ลุงใหญ่เฉินและพ่อของเฉินเฟิ่นอี้นำธัญพืชที่แบ่งไว้ในบ้านเข้ามาส่งในอำเภอ และนำเงินใช้จ่ายอื่นๆ มาให้ด้วย เดือนนี้ได้มาถึงสิบห้าหยวน แต่ลุงใหญ่เฉินบอกว่าเดือนหน้าอาจเข้ามาหาช้ากว่านี้เพราะต้องทำงานในแปลงนาต่อเฉินเฟิ่นอี้นอนพักแค่วันเดียววันต่อไปก็ไปโรงเรียนอย่างปกติ เพียงแต่ว่าสายของตาของนักเรียนมักมองมาที่เธอ ซึ่งเฉินไห่หลิวกล่าวว่าเพราะเฉินเฟิ่นอี้ถูกประกาศหน้าเสาธงเรื่องที่เป็นคนที่ได้คะแนนมากที่สุดในการแข่งขันชิงทุนวันนี้เป็นวันที่สิบพอดีจากการที่เธอขาดเรียนวันนั้น เฉินเฟิ่นอี้กลับมารับทำอาหารมื้อกลางวันเหมือนปกติ และวันนี้เธอจะมาพูดคุยกับคนที่ต้องการเรียนพิเศษอย่างจริงจัง จะได้นัดแนะเวลาและสถานที่ในการสอนพิเศษเอาไว้ด้วย เหมือนว่าครูเซี่ยอันลี่จะโน้มน้าวคุณหญิงโอวหยางเรื่องการสอนพิเศษไม่ได้ ภายในโรงเรียนจึงมีกฎที่ว่าหลังเลิกเรียน ห้องเรียนจะปิดทันที ทั้งที่ปกติก็เปิดทิ้งไว้หลายชั่วโมงก่อนปิดโรงเรียนในแต่ละวันเฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่อยากใส่ใจในเรื่องนี้แต่เหมือนเธอจะถูกจับตามองแล้ว อย่างวันก่อนเธอยังถูกครูที่ปรึกษาของห้องเซี่ยอันลี่เรียกเข้าพบ และเอ่ยเตือนที่เฉินเฟิ่นอี้สอนพิเศษให้เพื่อ
สอนพิเศษเข้าสัปดาห์ที่สามเฉินเฟิ่นอี้จึงพบปัญหาที่น่ากระอักกระอ่วน อยู่ๆ รุ่นพี่โอวหยางจิงก็นำขนมมาฝากทุกวันเมื่อมีตางรางเรียนพิเศษ ขนมแค่ของเธอคนเดียวไม่พอ ยังมีของน้องๆ อีกเป็นตะกร้า อย่างวันนี้เป็นวันหยุดเรียนแต่ยังมีการสอนพิเศษ เธอลุกมาเตรียมตัวตั้งแต่เช้า วันนี้เฉินเฟิ่นอี้ทำอาหารมื้อกลางวันให้คนอื่นๆ ด้วย ทุกคนเฉลี่ยเงินกันออกยกเว้นเจียวซีที่เว่ยฟ่งจ่ายให้แลกกับการทำการบ้าน“รุ่นพี่โอวหยางไม่ต้องนำขนมมาให้ก็ได้นะคะ” ปกติในบ้านก็ไม่ค่อยแตะขนมหวานกันอยู่แล้วยกเว้นเฉินเหม่ยเย่ เธอกลัวน้องสาวจะเป็นเบาหวานซะก่อนวันนี้โอวหยางจิงมาก่อนคนอื่น ไม่รอแม้กระทั่งจี้หลันที่บ้านอยู่ใกล้กัน หลังรับประทานอาหารเสร็จเขาก็ออกจากบ้านทันที ยังไงที่บ้านก็ไม่มีคนอยู่ มานั่งเล่นกับพี่น้องบ้านเฉินก่อนเรียนพิเศษยังดีกว่า แถมจี้หลันยังชักช้าแต่งตัวไม่เสร็จเสียทีเขาจึงไม่รอ“อ่า รับไปเถอะ ไม่อย่างนั้นก็เอาเป็นของว่างให้เพื่อนๆ ก็ได้” ขนมนี้แม่ของเขาเป็นคนฝากมาให้ครูสอนพิเศษที่ดูท่าจะถูกใจมาก ซึ่งเขาก็ถูกใจไม่น้อย ภาษาต่างประเทศเขาดีขึ้นจากแต่ก่อนมากเฉินตงกอดอกยืนพิงประตูหน้าบ้านอย่างไม่พอใจ รุ่นพี่โอวหยาง
