วันนี้เป็นวันแรกที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องทำอาหารให้กับจี้หลันและเว่ยฟ่ง รวมถึงเพื่อนสนิทของพวกเขา เธอจำเป็นต้องตื่นก่อนเวลาที่ต้องตื่นเพื่อมาเตรียมอาหารให้พร้อม ปิ่นโตทั้งห้าเพื่อนร่วมห้องเรียนของเธอจะเอามาให้วันนี้ตอนเย็น เธอจึงต้องทำใส่กล่องข้าวที่มีในบ้านไปก่อนเฉินเฟิ่นอี้หั่นเนื้อให้เป็นชิ้นเล็กๆ เธอจะผัดใส่แตงกวาที่เพื่อนลุงสามเอามาให้เมื่อวานตอนเย็น ไม่มีใครแพ้หรือไม่รับประทานอะไร เฉินเฟิ่นอี้จึงทำเมนูเดียวเพื่อประหยัดเวลา ระหว่างเตรียมทำกับข้าวก็หุงข้าวทิ้งเอาไว้“ทำอะไรครับ” เฉินไห่หลิวที่ลุกมาเข้าห้องน้ำเอ่ยถาม อีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาที่ควรลุกมาทำอาหารและแต่งตัวไปโรงเรียน แต่วันนี้เฉินเฟิ่นอี้กลับตื่นเช้ากว่าปกติ“เฉินไห่หลิว” เธอเอ่ยทักเขาพร้อมล้างแตงกวาไปด้วย โชคดีที่ในบ้านมีน้ำประปาให้ใช้ไม่ต้องไปตักเหมือนในหมู่บ้าน เฉินเฟิ่นอี้จึงคิดว่ามันสะดวกมาก“ทำไมถึงหุงข้าวเยอะขนาดนี้” เขาถามอย่างสงสัย ซึ่งตอนที่จี้หลันและเว่ยฟ่งเข้ามาพูดคุยกับเฉินเฟิ่นอี้เขาไม่ได้อยู่ด้วย“พวกจี้หลันกับพวกเว่ยฟ่งอยากให้ทำไปให้น่ะ” เฉินเฟิ่นอี้ตอบก่อนหยิบผลไม้ที่เอาออกมาแช่น้ำทิ้งไว้ขึ้นมาหั่นต่อ กล่องข
พอได้เปิดใจคุยกันแล้วเฉินเฟิ่นอี้ก็ทำอะไรสะดวกมากขึ้น ในทุกวันทุกคนจะตื่นขึ้นมาช่วยกันทำอาหารเช้าทำให้ไม่ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามาก และเฉินไห่หลิวยังอาสาคัดลอกภาษาต่างประเทศลงสมุดหลายเล่ม เพราะกลัวว่าทุกคนจะอ่านไม่ออก จึงให้เพียงเฉินไห่หลิวเป็นคนคัดลอกเฉินเฟิ่นอี้เกริ่นเรื่องการสอนพิเศษกับเพื่อนร่วมห้องไปแล้วว่าเธอต้องสอนน้องด้วยทำให้ไม่สะดวกที่จะสอนทุกคน แต่หลังจากนี้อาจมีการเปิดสอนพิเศษซึ่งไม่ได้บอกราคามีหลายคนที่สนใจจะเรียนและเข้ามาสอบถามแต่ยังไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน อย่างที่รู้กันว่าเพิ่งเปิดเทอม การเรียนในตอนนี้คือการปรับพื้นฐาน เฉินเฟิ่นอี้จึงต้องการให้น้องๆ ปรับตัวกันให้ได้ก่อน อีกอย่างเรื่องการทำอาหารขายก็ยังไม่ได้ลงตัวมาก ยิ่งวันนี้ต้องทำอาหารให้เพื่อนร่วมห้องถึงสิบเอ็ดปิ่นโตอันที่จริงการขายอาหารของเธอย้ำไปหลายรอบว่าห้ามให้ใครรู้เรื่องนี้หากยังอยากรับประทานอาหารฝีมือเธอ แต่เพื่อนร่วมห้องหลายคนก็รู้เรื่องนี้จึงได้มาหาเธอและบางคนก็ซื้อให้น้องบ้างให้พี่บ้างวันนี้เห็นว่ามีเรียนถึงบ่ายจะมีกิจกรรม คุณครูจึงจะประชุมกันและปล่อยให้นักเรียนเลิกเรียนก่อนเวลา เฉินเฟิ่นอี้จึงนัดเพื่อนๆ เอ
