กลิ่นหอมลอยตามลมอบอวลไปทั่วบริเวณบ้านเมื่อเฉินเฟิ่นอี้ทำการย่างเนื้อจนได้ที่ ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงหรือก็คือย่าเฉินและเหล่าสะใภ้ รวมถึงปู่เฉิน เฉินชิงชิงกินอาหารก่อนคนอื่น ส่วนที่เหลือจะกินไปด้วยนั่งดื่มเหล้าไปด้วยเฉินเฟิ่นอี้รับหน้าที่ย่างเนื้อเพราะควบคุมไฟได้ดีกว่าคนอื่น วันนี้ย่าเฉินอนุญาตให้ดื่มเหล้าที่เก็บไว้ในห้องเท่าไรก็ได้ หากที่นำออกมาหมดแล้วค่อยเข้าไปเอามาใหม่ ซึ่งเธอเป็นคนเข้าไปหยิบออกมาจึงเห็นว่ามันมีอยู่เยอะพอสมควรระหว่างย่างเนื้อก็มีคนในหมู่บ้านเข้ามาทักทาย แต่บ้านเฉินไม่ได้ชวนให้อยู่กินด้วย มีเพียงตอบรับสิ่งที่ได้ยินเท่านั้น และมันก็ไม่ได้แปลก หลายบ้านต่างก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น หากเป็นบ้านที่สนิทกับบ้านเฉินทุกคนจึงจะชวนแต่ก็ได้รับคำปฏิเสธเสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างสนุกสนานแต่ก็ไม่ได้ดังถึงขนาดที่จะสร้างความรบกวนให้คนอื่น ผู้ชายบ้านเฉินกำลังพูดถึงผลผลิตที่ได้รับในปีนี้และเรื่องราวในกองทัพของลุงสาม เฉินเฟิ่นอี้ก็สนใจเรื่องนี้ไม่ต่างกัน ได้ยินว่าที่นั่นทหารที่ประจำการมากกว่าสิบปีจะได้รับบ้านพักส่วนตัวอย่างปัจจุบันลุงสามก็มีบ้านพักส่วนตัว และหากเขาถูกย้ายมาประจำการในอำเภอก
รอเกือบสิบนาที พวกผู้ใหญ่บ้านเฉินจึงพากันไปล้างตัวและมานั่งรอกินอาหาร วันนี้แดดแรงมาก แม้งานจะไม่ได้หนักแต่อย่าลืมว่าเมื่อคืนผู้ชายบ้านเฉินพากันดื่มเหล้าเมามายตื่นก็เช้ามืด เฉินเฟิ่นอี้จึงคั้นน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งและเกลือมาด้วยจะได้สร่างเมากันบ้าง ถึงเมื่อเช้าจะได้ดื่มไปแล้วก็ตาม“ร้อนมากเลยวันนี้” เฉินเหม่ยเย่ที่ตักข้าวอยู่บ่นออกมา ถึงหล่อนจะนั่งอยู่ในร่มก็ตาม หากเป็นเมื่อก่อนก็คงจะไม่ร้อนแบบนี้เพราะทำงานจนชิน แต่เมื่อหล่อนเข้าไปเรียนในอำเภอหลายเดือนพอออกแดดจะร้อนกว่าเดิมก็ไม่แปลก"พวกผู้ชายล่ะ" สะใภ้สี่ถามลูกสาวที่นำอาหารมาส่ง"ตามลุงใหญ่เข้าอำเภอไปหมดเลยค่ะ" เฉินเฟิ่นอี้ตอบก่อนยื่นน้ำให้ผู้เป็นแม่ที่มาถึงก่อนคนอื่น ทั้งยังช่วยพัดให้หายร้อน"ลูกไม่ให้พวกเขามาบอก แม่จะขึ้นไปเอาเอง" อากาศวันนี้ร้อนมาก สะใภ้สี่ไม่อยากให้ลูกสาวตากแดดเฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้าก่อนยื่นแก้วน้ำให้คนอื่น ๆ ได้ยินว่าหลังจากการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนหรือก็คือการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ ปู่เฉินจะหยุดลงแปลงนา เป็นลุงสามที่บังคับปู่เฉินเองเพราะงานในแปลงนามันเหนื่อยมาก และลุงสามยังจะหางานให้พี่ชายน้องชายอีกทุกคนนั่งล้อมวงกันเพื่อกิน