“มาดูหนังกับผู้ชายกลางวันแสกๆ ไม่กลัวว่าจะมีคนนินทาเหรอ” หมิงหลานฮุ่ยเดินมาสมทบคู่หมั้นสาวพร้อมทั้งกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าอดีตคู่หมั้นด้วยความหงุดหงิดเฉินเฟิ่นอี้มองตั้งแต่หัวจรดเท้าของอี้เหม่ยเฟิ่งก่อนจะหัวเราะออกมา จริงอยู่ที่ว่าทั้งสองมีสถานะเป็นคู่หมั้นกัน การมาดูหนังแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ในอดีตตอนที่หมิงหลานฮุ่ยยังหมั้นหมายกับเฉินเฟิ่นอี้อยู่ ทั้งสองก็ไปดูหนังด้วยกันบ่อยๆ มีเพื่อนในโรงเรียนเคยบอกเรื่องนี้แต่เฉินเฟิ่นอี้ไม่เชื่อ พอมาดูความทรงจำของเฉินเฟิ่นอี้แล้วเธอย่อมรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง“หัวเราะอะไร”“หมิงหลานฮุ่ย ก่อนที่คุณจะพูดอะไรควรนึกให้ดีก่อนนะคะ ไม่ใช่ว่าตอนที่หมั้นหมายกับฉันอยู่คุณก็ทำแบบนี้เหรอ อีกอย่างมันก็เป็นสิทธิ์ของฉันหรือเปล่าที่จะไปไหนมาไหนกับใครก็ได้” ที่นี่ไม่ใช่ในโรงเรียนและพวกเขาทั้งสองก็มารบกวนเธอและรุ่นพี่โอวหยาง เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่ไว้หน้าและตอกกลับอย่างไม่เกรงกลัวใบหน้าอี้เหม่ยเฟิ่งเริ่มซีด เรื่องนี้เฉินเฟิ่นอี้ไม่เคยรู้ หล่อนรู้ได้อย่างไร! ไม่ต่างจากหมิงหลานฮุ่ยที่ทำหน้าตกตะลึงออกมา แม้แต่คนในบ้านของเขายังไม่ทราบและคิดว่าเขาไปกับเฉินเฟิ่นอี้มาตลอด ห
ยังดีที่วันต่อมาเป็นวันหยุด ใบหน้าที่บวมช้ำของเฉินเฟิ่นอี้จึงไม่ต้องออกไปเผชิญกับผู้คน เฉินเหม่ยเย่ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม เพราะใบหน้าที่หล่อนชอบเปลี่ยนไป ถึงขั้นบ่นกับพี่สาวตลอดทั้งวัน แต่ยังดีที่มันยุบตัวลงมากแล้ว นอกจากอี้เหม่ยเฟิ่งจะมีแรงตบมากแล้วผิวของเฉินเฟิ่นอี้ยังบอบบางมากด้วยยิ่งพอถึงวันต้องไปโรงเรียน รอยช้ำก็ยังมีให้เห็น มีเพื่อนร่วมห้องหลายคนที่เข้ามาสอบถามแต่เฉินเฟิ่นอี้เลือกที่จะเงียบ เธอไม่ต้องการให้เพื่อนมีปัญหากับอี้เหม่ยเฟิ่งด้วยชีวิตของเด็กๆ บ้านเฉินยังคงวนเวียนเหมือนเดิม ทำอาหารใส่ปิ่นโตไปส่งลูกค้าที่จองเอาไว้ ไปเรียนและสอนพิเศษให้เพื่อนที่จ่ายเงินตามวันเวลาที่ตกลงกัน มีบ้างที่เฉินเฟิ่นอี้จะสอนพิเศษเพื่อนร่วมห้องในคาบว่างวันนี้เป็นอีกหนึ่งวันหยุดของโรงเรียน และเฉินเฟิ่นอี้ไม่มีสอนพิเศษให้ทุกคน เธอจึงเลือกของที่แลกเอาไว้เพื่อนำไปขาย ตลอดระยะเวลาที่เรียนอยู่จนกระทั่งใกล้ปิดภาคเรียนที่หนึ่งเฉินเฟิ่นอี้ยังนำของไปขายอยู่ตลอด แต่เธอไม่ได้เอาเงินเข้ากองกลางทั้งหมด ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ทุกคนต่างรับทราบกันดี อย่างรอบก่อนที่นำของไปขายมาเฉินเฟิ่นอี้เก็บเองเจ็ดสิบหยวน และส่งเข้ากอง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกังวลของเฉินเฟิ่นอี้หรือเปล่าทำให้เธอได้ล่วงรู้ความลับอีกหนึ่งอย่าง เฉินเฟิ่นอี้สามารถนำของข้างนอกไปเก็บไว้ในระบบได้ อย่างเงินจำนวนหมื่นหยวนที่ได้รับมาเฉินเฟิ่นอี้ไม่เสี่ยงนำไปฝากธนาคาร เธอนำกลับมาที่บ้านและให้เฉินตงเงียบไว้ก่อนห้ามพูดแม้กระทั่งพี่น้องอีกสามคน