเต๋า เธอตื่นขึ้นมาทำแป้งเตรียมไว้สองชั่วโมงก่อนและดูแลน้องชายให้ย่าเฉินได้พัก พอถึงเวลาใกล้เลิกเรียนของน้องชายน้องสาว เฉินเฟิ่นอี้จึงปลีกตัวมาทำเกี๊ยวผักน้ำ เป็นของว่างระหว่างทำการบ้านน้ำมันสองช้อนถูกเทลงในกระทะที่ตั้งเตรียมไว้ โยนกระเทียมสับหยาบตามลงไป เฉินเฟิ่นอี้ผัดกระเทียมให้เหลืองและส่งกลิ่นหอม ตักส่วนหนึ่งเก็บไว้ และนำผักที่เตรียมไว้มาผัดจนผักนิ่ม ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงรสที่มีในบ้านเล็กน้อยเพื่อความอร่อย จึงนำไส้ขึ้นมาพักให้เย็นระหว่างรอไส้เย็น เฉินเฟิ่นอี้ก็เดินไปตัดผักในสวนหลังบ้านมาทั้งคะน้า ผักกวางตุ้ง และผักชี คะน้าจะทำอาหารมื้อเย็นส่วนผักกวางตุ้งและผักชีจะใส่ในเกี๊ยวผักน้ำนำผักกวางตุ้งไปล้างน้ำจนสะอาด หั่นเป็นท่อนเล็กๆ ก่อนจะนำไปลวกในน้ำร้อนที่เตรียมเอาไว้ เฉินเฟิ่นอี้ใช้เวลาลวกครู่เดียวก็เอาขึ้นมาใส่ชามที่มีน้ำให้คลายร้อน ส่วนผักชีจะหั่นเอาไว้โรยหน้าพอไส้ผักเย็นได้ที่เฉินเฟิ่นอี้ก็ทำการห่อเกี๊ยวด้วยแป้งที่พักเอาไว้ นอกจากจะเป็นของว่างให้น้องแล้ว เฉินเฟิ่นอี้ก็ท
ตั้งแต่ได้ใช้ชีวิตในร่างของเฉินเฟิ่นอี้นี่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเธอจะทำอาหารมื้อกลางวันไปส่งที่แปลงนาทุกวัน จะมีบางวันที่ป้าสะใภ้หรือแม่ของเธอมาช่วยถือตะกร้าอาหาร ต้องบอกว่าทุกคนมีเรี่ยวแรงมากขึ้นจริงๆ เมื่อรับประทานข้าวขาวเป็นมื้อกลางวันยิ่งช่วงนี้บ้านเฉินจับกระต่ายที่ออกมากินธัญพืชที่กำลังเก็บเกี่ยวได้ ทุกคนก็ดูเหมือนจะเจริญอาหารมากขึ้น หากเป็นปีก่อนๆ กระต่ายจะถูกนำไปขายในตำบล แต่เฉินเฟิ่นอี้ไม่ให้นำไปขาย อีกทั้งบางครั้งเธอก็ได้เนื้อกระต่ายเป็นรางวัล ปริมาณเนื้อกระต่ายจึงมีมากกว่าเดิม ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงสอบของน้องๆ แล้ว เฉินเฟิ่นอี้จึงต้องทำอาหารที่มีประโยชน์และการสอบเลื่อนชั้นปีที่ว่าจริงๆ ทางโรงเรียนเรียกว่าสอบเทียบ หลังจากจบเทอมนี้ชั้นปีสุดท้ายก็จบการศึกษาทั้งมัธยมต้น และมัธยมปลาย ทำให้คนที่ยังไม่จบต้องสอบเทียบว่าจะผ่านหรือเปล่า ถ้าสอบผ่านก็จะจบแต่สอบไม่ผ่านต้องไปเรียนใหม่ทั้งหมดทีแรกผู้ปกครองของเด็กต่างไม่พอใจเพราะถ้าสอบไม่ผ่านและให้เข้าไปเรียนในอำเภอใหม่ เงินที่เคยจ่ายค่าเทอมไปล่ะ? อีกอย่างค่าใช้จ่ายในอำเภอไม่ใช่น้อยๆ แต่มีเด็กหลายคนที่เห็นด้วยกับการต
