แป้งร่ำรู้สึกตัวขึ้นอีกทีก็ตอนเย็นแล้ว เพราะด้านนอกมีเสียงผู้คนมากมาย เธอจึงลุกขึ้นนั่งเพื่อทบทวนสติ และความทรงจำบางอย่างที่เพิ่งได้รับมาอย่างตกใจ ตอนนี้เธอไม่ใช่แป้งร่ำหญิงวัยกลางคนเหมือนเดิมแล้ว เธอคือเฉินเฟิ่นอี้สาวน้อยที่อยู่ในครอบครัวเฉินยุค 70โชคดีที่บ้านเฉินมีแต่คนขยันจึงสามารถส่งหลานๆ เข้าเรียนในตำบลได้ ร่างของสาวน้อยที่เธออยู่ในตอนนี้มีอาการอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่แต่ก่อนมีร่างกายที่แข็งแรงมาก แต่ก็ไม่ค่อยแปลกใจเพราะช่วงหลังๆ มานี้ เฉินเฟิ่นอี้เหมือนจะจับได้ว่าคนรักของหล่อนเปลี่ยนไป จึงไม่ค่อยรับประทานอาหารซึ่งสาวน้อยคนนี้ก็น่าสงสารมากเพราะถูกคนรักและเพื่อนสนิทที่เป็นญาติผู้พี่หักหลัง ยังดีที่บ้านเฉินรักหลานอย่างเท่าเทียมกัน ไม่อย่างนั้นหล่อนคงถูกตีตาย‘ชีวิตของฉันไม่มีอะไรให้ห่วง ต่อจากนี้ฉันขอให้เธอไปสู่สุคตินะเฉินเฟิ่นอี้ ฉันสัญญาว่าจะดูแลครอบครัวของเธอให้ดี’ แป้งร่ำในร่างของเฉินเฟิ่นอี้คิดในใจ ต่อจากนี้เธอคือเฉินเฟิ่นอี้ ไม่ใช่แป้งร่ำอีกแล้วถ้าถามว่าทำไมเธอถึงทำใจได้เร็วขนาดนี้ คงเป็นเพราะชีวิตของแป้งร่ำมีแต่การทำงาน แม้แต่การรับประทานอาหารตอนเช้าก็ยังไม่ทันได้แต
ซะเมื่อไหร่ล่ะ!เฉินเฟิ่นอี้มองไข่ไก่ในมือของเธอหนึ่งฟองอย่างอึ้งๆ นี่คือรางวัลภารกิจแรกที่เธอไปช่วยน้องสาวเก็บผัก อุตส่าห์ลงทุนช่วยขุดหัวมันแต่เธอได้ไข่ไก่ตอบแทนนี่นะ ระบบเส็งเคร็งนี่เอาเปรียบเธอมาก![ภารกิจและการรับรางวัลพิเศษเสร็จสิ้นแล้ว กดตกลง]เสียงในหัวยังดังต่อเนื่องเมื่อเฉินเฟิ่นอี้ยังมองไข่ไก่ในมือนิ่งๆ หากหญิงสาวไม่กดตกลงภารกิจก็จะถือว่ายังไม่เสร็จสิ้น เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจก่อนจะวางไข่ไก่ลงในตะกร้าไข่ที่เธอไปเก็บมา รวมกันแล้วอย่างน้อยก็มีสิบสองฟองแหละร่างบอบบางหิ้วตะกร้าไข่ไก่เข้าไปในห้องครัวที่มีบรรดาป้าสะใภ้และแม่ของเธอกำลังทำอาหารอยู่ เฉินเฟิ่นอี้หยุดอยู่หน้าเตาทำอาหาร ที่มีสะใภ้รองกำลังย่างแผ่นแป้งอยู่“ป้าสะใภ้รองฉันช่วยค่ะ”ไม่ว่าเปล่าเฉินเฟิ่นอี้รีบนำตะกร้าไข่ไก่ไปวางบนโต๊ะ ก่อนที่จะมาช่วยผู้เป็นป้าสะใภ้ย่างแผ่นแป้ง มันเป็นอาหารมื้อเช้าของคนที่จะไปลงแปลงนาพรุ่งนี้ เพื่อย่นเวลาทำอาหารจึงต้องทำตอนนี้ พรุ่งนี้เช้าก็แค่อุ่น“อั๊ยย่ะ เฟิ่นอี้ไม่ต้องๆ หลานเพิ่งฟื้นก็ควรที่จะพักผ่อนให้มาก แค่นี้ป้าทำเองคนเดียวได้” เพราะพี่สะใภ้ น้องสะใภ้ต่างแบ่งงานกันอย่างยุติธรรม นี่คืองาน