ต้องบอกว่าเงินจำนวนนี้มันเยอะและมันสามารถทำให้ทุกคนแตกหักกันได้เฉินเฟิ่นอี้จึงลอบถามระบบเมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรกับเงินจำนวนนี้ พวกเธอเป็นเพียงนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายเท่านั้นและเป็นลูกหลานของชาวนา เอาเงินจำนวนมากขนาดนี้ไปฝากคงไม่พ้นถูกจับส่งทางการและเงินนี้ก็จะไม่ได้อีก อันที่จริงตอนแรกเธอคิดว่าผู้ชายคนนั้นพูดเล่นเรื่องราคา แต่พอนัดแนะกันเสร็จตามที่นัดหมายเขาก็มาจริงๆเงินจำนวนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันหยวนถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ส่วนที่หนึ่งเงินสำหรับใช้เรียนในอนาคตจำนวนห้าพันหยวน ส่วนที่สองเป็นเงินส่วนตัวของเฉินเฟิ่นอี้จำนวนสี่พันหยวน ส่วนที่สามและส่วนที่สี่เป็นเงินใช้จ่ายในบ้านรวมถึงเก็บไว้สำรองใช้จ่ายในแต่ละวันเรียกได้ว่าเฉินเฟิ่นอี้กลายเป็นเศรษฐีนีภายในพริบตาก็ว่าได้ แต่เธอไม่ได้ป่าวประกาศออกไป เรื่องนี้รู้เพี
ถึงเวลาเลิกเรียนนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีที่หนึ่งห้องเรียนอันดับสามก็นัดแนะกันไปงานประจำอำเภอในตรอกแคบเย็นนี้ เฉินเฟิ่นอี้ไม่พลาดที่จะไปจึงรับปากทุกคน แต่จะหากันเจอไหมค่อยว่ากันอีกที เพราะบางคนก็ไปคนเดียว ไม่ก็ไปกับผู้ใหญ่เลยตอบไม่ได้ว่าจะเจอหรือเดินด้วยกันได้ไหมกลับถึงบ้านเด็กบ้านเฉินต่างก็จัดการงานบ้านที่ต้องทำในแต่ละวันก่อนแยกย้ายกันไปอาบน้ำไม่ก็เปลี่ยนชุด ยังไงกลับจากงานประจำอำเภอก็ต้องมาอาบน้ำใหม่อีกอยู่ดี เฉินเฟิ่นอี้ไม่ทำอาหารเย็นไว้ เธอคิดว่าไปหารับประทานในงานเลยดีกว่า ไม่ก็หาของกินเล่นคงจะอิ่มแล้วเฉินเฟิ่นอี้สวมชุดโปรดของเธอ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวพับแขนเสื้อขึ้นครึ่งหนึ่ง กางเกงขากระบอกสีดำที่ซื้อมาใหม่และยังมีรองเท้าผ้าใบที่เพิ่งแลกจากในระบบมา จริงๆ ใส่รองเท้าที่ใช้ในบ้านจะดีกว่า แต่เพื่อความสะดวกสบายรวมถึงหากมีเหตุการณ์ที่คับขันรองเท้าผ้าใบจึงน่าจะใช้งานดีกว่าจัดการงานบ้านรวมถึงการบ้านที่ได้รับมอบหมายทุกคนก็เตรียมตัวกันเสร็จหมดแล้ว เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้ให้เงินส่วนต่างในการเดินเที่ยววันนี้ ทุกคนมีเงินเก็บกันและสามารถนำมาใช้จ่ายซื้อของส่วนตัวได้ หรืออยากได้ อยากกินอะไรก็แค่บอกเฉ
“อย่ามีเรื่องกันเลย” เฉินเฟิ่นอี้รีบห้ามพวกจี้หลัน ตอนนี้พวกเธอได้เปรียบอีกฝ่าย แต่ถ้าเรื่องถึงโรงเรียนมันจะไม่จบแค่นี้ ถ้าจำไม่ผิดหนึ่งในสามคนนี้มีลูกครูอยู่“ฉันก็แค่ให้เพื่อนของเธอเลิกปล่อยข่าวเรื่องนี้แล้วออกมาอธิบายให้คนอื่นฟัง” หวังซ่งเยี่ยนยกมือทั้งสองข้างยกขึ้นปรามเพื่อนในกลุ่ม มองยังไงก็แพ้“ฉันไม่ได้ปล่อยข่าว อีกอย่างเรื่องมันก็จบไปนานแล้วไหม”“ไม่รู้ล่ะ ถ้าเธอไม่ยอมไปแก้ข่าวฉันก็จะไม่ไปไหน” ชื่อเสียงของหล่อนเสียหายหนักมาก