วันนี้เป็นวันแรกที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องทำอาหารให้กับจี้หลันและเว่ยฟ่ง รวมถึงเพื่อนสนิทของพวกเขา เธอจำเป็นต้องตื่นก่อนเวลาที่ต้องตื่นเพื่อมาเตรียมอาหารให้พร้อม ปิ่นโตทั้งห้าเพื่อนร่วมห้องเรียนของเธอจะเอามาให้วันนี้ตอนเย็น เธอจึงต้องทำใส่กล่องข้าวที่มีในบ้านไปก่อนเฉินเฟิ่นอี้หั่นเนื้อให้เป็นชิ้นเล็กๆ เธอจะผัดใส่แตงกวาที่เพื่อนลุงสามเอามาให้เมื่อวานตอนเย็น ไม่มีใครแพ้หรือไม่รับประทานอะไร เฉินเฟิ่นอี้จึงทำเมนูเดียวเพื่อประหยัดเวลา ระหว่างเตรียมทำกับข้าวก็หุงข้าวทิ้งเอาไว้“ทำอะไรครับ” เฉินไห่หลิวที่ลุกมาเข้าห้องน้ำเอ่ยถาม อีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาที่ควรลุกมาทำอาหารและแต่งตัวไปโรงเรียน แต่วันนี้เฉินเฟิ่นอี้กลับตื่นเช้ากว่าปกติ“เฉินไห่หลิว” เธอเอ่ยทักเขาพร้อมล้างแตงกวาไปด้วย โชคดีที่ในบ้านมีน้ำประปาให้ใช้ไม่ต้องไปตักเหมือนในหมู่บ้าน เฉินเฟิ่นอี้จึงคิดว่ามันสะดวกมาก“ทำไมถึงหุงข้าวเยอะขนาดนี้” เขาถามอย่างสงสัย ซึ่งตอนที่จี้หลันและเว่ยฟ่งเข้ามาพูดคุยกับเฉินเฟิ่นอี้เขาไม่ได้อยู่ด้วย“พวกจี้หลันกับพวกเว่ยฟ่งอยากให้ทำไปให้น่ะ” เฉินเฟิ่นอี้ตอบก่อนหยิบผลไม้ที่เอาออกมาแช่น้ำทิ้งไว้ขึ้นมาหั่นต่อ กล่องข
พอได้เปิดใจคุยกันแล้วเฉินเฟิ่นอี้ก็ทำอะไรสะดวกมากขึ้น ในทุกวันทุกคนจะตื่นขึ้นมาช่วยกันทำอาหารเช้าทำให้ไม่ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามาก และเฉินไห่หลิวยังอาสาคัดลอกภาษาต่างประเทศลงสมุดหลายเล่ม เพราะกลัวว่าทุกคนจะอ่านไม่ออก จึงให้เพียงเฉินไห่หลิวเป็นคนคัดลอกเฉินเฟิ่นอี้เกริ่นเรื่องการสอนพิเศษกับเพื่อนร่วมห้องไปแล้วว่าเธอต้องสอนน้องด้วยทำให้ไม่สะดวกที่จะสอนทุกคน แต่หลังจากนี้อาจมีการเปิดสอนพิเศษซึ่งไม่ได้บอกราคามีหลายคนที่สนใจจะเรียนและเข้ามาสอบถามแต่ยังไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน อย่างที่รู้กันว่าเพิ่งเปิดเทอม การเรียนในตอนนี้คือการปรับพื้นฐาน เฉินเฟิ่นอี้จึงต้องการให้น้องๆ ปรับตัวกันให้ได้ก่อน อีกอย่างเรื่องการทำอาหารขายก็ยังไม่ได้ลงตัวมาก ยิ่งวันนี้ต้องทำอาหารให้เพื่อนร่วมห้องถึงสิบเอ็ดปิ่นโตอันที่จริงการขายอาหารของเธอย้ำไปหลายรอบว่าห้ามให้ใครรู้เรื่องนี้หากยังอยากรับประทานอาหารฝีมือเธอ แต่เพื่อนร่วมห้องหลายคนก็รู้เรื่องนี้จึงได้มาหาเธอและบางคนก็ซื้อให้น้องบ้างให้พี่บ้างวันนี้เห็นว่ามีเรียนถึงบ่ายจะมีกิจกรรม คุณครูจึงจะประชุมกันและปล่อยให้นักเรียนเลิกเรียนก่อนเวลา เฉินเฟิ่นอี้จึงนัดเพื่อนๆ เอ