ในที่สุดกิจกรรมที่พวกเฉินเฟิ่นอี้สนใจก็มาถึง จริงๆ จะเรียกว่ากิจกรรมก็ไม่ถูก มันเป็นการแข่งขันชิงทุนให้กับห้อง ซึ่งหากห้องไหนชนะการแข่งขันก็จะถูกตรวจสอบเอกสารว่าคนไหนบ้างที่ทางบ้านขัดสน คนที่ไม่ขัดสนก็จะได้รับความช่วยเหลือเช่นเดียวกันแต่จะได้รับน้อยกว่าทุนการศึกษาที่เป็นรางวัลได้ยินว่ามีสองร้อยหยวน และพวกหนังสือ สมุด ปากกา รวมถึงสิ่งของที่ต้องใช้ในการเรียนต่างๆ ห้องอื่นก็จะได้รับเช่นเดียวกันแต่จะได้รับน้อยกว่าและไม่ได้เงินรางวัลการแข่งขันจะจัดขึ้นพรุ่งนี้ซึ่งมันกระทันหันเป็นอย่างมาก มีนักเรียนหลายคนแย่งชิงที่จะเข้าร่วมการแข่งขันเพราะได้ยินว่าจะมีรางวัลพิเศษให้คนแข่งขันด้วย แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ต้องการเข้าร่วม อย่างห้องเรียนมัธยมปลายของพวกเฉินเฟิ่นอี้ก็มีหลายคนที่ไม่ต้องการเข้าร่วมเฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจหลังคุณครูประจำวิชาเดินออกจากห้อง คุณครูเพิ่งเข้ามาบอกเรื่องการแข่งขันและเน้นย้ำว่าต้องเอารางวัลมาให้ได้ แต่เขากลับไม่บอกว่าจะมีการแข่งขันอะไรหรือเลือกใครเป็นตัวแทนห้องทั้งสี่คน ส่วนเพื่อนในห้องก็ทำได้เพียงส่ายหน้า“คุณครูบ้าไปแล้ว ต้องชนะแต่ไม่มีรายละเอียดบอกนี่นะ!” เฉินตงบ่นออกมาอย่างห้
“พวกเธอจะไม่รู้ก็ไม่แปลก หล่อนเรียนโรงเรียนอื่นมานี่ ได้ยินว่าถูกแฉจนอับอายลาออกจากโรงเรียนไปเลย แต่ไม่รู้ไปทำยังไงครูใหญ่ของโรงเรียนจึงอนุญาตให้สอบเทียบ”“เอ๊ะ ฟางเหลียงอวี๋เธอก็เรียนที่นี่ตั้งแต่มัธยมต้น ทำไมถึงรู้เรื่องแบบนี้ได้ล่ะ” ซ่งเวยหลานถามกลับและคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความจริง บอกเฉินเฟิ่นอี้ลาออกเพราะถูกไล่ออกยังเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้มากกว่า และถ้ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นต้องได้ยินหรือไม่ก็ไม่สามารถสอบเทียบได้“อี้เหม่ยเฟิ่งเพื่อนใหม่ของฉันเล่าให้ฟัง ฉันก็อยากรู้ว่าคนที่กล้าอ่อยคู่หมั้นคนอื่นหน้าตาเป็นยังไง ก็งั้นๆ แหละ” ฟางเหลียงอวี๋มองตั้งแต่หัวจรดเท้าเฉินเฟิ่นอี้มุมปากเฉินเฟิ่นอี้กระตุกมองอี้เหม่ยเฟิ่งที่หลบสายตา คงคิดว่าเพื่อนใหม่ของหล่อนจะไม่กล้ามาหาเรื่องเธอน่ะสิ แต่จะขัดก็ขัดไม่ได้เพราะดูแล้วเพื่อนใหม่ของหล่อนมีแต่คนมีฐานะ หรือจะชุบตัวเองขึ้นสูงเหยียบเธอลงต่ำ แต่เหมือนจะดูถูกกันเกินไปแล้ว“เธอกล้าเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น ไม่กลัวพวกเขารู้ความจริงเหรอ” เฉินเฟิ่นอี้ตั้งคำถามอย่างไม่สนใจ ตอนนี้หล่อนถูกเฉินเหม่ยเย่กับเฉินจางจับตาอยู่เพราะอยู่ห้องข้างๆ กัน เธอยังไม่ต้องการให้อี