พ่อของหล่อนถึงขั้นกักบริเวณไม่ให้มาโรงเรียนเป็นเดือน“เอ๊ะ! พวกเธอนี่ไม่มีหูกันรึไง บอกว่าไม่ได้ปล่อยข่าวก็คือไม่ได้ปล่อยข่าว” แถมเพื่อนของหล่อนยังได้รับผลกระทบไปเต็มๆเฉินเฟิ่นอี้หันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนผู้ชายในห้องที่ยืนหลบมุมอยู่ ตรงนี้มีเพียงกลุ่มผู้หญิงเท่านั้นจึงไม่ได้เข้ามายุ่ง แต่เสียงทะเลาะเริ่มดังเฉินเฟิ่นอี้เกรงว่ามันจะรบกวนคนอื่น“มีอะไรกัน พวกเธออีกแล้วเหรอ” เว่ยฟ่งเดินเข้ามาห้ามปรามคนแรกด้วยความเบื่อหน่าย เขายืนฟังมาตั้งแต่เริ่ม ไม่แปลกที่จะได้ยินเรื่องราวทั้งหมด“เฉินเฟิ่นอี้เธอเรียกเพื่อนมาเหรอ” อี้เหม่ยเฟิ่งถามด้วยความงุนงง เฉินเฟิ่นอ
และแล้วก็มาถึงวันที่ทุกคนรอคอย วันปิดภาคเรียนฤดูร้อน นักเรียนมัธยมต้นและนักเรียนมัธยมปลายในโรงเรียนประจำอำเภอต่างเร่งทำงานที่ค้างไว้ส่งจะได้รีบกลับบ้าน โดยเฉพาะนักเรียนที่เป็นลูกหลานชาวนาที่ต้องกลับไปช่วยที่บ้านทำงานยกเว้นเพียงบ้านเฉินที่ต้องกลับไปเพราะลุงสามจะกลับมาที่หมู่บ้าน ได้ยินว่าในหนึ่งปีลุงสามลางานได้ถึงเจ็ดสิบวัน ส่วนมากจะกลับบ้านในช่วงสิ้นปีจนถึงปีใหม่ แต่เพราะปีนี้หลานๆ เข้าไปเรียนในอำเภอจึงจะกลับมาดูประมาณหนึ่งเดือน วันลาที่เหลือก็เก็บไว้สิ้นปี แต่พี่ใหญ่เฉินไม่ได้มาด้วย มีเพียงพี่เขยเฉินเฟิ่นอี้ให้น้องชายไปขอความช่วยเหลือจากลุงฟ่งเจี่ยชิวเพื่อนสนิทของลุงสามในการหาเช่ารถกลับบ้าน เธอจะนำธัญพืชรวมถึงพวกอาหารแห้งต่างๆ กลับไปด้วย คาดว่าจนกว่าจะเปิดภาคเรียนเธอจะไม่เข้ามาในอำเภออีก ส่วนบ้านพักก็จ่ายตามปกติ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนมาเช่าอีกตอนนี้ทุกคนในบ้านกำลังช่วยกันเก็บของที่จะนำกลับหมู่บ้าน รวมถึงของที่ไม่จำเป็นต้องนำกลับไป อย่างเครื่องปรุงก็เก็บใส่โหลปิดฝาและเก็บใส่ตู้เอาไว้ ธัญพืชสำหรับใช้ทำอาหารเฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้นำกลับเธอเก็บไว้ในตู้เหมือนกัน เพียงแต่ตู้นี้มันแข
เฉินเฟิ่นอี้นอนไม่หลับ หลังจากแยกย้ายกับกลุ่มเเพื่อนเธอนอนลืมตาในห้องจนถึงเช้าที่ต้องตื่นมาเตรียมอาหารนั่นแหละถึงไม่นอนต่อ เมื่อคืนเฉินเฟิ่นอี้ถึงจะไม่ค่อยสนุกเท่าไรแต่ก็อยู่จนจบและเก็บของ พออยู่คนเดียวความคิดมันฟุ้งซ่าน"หลานสาวสาม" สะใภ้ใหญ่เรียกหลานสาวที่นั่งอยู่หน้าเตา"ป้าสะใภ้ใหญ่"อาหารมื้อเช้าวันนี้เป็นโจ๊ก เฉินเฟิ่นอี้จึงต้องอยู่คนหม้อไม่ให้ข้าวติดก้นกระทะจนไหม้ เธอขยับให้ป้าสะใภ้นั่งลงด้วย วันนี้คนที่มีสอนก็ต้องไปสอนคนที่มีเรียนก็ต้องไปเรียนและไม่รู้ว่าพวกผู้ชายบ้านเฉินจะมาทำงานหรือเปล่า หลานสาวอย่างเหรินอี้ก็ไม่รู้ว่าพ่อของเขาจะมาส่งไหมเฉินเฟิ่นอี้นั่งเงียบเพื่อคิดหาทางออก อันที่จริงก็นอนคิดมาทั้งคืน