ในที่สุดกิจกรรมที่พวกเฉินเฟิ่นอี้สนใจก็มาถึง จริงๆ จะเรียกว่ากิจกรรมก็ไม่ถูก มันเป็นการแข่งขันชิงทุนให้กับห้อง ซึ่งหากห้องไหนชนะการแข่งขันก็จะถูกตรวจสอบเอกสารว่าคนไหนบ้างที่ทางบ้านขัดสน คนที่ไม่ขัดสนก็จะได้รับความช่วยเหลือเช่นเดียวกันแต่จะได้รับน้อยกว่าทุนการศึกษาที่เป็นรางวัลได้ยินว่ามีสองร้อยหยวน และพวกหนังสือ สมุด ปากกา รวมถึงสิ่งของที่ต้องใช้ในการเรียนต่างๆ ห้องอื่นก็จะได้รับเช่นเดียวกันแต่จะได้รับน้อยกว่าและไม่ได้เงินรางวัลการแข่งขันจะจัดขึ้นพรุ่งนี้ซึ่งมันกระทันหันเป็นอย่างมาก มีนักเรียนหลายคนแย่งชิงที่จะเข้าร่วมการแข่งขันเพราะได้ยินว่าจะมีรางวัลพิเศษให้คนแข่งขันด้วย แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ต้องการเข้าร่วม อย่างห้องเรียนมัธยมปลายของพวกเฉินเฟิ่นอี้ก็มีหลายคนที่ไม่ต้องการเข้าร่วมเฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจหลังคุณครูประจำวิชาเดินออกจากห้อง คุณครูเพิ่งเข้ามาบอกเรื่องการแข่งขันและเน้นย้ำว่าต้องเอารางวัลมาให้ได้ แต่เขากลับไม่บอกว่าจะมีการแข่งขันอะไรหรือเลือกใครเป็นตัวแทนห้องทั้งสี่คน ส่วนเพื่อนในห้องก็ทำได้เพียงส่ายหน้า“คุณครูบ้าไปแล้ว ต้องชนะแต่ไม่มีรายละเอียดบอกนี่นะ!” เฉินตงบ่นออกมาอย่างห้
“พวกเธอจะไม่รู้ก็ไม่แปลก หล่อนเรียนโรงเรียนอื่นมานี่ ได้ยินว่าถูกแฉจนอับอายลาออกจากโรงเรียนไปเลย แต่ไม่รู้ไปทำยังไงครูใหญ่ของโรงเรียนจึงอนุญาตให้สอบเทียบ”“เอ๊ะ ฟางเหลียงอวี๋เธอก็เรียนที่นี่ตั้งแต่มัธยมต้น ทำไมถึงรู้เรื่องแบบนี้ได้ล่ะ” ซ่งเวยหลานถามกลับและคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความจริง บอกเฉินเฟิ่นอี้ลาออกเพราะถูกไล่ออกยังเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้มากกว่า และถ้ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นต้องได้ยินหรือไม่ก็ไม่สามารถสอบเทียบได้“อี้เหม่ยเฟิ่งเพื่อนใหม่ของฉันเล่าให้ฟัง ฉันก็อยากรู้ว่าคนที่กล้าอ่อยคู่หมั้นคนอื่นหน้าตาเป็นยังไง ก็งั้นๆ แหละ” ฟางเหลียงอวี๋มองตั้งแต่หัวจรดเท้าเฉินเฟิ่นอี้มุมปากเฉินเฟิ่นอี้กระตุกมองอี้เหม่ยเฟิ่งที่หลบสายตา คงคิดว่าเพื่อนใหม่ของหล่อนจะไม่กล้ามาหาเรื่องเธอน่ะสิ แต่จะขัดก็ขัดไม่ได้เพราะดูแล้วเพื่อนใหม่ของหล่อนมีแต่คนมีฐานะ หรือจะชุบตัวเองขึ้นสูงเหยียบเธอลงต่ำ แต่เหมือนจะดูถูกกันเกินไปแล้ว“เธอกล้าเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น ไม่กลัวพวกเขารู้ความจริงเหรอ” เฉินเฟิ่นอี้ตั้งคำถามอย่างไม่สนใจ ตอนนี้หล่อนถูกเฉินเหม่ยเย่กับเฉินจางจับตาอยู่เพราะอยู่ห้องข้างๆ กัน เธอยังไม่ต้องการให้อี