[ภารกิจพิเศษ : แข่งขันชนะรับคะแนน 1,000 แต้ม]และใช่ สิ่งที่เฉินเฟิ่นอี้รอคอยที่สุดก็มาถึง ภารกิจพิเศษที่จะได้รับรางวัลที่คุ้มค่า แต่ว่าครั้งนี้มันทำให้เฉินเฟิ่นอี้กังวลมากเพราะเธอไม่ได้แข่งคนเดียว อีกอย่างยังมีห้องอื่นที่รับรู้การแข่งขันตั้งแต่แรก และคนเก่งห้องอื่นๆ ก็มีอีกมากเช้าวันนี้เฉินเฟิ่นอี้รับทำข้าวกล่องให้แค่พวกเว่ยฟ่งและจี้หลัน เธอจำเป็นต้องทำสมาธิและพักผ่อนให้เพียงพอจึงงดรับทำให้คนอื่นด้วย แม้แต่คนที่สั่งไว้ล่วงหน้าก็ยังถูกเท อันที่จริงไม่เชิงว่าถูกเทเพราะมีหลายคนเห็นว่าวันนี้เฉินเฟิ่นอี้ไม่รับทำอาหารจึงคะยั้นคะยอให้เธอรับ เฉินเฟิ่นอี้ยังไม่รับปากแต่รับรายชื่อมา เธอบอกเพียงถ้าจะทำให้เดี๋ยวนำไปส่งที่โรงเรียนเลย“ช่วงนี้รางวัลพิเศษไม่ค่อยมีเลย” เฉินเฟิ่นอี้พึมพำเมื่อนั่งลงบนม้านั่งประจำที่พวกเธอชอบมานั่งรอบข้างมีผู้คนประปรายเพราะวันนี้เฉินเฟิ่นอี้มาโรงเรียนเช้ากว่าปกติ ไหนจะมีการแข่งขันชิงทุน ทางโรงเรียนจึงอนุญาตให้นักเรียนมาสายหรือสามารถหยุดเรียนได้ ยกเว้นตัวแทนห้องที่ต้องมาแข่งขันทั้งหมดสามรอบช่วงเช้าจะถูกคัดออกแปดห้อง นั่นก็คือห้องอันดับสองและอันดับสามที่ต้องไปแข่งกับห
นักเรียนมัธยมปลายปลายชั้นปีที่หนึ่งห้องอันดับต้นและห้องอันดับสามต่างทยอยเดินเข้าห้องการแข่งขันรอบที่สอง ตัวแทนห้องอันดับต้นมีหมิงหลานฮุ่ย ชิงไห่ตัน อี้เหม่ยเฟิ่งและหวังซ่งเยี่ยน ในขณะที่ห้องอันดับสามมีเฉินไห่หลิว เฉินตง เฉินเฟิ่นอี้ และเจียวซีไม่มีใครรู้เกณฑ์การคัดเลือกตัวแทนของห้องอันดับต้น แต่สำหรับเฉินเฟิ่นอี้แล้วคิดว่าการแข่งขันรอบที่สองพวกเธอจะผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ในอดีตหมิงหลานฮุ่ยและอี้เหม่ยเฟิ่งคอยขอให้เฉินเฟิ่นอี้ทำการบ้านให้ ไหนจะงานต่างๆ ที่นำไปส่งและบอกว่าตนเองทำอีก หากไม่มีเฉินเฟิ่นอี้พวกเขาอาจจบมัธยมต้นไม่ได้ด้วยซ้ำเสียงพูดคุยในห้องดังขึ้นเป็นระยะระหว่างรอคุณครูที่คุมการแข่งขันเดินเข้ามา มีหลายคนกำลังพูดถึงว่าห้องไหนจะได้รับชัยชนะในครั้งนี้ แน่นอนว่าใครอยู่ห้องไหนก็บอกว่าห้องตนเองจะชนะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงห้องอันดับต้นที่คิดว่าตนเองเก่งกว่าห้องอื่นทั้งที่ระบบห้องเพิ่งเปลี่ยนเฉินเฟิ่นอี้จิบน้ำในขวดพร้อมนวดมือไปด้วย เมื่อวานทำอาหารเยอะเกินไป ตื่นเช้ามามันจึงมีอาการปวด ยิ่งก่อนหน้านี้ต้องเร่งเขียนคำตอบให้ทันก่อนคนอื่นมันจึงปวดเพิ่มขึ้นอีก แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรขนาดนั้น
“นั่นสิ คุ้นยังไงนะ คู่หมั้นหรืออาการป่วย” ประโยคสุดท้ายเฉินเฟิ่นอี้ลากเสียงยาวให้อีกฝ่ายเสียอาการ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นเรื่องจริงสินะเฉินเฟิ่นอี้หลุบสายตามองต่ำและอดสงสารเฉินเฟิ่นอี้คนเก่าไม่ได้ หล่อนเป็นคนที่นิสัยดีและรักเพื่อนมาก แต่โชคร้ายที่หล่อนมีเพื่อนแย่และคนรักที่นิสัยแย่ ก็อย่างว่าแหละในตอนที่เฉินเฟิ่นอี้หมั้นหมายกับหมิงหลานฮุ่ยตอนนั้นหล่อนอายุแค่สิบสอง บ้านเฉินก็ไม่ได้ห้ามเพราะคิดว่ามันจะดีต่อเฉินเฟิ่นอี้“เฉินเฟิ่นอี้เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอ ตั้งนานไม่เห็นจะพูดมาพูดตอนนี้จะได้อะไร พวกเราถอนหมั้นกันไปแล้วหลายเดือนยังตามราวีไม่เลิก” หมิงหลานฮุ่ยเดินมาเผชิญหน้ากับเฉินเฟิ่นอี้อย่างหัวเสีย เพื่อนร่วมห้องต้องหัวเราะเยาะเขาแน่ที่แพ้“เดี๋ยวนะเฉินเฟิ่นอี้ เธอเคยหมั้นหมายกับเขาเหรอ! ไหนวันนั้นพวกหวังซ่งเยี่ยนมาหาเรื่องเธอเพราะได้ยินจากอี้เหม่ยเฟิ่งว่าเธอไปอ่อยคู่หมั้นของหล่อนล่ะ!” จี้หลันถามด้วยความตกใจและสับสน ตกลงเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่“ฉันกับเขาเพิ่งถอนหมั้นกันไปตอนต้นปี และเขาได้หมั้นหมายกับอี้เหม่ยเฟิ่งก่อนเปิดเทอมได้ไม่นาน” เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้ปิดบัง เธอก็ไม่อยากสนใจ
“มัธยมปลายชั้นปีที่หนึ่งห้องที่สาม เจ็ดสิบหกคะแนน!”ทันทีที่เสียงประกาศออกจากปากผู้อำนวยการของโรงเรียน สมาชิกเพื่อนร่วมห้องของเฉินเฟิ่นอี้ต่างลุกขึ้นเฮอย่างดีใจ บางคนถึงกับน้ำตาไหลเพราะเงินทุนในวันนี้มันสำคัญมากๆ อย่างเช่นเจียวซีถึงกับทรุดลงพื้นหล่อนต้องการเรียนพิเศษเพิ่มกับเพื่อนสนิท ซึ่งบ้านเจียวคิดว่ามันไม่จำเป็นจึงไม่จ่ายเงินส่วนนี้ให้ หากหล่อนอยากเรียนต้องหาเงินหรือเก็บเงินที่จะได้ในแต่ละวันเพื่อเรียนเอง พอได้รับโอกาสเป็นตัวแทนมาหล่อนจึงตั้งใจเต็มที่เป็นอย่างมากคะแนนมัธยมปลายชั้นปีหนึ่งห้องอันดับสามนำโด่ง แข่งกันกับมัธยมต้นชั้นปีหนึ่งห้องอันดับต้น การแข่งขันรอบสุดท้ายเฉินเฟิ่นอี้ทำคะแนนได้ถึงสิบคะแนน เฉินไห่หลิวสี่คะแนน เฉินตงและเจียวซีทำคะแนนได้คนละสามคะแนน ส่วนมัธยมต้นชั้นปีหนึ่งเฉินเหม่ยเย่กับเฉินตงทำคะแนนไปได้คนละห้าคะแนน และไม่ยอมให้โอกาสทีมอื่นได้คะแนนไปเลยเมื่อการแข่งขันจบลงและประกาศตัวแทนห้องที่ชนะเฉินเฟิ่นอี้ก็รีบนั่งลงดื่มน้ำ มีเพื่อนร่วมห้องคอยพัดให้ลมเย็น ต้องบอกว่าอากาศมันร้อนสุดๆ ส่วนรางวัลที่ต้องได้รับครูใหญ่แจ้งว่าให้ตัวแทนได้พักผ่อนก่อน“ฉันลุ้นมาก!” โม่เยี่ยน
เฉินเฟิ่นอี้นอนไม่หลับ หลังจากแยกย้ายกับกลุ่มเเพื่อนเธอนอนลืมตาในห้องจนถึงเช้าที่ต้องตื่นมาเตรียมอาหารนั่นแหละถึงไม่นอนต่อ เมื่อคืนเฉินเฟิ่นอี้ถึงจะไม่ค่อยสนุกเท่าไรแต่ก็อยู่จนจบและเก็บของ พออยู่คนเดียวความคิดมันฟุ้งซ่าน"หลานสาวสาม" สะใภ้ใหญ่เรียกหลานสาวที่นั่งอยู่หน้าเตา"ป้าสะใภ้ใหญ่"อาหารมื้อเช้าวันนี้เป็นโจ๊ก เฉินเฟิ่นอี้จึงต้องอยู่คนหม้อไม่ให้ข้าวติดก้นกระทะจนไหม้ เธอขยับให้ป้าสะใภ้นั่งลงด้วย วันนี้คนที่มีสอนก็ต้องไปสอนคนที่มีเรียนก็ต้องไปเรียนและไม่รู้ว่าพวกผู้ชายบ้านเฉินจะมาทำงานหรือเปล่า หลานสาวอย่างเหรินอี้ก็ไม่รู้ว่าพ่อของเขาจะมาส่งไหมเฉินเฟิ่นอี้นั่งเงียบเพื่อคิดหาทางออก อันที่จริงก็นอนคิดมาทั้งคืน