ภารกิจที่ 35 : ขายคูปองรับ 200 แต้ม]เฉินเฟิ่นอี้ที่กำลังหุงข้าวทำอาหารเช้าให้คนในบ้านสะดุ้งเมื่อกระดานใสปรากฏตรงหน้า เหลือบมองเฉินเหม่ยเย่ที่คนหม้อน้ำซุปผักอยู่ข้างๆ ก็ได้แต่ถอนหายใจวันนี้โรงเรียนในตำบลปิดการเรียนการสอนหลังจากสอบเสร็จแล้ว อีกสามวันจะมีการสอบเทียบ และเปิดโรงเรียนอีกครั้งคือหนึ่งเดือนหลังจากนี้พร้อมโรงเรียนในอำเภอระหว่างนี้เด็กๆ ในบ้านก็ต้องออกไปทำงานเก็บแต้มในแปลงนาช่วยผู้ใหญ่ แต่จะมีการสอบเทียบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผู้ใหญ่ในบ้านเฉินจึงตกลงกันว่าไม่ต้องช่วยงานในแปลงนา เอาเรื่องเรียนไว้ก่อนซึ่งเธอก็เห็นด้วย การสอบแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแต่เธอจะได้เปรียบคนอื่นบ้างเรื่องที่ไม่ใช่คนในโลกใบนี้ผู้ใหญ่ออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืด อาหารมื้อเช้าที่เฉินเฟิ่นอี้ทำไว้ให้ก็คือคะน้าผัดไข่ไก่ ส่วนของพวกเธอก็เพิ่งจะมาทำเพราะเฉินเฟิ่นอี้กลัวว่าหากทำเยอะจะเสร็จไม่ทันทุกคน“เหม่ยเย่เธอไปเรียกเฉินตงมาหาพี่หน่อย” เฉินเฟิ่นอี้บอกน้องสาว เธอกำลังทำอาหารอยู่หากไปเองกลัวว่ามันจะไหม้เอาได้“ได้ค่ะ”เฉินเหม่ยเย่เดินออกจากครัวเพื่อไปเรียกเฉินตงที่คงอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน เฉินเฟิ่นอี้จึงใ
สหกรณ์อำเภอเป็นแหล่งรวมสินค้าที่ผู้คนมากมายต่างมาเลือกซื้อของ ยิ่งช่วงต้นเดือนมีสินค้าเข้ามาใหม่ก็จะถูกยื้อแย่ง ใครมาเร็วก็ได้ใครมาช้าก็อด แต่ที่นี่ต้องใช้คูปอง ซึ่งหากมีเงินแต่ไม่มีคูปองก็ไม่สามารถซื้อได้อยู่ดี ยกเว้นจะมีเส้นสายหรือรู้จักพนักงานของที่นี่เฉินเฟิ่นอี้เดินเข้าสหกรณ์พร้อมเฉินตงที่ถือตะกร้าให้ เฉินไห่หลิวต้องการหนังสือและเขามีเงินที่จะซื้อหนังสืออยู่บ้าง ซึ่งมันเป็นเงินเก็บของเขาและเฉินตง ที่พวกเขาทำงานให้เพื่อนร่วมชั้น และเป็นเงินที่ได้รับจากย่าเฉินวันละสองเฟินต่อวันช่วงนี้เป็นช่วงกลางเดือน คนในสหกรณ์จึงมีไม่เยอะมาก และสินค้าต่างๆ ก็ใกล้จะหมดแล้ว เฉินเฟิ่นอี้เดินไปยังโซนเครื่องปรุงตามที่ตาเห็น เครื่องปรุงมีอะไรบ้างเธอก็จับใส่ตะกร้าให้หมด มีทั้งซอสหอย ซีอิ๊ว น้ำปลา ผงปรุงรส น้ำมัน และของอย่างอื่น ซึ่งเธอได้คำนวณไว้แล้วว่าให้พอดีกับคูปอง“พี่สาวสาม เงินเราจะพอเหรอครับ” เฉินตงกระซิบถามเมื่อเห็นของพูนเต็มตะกร้า“พอสิ”นอกจากเครื่องปรุงแล้วเฉินเฟิ่นอี้ยังซื้ออาหารแห้งที่สามารถใช้บำรุงร่างกายกลับไปด้วย เฉินเฟิ่นอี้นำเงินที่ได้รับจากระบบมาด้วย เข้าอำเภอทั้งทีเธอต้องซื้อให้คุ้
จะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายสามแล้ว โชคดีที่ก่อนทางเข้าตำบลมีรถแทรกเตอร์ของหมู่บ้านขับผ่าน สามพี่น้องบ้านเฉินจึงขอติดรถกลับมาด้วยเพราะของหนักมาก มีทั้งเครื่องปรุง ไข่ แตงโม แอปเปิล เนื้อ และของอื่นๆ อีกมากมาย ยังดีที่มีกระสอบและตะกร้าใส่ไม่อย่างนั้นคนขับรถแทรกเตอร์คงมองเห็นของที่ซื้อมาเฉินเฟิ่นอี้เป็นคนลงจากรถคนแรก เธอหยิบเอาของที่สามารถถือได้ ที่เหลือปล่อยให้เฉินไห่หลิวกับเฉินตงจัดการ จากนั้นจึงเดินเข้าบ้านที่มีย่าเฉิน เฉินเหม่ยเย่ และเฉินชิงชิงนั่งเล่นกันอยู่“ซื้ออะไรมาเยอะขนาดนั้น!” ย่าเฉินอุทานมองตะกร้าของที่หลานทั้งสามคนแบกมา“อาหารค่ะ เอาไปไว้ในครัว” เฉินเฟิ่นอี้ตอบ พร้อมหันไปบอกน้องชายที่แบกกระสอบอยู่ เธอจะคุยกับย่าเฉินสักหน่อยค่อยเข้าไปจัดการของในครัว“ครับพี่”เฉินเฟิ่นอี้หยิบคูปองและเงินจำนวนสามหยวน ยื่นคืนย่าเฉินที่มองมาอย่างสงสัย นี่คือเงินที่หักจากการซื้อเครื่องปรุง ส่วนเงินอื่นๆ เฉินเฟิ่นอี้เป็นคนจ่ายเอง ย่าเฉินให้เงินไปซื้อแค่เครื่องปรุง“นี่คือเงินที่เหลือจากซื้อเครื่องปรุงค่ะ ส่วนของอย่างอื่นฉันซื้อเอง” เพื่อป้องกันการถูกด่าที่ซื้อของสิ้นเปลือง เฉินเฟิ่นอี้จึงบอกตั้งแต่แรก
เรื่องที่บ้านเฉินมีเนื้อกินถูกพูดถึงทั้งหมู่บ้าน หากไม่ใช่เฉินหมิงกลับมาที่บ้านก็ต้องเป็นช่วงที่ได้รับผลผลิต บ้านเฉินรวมถึงทุกคนจึงจะมีเนื้อกิน แต่อยู่ๆ สามวันก่อนกลับมีคนได้กลิ่นเนื้อจากบ้านเฉิน ซึ่งเพื่อนบ้านต่างยืนยันว่าเป็นกลิ่นเนื้อจริงๆเฉินเฟิ่นอี้ถูกคนในบ้านเฉินซักถามว่าได้เนื้อมายังไง ก็เป็นย่าเฉินที่ออกหน้าและบอกว่านางเป็นคนเอาเงินและคูปองให้เฉินเฟิ่นอี้ไปซื้อเอง ทุกคนจึงทำได้แค่เงียบวันนี้มีการสอบเทียบ พี่ใหญ่เฉินหยุดงานหนึ่งวันเพื่อพาเฉินเฟิ่นอี้ เฉินไห่หลิว และเฉินตงไปสอบเทียบขึ้นมัธยมปลายในตำบล การสอบครั้งนี้ไม่ใช่การสอบใหญ่ ผู้ใหญ่ในบ้านเฉินจึงตกลงให้พี่ใหญ่เฉินไปคนเดียว ส่วนเรื่องลางานในแปลงนาทำเรื่องเอาไว้ตั้งแต่รู้วันสอบแล้วเดินทางไปในตำบลใช้เวลาเดินเท้าแค่ครึ่งชั่วโมง สมาชิกบ้านเฉินจึงไม่ได้เร่งรีบ เพราะมีสอบตอนเก้าโมง ลุงใหญ่ของบ้านจึงพาลูกชาย หลานชายและหลานสาวเดินเท้าไปยังตำบลถ้าเลือกได้เฉินเฟิ่นอี้ก็อยากได้จักรยานมาใช้ อย่างน้อยคงได้ไปซื้อของบ่อยๆ เอาไว้ลุงสามกลับมาที่บ้าน เธอจะลองขอให้เขาซื้อให้ดู หากให้พึ่งตนเองตอนนี้คงไม่ได้ เพราะต้องสำรองเงินบางส่วนไว้ใช้
