ผ่านไปสองวัน ซึ่งวันนี้ย่าเฉินคิดว่าลุงสามจะกลับมาถึงบ้านแล้ว เฉินเฟิ่นอี้จึงทำอาหารรอลุงของเธอกลับมา โชคดีที่ตอนเช้าเฉินไห่หลิวกับเฉินตงไปซื้อของในตำบล เฉินเฟิ่นอี้จึงเอาเนื้อออกมาทำอาหารให้ทุกคน และมื้อกลางวันเฉินไห่หลิวกับเฉินตงและเฉินจางจะนำไปส่งที่แปลงนาเองผู้ใหญ่ในบ้านเฉินตัดสินใจไม่ให้ลูกหลานไปทำงานเก็บแต้มเหมือนแต่ก่อน ทุกคนมีหน้าที่อ่านหนังสือและทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างงานหาฟืนที่เฉินไห่หลิวกับเฉินตงสามารถไปหามาได้ เฉินเหม่ยเย่กับเฉินจางรับหน้าที่ซักเสื้อผ้าของทุกคนยกเว้นของพี่สาวสามและรดน้ำแปลงผัก ส่วนเฉินเฟิ่นอี้มีหน้าที่ทำอาหาร แต่ถึงอย่างนั้นใครทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จก่อนหรือว่างก็ต้องมาช่วยงานอื่น ๆเช้าวันนี้เฉินเฟิ่นอี้ทำหมูผัดผักดองเค็มกินคู่กับหมั่นโถวหอม ๆ เพราะวันนี้ทุกคนบอกว่าไม่อยากกินข้าวขาว ส่วนมื้อกลางวันเฉินเฟิ่นอี้ผัดหมูใส่ผักและแกงจืดไข่น้ำ มีน้ำมันพริกสูตรที่เฉินเฟิ่นอี้ลองทำด้วย กล่าวได้ว่าแค่นี้ก็ทำให้บ้านอื่นอิจฉาได้แล้วเฉินเฟิ่นอี้กำลังตากเสื้อของเธอที่ซักไว้ตอนอาบน้ำ เพราะวิธีการซักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถึงเธอจะสอนน้อง ๆ ไปแล้ว เฉินเฟิ่นอี้ต้องก
“หลานต้องการเข้าวิทยาลัยกรรมกร ทหารและชาวนา? มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเฟิ่นอี้ ลุงสามารถฝากพวกหลานเข้าไปได้ก็จริง แต่จะถูกจับตามอง” ลุงสามขมวดคิ้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ครอบครัวชาวนามีปัญญาส่งลูกหลานเข้าวิทยาลัยมันเป็นไปได้ แต่หลานของเขามีจำนวนมากเกินไปคงฝากได้แค่สองคน“ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตเถอะค่ะ ตอนนี้อะไรที่ทำได้ฉันก็อยากทำ ลุงก็รู้นี่คะว่าในอนาคตอะไรจะเกิดก็เกิดขึ้นได้ตลอด” สำหรับเฉินเฟิ่นอี้ ถึงเธอจะถูกสั่งห้ามแต่ก็ยังจะทำแบบนี้อยู่ดี เพราะอย่างไรเธอก็ให้คำสัญญากับน้องชายและน้องสาวไปแล้ว“เรื่องนี้เพื่อนลุงรู้หรือไม่”เพื่อนของลุงสามล้วนเป็นทหารเก่ามาก่อน ก็ไม่เชิงว่าทหารเก่า พวกเขาถูกย้ายกลับมาประจำการที่บ้านเกิด และแน่นอนว่าสิ่งที่ผิดกฎหมายพวกเขาสามารถกวาดล้างได้ เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่ค่อยอยากติดต่อเท่าไรนัก“ไม่รู้ค่ะ”“อืม”เฉินเฟิ่นอี้ยืนนิ่งและสำรวจว่าแต่ละคนมีปฏิกิริยาเป็นเช่นไรบ้าง ย่าเฉินตกใจกับสิ่งที่รับรู้แต่ก็ไม่ได้กลัวถึงกับทำอะไรไม่ได้ เฉินเฟิ่นอี้คือหลานสาวของนาง ส่วนลุงสามเขายืนเงียบและมองเฉินเฟิ่นอี้เช่นเดียวกัน“เรื่องนี้ปู่ของหลานต้องรับรู้” ย่าเฉินที่คิดดีแล้วจ