แต่เพราะไม่รู้ว่าคนแปลกหน้าที่ว่าคือใครจึงยังไม่ฟันธง เสียงรถยนต์จอดลงหน้าบ้านเฉินเฟิ่นอี้รีบยกหม้อข้าวมาวางลงเตาถ่านที่ว่างแล้วรีบเดินออกไปหน้าบ้านที่คาดว่าจะเป็นคนที่กลับบ้านตั้งแต่เมื่อวาน"ลุงสาม"มีเพียงลุงสามกับหลานสาวตัวน้อยของพวกเธอเหรินอี้ เฉินเฟิ่นอี้ยังไม่ได้ถามอะไรรีบพาหลานสาวไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปโรงเรียน เหรินอี้อายุเจ็ดขวบหล่อนเป็นลูกสาวของพี่สาวใหญ่ที่ตอนแรกจะใ
บรรยากาศที่ควรสนุกสนานแต่ตอนนี้เด็กบ้านเฉินไม่ได้สนุกเท่าไรนัก ผู้ชายบ้านเฉินกลับไปที่หมู่บ้านจนถึงตอนนี้เกือบห้าชั่วโมงและยังไม่กลับมา เฉินเฟิ่นอี้ลงมือทำอาหารให้เพื่อนที่มางานเลี้ยง เด็กบ้านเฉินออกไปร่วมด้วย ส่วนสะใภ้ใหญ่ช่วยหลานสาวทำอาหารในครัวแล้วเข้าไปพักในบ้านเลี้ยงฉลองทั้งทีเครื่องดื่มเฉินเฟิ่นอี้ก็นำออกมาให้ทุกคนดื่มยกเว้นเหล้าที่พวกผู้ชายเอาออกมาเอง เมื่อคืนเธอคั้นน้ำผลไม้ทิ้งไว้ในตู้จึงนำออกมาให้ทุกคนได้ดื่ม และมีเครื่องดื่มอัดลมที่นำออกมากจากในระบบซึ่งนาน ๆ ทีเฉินเฟิ่นอี้จึงจะนำออกมาเพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหากับแกล้มที่ดีที่สุดก็คือย่างเนื้อหมู เฉินเฟิ่นอี้จุดไฟย่างอยู่ไม่ไกลจากม้านั่ง ต่อให้ในใจยังมีความกังวลอยู่แต่วันนี้กว่าจะรวมตัวได้เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่อยากให้เสียบรรยากาศ ชิงช้าแกว่งไปมาหลังเธอนั่งลงและมองกลุ่มเพื่อนที่ดื่มฉลองกัน อาหารหลายอย่างของวันนี้ส่วนมากจะเป็นเมนูที่เฉินเฟิ่นอี้เคยกินมาในชีวิตก่อน ไม่ว่าจะเป็นต้มยำกุ้ง แกงส้ม ไข่ทอดชะอม และยังมีอีกหลายอย่างตั้งแต่ที่เรียนจบต้องบอกว่าทุกคนจะแวะเวียนกันมาที่บ้านเช่าให้เฉินเฟิ่นอี้ทำอาหารให้กิน แรก ๆ ก็เป็นเมนูที่เคยท
พอรู้ว่าวันนี้เพื่อนคนอื่น ๆ จะมาที่บ้าน เฉินเฟิ่นอี้ก็ให้น้องชายเป็นคนเอาปิ่นโตไปส่งที่สถานีตำรวจและกองทัพทหาร ส่วนตนเองกับน้องสาวและคนที่เหลือช่วยกันจัดสถานที่สำหรับคืนนี้ และมีจี้หลัน ซ่งเวยหลาน กับเจียวซีที่ตอนนี้รับหน้าที่เก็บค่าเช่าห้องแถวให้บ้านมาสามีมาช่วยด้วยอันที่จริงมันจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง หากมีการจัดงานเลี้ยงจะมีคนมาช่วยตั้งแต่เช้าเพื่อไม่ให้พวกเฉินเฟิ่นอี้ต้องเหนื่อยอยู่ฝ่ายเดียว ที่สำคัญค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทุกคนจะหารจ่ายเท่ากันและนำเงินมาให้เฉินเฟิ่นอี้ทำอาหาร และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีงานฉลองทุกคนจึงรู้หน้าที่โดยไม่ต้องบอกในบ้านคือพื้นที่ส่วนตัว เฉินเฟิ่นอี้ให้เพื่อนเข้าไปได้และเป็นพวกเขาเองที่ไม่ยอมเข้าไป ม้านั่งหน้าบ้านที่เคยนั่งเรียนภาษาต่างประเทศคือสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยง ปกติมันจะไม่มีไฟห้อยบริเวณนี้แต่พอมาฉลองกันบ่อย ๆ เฉินเฟิ่นอี้ก็ให้ช่างมาต่อไฟไว้ และมีชิงช้าแขวนที่ทำขึ้นเพราะต้นไม้มันใหญ่ขึ้นมากงานเลี้ยงฉลองบางคนอาจทำเพียงอาหาร กับแกล้ม และเครื่องดื่ม แต่ไม่ใช่กับเฉินเฟิ่นอี้ที่จัดเต็มกับอาหาร สถานที่ และบรรยากาศ เพราะฉะนั้นผ้าสีขาวถูกนำมาผูกตกแต่งไว้ที่เสา