พักได้ไม่นานเฉินเฟิ่นอี้ก็ต้องเข้าห้องสอบต่อ วิชาที่สองเป็นวิชาคณิตศาสตร์ เธอใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม แน่นอนว่าครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ยังสอบเสร็จก่อนคนอื่น ช่วยไม่ได้ที่เธอมีตัวช่วยอย่างระบบเส็งเคร็งที่ชอบบอกคำตอบบ้าง แค่กๆเฉินเฟิ่นอี้ส่งกระดาษคำตอบทันทีที่หมดเวลาสอบ ท่ามกลางสีหน้าเคร่งเครียดของนักเรียนระดับมัธยมต้น คงมีเพียงเฉินเฟิ่นอี้ที่มีสีหน้าผ่อนคลาย เมื่อออกจากห้องสอบ บางคนรีบไปรับประทานอาหารมื้อกลางวันเพราะต้องกลับมาอ่านหนังสือต่อ วิชาต่อไปคือภาษาต่างประเทศอย่างภาษาอังกฤษที่เธอรู้จักดี เนื่องจากการทำงานเป็นเลขาของท่านประธานที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ เธอในตอนนั้นจึงถูกส่งไปเรียนพิเศษแต่บางคนไม่ได้ไปรับประทานอาหารกลางวันเหมือนคนอื่น พวกเขาหาที่นั่งพร้อมกับอ่านหนังสือ จะสอบผ่านหรือไม่ผ่านก็อยู่ที่วิชาภาษาต่างประเทศแล้ว ยกเว้นบ้านเฉินที่เฉินเฟิ่นอี้ชวนไปหาที่รับประทานอาหารมื้อกลางวันข้างนอกโรงเรียนกองทัพต้องเดินด้วยท้อง และแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ไม่ต้องการอดอาหาร หากเฉินไห่หลิวกับเฉินตงเครียดและไม่ได้รับประทานอาหารมื้อกลางวัน พวกเขาอาจเป็นลมได้ ส่วนเธอนั้นไม่น่าห่วงเพราะไม่ได้
สมาชิกบ้านเฉินหลังจากพักหายเหนื่อยก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ เฉินไห่หลิว เฉินตง เฉินจาง และรวมถึงผู้ชายบ้านเฉินพากันไปยกตะกร้าผ้ากลับมา เหล่าสะใภ้ต่างช่วยกันตากผ้า ส่วนเฉินเฟิ่นอี้ เฉินเหม่ยเย่กลับไปทำอาหารมื้อเย็นเฉินเฟิ่นอี้จัดการอาหารเสร็จก็ตักใส่ชาม รอให้คนมายกออกไปก็ได้เวลารับประทานอาหาร ข้าวก็สุกพร้อมรับประทาน เฉินเหม่ยเย่จึงอาสาออกไปเรียกคนมาช่วยยกถ้วย จาน และช้อนถูกเฉินเฟิ่นอี้ยกออกไปก่อน ส่วนข้าวและกับข้าวจะให้คนอื่นยก ระหว่างรอทุกคนเข้ามาในห้องโถงเธอจึงใช้โอกาสนี้เข้าไปหยิบซองจดหมายแจ้งคะแนนในห้องที่ถูกเปิดแล้ว เฉินไห่หลิวกับเฉินตงก็หยิบออกมาเช่นเดียวกัน เพียงแค่ของพวกเขายังไม่ได้เปิด“วันนี้เด็กๆ สอบผ่านทุกคน ต้องฉลองกันแล้วสิ เจ้าใหญ่ไปเอาเหล้าในห้องแม่มา ถึงจะหาเนื้อไม่ทันแต่ก็ดื่มเหล้าได้ แม่จะให้หลานทำกับแกล้มเพิ่ม” ย่าเฉินบอกลูกชาย ก่อนหน้านี้ลืมถามเด็กๆ ว่าสอบผ่านไหม จึงไม่ได้ให้เงินไปซื้อเนื้อไว้ แต่อาหารวันนี้ก็พอจะทดแทนได้บ้างพี่ใหญ่เฉินรีบพยักหน้าลุกขึ้นไปหยิบเหล้าที่ว่าทันที ปกติผู้ชายบ้านเฉินไม่ค่อยดื่มเหล้า จะดื่มก็ตอนงานม