[ภารกิจพิเศษ : แข่งขันชนะรับคะแนน 1,000 แต้ม]และใช่ สิ่งที่เฉินเฟิ่นอี้รอคอยที่สุดก็มาถึง ภารกิจพิเศษที่จะได้รับรางวัลที่คุ้มค่า แต่ว่าครั้งนี้มันทำให้เฉินเฟิ่นอี้กังวลมากเพราะเธอไม่ได้แข่งคนเดียว อีกอย่างยังมีห้องอื่นที่รับรู้การแข่งขันตั้งแต่แรก และคนเก่งห้องอื่นๆ ก็มีอีกมากเช้าวันนี้เฉินเฟิ่นอี้รับทำข้าวกล่องให้แค่พวกเว่ยฟ่งและจี้หลัน เธอจำเป็นต้องทำสมาธิและพักผ่อนให้เพียงพอจึงงดรับทำให้คนอื่นด้วย แม้แต่คนที่สั่งไว้ล่วงหน้าก็ยังถูกเท อันที่จริงไม่เชิงว่าถูกเทเพราะมีหลายคนเห็นว่าวันนี้เฉินเฟิ่นอี้ไม่รับทำอาหารจึงคะยั้นคะยอให้เธอรับ เฉินเฟิ่นอี้ยังไม่รับปากแต่รับรายชื่อมา เธอบอกเพียงถ้าจะทำให้เดี๋ยวนำไปส่งที่โรงเรียนเลย“ช่วงนี้รางวัลพิเศษไม่ค่อยมีเลย” เฉินเฟิ่นอี้พึมพำเมื่อนั่งลงบนม้านั่งประจำที่พวกเธอชอบมานั่งรอบข้างมีผู้คนประปรายเพราะวันนี้เฉินเฟิ่นอี้มาโรงเรียนเช้ากว่าปกติ ไหนจะมีการแข่งขันชิงทุน ทางโรงเรียนจึงอนุญาตให้นักเรียนมาสายหรือสามารถหยุดเรียนได้ ยกเว้นตัวแทนห้องที่ต้องมาแข่งขันทั้งหมดสามรอบช่วงเช้าจะถูกคัดออกแปดห้อง นั่นก็คือห้องอันดับสองและอันดับสามที่ต้องไปแข่งกับห
นักเรียนมัธยมปลายปลายชั้นปีที่หนึ่งห้องอันดับต้นและห้องอันดับสามต่างทยอยเดินเข้าห้องการแข่งขันรอบที่สอง ตัวแทนห้องอันดับต้นมีหมิงหลานฮุ่ย ชิงไห่ตัน อี้เหม่ยเฟิ่งและหวังซ่งเยี่ยน ในขณะที่ห้องอันดับสามมีเฉินไห่หลิว เฉินตง เฉินเฟิ่นอี้ และเจียวซีไม่มีใครรู้เกณฑ์การคัดเลือกตัวแทนของห้องอันดับต้น แต่สำหรับเฉินเฟิ่นอี้แล้วคิดว่าการแข่งขันรอบที่สองพวกเธอจะผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ในอดีตหมิงหลานฮุ่ยและอี้เหม่ยเฟิ่งคอยขอให้เฉินเฟิ่นอี้ทำการบ้านให้ ไหนจะงานต่างๆ ที่นำไปส่งและบอกว่าตนเองทำอีก หากไม่มีเฉินเฟิ่นอี้พวกเขาอาจจบมัธยมต้นไม่ได้ด้วยซ้ำเสียงพูดคุยในห้องดังขึ้นเป็นระยะระหว่างรอคุณครูที่คุมการแข่งขันเดินเข้ามา มีหลายคนกำลังพูดถึงว่าห้องไหนจะได้รับชัยชนะในครั้งนี้ แน่นอนว่าใครอยู่ห้องไหนก็บอกว่าห้องตนเองจะชนะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงห้องอันดับต้นที่คิดว่าตนเองเก่งกว่าห้องอื่นทั้งที่ระบบห้องเพิ่งเปลี่ยนเฉินเฟิ่นอี้จิบน้ำในขวดพร้อมนวดมือไปด้วย เมื่อวานทำอาหารเยอะเกินไป ตื่นเช้ามามันจึงมีอาการปวด ยิ่งก่อนหน้านี้ต้องเร่งเขียนคำตอบให้ทันก่อนคนอื่นมันจึงปวดเพิ่มขึ้นอีก แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรขนาดนั้น
“นั่นสิ คุ้นยังไงนะ คู่หมั้นหรืออาการป่วย” ประโยคสุดท้ายเฉินเฟิ่นอี้ลากเสียงยาวให้อีกฝ่ายเสียอาการ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นเรื่องจริงสินะเฉินเฟิ่นอี้หลุบสายตามองต่ำและอดสงสารเฉินเฟิ่นอี้คนเก่าไม่ได้ หล่อนเป็นคนที่นิสัยดีและรักเพื่อนมาก แต่โชคร้ายที่หล่อนมีเพื่อนแย่และคนรักที่นิสัยแย่ ก็อย่างว่าแหละในตอนที่เฉินเฟิ่นอี้หมั้นหมายกับหมิงหลานฮุ่ยตอนนั้นหล่อนอายุแค่สิบสอง