ตรวจผ้าถุงเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็พาเฉินเหม่ยเย่เดินดูกระบวนการตัดเย็บและแนะนำเทคนิคดี ๆ ให้หล่อนได้ลองใช้ เฉินเหม่ยเย่ตัดเย็บเสื้อผ้าได้แต่ช่วงหลัง ๆ มาต้องสอนหนังสือให้รุ่นน้องทำให้หล่อนไม่มีเวลาตัดเย็บเสื้อผ้าส่วนมากจะซื้อมาใส่เฉินเฟิ่นอี้ใช้เวลาไม่นานก็พาน้องสาวออกจากโรงงานเย็บผ้าของตระกูลโอวหยางไปยังร้านเซี่ยเซี่ยที่อยู่ในย่านการค้าที่เริ่มเปิดตัวขึ้นมา หลายร้านกำลังปรับปรุงสถานที่ขายไม่ต่างจากบ้านเฉิน และไม่ไกลจากร้านเซี่ยเซี่ยยังมองเห็นร้านเสื้อผ้าของตระกูลโอวหยางอีกบริเวณหน้าร้านมีสิ่งของสำหรับการก่อสร้างวางไว้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้บอกน้องสาวให้เดินระวังก่อนเข้าไปดูข้างใน ห้องเช่านี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่แต่สำหรับเฉินเฟิ่นอี้มันยังเล็กอยู่ดี เธอทำสัญญาเช่าที่นี่ห้าปีและหากฝ่ายไหนผิดสัญญาต้องจ่ายสิบเท่าของราคาเช่า และเฉินเฟิ่นอี้จ่ายค่าเช่าห้าปีไปวันที่เซ็นสัญญากัน อันที่จริงก็อยากเซ็นสัญญาปีต่อปีแต่พอมาคำนวณราคาแล้วมันไม่คุ้มยิ่งต้องปรับเปลี่ยนห้องเช่าในแบบที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องการก็ใช้เงินอีกมาก หากอยู่ ๆ เจ้าของห้องเช่าเห็นว่าที่นี่ขายของได้ดีจะไม่ต่อสัญญา ทำให้เฉินเฟิ่นอี้ตัดสินใจเซ็นสัญญาข
ถึงเวลาพักกลางวัน เฉินเต๋อหมิงเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารมามองลูกสาวสองคนที่นั่งอิงแอบกันพร้อมหลับตา เขาส่ายหน้าลุกขึ้นไปหยิบผ้าที่ลูกสาวเอามาให้ใช้ไปห่มให้ลูกสาวทั้งสองคน พร้อมหิ้วปิ่นโตออกจากห้องทำงานไปหาพี่ชายอีกสองคนที่อยู่ข้างนอกเฉินเฟิ่นอี้ลืมตาตื่นทันทีที่ประตูปิดลง เธอไม่ได้หลับเพียงแค่พักสายตาเท่านั้น ตั้งแต่เปิดการค้าเสรีเธอก็ทำงานหนักเพราะกลัวว่าผ้าถุงและร้านจะเสร็จไม่ทันวันที่จะเปิด พวกเธอแวะมาสถานีตำรวจอีกสักพักจะไปโรงงานเย็บผ้าของตระกูลโอวหยางและจะไปดูร้านที่กำลังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุง"พักกลางวันแล้วเหรอคะ" เฉินเหม่ยเย่อ้าปากหาวพร้อมยกมือขึ้นขยี้ดวงตา อันที่จริงหล่อนง่วงมากแต่อยากตามพี่สาวมาที่ทำงานของบรรดาพ่อและลุง"ใช่"ผ้าถูกพับและนำไปเก็บไว้ที่เดิม เฉินเฟิ่นอี้คว้ากระเป๋าผ้าของเธอเดินนำน้องสาวออกจากห้องไปยังโรงอาหารของที่นี่ จริง ๆ พวกเธอไม่จำเป็นต้องทำอาหารมาส่งก็ได้เพราะสถานีตำรวจมีโรงอาหารให้เจ้าหน้าที่ได้รับประทานอาหารตลอดทั้งวันและไม่ต้องจ่ายเงิน แต่อาหารที่มีประโยชน์ที่ร่างกายควรได้รับมีน้อยมาก เฉินเฟิ่นอี้ที่เคยมากินครั้งหนึ่งจึงไม่ยอมให้พ่อและลุงของเธอกินอาหารที