ช่วงห้าโมงเช้าเป็นเวลาที่เหล่าสะใภ้จะกลับมาเอาอาหารไปให้คนในบ้านที่ทำงานในแปลงนา เฉินเฟิ่นอี้ที่ทำอาหารเสร็จพอดีจึงหิ้วตะกร้าไข่เจียวน้ำและข้าวที่หุงไปด้วย เนื่องจากมีสมาชิกเยอะจึงนำอาหารไปจำนวนมาก และเป็นย่าเฉินที่บอกให้เธอทำอาหารอย่างไรก็ได้ แม้ตอนแรกจะเอ่ยค้านเพราะคิดว่ามันสิ้นเปลืองเฉินเฟิ่นอี้รีบเดินไปที่แปลงนาก่อนที่จะมีคนกลับมาทำอาหาร ถ้าจำไม่ผิดห้าโมงครึ่งจะเป็นเวลาพักกลางวันของคนในหมู่บ้าน และจะลงแปลงนาอีกทีคือบ่ายโมง เฉินเฟิ่นอี้คนก่อนก็เคยลงแปลงนา แต่นั่นก็เป๊นตอนที่หล่อนยังไม่ได้ป่วยระหว่างทางเดินไปยังแปลงนาเฉินเฟิ่นอี้ก็เจอเข้ากับคนที่กลับมาเอาอาหารมื้อกลางวัน ยังดีที่ไม่มีบ้านเฉินของเธอ ไม่เช่นนั้นคนที่กลับมาเอาคงเหนื่อยเปล่าๆ“นั่นเฉินเฟิ่นอี้ไม่ใช่เหรอ”เหมือนจะได้ยินชื่อของตนเองเฉินเฟิ่นอี้จึงเดินช้าลงเพื่อฟัง และกลุ่มคนตรงหน้าของเธอเป็นเยาวชนหญิงที่ถูกส่งมาพัฒนาหมู่บ้าน แต่มาพัฒนาหรือมาสร้างปัญหาให้ก็ไม่รู้ เพราะคนในหมู่บ้านต้องหาที่พักและแบ่งอาหารให้พวกหล่อน“ใช่ๆ หล่อนป่วยไม่ใช่เหรอ” เยาวชนที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มถามกันด้วยความสงสัย เฉินเฟิ่นอี้คนนี้แต่ก่อนก็ลงแปลง
กะหล่ำปลีถูกแบ่งมาหั่นฝอยครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเฉินเฟิ่นอี้จะเก็บไว้ทำอาหารมื้อเย็น และแครอทเฉินเฟิ่นอี้ทำการหั่นเต๋า เธอตื่นขึ้นมาทำแป้งเตรียมไว้สองชั่วโมงก่อนและดูแลน้องชายให้ย่าเฉินได้พัก พอถึงเวลาใกล้เลิกเรียนของน้องชายน้องสาว เฉินเฟิ่นอี้จึงปลีกตัวมาทำเกี๊ยวผักน้ำ เป็นของว่างระหว่างทำการบ้านน้ำมันสองช้อนถูกเทลงในกระทะที่ตั้งเตรียมไว้ โยนกระเทียมสับหยาบตามลงไป เฉินเฟิ่นอี้ผัดกระเทียมให้เหลืองและส่งกลิ่นหอม ตักส่วนหนึ่งเก็บไว้ และนำผักที่เตรียมไว้มาผัดจนผักนิ่ม ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงรสที่มีในบ้านเล็กน้อยเพื่อความอร่อย จึงนำไส้ขึ้นมาพักให้เย็นระหว่างรอไส้เย็น เฉินเฟิ่นอี้ก็เดินไปตัดผักในสวนหลังบ้านมาทั้งคะน้า ผักกวางตุ้ง และผักชี คะน้าจะทำอาหารมื้อเย็นส่วนผักกวางตุ้งและผักชีจะใส่ในเกี๊ยวผักน้ำนำผักกวางตุ้งไปล้างน้ำจนสะอาด หั่นเป็นท่อนเล็กๆ ก่อนจะนำไปลวกในน้ำร้อนที่เตรียมเอาไว้ เฉินเฟิ่นอี้ใช้เวลาลวกครู่เดียวก็เอาขึ้นมาใส่ชามที่มีน้ำให้คลายร้อน ส่วนผักชีจะหั่นเอาไว้โรยหน้าพอไส้ผักเย็นได้ที่เฉินเฟิ่นอี้ก็ทำการห่อเกี๊ยวด้วยแป้งที่พักเอาไว้ นอกจากจะเป็นของว่างให้น้องแล้ว เฉินเฟิ่นอี้ก็ท