บ้านเฉินก็ไม่ได้ห้ามเพราะคิดว่ามันจะดีต่อเฉินเฟิ่นอี้“เฉินเฟิ่นอี้เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอ ตั้งนานไม่เห็นจะพูดมาพูดตอนนี้จะได้อะไร พวกเราถอนหมั้นกันไปแล้วหลายเดือนยังตามราวีไม่เลิก” หมิงหลานฮุ่ยเดินมาเผชิญหน้ากับเฉินเฟิ่นอี้อย่างหัวเสีย เพื่อนร่วมห้องต้องหัวเราะเยาะเขาแน่ที่แพ้“เดี๋ยวนะเฉินเฟิ่นอี้ เธอเคยหมั้นหมายกับเขาเหรอ! ไหนวันนั้นพวกหวังซ่งเยี่ยนมาหาเรื่องเธอเพราะได้ยินจากอี้เหม่ยเฟิ่งว่าเธอไปอ่อยคู่หมั้นของหล่อนล่ะ!” จี้หลันถามด้วยความตกใจและสับสน ตกลงเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่“ฉันกับเขาเพิ่งถอนหมั้นกันไปตอนต้นปี และเขาได้หมั้นหมายกับอี้เหม่ยเฟิ่งก่อนเปิดเทอมได้ไม่นาน” เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้ปิดบัง เธอก็ไม่อยากสนใจ
แป้งร่ำรู้สึกตัวขึ้นอีกทีก็ตอนเย็นแล้ว เพราะด้านนอกมีเสียงผู้คนมากมาย เธอจึงลุกขึ้นนั่งเพื่อทบทวนสติ และความทรงจำบางอย่างที่เพิ่งได้รับมาอย่างตกใจ ตอนนี้เธอไม่ใช่แป้งร่ำหญิงวัยกลางคนเหมือนเดิมแล้ว เธอคือเฉินเฟิ่นอี้สาวน้อยที่อยู่ในครอบครัวเฉินยุค 70โชคดีที่บ้านเฉินมีแต่คนขยันจึงสามารถส่งหลานๆ เข้าเรียนในตำบลได้ ร่างของสาวน้อยที่เธออยู่ในตอนนี้มีอาการอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่แต่ก่อนมีร่างกายที่แข็งแรงมาก แต่ก็ไม่ค่อยแปลกใจเพราะช่วงหลังๆ มานี้ เฉินเฟิ่นอี้เหมือนจะจับได้ว่าคนรักของหล่อนเปลี่ยนไป จึงไม่ค่อยรับประทานอาหารซึ่งสาวน้อยคนนี้ก็น่าสงสารมากเพราะถูกคนรักและเพื่อนสนิทที่เป็นญาติผู้พี่หักหลัง ยังดีที่บ้านเฉินรักหลานอย่างเท่าเทียมกัน ไม่อย่างนั้นหล่อนคงถูกตีตาย‘ชีวิตของฉันไม่มีอะไรให้ห่วง ต่อจากนี้ฉันขอให้เธอไปสู่สุคตินะเฉินเฟิ่นอี้ ฉันสัญญาว่าจะดูแลครอบครัวของเธอให้ดี’ แป้งร่ำในร่างของเฉินเฟิ่นอี้คิดในใจ ต่อจากนี้เธอคือเฉินเฟิ่นอี้ ไม่ใช่แป้งร่ำอีกแล้วถ้าถามว่าทำไมเธอถึงทำใจได้เร็วขนาดนี้ คงเป็นเพราะชีวิตของแป้งร่ำมีแต่การทำงาน แม้แต่การรับประทานอาหารตอนเช้าก็ยังไม่ทันได้แต
“นั่นสิ คุ้นยังไงนะ คู่หมั้นหรืออาการป่วย” ประโยคสุดท้ายเฉินเฟิ่นอี้ลากเสียงยาวให้อีกฝ่ายเสียอาการ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นเรื่องจริงสินะเฉินเฟิ่นอี้หลุบสายตามองต่ำและอดสงสารเฉินเฟิ่นอี้คนเก่าไม่ได้ หล่อนเป็นคนที่นิสัยดีและรักเพื่อนมาก แต่โชคร้ายที่หล่อนมีเพื่อนแย่และคนรักที่นิสัยแย่ ก็อย่างว่าแหละในตอนที่เฉินเฟิ่นอี้หมั้นหมายกับหมิงหลานฮุ่ยตอนนั้นหล่อนอายุแค่สิบสอง บ้านเฉินก็ไม่ได้ห้ามเพราะคิดว่ามันจะดีต่อเฉินเฟิ่นอี้“เฉินเฟิ่นอี้เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอ ตั้งนานไม่เห็นจะพูดมาพูดตอนนี้จะได้อะไร