ต้นปี 1977 รัฐบาลประกาศการค้าเสรี สามารถผลิตสินค้าและซื้อขายได้อย่างอิสระ หลายบ้านเริ่มหาช่องทางการค้าขายและบางบ้านยังคิดว่าพ่อค้าแม่ค้าเป็นอาชีพที่ไม่มีเกียรติจึงไม่ยอมเริ่มต้นที่จะค้าขาย จริง ๆ ข่าวลือเรื่องนี้มีตั้งแต่ปลายปี 1976 แล้ว แต่เพิ่งมีประกาศอย่างเป็นทางการบ้านเฉินซื้อที่ีดินรอบ ๆ บ้านเพื่อเลี้ยงไก่และเป็ดตามคำบอกของเฉินเฟิ่นอี้ตั้งแต่ที่มีข่าวลือ แม้จะกลัวว่าเป็นเพียงข่าวลือแต่บ้านเฉินก็เชื่อใจหลานสาวโดยเฉพาะย่าเฉิน พอมีการประกาศอย่างเป็นทางการไก่และเป็ดก็โตพอที่จะขายออกไปได้แล้วนอกจากเลี้ยงไก่และเป็ดไว้ขายเฉินเฟิ่นอี้ยังหาซื้อพันธุ์ที่ออกไข่โดยเฉพาะให้บ้านเฉินเลี้ยง การทำความสะอาด ขั้นตอนการเลี้ยงไก่และอาหารเฉินเฟิ่นอี้เป็นคนบอกผู้ใหญ่บ้านเฉิน นอกจากสัตว์ปีกที่เลี้ยงไว้จะไม่ป่วยแล้วพวกมันยังอ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นมากระบบหน่วยผลิตถูกยกเลิกไปพร้อมกับการแบ่งที่ดินให้แต่ละคนที่ยังคงทำงานของหมู่บ้าน ซึ่งบ้านเฉินไม่มีใครได้ทำงานในแปลงนาเพราะลุงใหญ่ ลุงรอง และอาสี่ของบ้านเฉินเข้าอำเภอไปทำงานในสถานีตำรวจจากการช่วยเหลือของลุงสามของบ้าน หลายปีมานี้บ้านเฉินจึงมีเงินและเป็นที่อิจฉาขอ
ตัวแทนของโรงเรียนอำเภอจวี่เดินทางกลับมาถึงโรงเรียนสิ้นเดือนมกราคมพร้อมกับชัยชนะและเงินสำหรับทุนการศึกษา พวกเฉินเฟิ่นอี้ได้รับเกียรติบัตรกับทุนการศึกษาที่หน้าเสาธงและกล่าวถึงการแข่งที่ผ่านมาก ต่างจากปีก่อน ๆ ที่ต้องขอบคุณครูที่ปรึกษาแต่ปีนี้ทุกคนรู้กันดีว่าเป็นใครที่ฝึกสอนให้ผลตรวจสุขภาพถูกส่งมาตามมาหนึ่งเดือนให้หลัง และได้รับการยืนยันว่าเฉินเฟิ่นอี้ไม่มีปัญหาเรื่องการมีลูก และสุขภาพของเธอก็ดีมาก ส่วนวันนั้นที่หมดสติเป็นเพราะความกดดันที่รับไม่ไหวแล้ว เด็กบ้านเฉินสุขภาพร่างกายดีทั้งหมดเพราะได้รับการบำรุงที่ดีเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านถูกเฉินเฟิ่นอี้พาไปตรวจสุขภาพในมณฑลส่วนพวกผู้ใหญ่ไม่มีใครยอมไป เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้บังคับจึงมีเพียงน้องชายคนเล็กที่ได้ไปตรวจ และเรื่องผลตรวจของเฉินเฟิ่นอี้สร้างความโล่งใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก เรื่องที่สำคัญกับผู้หญิงมากที่สุดนั้นก็คือการมีลูกการสอนพิเศษภาษาต่างประเทศเฉินเฟิ่นอี้ถูกคะยั้นคะยอจากรักษาการเซียวให้สอนกับเด็กในโรงเรียนอำเภอจวี่ทุกวันที่มีเรียน และคาบเรียนที่ว่างจะถูกแทนที่ด้วยการสอน พร้อมกับเงินตอบแทนวันละหนึ่งหยวนและเฉินเฟิ่นอี้ตอบรับที่จ