ตั้งแต่ได้ใช้ชีวิตในร่างของเฉินเฟิ่นอี้นี่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเธอจะทำอาหารมื้อกลางวันไปส่งที่แปลงนาทุกวัน จะมีบางวันที่ป้าสะใภ้หรือแม่ของเธอมาช่วยถือตะกร้าอาหาร ต้องบอกว่าทุกคนมีเรี่ยวแรงมากขึ้นจริงๆ เมื่อรับประทานข้าวขาวเป็นมื้อกลางวันยิ่งช่วงนี้บ้านเฉินจับกระต่ายที่ออกมากินธัญพืชที่กำลังเก็บเกี่ยวได้ ทุกคนก็ดูเหมือนจะเจริญอาหารมากขึ้น หากเป็นปีก่อนๆ กระต่ายจะถูกนำไปขายในตำบล แต่เฉินเฟิ่นอี้ไม่ให้นำไปขาย อีกทั้งบางครั้งเธอก็ได้เนื้อกระต่ายเป็นรางวัล ปริมาณเนื้อกระต่ายจึงมีมากกว่าเดิม ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงสอบของน้องๆ แล้ว เฉินเฟิ่นอี้จึงต้องทำอาหารที่มีประโยชน์และการสอบเลื่อนชั้นปีที่ว่าจริงๆ ทางโรงเรียนเรียกว่าสอบเทียบ หลังจากจบเทอมนี้ชั้นปีสุดท้ายก็จบการศึกษาทั้งมัธยมต้น และมัธยมปลาย ทำให้คนที่ยังไม่จบต้องสอบเทียบว่าจะผ่านหรือเปล่า ถ้าสอบผ่านก็จะจบแต่สอบไม่ผ่านต้องไปเรียนใหม่ทั้งหมดทีแรกผู้ปกครองของเด็กต่างไม่พอใจเพราะถ้าสอบไม่ผ่านและให้เข้าไปเรียนในอำเภอใหม่ เงินที่เคยจ่ายค่าเทอมไปล่ะ? อีกอย่างค่าใช้จ่ายในอำเภอไม่ใช่น้อยๆ แต่มีเด็กหลายคนที่เห็นด้วยกับการต
ภารกิจที่ 35 : ขายคูปองรับ 200 แต้ม]เฉินเฟิ่นอี้ที่กำลังหุงข้าวทำอาหารเช้าให้คนในบ้านสะดุ้งเมื่อกระดานใสปรากฏตรงหน้า เหลือบมองเฉินเหม่ยเย่ที่คนหม้อน้ำซุปผักอยู่ข้างๆ ก็ได้แต่ถอนหายใจวันนี้โรงเรียนในตำบลปิดการเรียนการสอนหลังจากสอบเสร็จแล้ว อีกสามวันจะมีการสอบเทียบ และเปิดโรงเรียนอีกครั้งคือหนึ่งเดือนหลังจากนี้พร้อมโรงเรียนในอำเภอระหว่างนี้เด็กๆ ในบ้านก็ต้องออกไปทำงานเก็บแต้มในแปลงนาช่วยผู้ใหญ่ แต่จะมีการสอบเทียบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผู้ใหญ่ในบ้านเฉินจึงตกลงกันว่าไม่ต้องช่วยงานในแปลงนา เอาเรื่องเรียนไว้ก่อนซึ่งเธอก็เห็นด้วย การสอบแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแต่เธอจะได้เปรียบคนอื่นบ้างเรื่องที่ไม่ใช่คนในโลกใบนี้ผู้ใหญ่ออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืด อาหารมื้อเช้าที่เฉินเฟิ่นอี้ทำไว้ให้ก็คือคะน้าผัดไข่ไก่ ส่วนของพวกเธอก็เพิ่งจะมาทำเพราะเฉินเฟิ่นอี้กลัวว่าหากทำเยอะจะเสร็จไม่ทันทุกคน“เหม่ยเย่เธอไปเรียกเฉินตงมาหาพี่หน่อย” เฉินเฟิ่นอี้บอกน้องสาว เธอกำลังทำอาหารอยู่หากไปเองกลัวว่ามันจะไหม้เอาได้“ได้ค่ะ”เฉินเหม่ยเย่เดินออกจากครัวเพื่อไปเรียกเฉินตงที่คงอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน เฉินเฟิ่นอี้จึงใ
สหกรณ์อำเภอเป็นแหล่งรวมสินค้าที่ผู้คนมากมายต่างมาเลือกซื้อของ ยิ่งช่วงต้นเดือนมีสินค้าเข้ามาใหม่ก็จะถูกยื้อแย่ง ใครมาเร็วก็ได้ใครมาช้าก็อด แต่ที่นี่ต้องใช้คูปอง ซึ่งหากมีเงินแต่ไม่มีคูปองก็ไม่สามารถซื้อได้อยู่ดี ยกเว้นจะมีเส้นสายหรือรู้จักพนักงานของที่นี่เฉินเฟิ่นอี้เดินเข้าสหกรณ์พร้อมเฉินตงที่ถือตะกร้าให้ เฉินไห่หลิวต้องการหนังสือและเขามีเงินที่จะซื้อหนังสืออยู่บ้าง