พวกเราถอนหมั้นกันไปแล้วหลายเดือนยังตามราวีไม่เลิก” หมิงหลานฮุ่ยเดินมาเผชิญหน้ากับเฉินเฟิ่นอี้อย่างหัวเสีย เพื่อนร่วมห้องต้องหัวเราะเยาะเขาแน่ที่แพ้“เดี๋ยวนะเฉินเฟิ่นอี้ เธอเคยหมั้นหมายกับเขาเหรอ! ไหนวันนั้นพวกหวังซ่งเยี่ยนมาหาเรื่องเธอเพราะได้ยินจากอี้เหม่ยเฟิ่งว่าเธอไปอ่อยคู่หมั้นของหล่อนล่ะ!” จี้หลันถามด้วยความตกใจและสับสน ตกลงเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่“ฉันกับเขาเพิ่งถอนหมั้นกันไปตอนต้นปี และเขาได้หมั้นหมายกับอี้เหม่ยเฟิ่งก่อนเปิดเทอมได้ไม่นาน” เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้ปิดบัง เธอก็ไม่อยากสนใจ
นักเรียนมัธยมปลายปลายชั้นปีที่หนึ่งห้องอันดับต้นและห้องอันดับสามต่างทยอยเดินเข้าห้องการแข่งขันรอบที่สอง ตัวแทนห้องอันดับต้นมีหมิงหลานฮุ่ย ชิงไห่ตัน อี้เหม่ยเฟิ่งและหวังซ่งเยี่ยน ในขณะที่ห้องอันดับสามมีเฉินไห่หลิว เฉินตง เฉินเฟิ่นอี้ และเจียวซีไม่มีใครรู้เกณฑ์การคัดเลือกตัวแทนของห้องอันดับต้น แต่สำหรับเฉินเฟิ่นอี้แล้วคิดว่าการแข่งขันรอบที่สองพวกเธอจะผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ในอดีตหมิงหลานฮุ่ยและอี้เหม่ยเฟิ่งคอยขอให้เฉินเฟิ่นอี้ทำการบ้านให้ ไหนจะงานต่างๆ ที่นำไปส่งและบอกว่าตนเองทำอีก หากไม่มีเฉินเฟิ่นอี้พวกเขาอาจจบมัธยมต้นไม่ได้ด้วยซ้ำเสียงพูดคุยในห้องดังขึ้นเป็นระยะระหว่างรอคุณครูที่คุมการแข่งขันเดินเข้ามา มีหลายคนกำลังพูดถึงว่าห้องไหนจะได้รับชัยชนะในครั้งนี้ แน่นอนว่าใครอยู่ห้องไหนก็บอกว่าห้องตนเองจะชนะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงห้องอันดับต้นที่คิดว่าตนเองเก่งกว่าห้องอื่นทั้งที่ระบบห้องเพิ่งเปลี่ยนเฉินเฟิ่นอี้จิบน้ำในขวดพร้อมนวดมือไปด้วย เมื่อวานทำอาหารเยอะเกินไป ตื่นเช้ามามันจึงมีอาการปวด ยิ่งก่อนหน้านี้ต้องเร่งเขียนคำตอบให้ทันก่อนคนอื่นมันจึงปวดเพิ่มขึ้นอีก แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรขนาดนั้น
[ภารกิจพิเศษ : แข่งขันชนะรับคะแนน 1,000 แต้ม]และใช่ สิ่งที่เฉินเฟิ่นอี้รอคอยที่สุดก็มาถึง ภารกิจพิเศษที่จะได้รับรางวัลที่คุ้มค่า แต่ว่าครั้งนี้มันทำให้เฉินเฟิ่นอี้กังวลมากเพราะเธอไม่ได้แข่งคนเดียว อีกอย่างยังมีห้องอื่นที่รับรู้การแข่งขันตั้งแต่แรก และคนเก่งห้องอื่นๆ ก็มีอีกมากเช้าวันนี้เฉินเฟิ่นอี้รับทำข้าวกล่องให้แค่พวกเว่ยฟ่งและจี้หลัน เธอจำเป็นต้องทำสมาธิและพักผ่อนให้เพียงพอจึงงดรับทำให้คนอื่นด้วย แม้แต่คนที่สั่งไว้ล่วงหน้าก็ยังถูกเท อันที่จริงไม่เชิงว่าถูกเทเพราะมีหลายคนเห็นว่าวันนี้เฉินเฟิ่นอี้ไม่รับทำอาหารจึงคะยั้นคะยอให้เธอรับ เฉินเฟิ่นอี้ยังไม่รับปากแต่รับรายชื่อมา เธอบอกเพียงถ้าจะทำให้เดี๋ยวนำไปส่งที่โรงเรียนเลย“ช่วงนี้รางวัลพิเศษไม่ค่อยมีเลย” เฉินเฟิ่นอี้พึมพำเมื่อนั่งลงบนม้านั่งประจำที่พวกเธอชอบมานั่งรอบข้างมีผู้คนประปรายเพราะวันนี้เฉินเฟิ่นอี้มาโรงเรียนเช้ากว่าปกติ ไหนจะมีการแข่งขันชิงทุน ทางโรงเรียนจึงอนุญาตให้นักเรียนมาสายหรือสามารถหยุดเรียนได้ ยกเว้นตัวแทนห้องที่ต้องมาแข่งขันทั้งหมดสามรอบช่วงเช้าจะถูกคัดออกแปดห้อง นั่นก็คือห้องอันดับสองและอันดับสามที่ต้องไปแข่งกับห