ก่อนที่เฉินเฟิ่นอี้จะล้มป่วยหล่อนมีร่างกายที่แข็งแรงมาก ถึงขนาดที่ว่าทำงานเก็บแต้มที่หนัก ตื่นเช้ามาหล่อนก็ยังไปเรียนได้อย่างปกติ พอเลิกเรียนก็ทำแบบเดิมซ้ำๆ มีเพียงช่วงเวลาก่อนเรียนจบมัธยมศึกษาตอนต้นที่ร่างกายของหล่อนเปลี่ยนไปช่วงแรกเป็นการเวียนหัวแต่หล่อนคิดว่าเป็นเพราะทำงานหนักและไม่ได้บอกใคร เคยเป็นลมหมดสติตอนทำงานเก็บแต้มก็ยังคิดว่าแค่ป่วย แต่หลังจากนั้นหล่อนก็อาเจียน เวลาไปโรงเรียนหล่อนก็เป็นแบบนี้ประจำจนขาดเรียนบ่อยครั้ง แต่พอขาดเรียนอาการกลับดีขึ้นมาก เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่ยอมลาออกจากโรงเรียน จนลุงสามของหล่อนกลับมาและได้ยื่นคำขาดเฉินเฟิ่นอี้ชะงักเมื่อมองย้อนกลับไปช่วงเวลานั้นว่าเกิดอะไรขึ้น อี้เหม่ยเฟิ่งทำการบ้านที่ครูสั่งไม่ได้จึงให้เฉินเฟิ่นอี้ช่วยสอน แต่สอนไปสอนมา กลับเป็นหล่อนที่ต้องทำการบ้านให้อี้เหม่ยเฟิ่ง และเป็นช่วงเดียวกันที่อี้เหม่ยเฟิ่งกับหมิงหลานฮุ่ยชอบออกไปซื้อของกินนอกโรงเรียนเฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะเห็นว่าอี้เหม่ยเฟิ่งเป็นญาติผู้พี่ที่ไม่มีเพื่อน เพราะเพื่อนสนิทคนอื่นไม่ได้เรียนต่อในระดับมัธยม แม่ของหล่อนจึงให้หล่อนดูแลญาติผู้พี่ เฉิ
หลังจากจากยื่นเอกสารเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็รีบพาน้องๆ เดินออกจากอาคาร ยังดีที่อี้เหม่ยเฟิ่งกับหมิงหลานฮุ่ยต่อแถวรอยื่นเอกสารอยู่ พวกเธอจึงไม่ได้ปะทะหน้ากัน เธอเดินมาหยุดที่หน้าโรงเรียนอย่างใช้ความคิดพรุ่งนี้ถึงจะมารับใบขอจบระดับมัธยมศึกษาตอนต้นได้พวกเธอจึงกลับได้เลย แต่อย่าลืมว่าเฉินเฟิ่นอี้มีภารกิจช่วยเหลือเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ถูกล้อ พวกเธอจะกลับแล้วแต่ยังไม่เห็นคนนั้นที่ว่า“เจียวซีเธอสอบไม่ผ่านเหรอ? ฮ่าๆ ฉันเดาเอาไว้ไม่มีผิด รู้ไหมว่าห้องเรียนของเราสอบผ่านหมดนะ อ้อ ยกเว้นเธอน่ะ”เสียงหัวเราะเรียกความสนใจของเฉินเฟิ่นอี้ได้เป็นอย่างดี เธอเพ่งมองเด็กสาวคนนั้นอย่างใช้ความคิด หล่อนคุ้นหน้าไม่น้อยคงเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอตอนที่ยังเรียนอยู่ แต่น่าจะอยู่คนละห้องกันเพราะเหมือนจะไม่เคยคุยกัน“ไม่เอาน่าซ่งเยว่ลี่ เจียวซีหล่อนก็แค่ไม่เข้าใจการเรียน ยังไงหล่อนก็แค่เรียนมัธยมต้นต่อ ไม่เหมือนพวกเราที่ต้องไปเรียนมัธยมปลาย ฮ่าๆ”“ฉันรู้ๆ จางเฟยหง แต่อีกห้องจะหัวเราะให้ห้องพวกเราที่มีคนสอบไม่ผ่าน! ได้ยินว่าอีกห้องสอบผ่านหม