กลิ่นหอมลอยตามลมอบอวลไปทั่วบริเวณบ้านเมื่อเฉินเฟิ่นอี้ทำการย่างเนื้อจนได้ที่ ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงหรือก็คือย่าเฉินและเหล่าสะใภ้ รวมถึงปู่เฉิน เฉินชิงชิงกินอาหารก่อนคนอื่น ส่วนที่เหลือจะกินไปด้วยนั่งดื่มเหล้าไปด้วยเฉินเฟิ่นอี้รับหน้าที่ย่างเนื้อเพราะควบคุมไฟได้ดีกว่าคนอื่น วันนี้ย่าเฉินอนุญาตให้ดื่มเหล้าที่เก็บไว้ในห้องเท่าไรก็ได้ หากที่นำออกมาหมดแล้วค่อยเข้าไปเอามาใหม่ ซึ่งเธอเป็นคนเข้าไปหยิบออกมาจึงเห็นว่ามันมีอยู่เยอะพอสมควรระหว่างย่างเนื้อก็มีคนในหมู่บ้านเข้ามาทักทาย แต่บ้านเฉินไม่ได้ชวนให้อยู่กินด้วย มีเพียงตอบรับสิ่งที่ได้ยินเท่านั้น และมันก็ไม่ได้แปลก หลายบ้านต่างก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น หากเป็นบ้านที่สนิทกับบ้านเฉินทุกคนจึงจะชวนแต่ก็ได้รับคำปฏิเสธเสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างสนุกสนานแต่ก็ไม่ได้ดังถึงขนาดที่จะสร้างความรบกวนให้คนอื่น ผู้ชายบ้านเฉินกำลังพูดถึงผลผลิตที่ได้รับในปีนี้และเรื่องราวในกองทัพของลุงสาม เฉินเฟิ่นอี้ก็สนใจเรื่องนี้ไม่ต่างกัน ได้ยินว่าที่นั่นทหารที่ประจำการมากกว่าสิบปีจะได้รับบ้านพักส่วนตัวอย่างปัจจุบันลุงสามก็มีบ้านพักส่วนตัว และหากเขาถูกย้ายมาประจำการในอำเภอก
รอเกือบสิบนาที พวกผู้ใหญ่บ้านเฉินจึงพากันไปล้างตัวและมานั่งรอกินอาหาร วันนี้แดดแรงมาก แม้งานจะไม่ได้หนักแต่อย่าลืมว่าเมื่อคืนผู้ชายบ้านเฉินพากันดื่มเหล้าเมามายตื่นก็เช้ามืด เฉินเฟิ่นอี้จึงคั้นน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งและเกลือมาด้วยจะได้สร่างเมากันบ้าง ถึงเมื่อเช้าจะได้ดื่มไปแล้วก็ตาม“ร้อนมากเลยวันนี้” เฉินเหม่ยเย่ที่ตักข้าวอยู่บ่นออกมา ถึงหล่อนจะนั่งอยู่ในร่มก็ตาม หากเป็นเมื่อก่อนก็คงจะไม่ร้อนแบบนี้เพราะทำงานจนชิน แต่เมื่อหล่อนเข้าไปเรียนในอำเภอหลายเดือนพอออกแดดจะร้อนกว่าเดิมก็ไม่แปลก"พวกผู้ชายล่ะ" สะใภ้สี่ถามลูกสาวที่นำอาหารมาส่ง"ตามลุงใหญ่เข้าอำเภอไปหมดเลยค่ะ" เฉินเฟิ่นอี้ตอบก่อนยื่นน้ำให้ผู้เป็นแม่ที่มาถึงก่อนคนอื่น ทั้งยังช่วยพัดให้หายร้อน"ลูกไม่ให้พวกเขามาบอก แม่จะขึ้นไปเอาเอง" อากาศวันนี้ร้อนมาก สะใภ้สี่ไม่อยากให้ลูกสาวตากแดดเฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้าก่อนยื่นแก้วน้ำให้คนอื่น ๆ ได้ยินว่าหลังจากการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนหรือก็คือการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ ปู่เฉินจะหยุดลงแปลงนา เป็นลุงสามที่บังคับปู่เฉินเองเพราะงานในแปลงนามันเหนื่อยมาก และลุงสามยังจะหางานให้พี่ชายน้องชายอีกทุกคนนั่งล้อมวงกันเพื่อกิน