สมาชิกบ้านเฉินยืนเผชิญหน้ากับสมาชิกบ้านอี้อย่างไม่มีใครยอมแพ้ ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างทยอยลงแปลงนากันหมดแล้ว ซึ่งหลายคนคาดว่าทั้งสองบ้านจะไม่ได้ลงไปทำงานอีกแน่ในวันนี้“มีเรื่องอะไรกันหรือ”เป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านเฟิ่งหลินที่เดินนำเลขาธิการมา ด้านหลังยังมีลุงรองของบ้านเฉินเดินตาม เฉินเฟิ่นอี้ขยับตัวเล็กน้อยมองสีหน้าสะใภ้ใหญ่อี้ที่เริ่มซีดเซียว คงคิดว่าสัญญาที่ทำเป็นสัญญาที่อ้างว่าบ้านเดิมเดือดร้อน และจากที่กระซิบถามคนในบ้านเมื่อครู่เฉินเฟิ่นอี้ยังได้รู้อีกด้วยว่ามีหลายครั้งที่ได้เซ็นสัญญาต่อหน้าพยานทั้งสอง“เรื่องที่สะใภ้ใหญ่บ้านอี้ยืมเงินบ้านเฉินครับหัวหน้า” ปู่เฉินหันไปตอบ“ทำไมไม่คุยกันตอนเย็นล่ะ ตอนนี้ควรจะไปทำงานนะ”“หัวหน้าครับ สะใภ้ใหญ่บ้านอี้เป็นหลานสาวของพวกคุณและหล่อนบอกว่าเงินที่ยืมนำไปให้บ้านเดิม หรือพวกเราควรไปคุยกับพวกคุณ” ปู่เฉินตอบกลับทันที เรื่องนี้อันที่จริงมันก็ควรจะจบไปตั้งนานแล้ว“เดี๋ยวนะ นี่มันเรื่องอะไรกัน” ผู้ใหญ่บ้านรีบหันไปมองหลานสาวของตนเองที่สร้างเรื่อง อย่าบอกนะว่าเงินที่ยืม ๆ ไปอ้างบ้านเดิมของหล่อนมาตลอด“ทุกครั้งที่หล่อนมายืมเงิน ก็บอกว่าบ้านเดิมของหล่อ
สมาชิกบ้านเฉินทยอยมานั่งที่แคร่ไม้หน้าบ้านและพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ยังไงบ้านเฉินกับบ้านอี้ตอนนี้กล่าวได้ว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว การจะทำอะไรไม่ไว้หน้าบ้านอี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ไม่ควรกระทำต่อไปเฉินเฟิ่นอี้ให้เฉินเหม่ยเย่อุ้มน้องชายไปเล่นกับเพื่อนบ้านที่อยู่ไม่ไกลและไปบ่อย ๆ สถานการณ์กำลังตึงเครียด เธอไม่อยากให้เฉินชิงชิงได้รับรู้ไปด้วย เฉินเหม่ยเย่ก็เหมือนกัน ถึงหล่อนจะเรียนมัธยมต้นแล้วแต่ในสายตาของเธอก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี“บ้านอี้ยืมเงินไปมากขนาดนั้นเลยหรือ” สะใภ้ใหญ่ถาม ด้วยจำนวนเงินมากขนาดนี้มันสามารถสร้างบ้านอิฐหลังใหญ่ในชนบทได้เลย“ใช่ สะใภ้ใหญ่อี้มายืมครั้งละไม่มาก ยังดีที่สะใภ้สี่เสนอเรื่องการทำสัญญาคืนเงินไว้” ย่าเฉินพยักหน้าตอบลูกสะใภ้“หากเป็นเมื่อก่อนฉันคงให้ยืมเงินไปเลย แต่เพราะแม่นั่นแหละค่ะที่บอกว่าต่อให้เป็นคนในครอบครัวก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้” สะใภ้สี่เอ่ยออกมาด้วยความเสียใจเล็กน้อย ลึก ๆ หวังว่าบ้านอี้ยังต้องการหล่อนอยู่ แต่มันไม่ใช่ตัดสินใจไม่ผิดจริง ๆ ที่แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้บ้านเฉิน เพราะที่นี่เป็นเหมือนครอบครัวที่แท้จริงของสะใภ้สี่ หากมีปัญหากับเหล่าพี่สะใภ้หรือแม่สา