แต่เพราะไม่รู้ว่าคนแปลกหน้าที่ว่าคือใครจึงยังไม่ฟันธง เสียงรถยนต์จอดลงหน้าบ้านเฉินเฟิ่นอี้รีบยกหม้อข้าวมาวางลงเตาถ่านที่ว่างแล้วรีบเดินออกไปหน้าบ้านที่คาดว่าจะเป็นคนที่กลับบ้านตั้งแต่เมื่อวาน"ลุงสาม"มีเพียงลุงสามกับหลานสาวตัวน้อยของพวกเธอเหรินอี้ เฉินเฟิ่นอี้ยังไม่ได้ถามอะไรรีบพาหลานสาวไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปโรงเรียน เหรินอี้อายุเจ็ดขวบหล่อนเป็นลูกสาวของพี่สาวใหญ่ที่ตอนแรกจะใ
บรรยากาศที่ควรสนุกสนานแต่ตอนนี้เด็กบ้านเฉินไม่ได้สนุกเท่าไรนัก ผู้ชายบ้านเฉินกลับไปที่หมู่บ้านจนถึงตอนนี้เกือบห้าชั่วโมงและยังไม่กลับมา เฉินเฟิ่นอี้ลงมือทำอาหารให้เพื่อนที่มางานเลี้ยง เด็กบ้านเฉินออกไปร่วมด้วย ส่วนสะใภ้ใหญ่ช่วยหลานสาวทำอาหารในครัวแล้วเข้าไปพักในบ้านเลี้ยงฉลองทั้งทีเครื่องดื่มเฉินเฟิ่นอี้ก็นำออกมาให้ทุกคนดื่มยกเว้นเหล้าที่พวกผู้ชายเอาออกมาเอง เมื่อคืนเธอคั้นน้ำผลไม้ทิ้งไว้ในตู้จึงนำออกมาให้ทุกคนได้ดื่ม และมีเครื่องดื่มอัดลมที่นำออกมากจากในระบบซึ่งนาน ๆ ทีเฉินเฟิ่นอี้จึงจะนำออกมาเพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหากับแกล้มที่ดีที่สุดก็คือย่างเนื้อหมู เฉินเฟิ่นอี้จุดไฟย่างอยู่ไม่ไกลจากม้านั่ง ต่อให้ในใจยังมีความกังวลอยู่แต่วันนี้กว่าจะรวมตัวได้เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่อยากให้เสียบรรยากาศ ชิงช้าแกว่งไปมาหลังเธอนั่งลงและมองกลุ่มเพื่อนที่ดื่มฉลองกัน อาหารหลายอย่างของวันนี้ส่วนมากจะเป็นเมนูที่เฉินเฟิ่นอี้เคยกินมาในชีวิตก่อน ไม่ว่าจะเป็นต้มยำกุ้ง แกงส้ม ไข่ทอดชะอม และยังมีอีกหลายอย่างตั้งแต่ที่เรียนจบต้องบอกว่าทุกคนจะแวะเวียนกันมาที่บ้านเช่าให้เฉินเฟิ่นอี้ทำอาหารให้กิน แรก ๆ ก็เป็นเมนูที่เคยท
พอรู้ว่าวันนี้เพื่อนคนอื่น ๆ จะมาที่บ้าน เฉินเฟิ่นอี้ก็ให้น้องชายเป็นคนเอาปิ่นโตไปส่งที่สถานีตำรวจและกองทัพทหาร ส่วนตนเองกับน้องสาวและคนที่เหลือช่วยกันจัดสถานที่สำหรับคืนนี้ และมีจี้หลัน ซ่งเวยหลาน กับเจียวซีที่ตอนนี้รับหน้าที่เก็บค่าเช่าห้องแถวให้บ้านมาสามีมาช่วยด้วยอันที่จริงมันจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง หากมีการจัดงานเลี้ยงจะมีคนมาช่วยตั้งแต่เช้าเพื่อไม่ให้พวกเฉินเฟิ่นอี้ต้องเหนื่อยอยู่ฝ่ายเดียว ที่สำคัญค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทุกคนจะหารจ่ายเท่ากันและนำเงินมาให้เฉินเฟิ่นอี้ทำอาหาร และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีงานฉลองทุกคนจึงรู้หน้าที่โดยไม่ต้องบอกในบ้านคือพื้นที่ส่วนตัว เฉินเฟิ่นอี้ให้เพื่อนเข้าไปได้และเป็นพวกเขาเองที่ไม่ยอมเข้าไป ม้านั่งหน้าบ้านที่เคยนั่งเรียนภาษาต่างประเทศคือสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยง ปกติมันจะไม่มีไฟห้อยบริเวณนี้แต่พอมาฉลองกันบ่อย ๆ เฉินเฟิ่นอี้ก็ให้ช่างมาต่อไฟไว้ และมีชิงช้าแขวนที่ทำขึ้นเพราะต้นไม้มันใหญ่ขึ้นมากงานเลี้ยงฉลองบางคนอาจทำเพียงอาหาร กับแกล้ม และเครื่องดื่ม แต่ไม่ใช่กับเฉินเฟิ่นอี้ที่จัดเต็มกับอาหาร สถานที่ และบรรยากาศ เพราะฉะนั้นผ้าสีขาวถูกนำมาผูกตกแต่งไว้ที่เสา