“พวกเธอจะไม่รู้ก็ไม่แปลก หล่อนเรียนโรงเรียนอื่นมานี่ ได้ยินว่าถูกแฉจนอับอายลาออกจากโรงเรียนไปเลย แต่ไม่รู้ไปทำยังไงครูใหญ่ของโรงเรียนจึงอนุญาตให้สอบเทียบ”“เอ๊ะ ฟางเหลียงอวี๋เธอก็เรียนที่นี่ตั้งแต่มัธยมต้น ทำไมถึงรู้เรื่องแบบนี้ได้ล่ะ” ซ่งเวยหลานถามกลับและคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความจริง บอกเฉินเฟิ่นอี้ลาออกเพราะถูกไล่ออกยังเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้มากกว่า และถ้ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นต้องได้ยินหรือไม่ก็ไม่สามารถสอบเทียบได้“อี้เหม่ยเฟิ่งเพื่อนใหม่ของฉันเล่าให้ฟัง ฉันก็อยากรู้ว่าคนที่กล้าอ่อยคู่หมั้นคนอื่นหน้าตาเป็นยังไง ก็งั้นๆ แหละ” ฟางเหลียงอวี๋มองตั้งแต่หัวจรดเท้าเฉินเฟิ่นอี้มุมปากเฉินเฟิ่นอี้กระตุกมองอี้เหม่ยเฟิ่งที่หลบสายตา คงคิดว่าเพื่อนใหม่ของหล่อนจะไม่กล้ามาหาเรื่องเธอน่ะสิ แต่จะขัดก็ขัดไม่ได้เพราะดูแล้วเพื่อนใหม่ของหล่อนมีแต่คนมีฐานะ หรือจะชุบตัวเองขึ้นสูงเหยียบเธอลงต่ำ แต่เหมือนจะดูถูกกันเกินไปแล้ว“เธอกล้าเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น ไม่กลัวพวกเขารู้ความจริงเหรอ” เฉินเฟิ่นอี้ตั้งคำถามอย่างไม่สนใจ ตอนนี้หล่อนถูกเฉินเหม่ยเย่กับเฉินจางจับตาอยู่เพราะอยู่ห้องข้างๆ กัน เธอยังไม่ต้องการให้อี
ในที่สุดกิจกรรมที่พวกเฉินเฟิ่นอี้สนใจก็มาถึง จริงๆ จะเรียกว่ากิจกรรมก็ไม่ถูก มันเป็นการแข่งขันชิงทุนให้กับห้อง ซึ่งหากห้องไหนชนะการแข่งขันก็จะถูกตรวจสอบเอกสารว่าคนไหนบ้างที่ทางบ้านขัดสน คนที่ไม่ขัดสนก็จะได้รับความช่วยเหลือเช่นเดียวกันแต่จะได้รับน้อยกว่าทุนการศึกษาที่เป็นรางวัลได้ยินว่ามีสองร้อยหยวน และพวกหนังสือ สมุด ปากกา รวมถึงสิ่งของที่ต้องใช้ในการเรียนต่างๆ ห้องอื่นก็จะได้รับเช่นเดียวกันแต่จะได้รับน้อยกว่าและไม่ได้เงินรางวัลการแข่งขันจะจัดขึ้นพรุ่งนี้ซึ่งมันกระทันหันเป็นอย่างมาก มีนักเรียนหลายคนแย่งชิงที่จะเข้าร่วมการแข่งขันเพราะได้ยินว่าจะมีรางวัลพิเศษให้คนแข่งขันด้วย แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ต้องการเข้าร่วม อย่างห้องเรียนมัธยมปลายของพวกเฉินเฟิ่นอี้ก็มีหลายคนที่ไม่ต้องการเข้าร่วมเฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจหลังคุณครูประจำวิชาเดินออกจากห้อง คุณครูเพิ่งเข้ามาบอกเรื่องการแข่งขันและเน้นย้ำว่าต้องเอารางวัลมาให้ได้ แต่เขากลับไม่บอกว่าจะมีการแข่งขันอะไรหรือเลือกใครเป็นตัวแทนห้องทั้งสี่คน ส่วนเพื่อนในห้องก็ทำได้เพียงส่ายหน้า“คุณครูบ้าไปแล้ว ต้องชนะแต่ไม่มีรายละเอียดบอกนี่นะ!” เฉินตงบ่นออกมาอย่างห้