ขับรถเข้ามณฑลใช้เวลาเกือบสิบสามชั่วโมง เนื่องจากต้องหยุดพักรถและหาร้านเติมน้ำมัน แถวชนบทแบบนี้การจะหารถสักคันยังยาก ไม่แปลกที่จะหาร้านเติมน้ำมันไม่ได้ โชคดีที่ลุงสามเป็นทหารเขาจึงไปขอน้ำมันจากกองทัพที่ประจำที่นี่ได้เวลาเที่ยงวันทั้งสามคนก็มาถึงตัวมณฑลพอดี ลุงสามรีบไปหาห้องพักเพื่อพักระหว่างรอตรวจสุขภาพ วันนี้ต้องเข้าไปจองคิว พรุ่งนี้ถึงจะไปตรวจได้ และต้องรอผลอีกหนึ่งวัน จึงจำเป็นที่จะต้องหาห้องพักก่อน เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะไปตรวจ เพราะฉะนั้นเมื่อได้ห้องพักแล้วเธอจึงชวนทุกคนมาเดินซื้อของใช้ทั้งสามคนกินอาหารมื้อกลางวันก่อนเข้ามาในตัวอำเภอและยังอิ่มกันอยู่ ไม่จำเป็นต้องไปหาอาหารกินเพิ่มอีก และเฉินเฟิ่นอี้ต้องการหาช่องทางการไปยังตลาดมืดของที่นี่อีกด้วย เฉินตงไม่เคยเข้ามาจึงไม่แปลกที่จะไม่รู้ทางเหมือนในอำเภอ ส่วนลุงสามถึงจะเคยเข้ามาแต่เขาก็เป็นทหารคงไม่เคยไปที่นั่นร้านค้าในมณฑลมีเยอะกว่าในอำเภอหลายเท่าตัว สังเกตได้จากลูกค้าที่เดินเข้าร้านนี้เดินออกร้านนั้น พอเดินไปสอบถามราคาของต้องบอกว่าราคาถูกกว่าในอำเภอเกือบครึ่ง แต่ก็ไม่ได้แปลกใจมากเพราะกว่าจะนำของไปส่งที่นั่นก็ใช้เวลานานน
เฉินเฟิ่นอี้ตื่นตั้งแต่เช้ามายังตลาดมืดพร้อมลุงสาม ปล่อยให้เฉินตงนอนอยู่ที่ห้องคนเดียว ต่อให้ลุงของเธอจะเก่งมากแค่ไหนแต่อย่าลืมว่าเขามีคนเดียว ลูกค้าของพวกเธอล้วนเป็นผู้ชายทั้งสิ้น หากพวกเขาร่วมมือกันลุงสามอาจโดนทำร้ายร่างกายเพื่อชิงเงินไปได้การขายนาฬิการอบนี้ทำเงินให้กับเฉินเฟิ่นอี้จำนวนสามหมื่นสองพันหยวน เป็นเงินที่ต่อให้เธอไม่ทำงานก็สามารถส่งน้อง ๆ เรียนจนจบได้อย่างสบาย บางทีอาจส่งลูกหลานของเธอเรียนจบได้อีกเป็นสิบรุ่น เฉินเฟิ่นอี้ให้ลุงสามพาไปฝากธนาคารจำนวนห้าพันหยวน เป็นเงินที่จะใช้เรียนในอนาคต ตอนนี้มันมากมากถึงหนึ่งหมื่นหนึ่งพันหยวน ทำเอาลุงสามถึงกับยืนนิ่งอย่างไม่อยากเชื่อเจ็ดพันหยวนเป็นเงินเก็บของเฉินเฟิ่นอี้ ตอนนี้เธอมีเงินส่วนตัวมากกว่าเงินที่จะใช้เรียนเสียอีก แต่สำหรับเฉินเฟิ่นอี้มันยังไม่พอ เธอต้องการให้บ้านเฉินสามารถอยู่เฉย ๆ ได้เมื่อแก่เฒ่า เงินที่มีมันสามารถหมดไปได้ตลอดเวลา ยิ่งเธอต้องการจะซื้อบ้านอีกอีกสองหมื่นหยวนแบ่งเก็บไว้เป็นเงินเก็บของบ้านหากมีเรื่องสำคัญที่ต้องใช้ และเงินสำหรับใช้จ่ายภายในบ้านอย่างละครึ่ง เฉินเฟิ่นอี้จะนำเงินใช้จ่ายภายในบ้านหนึ่งพันหยวนให้กับย
เฉินเฟิ่นอี้ เฉินตงและลุงสามนัดกันตื่นตั้งแต่เช้ามืด พอเก็บของเสร็จก็จัดการเก็บของไว้ในรถให้เรียบร้อย จากตอนแรกที่มาโดยรถว่างเปล่าตอนนี้มันถูกจับจองด้วยอาหารแห้งต่าง ๆ ยังมีนมผงสำหรับเฉินชิงชิงอีกหลายกระป๋องนอกจากอาหารแห้งแล้ว เช้าวันนี้เฉินเฟิ่นอี้ยังนำของออกมาจากคลังระบบอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะผลไม้ที่เธอหมุนสุ่มมาจากวงล้อ ของในคลังระบบเธอมีมากนับพันอย่าง ยิ่งของที่บ้านเฉินได้กินก็เป็นหนึ่งในของที่นำมาจากระบบของอะไรที่ไม่สามารถอยู่ได้นานเฉินเฟิ่นอี้ก็ยังไม่หยิบออกมาใส่รถ เอาไว้ใกล้ถึงหมู่บ้านเธอค่อยนำมันออกมาก็แล้วกัน อย่างพวกเนื้อสดเธอจะนำออกมาสิบชั่งก็เตรียมที่วางไว้เมื่อถึงเวลาที่นัดหมายกับหมอเอาไว้ เฉินเฟิ่นอี้ก็กินอาหารเสร็จพอดี ทั้งสามไม่รอช้ารีบไปต่อแถวรับคิวเพื่อเข้าฟังผลตรวจ โชคดีที่การรับผลตรวจมีคนไม่เยอะมากจึงรอคิวเพียงไม่กี่นาทีเฉินเฟิ่นอี้จึงได้พบหมอพร้อมเฉินตงและลุงสาม“เลือดของเธอที่หมอนำไปตรวจพบสารเคมีชนิดหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในแถวชนบท”เฉินเฟิ่นอี้ที่เดาผลได้แล้วยังชะงักเมื่อได้ยินผลตรวจ แม้จะผ่านมาหลายเดือนแล้วแต่ยังมีสารเคมีอยู่ในเลือด นั่นมันหมายความว่าสารเคมีใ
เฉินเฟิ่นอี้ต้องตอบคำถามหลายอย่าง กว่าลุงสามจะพากลับถึงบ้านก็เกือบบ่ายสาม ได้ยินตามหลังแว่ว ๆ ก็คือพรุ่งนี้ลุงสามต้องกลับไปยังสถานีตำรวจเพื่อหารือกันต่อ ส่วนเธอตอนนี้ยังอึ้งกับลุงจางชิวหลงไม่หาย ใช่ ตอนนี้เฉินเฟิ่นอี้ได้รับอนุญาตให้เรียกว่าลุงได้ และสามารถไปหาที่สถานีตำรวจได้ตลอดหากมีปัญหาหน้าบ้านมีสมาชิกบ้านเฉินนั่งอยู่ครบพร้อมหน้าพร้อมตา นั่นหมายความว่าวันนี้ทุกคนไม่ได้ไปทำงาน แถมยังนั่งคุยกันด้วยรอยยิ้มอย่างไม่กังวลใด ๆ อีกด้วย“ไม่ได้ไปทำงานกันเหรอคะ”คำถามแรกที่เฉินเฟิ่นอี้เอ่ยเมื่อลงจากรถแล้ว ทุกคนเดินมาช่วยขนของ มองดูทุกคนมีความสุขก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยไปอีก แต่เธอทำได้เพียงหลีกทางให้ผู้ใหญ่ยกของไป ซึ่งพอเธอจะเดินไปช่วยก็ถูกดันออกมา“วันนี้บ้านอี้นำเงินมาคืนน่ะ ปู่เลยให้พักรอรับพวกลูกกลับบ้านด้วย” พ่อของเธอตอบ มือทั้งสองข้างถือกระสอบอาหารแห้งเดินนำเธอไปยังแคร่ไม้หน้าบ้านเฉินเฟิ่นอี้ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเรื่องนี้ วันนั้นบ้านอี้ยังแสดงท่าทีว่าไม่มีทางนำเงินมาคืนอยู่เลย ทำไมถึงเปลี่ยนใจขึ้นมาได้ ถ้าเรื่องถึงนายอำเภอมันจะไม่ใช่เรื่องเล็กก็จริง แต่นี่คือบ้านอี้เลยนะ เฉินเฟิ่นอี้หันไปม
วันที่ 5 เดือน 3 ปี 1984 งานมงคลสมรสของเฉินเฟิ่นอี้และโอวหยางจิงจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่ได้รับเชิญต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างหนาแน่น เฉินเฟิ่นอี้ต้องลุกมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืด ทั้งต้องคอยถามถึงหน้างานเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาดในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง สิ่งที่รอคอยนั่นคือการแต่งงานสักครั้งในชีวิต ในตอนที่เป็นแป้งร่ำ เธอพลาดโอกาสนั้นแล้ว ครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ย่อมไม่พลาด"พี่สาวสามสวยมาก" เฉินเหม่ยเย่เอ่ยชมพี่สาวด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ไม่ใช่งานของตนเองนาน ๆ ที เฉินเฟิ่นอี้จะได้แต่งหน้าและแต่งตัว หากไม่ใช่วันสำคัญ แต่ก็ไม่ได้จัดเต็มเหมือนวันนี้ ภายใต้ชุดสีแดงมงคล เฉินเฟิ่นอี้เป็นผู้หญิงที่สวยมากในสายตาของน้องสาว"พี่สาวสามของเธอเป็นคนสวยมาตั้งนานแล้ว