ตรวจผ้าถุงเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็พาเฉินเหม่ยเย่เดินดูกระบวนการตัดเย็บและแนะนำเทคนิคดี ๆ ให้หล่อนได้ลองใช้ เฉินเหม่ยเย่ตัดเย็บเสื้อผ้าได้แต่ช่วงหลัง ๆ มาต้องสอนหนังสือให้รุ่นน้องทำให้หล่อนไม่มีเวลาตัดเย็บเสื้อผ้าส่วนมากจะซื้อมาใส่เฉินเฟิ่นอี้ใช้เวลาไม่นานก็พาน้องสาวออกจากโรงงานเย็บผ้าของตระกูลโอวหยางไปยังร้านเซี่ยเซี่ยที่อยู่ในย่านการค้าที่เริ่มเปิดตัวขึ้นมา หลายร้านกำลังปรับปรุงสถานที่ขายไม่ต่างจากบ้านเฉิน และไม่ไกลจากร้านเซี่ยเซี่ยยังมองเห็นร้านเสื้อผ้าของตระกูลโอวหยางอีกบริเวณหน้าร้านมีสิ่งของสำหรับการก่อสร้างวางไว้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้บอกน้องสาวให้เดินระวังก่อนเข้าไปดูข้างใน ห้องเช่านี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่แต่สำหรับเฉินเฟิ่นอี้มันยังเล็กอยู่ดี เธอทำสัญญาเช่าที่นี่ห้าปีและหากฝ่ายไหนผิดสัญญาต้องจ่ายสิบเท่าของราคาเช่า และเฉินเฟิ่นอี้จ่ายค่าเช่าห้าปีไปวันที่เซ็นสัญญากัน อันที่จริงก็อยากเซ็นสัญญาปีต่อปีแต่พอมาคำนวณราคาแล้วมันไม่คุ้มยิ่งต้องปรับเปลี่ยนห้องเช่าในแบบที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องการก็ใช้เงินอีกมาก หากอยู่ ๆ เจ้าของห้องเช่าเห็นว่าที่นี่ขายของได้ดีจะไม่ต่อสัญญา ทำให้เฉินเฟิ่นอี้ตัดสินใจเซ็นสัญญาข
ถึงเวลาพักกลางวัน เฉินเต๋อหมิงเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารมามองลูกสาวสองคนที่นั่งอิงแอบกันพร้อมหลับตา เขาส่ายหน้าลุกขึ้นไปหยิบผ้าที่ลูกสาวเอามาให้ใช้ไปห่มให้ลูกสาวทั้งสองคน พร้อมหิ้วปิ่นโตออกจากห้องทำงานไปหาพี่ชายอีกสองคนที่อยู่ข้างนอกเฉินเฟิ่นอี้ลืมตาตื่นทันทีที่ประตูปิดลง เธอไม่ได้หลับเพียงแค่พักสายตาเท่านั้น ตั้งแต่เปิดการค้าเสรีเธอก็ทำงานหนักเพราะกลัวว่าผ้าถุงและร้านจะเสร็จไม่ทันวันที่จะเปิด พวกเธอแวะมาสถานีตำรวจอีกสักพักจะไปโรงงานเย็บผ้าของตระกูลโอวหยางและจะไปดูร้านที่กำลังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุง"พักกลางวันแล้วเหรอคะ" เฉินเหม่ยเย่อ้าปากหาวพร้อมยกมือขึ้นขยี้ดวงตา อันที่จริงหล่อนง่วงมากแต่อยากตามพี่สาวมาที่ทำงานของบรรดาพ่อและลุง"ใช่"ผ้าถูกพับและนำไปเก็บไว้ที่เดิม เฉินเฟิ่นอี้คว้ากระเป๋าผ้าของเธอเดินนำน้องสาวออกจากห้องไปยังโรงอาหารของที่นี่ จริง ๆ พวกเธอไม่จำเป็นต้องทำอาหารมาส่งก็ได้เพราะสถานีตำรวจมีโรงอาหารให้เจ้าหน้าที่ได้รับประทานอาหารตลอดทั้งวันและไม่ต้องจ่ายเงิน แต่อาหารที่มีประโยชน์ที่ร่างกายควรได้รับมีน้อยมาก เฉินเฟิ่นอี้ที่เคยมากินครั้งหนึ่งจึงไม่ยอมให้พ่อและลุงของเธอกินอาหารที