พอได้เปิดใจคุยกันแล้วเฉินเฟิ่นอี้ก็ทำอะไรสะดวกมากขึ้น ในทุกวันทุกคนจะตื่นขึ้นมาช่วยกันทำอาหารเช้าทำให้ไม่ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามาก และเฉินไห่หลิวยังอาสาคัดลอกภาษาต่างประเทศลงสมุดหลายเล่ม เพราะกลัวว่าทุกคนจะอ่านไม่ออก จึงให้เพียงเฉินไห่หลิวเป็นคนคัดลอกเฉินเฟิ่นอี้เกริ่นเรื่องการสอนพิเศษกับเพื่อนร่วมห้องไปแล้วว่าเธอต้องสอนน้องด้วยทำให้ไม่สะดวกที่จะสอนทุกคน แต่หลังจากนี้อาจมีการเปิดสอนพิเศษซึ่งไม่ได้บอกราคามีหลายคนที่สนใจจะเรียนและเข้ามาสอบถามแต่ยังไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน อย่างที่รู้กันว่าเพิ่งเปิดเทอม การเรียนในตอนนี้คือการปรับพื้นฐาน เฉินเฟิ่นอี้จึงต้องการให้น้องๆ ปรับตัวกันให้ได้ก่อน อีกอย่างเรื่องการทำอาหารขายก็ยังไม่ได้ลงตัวมาก ยิ่งวันนี้ต้องทำอาหารให้เพื่อนร่วมห้องถึงสิบเอ็ดปิ่นโตอันที่จริงการขายอาหารของเธอย้ำไปหลายรอบว่าห้ามให้ใครรู้เรื่องนี้หากยังอยากรับประทานอาหารฝีมือเธอ แต่เพื่อนร่วมห้องหลายคนก็รู้เรื่องนี้จึงได้มาหาเธอและบางคนก็ซื้อให้น้องบ้างให้พี่บ้างวันนี้เห็นว่ามีเรียนถึงบ่ายจะมีกิจกรรม คุณครูจึงจะประชุมกันและปล่อยให้นักเรียนเลิกเรียนก่อนเวลา เฉินเฟิ่นอี้จึงนัดเพื่อนๆ เอ
วันนี้เป็นวันแรกที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องทำอาหารให้กับจี้หลันและเว่ยฟ่ง รวมถึงเพื่อนสนิทของพวกเขา เธอจำเป็นต้องตื่นก่อนเวลาที่ต้องตื่นเพื่อมาเตรียมอาหารให้พร้อม ปิ่นโตทั้งห้าเพื่อนร่วมห้องเรียนของเธอจะเอามาให้วันนี้ตอนเย็น เธอจึงต้องทำใส่กล่องข้าวที่มีในบ้านไปก่อนเฉินเฟิ่นอี้หั่นเนื้อให้เป็นชิ้นเล็กๆ เธอจะผัดใส่แตงกวาที่เพื่อนลุงสามเอามาให้เมื่อวานตอนเย็น ไม่มีใครแพ้หรือไม่รับประทานอะไร เฉินเฟิ่นอี้จึงทำเมนูเดียวเพื่อประหยัดเวลา ระหว่างเตรียมทำกับข้าวก็หุงข้าวทิ้งเอาไว้“ทำอะไรครับ” เฉินไห่หลิวที่ลุกมาเข้าห้องน้ำเอ่ยถาม อีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาที่ควรลุกมาทำอาหารและแต่งตัวไปโรงเรียน แต่วันนี้เฉินเฟิ่นอี้กลับตื่นเช้ากว่าปกติ“เฉินไห่หลิว” เธอเอ่ยทักเขาพร้อมล้างแตงกวาไปด้วย โชคดีที่ในบ้านมีน้ำประปาให้ใช้ไม่ต้องไปตักเหมือนในหมู่บ้าน เฉินเฟิ่นอี้จึงคิดว่ามันสะดวกมาก“ทำไมถึงหุงข้าวเยอะขนาดนี้” เขาถามอย่างสงสัย ซึ่งตอนที่จี้หลันและเว่ยฟ่งเข้ามาพูดคุยกับเฉินเฟิ่นอี้เขาไม่ได้อยู่ด้วย“พวกจี้หลันกับพวกเว่ยฟ่งอยากให้ทำไปให้น่ะ” เฉินเฟิ่นอี้ตอบก่อนหยิบผลไม้ที่เอาออกมาแช่น้ำทิ้งไว้ขึ้นมาหั่นต่อ กล่องข