สมาชิกบ้านเฉินยืนเผชิญหน้ากับสมาชิกบ้านอี้อย่างไม่มีใครยอมแพ้ ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างทยอยลงแปลงนากันหมดแล้ว ซึ่งหลายคนคาดว่าทั้งสองบ้านจะไม่ได้ลงไปทำงานอีกแน่ในวันนี้“มีเรื่องอะไรกันหรือ”เป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านเฟิ่งหลินที่เดินนำเลขาธิการมา ด้านหลังยังมีลุงรองของบ้านเฉินเดินตาม เฉินเฟิ่นอี้ขยับตัวเล็กน้อยมองสีหน้าสะใภ้ใหญ่อี้ที่เริ่มซีดเซียว คงคิดว่าสัญญาที่ทำเป็นสัญญาที่อ้างว่าบ้านเดิมเดือดร้อน และจากที่กระซิบถามคนในบ้านเมื่อครู่เฉินเฟิ่นอี้ยังได้รู้อีกด้วยว่ามีหลายครั้งที่ได้เซ็นสัญญาต่อหน้าพยานทั้งสอง“เรื่องที่สะใภ้ใหญ่บ้านอี้ยืมเงินบ้านเฉินครับหัวหน้า” ปู่เฉินหันไปตอบ“ทำไมไม่คุยกันตอนเย็นล่ะ ตอนนี้ควรจะไปทำงานนะ”“หัวหน้าครับ สะใภ้ใหญ่บ้านอี้เป็นหลานสาวของพวกคุณและหล่อนบอกว่าเงินที่ยืมนำไปให้บ้านเดิม หรือพวกเราควรไปคุยกับพวกคุณ” ปู่เฉินตอบกลับทันที เรื่องนี้อันที่จริงมันก็ควรจะจบไปตั้งนานแล้ว“เดี๋ยวนะ นี่มันเรื่องอะไรกัน” ผู้ใหญ่บ้านรีบหันไปมองหลานสาวของตนเองที่สร้างเรื่อง อย่าบอกนะว่าเงินที่ยืม ๆ ไปอ้างบ้านเดิมของหล่อนมาตลอด“ทุกครั้งที่หล่อนมายืมเงิน ก็บอกว่าบ้านเดิมของหล่อ
สมาชิกบ้านเฉินทยอยมานั่งที่แคร่ไม้หน้าบ้านและพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ยังไงบ้านเฉินกับบ้านอี้ตอนนี้กล่าวได้ว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว การจะทำอะไรไม่ไว้หน้าบ้านอี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ไม่ควรกระทำต่อไปเฉินเฟิ่นอี้ให้เฉินเหม่ยเย่อุ้มน้องชายไปเล่นกับเพื่อนบ้านที่อยู่ไม่ไกลและไปบ่อย ๆ สถานการณ์กำลังตึงเครียด เธอไม่อยากให้เฉินชิงชิงได้รับรู้ไปด้วย เฉินเหม่ยเย่ก็เหมือนกัน ถึงหล่อนจะเรียนมัธยมต้นแล้วแต่ในสายตาของเธอก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี“บ้านอี้ยืมเงินไปมากขนาดนั้นเลยหรือ” สะใภ้ใหญ่ถาม ด้วยจำนวนเงินมากขนาดนี้มันสามารถสร้างบ้านอิฐหลังใหญ่ในชนบทได้เลย“ใช่ สะใภ้ใหญ่อี้มายืมครั้งละไม่มาก ยังดีที่สะใภ้สี่เสนอเรื่องการทำสัญญาคืนเงินไว้” ย่าเฉินพยักหน้าตอบลูกสะใภ้“หากเป็นเมื่อก่อนฉันคงให้ยืมเงินไปเลย แต่เพราะแม่นั่นแหละค่ะที่บอกว่าต่อให้เป็นคนในครอบครัวก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้” สะใภ้สี่เอ่ยออกมาด้วยความเสียใจเล็กน้อย ลึก ๆ หวังว่าบ้านอี้ยังต้องการหล่อนอยู่ แต่มันไม่ใช่ตัดสินใจไม่ผิดจริง ๆ ที่แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้บ้านเฉิน เพราะที่นี่เป็นเหมือนครอบครัวที่แท้จริงของสะใภ้สี่ หากมีปัญหากับเหล่าพี่สะใภ้หรือแม่สา