หล่อนแค่ไม่แต่งตัวเหมือนกับเธอที่ต้องทำงาน" พี่สาวใหญ่เดินเข้ามานั่งใกล้น้องสาวภายในห้องเจ้าสาวตอนนี้ มีพี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง เฉินเหม่ยเย่ และเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นเจ้าสาว ทั้งสี่คนเป็นหลานสาวสายหลักของลุงสามที่เป็นผู้นำตระกูล ต่อให้แต่งงานแล้วแต่ยังเป็นคนสำคัญเฉินเฟิ่นอี้แต่งงานแล้วเธอจะเป็นคนของตระกูลโอวหยาง แต่ว่ายังสามารถมีปากเสียงในตระกูลเ
ต่อให้เร่งมากแค่ไหน การสร้างบ้านยังต้องใช้เวลาสองเดือน เฉินเฟิ่นอี้จึงใช้เวลาที่ว่างในการช่วยเฉียนลี่เซียนเปิดร้านตัดเย็บ มันเป็นเพียงการตัดเย็บที่ลูกค้าสั่งตัดไม่เกินห้าตัว ปะซ่อมบริเวณที่ขาดกว่าบ้านจะเสร็จ ร้านตัดเย็บเฉียนก็เริ่มเข้าที่แล้ว เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เธอปล่อยให้หล่อนจัดการร้านเอาเอง เพราะมีเฉียนเฟยเข้ามาช่วยจึงไม่ค่อยห่วงนักบ้านที่สร้างใหม่เป็นบ้านปูนห้าห้องนอน ล้อมรั้วแข็งแรงไม่ให้คนนอกเข้าไป แต่เฉินเฟิ่นอี้ฝากกุญแจให้ผู้ใหญ่บ้านจ้างคนไปทำความสะอาดข้างนอกบ้านให้ รวมถึงถางหญ้าในที่ดิน ค่าดูแลเดือนละยี่สิบหยวน แน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยอมจ่ายทันทีที่บ้านเสร็จ กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ก็เดินทางกลับปักกิ่งเพื่อเริ่มงาน พวกผู้หญิงมีงานถ่ายแบบเข้ามาบ้าง เฉินเฟิ่นอี้อนุญาตให้ทำและลดเงินเดือนบางส่วนของพวกหล่อนลงร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ยอีกสองสาขาอยู่ห่างจากสาขาใหญ่พอสมควร แต่เป็นบริเวณที่มีคนเดินผ่าน แน่นอนว่าร้านของเธอพี่ใหญ่เฉินเป็นคนหาให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าสาขาที่สองเป็นสาขาที่เฉินเฟิ่นอี้สร้างร่วมกับน้องชายน้องสาว ส่วนสาขาใหญ่ตอนนี้มันเป็นเพียงชื่อของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าการ
งานมงคลผ่านไปแล้ว มีแต่คนอิจฉาเจ้าสาวเพราะได้รับสินสอดจำนวนมาก หลังงานมงคลเฉินเฟิ่นอี้เรียกผู้รับเหมาเข้าไปดูบ้านพร้อมกับสร้างบ้านใหม่ด้วยเวลาอันน้อยนิด เฉินเฟิ่นอี้จ่ายไม่อั้นเพื่อให้บ้านเสร็จก่อนกลับปักกิ่ง แต่ถึงจะเสร็จไม่ทันเธอก็จะรอให้มันเสร็จก่อนอยู่ดี ต่อให้มีคนนินทาและด่าว่าโง่ที่เอาเงินมาทิ้งกับบ้านที่ไม่ได้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้สนใจ"พี่จัดการเรื่องผ้าถุงเสร็จแล้ว พวกเรากลับไปที่ร้านกันก่อนเถอะครับ" โอวหยางจิงบอกคนรักที่นั่งรออยู่ในโรงงานวันนี้เฉินเฟิ่นอี้เข้ามาจัดการเรื่องที่จะให้โรงงานส่งผ้าถุงเข้าไปในปักกิ่ง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยินดีจ่าย ขอแค่ให้ของไปถึงมือส่วนร้านเซี่ยเซี่ยร้านแรกของเธอจะยุติการขาย เรื่องนี้ได้คุยกับลุงเหว่ยเทาไปแล้วตอนที่กลับมาถึงวันแรก แต่ต้องเข้าไปคุยอีกทีเพื่อยกเลิกสัญญาพอมีการประกาศออกไปดูเหมือนว่าทุกคนจะตกใจและรีบมาซื้อเก็บเอาไว้ สินค้าจะมีเหลือให้ขายเพียงห้าพันผืนสุดท้าย หากขายหมดก่อนร้านจะปิดลงทันที"ค่ะ"หากเป็นเมื่อก่อนเฉินเฟิ่นอี้กับโอหยางจิงคงปั่นจักรยานกัน แต่ตอนนี้คุณลุงโอวหยางให้คนรักของเธอนำรถมาใช้งานระหว่างอยู