อาหารที่เจียวซีห่อมารับประทานที่โรงเรียนมีเพียงแผ่นแป้งแข็งและผักดองลวก เฉินเฟิ่นอี้จึงแบ่งอาหารส่วนของเธอให้หล่อนไปด้วย ถึงแม้เจียวซีจะพยายามปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้ผล และต้องรับประทานให้หมดไม่อย่างนั้นเฉินเฟิ่นอี้จะโกรธหลังจากวันนั้นเฉินเฟิ่นอี้จึงทำอาหารไปเผื่อเจียวซีทุกวัน ถึงบางวันหล่อนจะรีบแยกตัวออกไปรับประทานคนเดียวแต่ก็ถูกเฉินเฟิ่นอี้ตามจนเจอ ต้องบอกว่าเจียวซีกลายมาเป็นเพื่อนของเธอแล้วก็ได้ เฉินเฟิ่นอี้เห็นว่าเจียวซีรับประทานไม่มากจึงไม่คิดว่ามันจะเสียหายหากทำอาหารเพิ่มขึ้นอีกหน่อยเฉินเฟิ่นอี้เริ่มเห็นช่องทางของการทำเงินแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ต้องรอให้ทุกคนทนไม่ไหวเข้ามาติดต่อเธอเอง หรือไม่ก็ต้องสอบถามคนที่ดูเหมือนจะสนใจ เฉินเหม่ยเย่กับเฉินจางทั้งคู่ขอไม่รับประทานอาหารร่วมกับพวกเธอ เห็นว่าไปนั่งรวมกับเพื่อนใหม่และเฉินเฟิ่นอี้เคยไปแอบดูแล้วถึงไว้วางใจทุกครั้งที่เธอเปิดกล่องข้าวอาหารกลางวัน เพื่อนร่วมห้องที่เริ่มเข้ามานั่งรอบข้างต่างหันมาสนใจเพราะมันส่งกลิ่นหอม เฉินเฟิ่นอี้ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่ากล่องข้าวสามช่องที่เธอแลกออกมาสามารถอุ่นอาหารได้ด้วย ไม่เชิงว่าอุ่นอาหารแต่มันเก็บอุณหภูมิที่
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ก่อนเปิดเทอมเฉินเฟิ่นอี้ยุ่งมาก เธอกำลังคิดว่าจะทำอะไรระหว่างเรียน จะให้ขายของในตลาดมืดไปตลอดก็ไม่ได้ มันสามารถขายได้ก็จริงแต่ค่าใช้จ่ายก็ยังไม่พออยู่ดีที่บ้านคงให้เงินพวกเธอเดือนละสิบหยวนต่อเดือน ทั้งค่าอาหารมื้อกลางวันและค่าใช้จ่ายอื่นๆ สำหรับเฉินเฟิ่นอี้ที่คิดจะทำอาหารไปรับประทานระหว่างวันแค่นี้มันไม่พอ ถึงค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นแต่ถ้าได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนย่อมดีกว่าในหนึ่งเดือนเธอต้องทำเงินให้ได้ไม่ต่ำกว่าสองร้อยหยวน ได้มากเท่าไรยิ่งดี เพราะจากที่คำนวณคร่าวๆ ทั้งเงินไปโรงเรียน ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายยิบย่อยแต่ละคน เฉินเฟิ่นอี้ตั้งไว้คนละสิบหยวน ไม่มากและไม่น้อยเกินไปวันนี้โรงเรียนเปิดเทอม เฉินเฟิ่นอี้จึงลุกมาทำอาหารตั้งแต่เช้ามืด ต้องไปถึงโรงเรียนก่อนเจ็ดโมงเช้า และเวลากลับบ้านคือห้าโมงเย็น ข้าวกล่องวันนี้เฉินเฟิ่นอี้ผัดหมูใส่หัวหอมและแครอท รับประทานคู่กับข้าวขาวและไข่หนึ่งฟอง ไม่พอยังมีสาลี่และแอปเปิลอย่างละสองซีก ซึ่งเธอทำให้แต่ละคนไม่เท่ากันเฉินไห่หลิว เฉินตง เป็นบุรุษที่ถึงจะไม่ได้ออกแรงแต่พวกเขากระเพาะใหญ่มาก เฉินเฟิ่นอี้จึงเพิ่มปริมาณให้พวกเขาเป็นพิเศษ ส่ว