ซึ่งมันเป็นเงินเก็บของเขาและเฉินตง ที่พวกเขาทำงานให้เพื่อนร่วมชั้น และเป็นเงินที่ได้รับจากย่าเฉินวันละสองเฟินต่อวันช่วงนี้เป็นช่วงกลางเดือน คนในสหกรณ์จึงมีไม่เยอะมาก และสินค้าต่างๆ ก็ใกล้จะหมดแล้ว เฉินเฟิ่นอี้เดินไปยังโซนเครื่องปรุงตามที่ตาเห็น เครื่องปรุงมีอะไรบ้างเธอก็จับใส่ตะกร้าให้หมด มีทั้งซอสหอย ซีอิ๊ว น้ำปลา ผงปรุงรส น้ำมัน และของอย่างอื่น ซึ่งเธอได้คำนวณไว้แล้วว่าให้พอดีกับคูปอง“พี่สาวสาม เงินเราจะพอเหรอครับ” เฉินตงกระซิบถามเมื่อเห็นของพูนเต็มตะกร้า“พอสิ”นอกจากเครื่องปรุงแล้วเฉินเฟิ่นอี้ยังซื้ออาหารแห้งที่สามารถใช้บำรุงร่างกายกลับไปด้วย เฉินเฟิ่นอี้นำเงินที่ได้รับจากระบบมาด้วย เข้าอำเภอทั้งทีเธอต้องซื้อให้คุ้
จะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายสามแล้ว โชคดีที่ก่อนทางเข้าตำบลมีรถแทรกเตอร์ของหมู่บ้านขับผ่าน สามพี่น้องบ้านเฉินจึงขอติดรถกลับมาด้วยเพราะของหนักมาก มีทั้งเครื่องปรุง ไข่ แตงโม แอปเปิล เนื้อ และของอื่นๆ อีกมากมาย ยังดีที่มีกระสอบและตะกร้าใส่ไม่อย่างนั้นคนขับรถแทรกเตอร์คงมองเห็นของที่ซื้อมาเฉินเฟิ่นอี้เป็นคนลงจากรถคนแรก เธอหยิบเอาของที่สามารถถือได้ ที่เหลือปล่อยให้เฉินไห่หลิวกับเฉินตงจัดการ จากนั้นจึงเดินเข้าบ้านที่มีย่าเฉิน เฉินเหม่ยเย่ และเฉินชิงชิงนั่งเล่นกันอยู่“ซื้ออะไรมาเยอะขนาดนั้น!” ย่าเฉินอุทานมองตะกร้าของที่หลานทั้งสามคนแบกมา“อาหารค่ะ เอาไปไว้ในครัว” เฉินเฟิ่นอี้ตอบ พร้อมหันไปบอกน้องชายที่แบกกระสอบอยู่ เธอจะคุยกับย่าเฉินสักหน่อยค่อยเข้าไปจัดการของในครัว“ครับพี่”เฉินเฟิ่นอี้หยิบคูปองและเงินจำนวนสามหยวน ยื่นคืนย่าเฉินที่มองมาอย่างสงสัย นี่คือเงินที่หักจากการซื้อเครื่องปรุง ส่วนเงินอื่นๆ เฉินเฟิ่นอี้เป็นคนจ่ายเอง ย่าเฉินให้เงินไปซื้อแค่เครื่องปรุง“นี่คือเงินที่เหลือจากซื้อเครื่องปรุงค่ะ ส่วนของอย่างอื่นฉันซื้อเอง” เพื่อป้องกันการถูกด่าที่ซื้อของสิ้นเปลือง เฉินเฟิ่นอี้จึงบอกตั้งแต่แรก
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ก่อนเปิดเทอมเฉินเฟิ่นอี้ยุ่งมาก เธอกำลังคิดว่าจะทำอะไรระหว่างเรียน จะให้ขายของในตลาดมืดไปตลอดก็ไม่ได้ มันสามารถขายได้ก็จริงแต่ค่าใช้จ่ายก็ยังไม่พออยู่ดีที่บ้านคงให้เงินพวกเธอเดือนละสิบหยวนต่อเดือน ทั้งค่าอาหารมื้อกลางวันและค่าใช้จ่ายอื่นๆ สำหรับเฉินเฟิ่นอี้ที่คิดจะทำอาหารไปรับประทานระหว่างวันแค่นี้มันไม่พอ ถึงค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นแต่ถ้าได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนย่อมดีกว่าในหนึ่งเดือนเธอต้องทำเงินให้ได้ไม่ต่ำกว่าสองร้อยหยวน ได้มากเท่าไรยิ่งดี