พี่สาวรองนอนที่บ้านแค่หนึ่งคืนก็กลับบ้านสามี หล่อนกล่าวว่ายังอยากอยู่ที่บ้านต่อ แต่บอกแม่สามีไว้แล้วว่าจะกลับตอนเช้า ย่าเฉินจึงให้เฉินตงไปส่งพี่สาวและให้นำผลไม้กลับไปด้วยเพียงบางส่วน ถึงเฉินเยี่ยนฉิงจะปฏิเสธก็ตามเฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้กล่าวและเตือนพี่สาวรอง อย่างที่รู้กันว่าหล่อนเรียนถึงมัธยมปลาย คงไม่ได้โง่ถึงกับให้บ้านสามีทำร้ายตนเองหรอก อีกอย่างบ้านฉางยังเกรงกลัวบ้านเฉินอยู่แม่ของเธอนอนพักแค่วันเดียวก็กลับไปทำงานต่อ เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้ว่าอะไรในเมื่อหายดีแล้ว มีเพียงย่าเฉินที่ยังอยากให้สะใภ้ของนางนอนพักอีกวันนี้เป็นวันที่คะแนนสอบเทียบออก คนในบ้านเฉินไม่มีใครได้หยุดงานสักคนเพราะการเก็บเกี่ยวฤดูนี้ใกล้สิ้นสุดลงแล้ว เฉินเฟิ่นอี้จึงเป็นคนที่พาเฉินไห่หลิว เฉินตง และเฉินเหม่ยเย่ที่อยากเข้าไปดูคะแนนสอบด้วย ส่วนเฉินจางถูกลากไปลงแปลงนาตั้งแต่เช้ามืดถ้าทุกคนสอบผ่านจะได้ส่งจดหมายไปบอกลุงสามเรื่องบ้านเช่าในอำเภอ ครั้งก่อนลุงสามตอบจดหมายกลับมาว่าช่วงสิ้นปีถึงจะกลับและลาพักได้สามเดือน ระหว่างนี้คงไม่ได้ตอบจดหมายบ่อยๆ เนื่องจากการทำงาน แต่อย่างน้อยก็ต้อง
เรื่องที่สะใภ้สี่บ้านเฉินเอ่ยตัดขาดบ้านเดิมแพร่กระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว อย่างที่รู้กันว่าผู้หญิงที่แต่งงานออกจากบ้านก็จะเป็นคนในครอบครัวของสามี ไม่ใช่คนของบ้านเดิม แต่ถ้าไม่มีเรื่องร้ายแรงหรือบ้านเดิมตัดขาดกับคนที่แต่งออกจากบ้าน ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ลูกสาวเอ่ยตัดขาดจากบ้านเดิมมาก่อนแต่เมื่อวานนี้สะใภ้สี่บ้านเฉินได้ทำลงไปแล้ว และเรื่องต่อมาที่จะพูดไม่ได้เลยก็คือหมิงหลานฮุ่ยยังไม่ได้มาหมั้นหมายอี้เหม่ยเฟิ่ง ทั้งๆ ที่สะใภ้ใหญ่บ้านอี้ป่าวประกาศไปทั่วหมู่บ้านเฉินเฟิ่นอี้กำลังต้มข้าวใส่ไข่ให้แม่ของเธอที่นอนป่วยอยู่ในห้องนอนได้รับประทาน บ้านเฉินลงความเห็นกันว่าให้สะใภ้สี่พักจิตใจก่อน ส่วนเรื่องแปลงนาย่าเฉินจะลงไปทำแทน อีกทั้งสามพี่น้องบ้านอี้ยังไปช่วยผู้ใหญ่ทำงานอีก ที่บ้านตอนนี้จึงเหลือแค่สะใภ้สี่ เฉินเฟิ่นอี้ เฉินเหม่ยเย่และเฉินชิงชิงที่รับหน้าที่ดูแลน้องชายยังเป็นเฉินเฟิ่นอี้ที่รับหน้าที่ทำอาหารมื้อกลางวันให้ทุกคนเช่นเคย วันนี้มีตุ๋นไก่ในเล้าหนึ่งตัว ที่เฉินเฟิ่นอี้ขอพ่อของเธอฆ่าให้เพราะมันเกินจำนวนสมาชิกในบ้านที่ตอนนี้เหลือเพียงสิบหกคนแต่มีไก่เก้าตัว“พี่ทำข้าวต้มให้แม่เหร