วันที่เจ็ดเดือนสามปี 1982 กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้เดินทางมาถึงบ้านพักในอำเภอจวี่ที่เป็นบ้านหลังเดิม และเพื่อนของลุงสามเป็นคนจัดพื้นที่เอาไว้ให้แล้วการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มีผู้ใหญ่บ้านเฉินเดินทางมาด้วย มีเพียงผู้ปกครองที่เดินทางกลับบ้าน เฉินเฟิ่นอี้พร้อมกับน้อง ๆ ต้องการมาเข้าร่วมงานมงคลของเว่ยฟ่งกับเจียวซีถึงได้ตามกันมา ยกเว้นเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านที่ปีนี้อายุสิบเอ็ดปีแล้วเฉินเฟิ่นอี้รับกุญแจจากลุงเหว่ยเทาทันทีที่มาถึง บ้านพักหลังนี้ถือว่าเป็นความทรงจำของเธอก็ว่าได้ อยู่มาตั้งหลายปี ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม"คุณลุงเหว่ยไม่ได้ปล่อยบ้านให้คนอื่นเช่าเหรอคะ" เฉินเฟิ่นอี้หันไปถามเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ในห้องโถง และสอบถามเรื่องราวระหว่างที่ไปอยู่ในปักกิ่ง"บ้านหลังนี้หลานบอกว่ามันเป็นความทรงจำไม่ใช่หรือ ถึงลุงไม่ได้ขายให้แต่ก็เก็บเอาไว้รอพวกหลานกลับมา" เหว่ยเทายิ้มเล็กน้อยเขาไม่ได้แต่งงานมีภรรยา สมบัติที่มีอยู่จึงเป็นของเขาและมีรายได้จากการปล่อยเช่าห้องพัก ไม่จำเป็นต้องปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ให้คนอื่น และเด็กบ้านเฉินก็เหมือนลูกเหมือนหลานของเขา"ขอบคุณค่ะ""ลุงสามฝากบอกว่าถ้ามีเวลาให้ขึ
หลังงานเลี้ยงจบลง ข่าวที่หลายคนจับตามองมากที่สุดไม่พ้นหลานชายหลานสาวของตระกูลเฉินมีคนรักแล้ว หลายคนยังคงต้องการขยับความสัมพันธ์ เผื่อว่าวันหน้าจะมีโอกาส จึงจ้างกลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ไปร่วมงานอยู่บ่อย ๆช่วงปิดภาคเรียนเป็นช่วงที่ต้องทำหลายอย่าง กว่าจะลงตัวก็เปิดภาคเรียนแล้ว ภาคเรียนที่สองเป็นภาคเรียนที่เหนื่อยมาก บ่อยครั้งที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องนอนในหอพักของมหาวิทยาลัยความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนยังคงหนาแน่น ยิ่งที่บ้านย้ายเข้าไปอยู่ในเขตตระกูลเฉิน ทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านพักทำให้ได้พบเจอหน้ากันทุกวันยิ่งได้อยู่ด้วยกันกับเฉินเฟิ่นอี้ ทุกคนต่างลงความเห็นที่จะทำงานกับเพื่อนสาว เว่ยฟ่งถึงขั้นต่อสายมาหาพ่อกับแม่เรื่องที่เขาเรียนจบแล้วจะกลับไปแต่งงานกับเจียวซีแล้วจะกลับมาอยู่ในปักกิ่งคนอื่น ๆ ก็มีท่าทีไม่ต่างกัน ผู้ชายเข้าไปช่วยรุ่นพี่โอวหยางจิงทำงาน ผู้หญิงช่วยเฉินเฟิ่นอี้ในร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ย ตอนนี้ได้ค่าตอบแทนน้อย แต่ถือว่าคุ้มเพราะช่วยอยู่เบื้องหลังแค่มาเรียนปีแรกก็ทำเอาผู้ปกครองปวดหัวแล้ว ปีที่ีสองยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่มีใครกลับบ้านในช่วงปิดภาคเรียน ถ้าอยากเจอก็ให้เดินทางมาหาความสัมพัน