เพราะจากที่คำนวณคร่าวๆ ทั้งเงินไปโรงเรียน ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายยิบย่อยแต่ละคน เฉินเฟิ่นอี้ตั้งไว้คนละสิบหยวน ไม่มากและไม่น้อยเกินไปวันนี้โรงเรียนเปิดเทอม เฉินเฟิ่นอี้จึงลุกมาทำอาหารตั้งแต่เช้ามืด ต้องไปถึงโรงเรียนก่อนเจ็ดโมงเช้า และเวลากลับบ้านคือห้าโมงเย็น ข้าวกล่องวันนี้เฉินเฟิ่นอี้ผัดหมูใส่หัวหอมและแครอท รับประทานคู่กับข้าวขาวและไข่หนึ่งฟอง ไม่พอยังมีสาลี่และแอปเปิลอย่างละสองซีก ซึ่งเธอทำให้แต่ละคนไม่เท่ากันเฉินไห่หลิว เฉินตง เป็นบุรุษที่ถึงจะไม่ได้ออกแรงแต่พวกเขากระเพาะใหญ่มาก เฉินเฟิ่นอี้จึงเพิ่มปริมาณให้พวกเขาเป็นพิเศษ ส่ว
เฉินตงเดินถือกระสอบกล่องข้าวสามช่องกลับบ้านด้วยร่างไร้วิญญาณ คงจะพูดไม่ออกที่อยู่ๆ ก็เห็นของโผล่ออกมาจากในอากาศที่ไม่คิดว่ามันจะมี นอกจะกระสอบกล่องข้าวแล้วยังมีไข่จำนวนสิบชั่งที่แลกออกมาในคะแนนสะสมห้าสิบแต้ม ส่วนของอย่างอื่นเธอจะทยอยแลกออกมาหลังจากแลกของในระบบเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็ลากน้องชายออกจากตลาดมืดทั้งที่มีอาการเหม่อลอย คงเป็นเรื่องที่ทำใจยากพอสมควรเธอจึงไม่ได้ทักท้วงเขาที่ไม่พูดระหว่างเดินกลับเฉินเฟิ่นอี้นับเงินดูแล้วตอนนี้เธอมีตั๋วเงินสามร้อยหกสิบหยวน ซึ่งยังไม่รวมกับเงินอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตั๋วเงินและเงินที่เหลือจากย่าเฉิน คูปองมีรวมๆ กันห้าสิบใบจากการแลกมาและใช้ไปบางส่วน แต้มสะสมเหลือสามพันกว่าแต้มซึ่งเธอต้องนำของออกมาอีกจำนวนหนึ่ง คาดว่าคงหายไปเป็นพันๆ คะแนนพอเดินถึงบ้านก็รีบนำของเข้าไปเก็บในครัว ยังดีที่ก่อนหน้านี้พวกเธอนำโหลที่มีในบ้านมาด้วยจึงไม่ได้ซื้อและแลกในระบบ เฉินเฟิ่นอี้รีบนำไข่ไก่ลงเก็บในโหลสะอาด เครื่องปรุงต่างๆ ถูกบรรจุใส่โหลเล็ก โดยมีเฉินตงคอยช่วยเหลือเฉินไห่หลิว เฉินจาง และเฉินเหม่ยเย่ยังไม่กลับ ตอนนี้คงใกล้เที่ยงแล้ว เฉินเฟิ่นอี้จึงทำอาหารรอน้องๆ เธอรู้ว่ายังไงเ
เฉินไห่หลิว เฉินจาง และเฉินเหม่ยเย่ออกไปที่ร้านหนังสือหลังรับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จ เฉินเฟิ่นอี้จึงให้เงินเฉินไห่หลิวไปจำนวนสิบหยวน หากเด็กๆ ต้องการหนังสือก็อนุญาตให้ซื้อ และบางทีเธอกับเฉินตงอาจกลับช้า ถ้าหิวก็สามารถเอาอาหารในตู้เย็นมาทำรับประทานได้เลยเพราะเฉินเหม่ยเย่ก็ทำอาหารเป็น หรือหากเงินเหลือก็ไปซื้ออาหารรับประทานในร้านค้ารัฐได้เฉินเฟิ่นอี้กัดฟันแลกแต้มคะแนนสะสมจำนวนหนึ่งร้อยแต้มกับคูปองอาหารเพียงสิบใบ แต่ก็นับว่าคุ้ม หากเด็กๆ ไม่ต้องการทำอาหารเอง อีกทั้งเธอยังให้เงินเฉินไห่หลิวแยกต่างหากเพื่อให้เขานำไปซื้อเนื้อมาทำอาหารเงินที่เหลือมีเพียงหนึ่งร้อยกว่าหยวน