ห้าโมงเย็นเป็นเวลาเลิกงานของคนในหมู่บ้าน หลังจากเลขาธิการจดชื่อว่าใครได้กี่แต้ม ทุกคนก็ทยอยกลับบ้าน บ้านไหนที่จัดการเสร็จก่อนคนอื่นก็รีบร้อนกลับบ้าน เพราะผู้หญิงต้องไปทำงานบ้านและอาหารมื้อเย็น ต่างจากบ้านเฉินที่รอให้คนน้อยค่อยไปต่อแถวจดชื่อ ที่บ้านมีคนทำอาหารรอแล้ว“วันนี้เด็กๆ ไปสอบ ฉันหวังว่าทุกคนจะสอบผ่านหมดนะคะ จะได้ไปเรียนพร้อมกัน” สะใภ้สี่เฉินเอ่ยระหว่างยืนรอต่อแถวสมาชิกบ้านอื่น“อืม เฟิ่นอี้จะได้สอนน้องๆ ได้” สะใภ้ใหญ่เห็นด้วย เรื่องการเรียนของเฉินเฟิ่นอี้บ้านเฉินต่างรับรู้กันดี ขนาดเฉินไห่หลิวที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะยังไม่สู้หล่อน“ฮ่าๆ หลานสาวต้องสอบผ่านแน่ครับ หล่อนสอนการบ้านน้องสาวแทบทุกวัน ไหนจะอ่านหนังสือหนักอีก” พี่รองเฉินหัวเราะอย่างอารมณ์ดี“ใช่” ปู่เฉินเห็นด้วย“เหล่าสะใภ้อี้มีเรื่องอะไรกันเหรอ เห็นกลับจากสอบ ก็ตรงมาหาคนบ้านอี้เลย” สะใภ้สี่กล่าวด้วยความสนใจ หล่อนเป็นคนบ้านอี้มาก่อน เห็นแบบนี้จึงรับรู้ได้ว่าเกิดเรื่องขึ้น และรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย“จะอะไรก็เถอะ คุณไม่ต้องไปสนใจหรอก ขอแค่พวกหล่อนไม่ไปทำอะไรให้สูกสาวของเราก็พอ” น้องชายสี่เฉินบอกภรรยา แต่ก่อนเรื่องบ้านอี
พักได้ไม่นานเฉินเฟิ่นอี้ก็ต้องเข้าห้องสอบต่อ วิชาที่สองเป็นวิชาคณิตศาสตร์ เธอใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม แน่นอนว่าครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ยังสอบเสร็จก่อนคนอื่น ช่วยไม่ได้ที่เธอมีตัวช่วยอย่างระบบเส็งเคร็งที่ชอบบอกคำตอบบ้าง แค่กๆเฉินเฟิ่นอี้ส่งกระดาษคำตอบทันทีที่หมดเวลาสอบ ท่ามกลางสีหน้าเคร่งเครียดของนักเรียนระดับมัธยมต้น คงมีเพียงเฉินเฟิ่นอี้ที่มีสีหน้าผ่อนคลาย เมื่อออกจากห้องสอบ บางคนรีบไปรับประทานอาหารมื้อกลางวันเพราะต้องกลับมาอ่านหนังสือต่อ วิชาต่อไปคือภาษาต่างประเทศอย่างภาษาอังกฤษที่เธอรู้จักดี เนื่องจากการทำงานเป็นเลขาของท่านประธานที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ เธอในตอนนั้นจึงถูกส่งไปเรียนพิเศษแต่บางคนไม่ได้ไปรับประทานอาหารกลางวันเหมือนคนอื่น พวกเขาหาที่นั่งพร้อมกับอ่านหนังสือ จะสอบผ่านหรือไม่ผ่านก็อยู่ที่วิชาภาษาต่างประเทศแล้ว ยกเว้นบ้านเฉินที่เฉินเฟิ่นอี้ชวนไปหาที่รับประทานอาหารมื้อกลางวันข้างนอกโรงเรียนกองทัพต้องเดินด้วยท้อง และแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ไม่ต้องการอดอาหาร หากเฉินไห่หลิวกับเฉินตงเครียดและไม่ได้รับประทานอาหารมื้อกลางวัน พวกเขาอาจเป็นลมได้ ส่วนเธอนั้นไม่น่าห่วงเพราะไม่ได้