การแข่งขันจบลงพร้อมร่างกายของเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นลมล้มต่อหน้าน้องชายและน้องสาว สร้างความตกใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก เฉินเฟิ่นอี้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาบนเตียงพิเศษในโรงพยาบาลและมีน้องสาวนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง เธอพยุงตัวขึ้นนั่งด้วยอาการมึนหัว"ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ได้"ความทรงจำล่าสุดของเธอก็คือทรุดลงพื้นพร้อมอาการหน้ามืดเพราะหมดห่วงเมื่อได้รับชัยชนะ อีกทั้งการแข่งขันเต็มไปด้วยความกดดันตัวแทนแต่ละฝั่งก็อ่อนแรงกันมาก ยิ่งต้องแข่งขันกันถึงแปดคน ความวุ่นวายย่อมมีอยู่แล้วจึงเหนื่อยมากขึ้น"พี่เป็นลมค่ะ"โชคดีที่รักษาการเซียวรีบพามายังโรงพยาบาลพร้อมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ จึงจองห้องพิเศษที่เหลือห้องเดียว ส่วนตอนนี้เขากลับไปจัดการรางวัลที่ตัวแทนของโรงเรียนอำเภอจวี่ต้องได้ ที่โรงพยาบาลเหลือเพียงเฉินเหม่ยเย่เฝ้าพี่สาว คนอื่น ๆ ต้องรอรับรางวัลก่อนเฉินเฟิ่นอี้มองไปที่ประตูเมื่อเห็นว่ามันล็อกจากด้านในจึงเปิดเผยกระดานใสให้น้องสาวได้เห็น จริง ๆ เฉินเหม่ยเย่รู้เรื่องนี้อยู่แล้วแต่กลัวว่าหล่อนจะตกใจหากหยิบออกมาจากกลางอากาศ พร้อมหยิบน้ำอุ่นออกมาจิบให้ลำคอที่แห้งผากลื่นคอ อยากจิบน้ำหวานแต่กลัวว่าหมอที่รักษาจะด
การแข่งขันวิชาการรอบตัดสินเพื่อหาโรงเรียนที่ชนะของหมวดภาษาต่างประเทศหยุดชะงักพร้อมกับการประท้วงของกรรมการหมวดภาษาต่างประเทศของส่วนกลาง รวมถึงกรรมการผู้ช่วยที่เป็นคนของส่วนกลางและครูที่มากจากโรงเรียนรอบข้างการที่จะให้กรรมการผู้ช่วยมาตัดสินผลแพ้ชนะในรอบสุดท้ายหากเกิดปัญหาจริง ๆ ควรให้ผู้ช่วยกรรมการของกรรมการที่ตัดสินมาแทนไม่ใช่ว่าจะเอาใครมาแทนที่ก็ได้ จริงอยู่ที่ว่าเขาสามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้ แต่ไม่เชี่ยวชาญเหมือนกรรมการหมวดภาษาต่างประเทศ และการเอากรรมการหมวดอื่นมาตัดสินย่อมข้ามหน้าข้ามตากรรมการอีกหลายท่าน"จริง ๆ ผมว่ามันไม่น่ามีปัญหาอะไรเลยนะครับ กรรมการเหวินเป็นบุคลากรของที่นี่ เขาย่อมเป็นกลางอยู่แล้ว" รองประธานยังคงยืนยันที่จะให้คนเดิมเป็นกรรมการ"ไม่ใช่เรื่องเป็นกลางไม่เป็นกลาง คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่าโรงเรียนที่จะแข่งรอบนี้มีโรงเรียนอะไรบ้าง กรรมการเหวินเป็นบุคลากรของที่นี่ หากผลแพ้ชนะมันค้านสายตาของผู้คน โรงเรียนอาจเสียหายเอาได้" รักษาการเซียวชี้แนะให้กับรองประธานการแข่งขันวิชาการของปีการศึกษานี้หากโรงเรียนของที่นี่ชนะอาจมีคนพูดถึงโรงเรียนในทางที่ไม่ดีได้ หากผลการแข่งไม่ค้าน