ขับรถเข้ามณฑลใช้เวลาเกือบสิบสามชั่วโมง เนื่องจากต้องหยุดพักรถและหาร้านเติมน้ำมัน แถวชนบทแบบนี้การจะหารถสักคันยังยาก ไม่แปลกที่จะหาร้านเติมน้ำมันไม่ได้ โชคดีที่ลุงสามเป็นทหารเขาจึงไปขอน้ำมันจากกองทัพที่ประจำที่นี่ได้เวลาเที่ยงวันทั้งสามคนก็มาถึงตัวมณฑลพอดี ลุงสามรีบไปหาห้องพักเพื่อพักระหว่างรอตรวจสุขภาพ วันนี้ต้องเข้าไปจองคิว พรุ่งนี้ถึงจะไปตรวจได้ และต้องรอผลอีกหนึ่งวัน จึงจำเป็นที่จะต้องหาห้องพักก่อน เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะไปตรวจ เพราะฉะนั้นเมื่อได้ห้องพักแล้วเธอจึงชวนทุกคนมาเดินซื้อของใช้ทั้งสามคนกินอาหารมื้อกลางวันก่อนเข้ามาในตัวอำเภอและยังอิ่มกันอยู่ ไม่จำเป็นต้องไปหาอาหารกินเพิ่มอีก และเฉินเฟิ่นอี้ต้องการหาช่องทางการไปยังตลาดมืดของที่นี่อีกด้วย เฉินตงไม่เคยเข้ามาจึงไม่แปลกที่จะไม่รู้ทางเหมือนในอำเภอ ส่วนลุงสามถึงจะเคยเข้ามาแต่เขาก็เป็นทหารคงไม่เคยไปที่นั่นร้านค้าในมณฑลมีเยอะกว่าในอำเภอหลายเท่าตัว สังเกตได้จากลูกค้าที่เดินเข้าร้านนี้เดินออกร้านนั้น พอเดินไปสอบถามราคาของต้องบอกว่าราคาถูกกว่าในอำเภอเกือบครึ่ง แต่ก็ไม่ได้แปลกใจมากเพราะกว่าจะนำของไปส่งที่นั่นก็ใช้เวลานานน
เฉินเฟิ่นอี้ตื่นตั้งแต่เช้ามายังตลาดมืดพร้อมลุงสาม ปล่อยให้เฉินตงนอนอยู่ที่ห้องคนเดียว ต่อให้ลุงของเธอจะเก่งมากแค่ไหนแต่อย่าลืมว่าเขามีคนเดียว ลูกค้าของพวกเธอล้วนเป็นผู้ชายทั้งสิ้น หากพวกเขาร่วมมือกันลุงสามอาจโดนทำร้ายร่างกายเพื่อชิงเงินไปได้การขายนาฬิการอบนี้ทำเงินให้กับเฉินเฟิ่นอี้จำนวนสามหมื่นสองพันหยวน เป็นเงินที่ต่อให้เธอไม่ทำงานก็สามารถส่งน้อง ๆ เรียนจนจบได้อย่างสบาย บางทีอาจส่งลูกหลานของเธอเรียนจบได้อีกเป็นสิบรุ่น เฉินเฟิ่นอี้ให้ลุงสามพาไปฝากธนาคารจำนวนห้าพันหยวน เป็นเงินที่จะใช้เรียนในอนาคต ตอนนี้มันมากมากถึงหนึ่งหมื่นหนึ่งพันหยวน ทำเอาลุงสามถึงกับยืนนิ่งอย่างไม่อยากเชื่อเจ็ดพันหยวนเป็นเงินเก็บของเฉินเฟิ่นอี้ ตอนนี้เธอมีเงินส่วนตัวมากกว่าเงินที่จะใช้เรียนเสียอีก แต่สำหรับเฉินเฟิ่นอี้มันยังไม่พอ เธอต้องการให้บ้านเฉินสามารถอยู่เฉย ๆ ได้เมื่อแก่เฒ่า เงินที่มีมันสามารถหมดไปได้ตลอดเวลา ยิ่งเธอต้องการจะซื้อบ้านอีกอีกสองหมื่นหยวนแบ่งเก็บไว้เป็นเงินเก็บของบ้านหากมีเรื่องสำคัญที่ต้องใช้ และเงินสำหรับใช้จ่ายภายในบ้านอย่างละครึ่ง เฉินเฟิ่นอี้จะนำเงินใช้จ่ายภายในบ้านหนึ่งพันหยวนให้กับย
เฉินเฟิ่นอี้นอนไม่หลับ หลังจากแยกย้ายกับกลุ่มเเพื่อนเธอนอนลืมตาในห้องจนถึงเช้าที่ต้องตื่นมาเตรียมอาหารนั่นแหละถึงไม่นอนต่อ เมื่อคืนเฉินเฟิ่นอี้ถึงจะไม่ค่อยสนุกเท่าไรแต่ก็อยู่จนจบและเก็บของ พออยู่คนเดียวความคิดมันฟุ้งซ่าน"หลานสาวสาม" สะใภ้ใหญ่เรียกหลานสาวที่นั่งอยู่หน้าเตา"ป้าสะใภ้ใหญ่"อาหารมื้อเช้าวันนี้เป็นโจ๊ก เฉินเฟิ่นอี้จึงต้องอยู่คนหม้อไม่ให้ข้าวติดก้นกระทะจนไหม้ เธอขยับให้ป้าสะใภ้นั่งลงด้วย วันนี้คนที่มีสอนก็ต้องไปสอนคนที่มีเรียนก็ต้องไปเรียนและไม่รู้ว่าพวกผู้ชายบ้านเฉินจะมาทำงานหรือเปล่า