เรื่องที่บ้านเฉินมีเนื้อกินถูกพูดถึงทั้งหมู่บ้าน หากไม่ใช่เฉินหมิงกลับมาที่บ้านก็ต้องเป็นช่วงที่ได้รับผลผลิต บ้านเฉินรวมถึงทุกคนจึงจะมีเนื้อกิน แต่อยู่ๆ สามวันก่อนกลับมีคนได้กลิ่นเนื้อจากบ้านเฉิน ซึ่งเพื่อนบ้านต่างยืนยันว่าเป็นกลิ่นเนื้อจริงๆเฉินเฟิ่นอี้ถูกคนในบ้านเฉินซักถามว่าได้เนื้อมายังไง ก็เป็นย่าเฉินที่ออกหน้าและบอกว่านางเป็นคนเอาเงินและคูปองให้เฉินเฟิ่นอี้ไปซื้อเอง ทุกคนจึงทำได้แค่เงียบวันนี้มีการสอบเทียบ พี่ใหญ่เฉินหยุดงานหนึ่งวันเพื่อพาเฉินเฟิ่นอี้ เฉินไห่หลิว และเฉินตงไปสอบเทียบขึ้นมัธยมปลายในตำบล การสอบครั้งนี้ไม่ใช่การสอบใหญ่ ผู้ใหญ่ในบ้านเฉินจึงตกลงให้พี่ใหญ่เฉินไปคนเดียว ส่วนเรื่องลางานในแปลงนาทำเรื่องเอาไว้ตั้งแต่รู้วันสอบแล้วเดินทางไปในตำบลใช้เวลาเดินเท้าแค่ครึ่งชั่วโมง สมาชิกบ้านเฉินจึงไม่ได้เร่งรีบ เพราะมีสอบตอนเก้าโมง ลุงใหญ่ของบ้านจึงพาลูกชาย หลานชายและหลานสาวเดินเท้าไปยังตำบลถ้าเลือกได้เฉินเฟิ่นอี้ก็อยากได้จักรยานมาใช้ อย่างน้อยคงได้ไปซื้อของบ่อยๆ เอาไว้ลุงสามกลับมาที่บ้าน เธอจะลองขอให้เขาซื้อให้ดู หากให้พึ่งตนเองตอนนี้คงไม่ได้ เพราะต้องสำรองเงินบางส่วนไว้ใช้
จะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายสามแล้ว โชคดีที่ก่อนทางเข้าตำบลมีรถแทรกเตอร์ของหมู่บ้านขับผ่าน สามพี่น้องบ้านเฉินจึงขอติดรถกลับมาด้วยเพราะของหนักมาก มีทั้งเครื่องปรุง ไข่ แตงโม แอปเปิล เนื้อ และของอื่นๆ อีกมากมาย ยังดีที่มีกระสอบและตะกร้าใส่ไม่อย่างนั้นคนขับรถแทรกเตอร์คงมองเห็นของที่ซื้อมาเฉินเฟิ่นอี้เป็นคนลงจากรถคนแรก เธอหยิบเอาของที่สามารถถือได้ ที่เหลือปล่อยให้เฉินไห่หลิวกับเฉินตงจัดการ จากนั้นจึงเดินเข้าบ้านที่มีย่าเฉิน เฉินเหม่ยเย่ และเฉินชิงชิงนั่งเล่นกันอยู่“ซื้ออะไรมาเยอะขนาดนั้น!” ย่าเฉินอุทานมองตะกร้าของที่หลานทั้งสามคนแบกมา“อาหารค่ะ เอาไปไว้ในครัว” เฉินเฟิ่นอี้ตอบ พร้อมหันไปบอกน้องชายที่แบกกระสอบอยู่ เธอจะคุยกับย่าเฉินสักหน่อยค่อยเข้าไปจัดการของในครัว“ครับพี่”เฉินเฟิ่นอี้หยิบคูปองและเงินจำนวนสามหยวน ยื่นคืนย่าเฉินที่มองมาอย่างสงสัย นี่คือเงินที่หักจากการซื้อเครื่องปรุง ส่วนเงินอื่นๆ เฉินเฟิ่นอี้เป็นคนจ่ายเอง ย่าเฉินให้เงินไปซื้อแค่เครื่องปรุง“นี่คือเงินที่เหลือจากซื้อเครื่องปรุงค่ะ ส่วนของอย่างอื่นฉันซื้อเอง” เพื่อป้องกันการถูกด่าที่ซื้อของสิ้นเปลือง เฉินเฟิ่นอี้จึงบอกตั้งแต่แรก