หลานชาย หลานสาว รวมถึงกลุ่มเพื่อนสนิทถูกจับแต่งตัวให้เหมาะสมกับงานสำคัญ อันที่จริงกลุ่มเพื่อนของเฉินเฟิ่นอี้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมก็ได้ แต่ทุกคนลงความคิดเห็นว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของบ้านเฉินแล้วแขกภายในงานมีหลายคนที่เคยสนิทกับคนในตระกูลเฉิน เพราะฉะนั้นเฉินเฟิ่นอี้จึงพยายามบอกคนอื่นให้หลีกเลี่ยงเท่าที่จะทำได้เฉินเฟิ่นอี้มองชุดที่ออกแบบด้วยฝีมือของพี่เยี่ยฉิงจากร้านเยว่ซิน ทันทีที่จะมีการจัดเตรียมงานเธอได้ทำการติดต่อขอตัดเย็บเสื้อผ้าให้ และตระกูลเยี่ยคือหนึ่งในพันธมิตรของปู่เธอ"เสียดายจริง ๆ ที่เธอไม่คิดจะทำงานในวงการบ้างหรือ" เยี่ยฉิงมองชุดบนตัวของเฉินเฟิ่นอี้"ไม่ละค่ะ ฉันชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่า" เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธไป ให้ช่วยแต่งหน้าหรือทำอย่างอื่นได้ แต่จะให้ถ่ายแบบเธอทำไม่ได้จริง ๆ"อื้อ ๆ ฉันก็ว่าแบบนั้นดูเป็นเธอมากกว่า" หล่อนหัวเราะเฉินเฟิ่นอี้เป็นเจ้าของร้านผ้าถุงที่ออกแบบลวดลายเอง เยี่ยฉิงเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าที่ไม่ถ่ายแบบงานตัวเอง จึงเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเยี่ยฉิงที่ช่วยเฉินเฟิ่นอี้แต่งตัวแล้วเดินไปช่วยคนอื่นต่อ ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้แต่งตัว แน่นอนว่างานส
ข่าวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งของหลายวันมานี้จะเป็นข่าวอะไรไปไม่ได้นอกจากข่าวผลัดเปลี่ยนผู้นำตระกูลเฉิน เป็นผู้นำที่หลาย ๆ คนคิดว่าเหมาะสมที่สุด นั่นก็คือ เฉินจงอี้ หรือปู่เฉินของเด็ก ๆ บ้านเฉิน ที่รับช่วงต่อระหว่างรอลูกชายทั้งสี่เรียนรู้งานเฉินเฟิ่นอี้ให้พี่ใหญ่เฉินส่งคนคอยตามคนตระกูลเฉินไปอย่างลับ ๆ เธอไม่ไว้ใจพวกเขา อย่าลืมว่าเฉินหานกับ เฉินหว่านทั้งสองต่างมีชื่อเสียง เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ และปู่รอง ปู่สามของตระกูลจะไม่มีน้ำยาทำอะไรจริง ๆ น่ะหรือ"ปู่คะ ฉันว่าพวกเราอยู่ที่บ้านนี้สักพักก่อนดีกว่าค่ะ ส่วนบ้านหลังนั้นก็ให้คนเข้าไปเก็บกวาดซ่อมแซมใหม่ก่อน" เฉินเฟิ่นอี้เสนอเมื่อปู่เฉินจะพาทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านตระกูลเฉินบ้านมันเก่ามากแล้วควรทำความสะอาดครั้งใหญ่ อีกอย่างเธอก็ไม่รู้ว่าข้างในจะมีอะไรที่เป็นอันตรายหรือไม่ และเธอสะดวกใจที่จะอยู่บ้านพักหลังนี้มากกว่า แต่ว่าถ้าปู่เฉินต้องการที่จะย้ายไปเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ขอเพียงให้มั่นใจก่อนว่ามันจะปลอดภัยจริง ๆช่วงนี้เธอไม่สามารถติดต่อกับระบบได้และมันก็หายไปหลายวันแล้ว ทำให้เฉินเฟิ่นอี้เป็นกังวลและคิดว่าควรรอมากกว่า"ทำไมล่ะ ที่จริงพวกเร