หลานสาวอย่างเหรินอี้ก็ไม่รู้ว่าพ่อของเขาจะมาส่งไหมเฉินเฟิ่นอี้นั่งเงียบเพื่อคิดหาทางออก อันที่จริงก็นอนคิดมาทั้งคืน แต่เพราะไม่รู้ว่าคนแปลกหน้าที่ว่าคือใครจึงยังไม่ฟันธง เสียงรถยนต์จอดลงหน้าบ้านเฉินเฟิ่นอี้รีบยกหม้อข้าวมาวางลงเตาถ่านที่ว่างแล้วรีบเดินออกไปหน้าบ้านที่คาดว่าจะเป็นคนที่กลับบ้านตั้งแต่เมื่อวาน"ลุงสาม"มีเพียงลุงสามกับหลานสาวตัวน้อยของพวกเธอเหรินอี้ เฉินเฟิ่นอี้ยังไม่ได้ถามอะไรรีบพาหลานสาวไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปโรงเรียน เหรินอี้อายุเจ็ดขวบหล่อนเป็นลูกสาวของพี่สาวใหญ่ที่ตอนแรกจะใ
บรรยากาศที่ควรสนุกสนานแต่ตอนนี้เด็กบ้านเฉินไม่ได้สนุกเท่าไรนัก ผู้ชายบ้านเฉินกลับไปที่หมู่บ้านจนถึงตอนนี้เกือบห้าชั่วโมงและยังไม่กลับมา เฉินเฟิ่นอี้ลงมือทำอาหารให้เพื่อนที่มางานเลี้ยง เด็กบ้านเฉินออกไปร่วมด้วย ส่วนสะใภ้ใหญ่ช่วยหลานสาวทำอาหารในครัวแล้วเข้าไปพักในบ้านเลี้ยงฉลองทั้งทีเครื่องดื่มเฉินเฟิ่นอี้ก็นำออกมาให้ทุกคนดื่มยกเว้นเหล้าที่พวกผู้ชายเอาออกมาเอง เมื่อคืนเธอคั้นน้ำผลไม้ทิ้งไว้ในตู้จึงนำออกมาให้ทุกคนได้ดื่ม และมีเครื่องดื่มอัดลมที่นำออกมากจากในระบบซึ่งนาน ๆ ทีเฉินเฟิ่นอี้จึงจะนำออกมาเพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหากับแกล้มที่ดีที่สุดก็คือย่างเนื้อหมู เฉินเฟิ่นอี้จุดไฟย่างอยู่ไม่ไกลจากม้านั่ง ต่อให้ในใจยังมีความกังวลอยู่แต่วันนี้กว่าจะรวมตัวได้เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่อยากให้เสียบรรยากาศ ชิงช้าแกว่งไปมาหลังเธอนั่งลงและมองกลุ่มเพื่อนที่ดื่มฉลองกัน อาหารหลายอย่างของวันนี้ส่วนมากจะเป็นเมนูที่เฉินเฟิ่นอี้เคยกินมาในชีวิตก่อน ไม่ว่าจะเป็นต้มยำกุ้ง แกงส้ม ไข่ทอดชะอม และยังมีอีกหลายอย่างตั้งแต่ที่เรียนจบต้องบอกว่าทุกคนจะแวะเวียนกันมาที่บ้านเช่าให้เฉินเฟิ่นอี้ทำอาหารให้กิน แรก ๆ ก็เป็นเมนูที่เคยท
พอรู้ว่าวันนี้เพื่อนคนอื่น ๆ จะมาที่บ้าน เฉินเฟิ่นอี้ก็ให้น้องชายเป็นคนเอาปิ่นโตไปส่งที่สถานีตำรวจและกองทัพทหาร ส่วนตนเองกับน้องสาวและคนที่เหลือช่วยกันจัดสถานที่สำหรับคืนนี้ และมีจี้หลัน ซ่งเวยหลาน กับเจียวซีที่ตอนนี้รับหน้าที่เก็บค่าเช่าห้องแถวให้บ้านมาสามีมาช่วยด้วยอันที่จริงมันจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง หากมีการจัดงานเลี้ยงจะมีคนมาช่วยตั้งแต่เช้าเพื่อไม่ให้พวกเฉินเฟิ่นอี้ต้องเหนื่อยอยู่ฝ่ายเดียว ที่สำคัญค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทุกคนจะหารจ่ายเท่ากันและนำเงินมาให้เฉินเฟิ่นอี้ทำอาหาร และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีงานฉลองทุกคนจึงรู้หน้าที่โดยไม่ต้องบอกในบ้านคือพื้นที่ส่วนตัว เฉินเฟิ่นอี้ให้เพื่อนเข้าไปได้และเป็นพวกเขาเองที่ไม่ยอมเข้าไป