และคำนวณดูแล้วเฉินเฟิ่นอี้คิดว่ามันจะอยู่ได้อีกไม่นาน วันนี้จึงแลกสบู่หอมออกมาหนึ่งโหล รวมกับที่เหลือไว้อีกสามก้อนก็เป็นสิบห้าก้อน เพราะเธอจะนำออกมาใช้ เฉินเฟิ่นอี้จะเข้าตลาดมืดแค่สัปดาห์ละครั้งป้องกันความเสี่ยง คาดว่าเข้าตลาดมืดวันนี้คงได้ไม่ต่ำกว่าร้อยหยวนเฉินตงถอนหายใจ เมื่อคืนนี้เฉินไห่หลิวมากดดันเขาเรื่องที่จะไปตลาดมืด แต่ถึงกดดันอย่างไรก็ต้องไปอยู่ดี หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จเขาจึงต้องรีบแต่งตัว ไม่อย่างนั้นพี่
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเรื่องหลานสาวบ้านเฉินซื้อธัญพืชไปในราคาสามสิบกว่าหยวนก็ถูกพูดต่อๆ กัน มีหลายคนที่ส่ายหน้าให้กับความสิ้นเปลืองของบ้านเฉินแต่บ้านเฉินไม่ได้สนใจแม้จะตกใจก็ตาม ย่าเฉินทำการตักแบ่งธัญพืชให้หลานๆ และเฉินเฟิ่นอี้มีข้อแม้ว่าพวกเธอจะนำไปทุกอย่างยกเว้นข้าวขาว ทุกคนไม่เห็นด้วยเพราะเฉินเฟิ่นอี้เป็นคนซื้อมา ไม่มีใครถามว่าได้เงินมาจากไหน แต่ย่าเฉินเคยบอกเอาไว้ว่าลูกชายคนที่สามของนางเอาเงินให้หลานสาวใช้เฉินเฟิ่นอี้ลงจากรถยนต์ที่ลุงใหญ่ไปหาเช่ามา โชคดีที่เป็นรถของคนรู้จักบ้านของสามีพี่สาวใหญ่ พี่เขยของเธอจึงไปยืมมาให้โดยไม่ต้องเช่า และเป็นคนขับรถพาพวกเธอมายังบ้านพักรถไม่ได้คันใหญ่ คนที่มาด้วยได้จึงมีเพียงลุงใหญ่ แม้กระทั่งย่าเฉินที่ควรมาด้วยยังไม่ได้มา ลุงใหญ่เดินทางสะดวกและเป็นคนติดต่อบ้านพักกับเพื่อนลุงสามเพื่อนของลุงสามยืนรอที่หน้าบ้านพร้อมผู้ชายที่ดูมีฐานะคนหนึ่ง ลุงใหญ่เดินเข้าไปทักทายเขาเหมือนจะรู้จัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะครั้งก่อนก็เคยเจอกันแล้ว พี่เขยใหญ่ช่วยเด็กชายบ้านเฉินยกของลงจากรถ ส่วนเฉินเฟิ่นอี้กับเฉินเหม่ยเย่ยืนอยู่เฉยๆ ไม่มีใครยอมให้ช่วยเฉินเฟิ่นอี้ที่เห็น
อีกแปดวันโรงเรียนประจำอำเภอจะเปิดการเรียนการสอน เด็กๆ บ้านเฉินทำการยื่นเรื่องขอเข้าเรียนต่อแล้ว อีกทั้งวันไปรับใบจบเฉินเฟิ่นอี้ยังได้รับหนังสือกลับมาหลายเล่ม ทางโรงเรียนไม่ได้มีเงินมากพอที่จะสนับสนุนนักเรียน นี่จึงถือว่าเป็นทุนการศึกษาให้คนที่ได้คะแนนสูงในการสอบเฉินเฟิ่นอี้เก็บเสื้ิอผ้าและของใส่กล่องอย่างเป็นระเบียบ ที่หมู่บ้านเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จพอดี วันนี้จึงไม่ได้ไปทำงานและรอรับส่วนแบ่ง ย่าเฉินจึงให้ลุงใหญ่ไปตามคนที่มีรถใหญ่ในตำบลมา ค่าจ้างเท่าไรก็ยอมเพราะต้องขนของไปเยอะอีกอย่างวันนี้ได้ยินว่าเด็กที่เรียนต่อมัธยมปลายเริ่มเดินทางไปทำเอกสารกันแล้ว โชคดีที่เฉินเฟิ่นอี้ไม่ต้องการต่อแถวทำเอกสารจึงรีบยื่นตั้งแต่ได้รับใบจบมา เฉินเฟิ่นอี้ เฉินไห่หลิว