ต้นปี 1977 รัฐบาลประกาศการค้าเสรี สามารถผลิตสินค้าและซื้อขายได้อย่างอิสระ หลายบ้านเริ่มหาช่องทางการค้าขายและบางบ้านยังคิดว่าพ่อค้าแม่ค้าเป็นอาชีพที่ไม่มีเกียรติจึงไม่ยอมเริ่มต้นที่จะค้าขาย จริง ๆ ข่าวลือเรื่องนี้มีตั้งแต่ปลายปี 1976 แล้ว แต่เพิ่งมีประกาศอย่างเป็นทางการบ้านเฉินซื้อที่ีดินรอบ ๆ บ้านเพื่อเลี้ยงไก่และเป็ดตามคำบอกของเฉินเฟิ่นอี้ตั้งแต่ที่มีข่าวลือ แม้จะกลัวว่าเป็นเพียงข่าวลือแต่บ้านเฉินก็เชื่อใจหลานสาวโดยเฉพาะย่าเฉิน พอมีการประกาศอย่างเป็นทางการไก่และเป็ดก็โตพอที่จะขายออกไปได้แล้วนอกจากเลี้ยงไก่และเป็ดไว้ขายเฉินเฟิ่นอี้ยังหาซื้อพันธุ์ที่ออกไข่โดยเฉพาะให้บ้านเฉินเลี้ยง การทำความสะอาด ขั้นตอนการเลี้ยงไก่และอาหารเฉินเฟิ่นอี้เป็นคนบอกผู้ใหญ่บ้านเฉิน นอกจากสัตว์ปีกที่เลี้ยงไว้จะไม่ป่วยแล้วพวกมันยังอ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นมากระบบหน่วยผลิตถูกยกเลิกไปพร้อมกับการแบ่งที่ดินให้แต่ละคนที่ยังคงทำงานของหมู่บ้าน ซึ่งบ้านเฉินไม่มีใครได้ทำงานในแปลงนาเพราะลุงใหญ่ ลุงรอง และอาสี่ของบ้านเฉินเข้าอำเภอไปทำงานในสถานีตำรวจจากการช่วยเหลือของลุงสามของบ้าน หลายปีมานี้บ้านเฉินจึงมีเงินและเป็นที่อิจฉาขอ
ตัวแทนของโรงเรียนอำเภอจวี่เดินทางกลับมาถึงโรงเรียนสิ้นเดือนมกราคมพร้อมกับชัยชนะและเงินสำหรับทุนการศึกษา พวกเฉินเฟิ่นอี้ได้รับเกียรติบัตรกับทุนการศึกษาที่หน้าเสาธงและกล่าวถึงการแข่งที่ผ่านมาก ต่างจากปีก่อน ๆ ที่ต้องขอบคุณครูที่ปรึกษาแต่ปีนี้ทุกคนรู้กันดีว่าเป็นใครที่ฝึกสอนให้ผลตรวจสุขภาพถูกส่งมาตามมาหนึ่งเดือนให้หลัง และได้รับการยืนยันว่าเฉินเฟิ่นอี้ไม่มีปัญหาเรื่องการมีลูก และสุขภาพของเธอก็ดีมาก ส่วนวันนั้นที่หมดสติเป็นเพราะความกดดันที่รับไม่ไหวแล้ว เด็กบ้านเฉินสุขภาพร่างกายดีทั้งหมดเพราะได้รับการบำรุงที่ดีเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านถูกเฉินเฟิ่นอี้พาไปตรวจสุขภาพในมณฑลส่วนพวกผู้ใหญ่ไม่มีใครยอมไป เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้บังคับจึงมีเพียงน้องชายคนเล็กที่ได้ไปตรวจ และเรื่องผลตรวจของเฉินเฟิ่นอี้สร้างความโล่งใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก เรื่องที่สำคัญกับผู้หญิงมากที่สุดนั้นก็คือการมีลูกการสอนพิเศษภาษาต่างประเทศเฉินเฟิ่นอี้ถูกคะยั้นคะยอจากรักษาการเซียวให้สอนกับเด็กในโรงเรียนอำเภอจวี่ทุกวันที่มีเรียน และคาบเรียนที่ว่างจะถูกแทนที่ด้วยการสอน พร้อมกับเงินตอบแทนวันละหนึ่งหยวนและเฉินเฟิ่นอี้ตอบรับที่จ