ม้านั่งหน้าบ้านที่เคยนั่งเรียนภาษาต่างประเทศคือสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยง ปกติมันจะไม่มีไฟห้อยบริเวณนี้แต่พอมาฉลองกันบ่อย ๆ เฉินเฟิ่นอี้ก็ให้ช่างมาต่อไฟไว้ และมีชิงช้าแขวนที่ทำขึ้นเพราะต้นไม้มันใหญ่ขึ้นมากงานเลี้ยงฉลองบางคนอาจทำเพียงอาหาร กับแกล้ม และเครื่องดื่ม แต่ไม่ใช่กับเฉินเฟิ่นอี้ที่จัดเต็มกับอาหาร สถานที่ และบรรยากาศ เพราะฉะนั้นผ้าสีขาวถูกนำมาผูกตกแต่งไว้ที่เสา
ตรวจผ้าถุงเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็พาเฉินเหม่ยเย่เดินดูกระบวนการตัดเย็บและแนะนำเทคนิคดี ๆ ให้หล่อนได้ลองใช้ เฉินเหม่ยเย่ตัดเย็บเสื้อผ้าได้แต่ช่วงหลัง ๆ มาต้องสอนหนังสือให้รุ่นน้องทำให้หล่อนไม่มีเวลาตัดเย็บเสื้อผ้าส่วนมากจะซื้อมาใส่เฉินเฟิ่นอี้ใช้เวลาไม่นานก็พาน้องสาวออกจากโรงงานเย็บผ้าของตระกูลโอวหยางไปยังร้านเซี่ยเซี่ยที่อยู่ในย่านการค้าที่เริ่มเปิดตัวขึ้นมา หลายร้านกำลังปรับปรุงสถานที่ขายไม่ต่างจากบ้านเฉิน และไม่ไกลจากร้านเซี่ยเซี่ยยังมองเห็นร้านเสื้อผ้าของตระกูลโอวหยางอีกบริเวณหน้าร้านมีสิ่งของสำหรับการก่อสร้างวางไว้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้บอกน้องสาวให้เดินระวังก่อนเข้าไปดูข้างใน ห้องเช่านี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่แต่สำหรับเฉินเฟิ่นอี้มันยังเล็กอยู่ดี เธอทำสัญญาเช่าที่นี่ห้าปีและหากฝ่ายไหนผิดสัญญาต้องจ่ายสิบเท่าของราคาเช่า และเฉินเฟิ่นอี้จ่ายค่าเช่าห้าปีไปวันที่เซ็นสัญญากัน อันที่จริงก็อยากเซ็นสัญญาปีต่อปีแต่พอมาคำนวณราคาแล้วมันไม่คุ้มยิ่งต้องปรับเปลี่ยนห้องเช่าในแบบที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องการก็ใช้เงินอีกมาก หากอยู่ ๆ เจ้าของห้องเช่าเห็นว่าที่นี่ขายของได้ดีจะไม่ต่อสัญญา ทำให้เฉินเฟิ่นอี้ตัดสินใจเซ็นสัญญาข
ถึงเวลาพักกลางวัน เฉินเต๋อหมิงเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารมามองลูกสาวสองคนที่นั่งอิงแอบกันพร้อมหลับตา เขาส่ายหน้าลุกขึ้นไปหยิบผ้าที่ลูกสาวเอามาให้ใช้ไปห่มให้ลูกสาวทั้งสองคน พร้อมหิ้วปิ่นโตออกจากห้องทำงานไปหาพี่ชายอีกสองคนที่อยู่ข้างนอกเฉินเฟิ่นอี้ลืมตาตื่นทันทีที่ประตูปิดลง เธอไม่ได้หลับเพียงแค่พักสายตาเท่านั้น ตั้งแต่เปิดการค้าเสรีเธอก็ทำงานหนักเพราะกลัวว่าผ้าถุงและร้านจะเสร็จไม่ทันวันที่จะเปิด พวกเธอแวะมาสถานีตำรวจอีกสักพักจะไปโรงงานเย็บผ้าของตระกูลโอวหยางและจะไปดูร้านที่กำลังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุง"พักกลางวันแล้วเหรอคะ" เฉินเหม่ยเย่อ้าปากหาวพร้อมยกมือขึ้นขยี้ดวงตา อันที่จริงหล่อนง่วงมากแต่อยากตามพี่สาวมาที่ทำงานของบรรดาพ่อและลุง"ใช่"ผ้าถูกพับและนำไปเก็บไว้ที่เดิม เฉินเฟิ่นอี้คว้ากระเป๋าผ้าของเธอเดินนำน้องสาวออกจากห้องไปยังโรงอาหารของที่นี่ จริง ๆ พวกเธอไม่จำเป็นต้องทำอาหารมาส่งก็ได้เพราะสถานีตำรวจมีโรงอาหารให้เจ้าหน้าที่ได้รับประทานอาหารตลอดทั้งวันและไม่ต้องจ่ายเงิน แต่อาหารที่มีประโยชน์ที่ร่างกายควรได้รับมีน้อยมาก เฉินเฟิ่นอี้ที่เคยมากินครั้งหนึ่งจึงไม่ยอมให้พ่อและลุงของเธอกินอาหารที