เฉินตงเรียนมัธยมปลาย และเฉินเหม่ยเย่กับเฉินจางเรียนมัธยมต้น[ภารกิจที่ 72 : ไปรับส่วนแบ่งกับบ้านเฉินเพื่อรับ 10 แต้ม]เฉินเฟิ่นอี้ชะงัก ทั้งๆ ที่อีกไม่นานก็ต้องขนของขึ้นรถ ระบบเพิ่งจะมาแจ้งเตือนเธอ เธอถอนหายใจก่อนจะหันไปหยิบกระเป๋าและเดินออกจากห้องนอนเพื่อตามไปที่แบ่งอาหารของเธอมีแค่ไม่กี่อย่างและมันก็ถูกเก็บตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ส่วนมากของท
สุดท้ายเฉินตงก็ปฏิเสธพี่สาวไม่ได้ เขาเดินนำเข้าตลาดมืดอย่างคุ้นเคย เฉินเฟิ่นอี้เดินตามหลังไปโดยไม่ได้สนใจสีหน้าที่กระอักกระอ่วนของเขา หากเฉินไห่หลิวคุยง่ายเธอจะให้เขามาแทนเฉินเฟิ่นอี้เตรียมพร้อมอย่างดี หมวกไม้ไผ่สานถูกมัดแน่น ยากที่จะแกะออกหากไม่ใช่เธอที่แกะเอง มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบสบู่หอมออกมาหนึ่งก้อน รอบนี้เธอไม่สามารถแยกจากเฉินตงได้เลย เขาตามติดเฉินเฟิ่นอี้ตลอดไม่ละสายตาวันนี้บรรยากาศภายในตลาดมืดยังเป็นเหมือนเดิม แต่รู้สึกว่าการเข้ามาในตลาดมืดมันง่ายกว่าครั้งแรกที่มา อาจเป็นเพราะเธอเคยมาแล้วจึงไม่ได้เกร็ง เฉินเฟิ่นอี้เดินตามแผงขายของไปเรื่อยๆ เธอไม่ได้เลือกร้านค้า แต่กำลังมองหาลูกค้าที่เหมาะกับสินค้าของเธอผู้หญิงหากถูกใจแล้วไม่ว่าต้องแลกกับอะไรก็ต้องได้ของสิ่งนั้น สบู่ที่เฉินเฟิ่นอี้กดแลกมามันมีกลิ่นที่หอมมาก เธอมั่นใจได้ว่ามันจะขายได้ในราคาที่สูง ระหว่างเดินทางมาที่ตลาดมืดเฉินเฟิ่นอี้ถามราคาสบู่ในสหกรณ์กับเฉินตง เขาบอกว่ามันราคาสี่หยวนต่อหนึ่งก้อน และในความทรงจำของเธอสบู่มันไม่ได้หอมติดผิวกาย ซึ่งถ้าขายในตลาดมืดราคาต้องมากกว่าเดิมเกือบเท่าตัวเพราะไม่ได้ใช้คูปองเฉินเ
ในที่สุดวันที่เฉินเฟิ่นอี้รอก็มาถึง วันที่เธอจะได้เข้าไปในอำเภออีกครั้ง หลายวันก่อนลุงสามส่งจดหมายมาให้บ้านเฉิน ในจดหมายกล่าวว่าเพื่อนของลุงสามเจอบ้านพักที่ต้องการแล้ว ราคาเดือนละห้าหยวน มีทั้งหมดสี่ห้องนอนซึ่งเช่าบ้านหลังหนึ่งในราคาไม่ถึงสิบหยวนเป็นราคาที่ถูกมาก ที่ได้มาเป็นเพราะลุงสามเป็นคนจัดการให้ หากเป็นคนอื่นราคาจะสูงกว่านี้อีกเท่าตัว ได้ยินว่าเป็นบ้านพักของคนรู้จักที่ไม่ได้เปิดให้เช่า แต่เพราะลุงสามหาบ้านเช่าให้หลานๆ จึงได้มันมาอันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าต้องพักบ้านหลังนั้น พวกเธอยังสามารถเลือกได้ว่าจะพักบ้านหลังนี้หรือหาหลังอื่นๆ อีก ซึ่งเฉินเฟิ่นอี้เห็นด้วยกับเรื่องนี้ พวกเธอที่ต้องเข้าไปอยู่จึงต้องไปดู โดยมีลุงใหญ่เป็นคนพาเข้าไปในอำเภอเงินที่ได้จากการขายคูปองตอนนั้นหมดแล้ว เหลือแค่เงินที่ได้รับจากระบบสองร้อยหยวน เฉินเฟิ่นอี้จะให้เฉินตงเอาคูปองไปขายให้อีกครั้ง คราวนี้เธอจะไม่เสี่ยงไปเอง ไม่อย่างนั้นลุงใหญ่คงสงสัย เฉินตงเป็นคนที่จัดการอะไรเร็วกว่าเฉินไห่หลิว เฉินเฟิ่นอี้จึงสะดวกใจกับเขามากกว่าคนอื่นอีกไม่ถึงสิบวันโรงเรียนในอำเภอก็จะเปิดเทอมแล้ว เด็กๆ บ้านเฉินจึงควรที่จะเข้าไปอยู