ปู่เฉิน ย่าเฉิน ลุงใหญ่ ลุงรอง ลุงสาม พ่อของเธอ พี่ใหญ่เฉิน และเฉินเฟิ่นอี้อยู่บนรถยนต์เพื่อเดินทางไปยังตระกูลเฉินตามที่เคยบอกเฉินหว่านเอาไว้ เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้พูดเล่น ตอนนี้ตระกูลเฉินมีหนี้และอีกไม่นานกิจการค้าขายที่เคยเป็นของปู่เฉินก็จะถูกยึด พี่ใหญ่เฉินกล่าวว่ามีคนจากตระกูลเฉินขอกู้เงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนแลกกับกิจการเฉินเฟิ่นอี้นั่งข้างคนขับซึงก็คือพี่ใหญ่เฉิน นอกจากพวกเธอแล้วยังมีนายทหารอีกสองคันที่พี่ใหญ่เฉินพามาด้วย ดูเหมือนว่าตระกูลเฉินจะไม่มีเงินจ้างคนทำความสะอาดทางเข้า เขตบ้านตระกูลเฉินรกมากรถยนต์ดับลงหน้าบ้าน สมาชิกบ้านเฉินลงจากรถ เฉินเฟิ่นอี้เดินไปหาย่าเฉินที่อยู่ในวงล้อมของลูก ๆ เฉินเฟิ่นไม่ได้กลัวแต่ถ้าเกิดมีการลงไม้ลงมือกัน อย่างน้อยอยู่ใกล้ย่าเฉินจะปลอดภัยที่สุด“ที่นี่คือตระกูลเฉินเหรอคะ?”เฉินเฟิ่นอี้มองไปยังบ้านหลายหลังที่อยู่ติดกัน ด้านหน้าทางเข้าพบว่าเป็นบ้านสมัยใหม่ที่ดูดี แต่พอเข้ามาด้านหลังต้องบอกว่ามันทรุดโทรมมาก โดยเฉพาะหลังที่เป็นเหมือนบ้านรวม ตัวหลังคาหน้าบ้านมันแตกแล้ว“เปลี่ยนไปมากจริง ๆ” ปู่เฉินว่าด้วยความเสียดาย ที่ผ่านมาเขาคิดว่าจะมีคนดูแลที่นี่เหมือนก
เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดร้านนานหลายวัน เฉินเฟิ่นอี้กลับมาเปิดร้านอีกครั้งและจ้างคนมาเฝ้าหน้าร้านถึงสามคนเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หนังสือพิมพ์ลงข่าวทายาทของเจ้าของกิจการที่ยกให้น้องชายก่อนที่เขาจะหายตัวไปพร้อมครอบครัว ทำให้ร้านผ้าถุงมีลูกค้าเข้ามาซื้อของมากขึ้น และมีหลายร้านที่มาจ้างให้เฉินเหม่ยเย่ไปถ่ายงาน นอกจากนี้กลุ่มเพื่อนผู้หญิงก็ยังมีงานตามมาอีกไม่ต่างกันเฉินเฟิ่นอี้นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อตรวจสอบบัญชีของเมื่อวานที่ยังไม่ได้จัดการ ข้าง ๆ กันมีโอวหยางจิงที่ตามมาด้วย เห็นบอกว่างานในโรงงานไม่ได้มีอะไรให้ทำและไม่ได้รับลูกค้าเพิ่ม เพียงตัดเย็บให้ร้านของเธอกับตัดเย็บเสื้อผ้าให้ร้านเยว่ซินก็ทำแทบไม่ทันแล้ว"เมื่อวานโจวซิงฉือบอกว่าที่บ้านติดต่อมา มีคนเข้าไปหาพวกเขาสอบถามถึงเรื่องของเธอ แต่ครอบครัวของเขาบอกไปว่าไม่รู้จักเธอ" โอวหยางจิงเอ่ยขึ้นระหว่างที่นั่งมองคนรักทำงานทุกคนติดต่อไปยังครอบครัวเพื่อให้บอกว่าไม่รู้จักบ้านเฉินหรือหากพวกเขามีพยานให้ตอบว่าเป็นเพื่อนของลูกเท่านั้นไม่ได้รู้จักสนิทสนม และเป็นคำสั่งของเฉินเฟิ่นอี้เองเพื่อความปลอดภัยของทุกคน และไม่มีใครถามเนื่องจากเชื่อในตัวของเพื่อน