ต้นปี 1977 รัฐบาลประกาศการค้าเสรี สามารถผลิตสินค้าและซื้อขายได้อย่างอิสระ หลายบ้านเริ่มหาช่องทางการค้าขายและบางบ้านยังคิดว่าพ่อค้าแม่ค้าเป็นอาชีพที่ไม่มีเกียรติจึงไม่ยอมเริ่มต้นที่จะค้าขาย จริง ๆ ข่าวลือเรื่องนี้มีตั้งแต่ปลายปี 1976 แล้ว แต่เพิ่งมีประกาศอย่างเป็นทางการบ้านเฉินซื้อที่ีดินรอบ ๆ บ้านเพื่อเลี้ยงไก่และเป็ดตามคำบอกของเฉินเฟิ่นอี้ตั้งแต่ที่มีข่าวลือ แม้จะกลัวว่าเป็นเพียงข่าวลือแต่บ้านเฉินก็เชื่อใจหลานสาวโดยเฉพาะย่าเฉิน พอมีการประกาศอย่างเป็นทางการไก่และเป็ดก็โตพอที่จะขายออกไปได้แล้วนอกจากเลี้ยงไก่และเป็ดไว้ขายเฉินเฟิ่นอี้ยังหาซื้อพันธุ์ที่ออกไข่โดยเฉพาะให้บ้านเฉินเลี้ยง การทำความสะอาด ขั้นตอนการเลี้ยงไก่และอาหารเฉินเฟิ่นอี้เป็นคนบอกผู้ใหญ่บ้านเฉิน นอกจากสัตว์ปีกที่เลี้ยงไว้จะไม่ป่วยแล้วพวกมันยังอ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นมากระบบหน่วยผลิตถูกยกเลิกไปพร้อมกับการแบ่งที่ดินให้แต่ละคนที่ยังคงทำงานของหมู่บ้าน ซึ่งบ้านเฉินไม่มีใครได้ทำงานในแปลงนาเพราะลุงใหญ่ ลุงรอง และอาสี่ของบ้านเฉินเข้าอำเภอไปทำงานในสถานีตำรวจจากการช่วยเหลือของลุงสามของบ้าน หลายปีมานี้บ้านเฉินจึงมีเงินและเป็นที่อิจฉาขอ
ตัวแทนของโรงเรียนอำเภอจวี่เดินทางกลับมาถึงโรงเรียนสิ้นเดือนมกราคมพร้อมกับชัยชนะและเงินสำหรับทุนการศึกษา พวกเฉินเฟิ่นอี้ได้รับเกียรติบัตรกับทุนการศึกษาที่หน้าเสาธงและกล่าวถึงการแข่งที่ผ่านมาก ต่างจากปีก่อน ๆ ที่ต้องขอบคุณครูที่ปรึกษาแต่ปีนี้ทุกคนรู้กันดีว่าเป็นใครที่ฝึกสอนให้ผลตรวจสุขภาพถูกส่งมาตามมาหนึ่งเดือนให้หลัง และได้รับการยืนยันว่าเฉินเฟิ่นอี้ไม่มีปัญหาเรื่องการมีลูก และสุขภาพของเธอก็ดีมาก ส่วนวันนั้นที่หมดสติเป็นเพราะความกดดันที่รับไม่ไหวแล้ว เด็กบ้านเฉินสุขภาพร่างกายดีทั้งหมดเพราะได้รับการบำรุงที่ดีเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านถูกเฉินเฟิ่นอี้พาไปตรวจสุขภาพในมณฑลส่วนพวกผู้ใหญ่ไม่มีใครยอมไป เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้บังคับจึงมีเพียงน้องชายคนเล็กที่ได้ไปตรวจ และเรื่องผลตรวจของเฉินเฟิ่นอี้สร้างความโล่งใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก เรื่องที่สำคัญกับผู้หญิงมากที่สุดนั้นก็คือการมีลูกการสอนพิเศษภาษาต่างประเทศเฉินเฟิ่นอี้ถูกคะยั้นคะยอจากรักษาการเซียวให้สอนกับเด็กในโรงเรียนอำเภอจวี่ทุกวันที่มีเรียน และคาบเรียนที่ว่างจะถูกแทนที่ด้วยการสอน พร้อมกับเงินตอบแทนวันละหนึ่งหยวนและเฉินเฟิ่นอี้ตอบรับที่จ