สมาชิกบ้านเฉินหลังจากพักหายเหนื่อยก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ เฉินไห่หลิว เฉินตง เฉินจาง และรวมถึงผู้ชายบ้านเฉินพากันไปยกตะกร้าผ้ากลับมา เหล่าสะใภ้ต่างช่วยกันตากผ้า ส่วนเฉินเฟิ่นอี้ เฉินเหม่ยเย่กลับไปทำอาหารมื้อเย็นเฉินเฟิ่นอี้จัดการอาหารเสร็จก็ตักใส่ชาม รอให้คนมายกออกไปก็ได้เวลารับประทานอาหาร ข้าวก็สุกพร้อมรับประทาน เฉินเหม่ยเย่จึงอาสาออกไปเรียกคนมาช่วยยกถ้วย จาน และช้อนถูกเฉินเฟิ่นอี้ยกออกไปก่อน ส่วนข้าวและกับข้าวจะให้คนอื่นยก ระหว่างรอทุกคนเข้ามาในห้องโถงเธอจึงใช้โอกาสนี้เข้าไปหยิบซองจดหมายแจ้งคะแนนในห้องที่ถูกเปิดแล้ว เฉินไห่หลิวกับเฉินตงก็หยิบออกมาเช่นเดียวกัน เพียงแค่ของพวกเขายังไม่ได้เปิด“วันนี้เด็กๆ สอบผ่านทุกคน ต้องฉลองกันแล้วสิ เจ้าใหญ่ไปเอาเหล้าในห้องแม่มา ถึงจะหาเนื้อไม่ทันแต่ก็ดื่มเหล้าได้ แม่จะให้หลานทำกับแกล้มเพิ่ม” ย่าเฉินบอกลูกชาย ก่อนหน้านี้ลืมถามเด็กๆ ว่าสอบผ่านไหม จึงไม่ได้ให้เงินไปซื้อเนื้อไว้ แต่อาหารวันนี้ก็พอจะทดแทนได้บ้างพี่ใหญ่เฉินรีบพยักหน้าลุกขึ้นไปหยิบเหล้าที่ว่าทันที ปกติผู้ชายบ้านเฉินไม่ค่อยดื่มเหล้า จะดื่มก็ตอนงานม
ก่อนที่เฉินเฟิ่นอี้จะล้มป่วยหล่อนมีร่างกายที่แข็งแรงมาก ถึงขนาดที่ว่าทำงานเก็บแต้มที่หนัก ตื่นเช้ามาหล่อนก็ยังไปเรียนได้อย่างปกติ พอเลิกเรียนก็ทำแบบเดิมซ้ำๆ มีเพียงช่วงเวลาก่อนเรียนจบมัธยมศึกษาตอนต้นที่ร่างกายของหล่อนเปลี่ยนไปช่วงแรกเป็นการเวียนหัวแต่หล่อนคิดว่าเป็นเพราะทำงานหนักและไม่ได้บอกใคร เคยเป็นลมหมดสติตอนทำงานเก็บแต้มก็ยังคิดว่าแค่ป่วย แต่หลังจากนั้นหล่อนก็อาเจียน เวลาไปโรงเรียนหล่อนก็เป็นแบบนี้ประจำจนขาดเรียนบ่อยครั้ง แต่พอขาดเรียนอาการกลับดีขึ้นมาก เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่ยอมลาออกจากโรงเรียน จนลุงสามของหล่อนกลับมาและได้ยื่นคำขาดเฉินเฟิ่นอี้ชะงักเมื่อมองย้อนกลับไปช่วงเวลานั้นว่าเกิดอะไรขึ้น อี้เหม่ยเฟิ่งทำการบ้านที่ครูสั่งไม่ได้จึงให้เฉินเฟิ่นอี้ช่วยสอน แต่สอนไปสอนมา กลับเป็นหล่อนที่ต้องทำการบ้านให้อี้เหม่ยเฟิ่ง และเป็นช่วงเดียวกันที่อี้เหม่ยเฟิ่งกับหมิงหลานฮุ่ยชอบออกไปซื้อของกินนอกโรงเรียนเฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะเห็นว่าอี้เหม่ยเฟิ่งเป็นญาติผู้พี่ที่ไม่มีเพื่อน เพราะเพื่อนสนิทคนอื่นไม่ได้เรียนต่อในระดับมัธยม แม่ของหล่อนจึงให้หล่อนดูแลญาติผู้พี่ เฉิ