การแข่งขันจบลงพร้อมร่างกายของเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นลมล้มต่อหน้าน้องชายและน้องสาว สร้างความตกใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก เฉินเฟิ่นอี้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาบนเตียงพิเศษในโรงพยาบาลและมีน้องสาวนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง เธอพยุงตัวขึ้นนั่งด้วยอาการมึนหัว"ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ได้"ความทรงจำล่าสุดของเธอก็คือทรุดลงพื้นพร้อมอาการหน้ามืดเพราะหมดห่วงเมื่อได้รับชัยชนะ อีกทั้งการแข่งขันเต็มไปด้วยความกดดันตัวแทนแต่ละฝั่งก็อ่อนแรงกันมาก ยิ่งต้องแข่งขันกันถึงแปดคน ความวุ่นวายย่อมมีอยู่แล้วจึงเหนื่อยมากขึ้น"พี่เป็นลมค่ะ"โชคดีที่รักษาการเซียวรีบพามายังโรงพยาบาลพร้อมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ จึงจองห้องพิเศษที่เหลือห้องเดียว ส่วนตอนนี้เขากลับไปจัดการรางวัลที่ตัวแทนของโรงเรียนอำเภอจวี่ต้องได้ ที่โรงพยาบาลเหลือเพียงเฉินเหม่ยเย่เฝ้าพี่สาว คนอื่น ๆ ต้องรอรับรางวัลก่อนเฉินเฟิ่นอี้มองไปที่ประตูเมื่อเห็นว่ามันล็อกจากด้านในจึงเปิดเผยกระดานใสให้น้องสาวได้เห็น จริง ๆ เฉินเหม่ยเย่รู้เรื่องนี้อยู่แล้วแต่กลัวว่าหล่อนจะตกใจหากหยิบออกมาจากกลางอากาศ พร้อมหยิบน้ำอุ่นออกมาจิบให้ลำคอที่แห้งผากลื่นคอ อยากจิบน้ำหวานแต่กลัวว่าหมอที่รักษาจะด
การแข่งขันวิชาการรอบตัดสินเพื่อหาโรงเรียนที่ชนะของหมวดภาษาต่างประเทศหยุดชะงักพร้อมกับการประท้วงของกรรมการหมวดภาษาต่างประเทศของส่วนกลาง รวมถึงกรรมการผู้ช่วยที่เป็นคนของส่วนกลางและครูที่มากจากโรงเรียนรอบข้างการที่จะให้กรรมการผู้ช่วยมาตัดสินผลแพ้ชนะในรอบสุดท้ายหากเกิดปัญหาจริง ๆ ควรให้ผู้ช่วยกรรมการของกรรมการที่ตัดสินมาแทนไม่ใช่ว่าจะเอาใครมาแทนที่ก็ได้ จริงอยู่ที่ว่าเขาสามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้ แต่ไม่เชี่ยวชาญเหมือนกรรมการหมวดภาษาต่างประเทศ และการเอากรรมการหมวดอื่นมาตัดสินย่อมข้ามหน้าข้ามตากรรมการอีกหลายท่าน"จริง ๆ ผมว่ามันไม่น่ามีปัญหาอะไรเลยนะครับ กรรมการเหวินเป็นบุคลากรของที่นี่ เขาย่อมเป็นกลางอยู่แล้ว" รองประธานยังคงยืนยันที่จะให้คนเดิมเป็นกรรมการ"ไม่ใช่เรื่องเป็นกลางไม่เป็นกลาง คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่าโรงเรียนที่จะแข่งรอบนี้มีโรงเรียนอะไรบ้าง กรรมการเหวินเป็นบุคลากรของที่นี่ หากผลแพ้ชนะมันค้านสายตาของผู้คน โรงเรียนอาจเสียหายเอาได้" รักษาการเซียวชี้แนะให้กับรองประธานการแข่งขันวิชาการของปีการศึกษานี้หากโรงเรียนของที่นี่ชนะอาจมีคนพูดถึงโรงเรียนในทางที่ไม่ดีได้ หากผลการแข่งไม่ค้าน