การแข่งขันจบลงพร้อมร่างกายของเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นลมล้มต่อหน้าน้องชายและน้องสาว สร้างความตกใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก เฉินเฟิ่นอี้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาบนเตียงพิเศษในโรงพยาบาลและมีน้องสาวนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง เธอพยุงตัวขึ้นนั่งด้วยอาการมึนหัว"ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ได้"ความทรงจำล่าสุดของเธอก็คือทรุดลงพื้นพร้อมอาการหน้ามืดเพราะหมดห่วงเมื่อได้รับชัยชนะ อีกทั้งการแข่งขันเต็มไปด้วยความกดดันตัวแทนแต่ละฝั่งก็อ่อนแรงกันมาก ยิ่งต้องแข่งขันกันถึงแปดคน ความวุ่นวายย่อมมีอยู่แล้วจึงเหนื่อยมากขึ้น"พี่เป็นลมค่ะ"โชคดีที่รักษาการเซียวรีบพามายังโรงพยาบาลพร้อมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ จึงจองห้องพิเศษที่เหลือห้องเดียว ส่วนตอนนี้เขากลับไปจัดการรางวัลที่ตัวแทนของโรงเรียนอำเภอจวี่ต้องได้ ที่โรงพยาบาลเหลือเพียงเฉินเหม่ยเย่เฝ้าพี่สาว คนอื่น ๆ ต้องรอรับรางวัลก่อนเฉินเฟิ่นอี้มองไปที่ประตูเมื่อเห็นว่ามันล็อกจากด้านในจึงเปิดเผยกระดานใสให้น้องสาวได้เห็น จริง ๆ เฉินเหม่ยเย่รู้เรื่องนี้อยู่แล้วแต่กลัวว่าหล่อนจะตกใจหากหยิบออกมาจากกลางอากาศ พร้อมหยิบน้ำอุ่นออกมาจิบให้ลำคอที่แห้งผากลื่นคอ อยากจิบน้ำหวานแต่กลัวว่าหมอที่รักษาจะด
การแข่งขันวิชาการรอบตัดสินเพื่อหาโรงเรียนที่ชนะของหมวดภาษาต่างประเทศหยุดชะงักพร้อมกับการประท้วงของกรรมการหมวดภาษาต่างประเทศของส่วนกลาง รวมถึงกรรมการผู้ช่วยที่เป็นคนของส่วนกลางและครูที่มากจากโรงเรียนรอบข้างการที่จะให้กรรมการผู้ช่วยมาตัดสินผลแพ้ชนะในรอบสุดท้ายหากเกิดปัญหาจริง ๆ ควรให้ผู้ช่วยกรรมการของกรรมการที่ตัดสินมาแทนไม่ใช่ว่าจะเอาใครมาแทนที่ก็ได้ จริงอยู่ที่ว่าเขาสามารถใช้ภาษาต่างประเทศได้ แต่ไม่เชี่ยวชาญเหมือนกรรมการหมวดภาษาต่างประเทศ และการเอากรรมการหมวดอื่นมาตัดสินย่อมข้ามหน้าข้ามตากรรมการอีกหลายท่าน"จริง ๆ ผมว่ามันไม่น่ามีปัญหาอะไรเลยนะครับ กรรมการเหวินเป็นบุคลากรของที่นี่ เขาย่อมเป็นกลางอยู่แล้ว" รองประธานยังคงยืนยันที่จะให้คนเดิมเป็นกรรมการ"ไม่ใช่เรื่องเป็นกลางไม่เป็นกลาง คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่าโรงเรียนที่จะแข่งรอบนี้มีโรงเรียนอะไรบ้าง กรรมการเหวินเป็นบุคลากรของที่นี่ หากผลแพ้ชนะมันค้านสายตาของผู้คน โรงเรียนอาจเสียหายเอาได้" รักษาการเซียวชี้แนะให้กับรองประธานการแข่งขันวิชาการของปีการศึกษานี้หากโรงเรียนของที่นี่ชนะอาจมีคนพูดถึงโรงเรียนในทางที่ไม่ดีได้ หากผลการแข่งไม่ค้าน