บนแท่นนอนเดียวกัน
กลิ่นกายสาวหอมยวนใจลี่หยางใจไหวเอนแต่ยังนอนนิ่งจนเกือบจะเป็นตะคลิว ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ด้วยไม่เคยชิดใกล้หญิงใดมาก่อน หว่านหนิงก็นอนลืมตาโพลง วันนี้ก็คงหมือนคืนที่ผ่านมา ไร้ซึ่งการร่วมหอ
"องค์ชาย ถ้าต้องไปยกน้ำชาให้ฮองเฮา แล้วผ้าปูก็ๆๆๆ ไม่มีรอยเลือด"
อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น ในเมื่อเขาเป็นที่น่ารังเกียจแล้วยังทำให้หว่านหนิงต้องอับอาย หากใครรู้เข้าว่าไม่มีการร่วมหอมิต้อง ถูกประณามเช่นนั้นหรือ
"ไม่มีใครใส่ใจ ..เพียงนั้น ไม่มีใครสนใจเรื่องราวของข้า.. จะร่วมหอกับเจ้าหรือไม่ ไม่มีใครใส่ใจ"น้ำเสียงขาดหายไปในลำคอ
"แต่ ข้าแต่งเข้าตำหนักร้อยดาวสองคืนแล้ว"
เหมือนจะย้ำว่าเป็นคืนที่สองแล้ว
"เจ้าต้องการเช่นนั้นหรือ"
คำพูดเฉยชาไร้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนกำลังพูดถึงเรื่องทั่วๆ ไปอย่างเช่นเสื้อที่จะสวมสีอะไรหรือวันนี้จะกินอะไรดี หว่านหนิงเสียอีกที่หน้าแดงไปถึงหู
พลิกร่างใหญ่ขึ้นคร่อมเล็กไว้ บางอย่างในกายกระตุ้นเตือน แต่เขากลับไม่รู่ว่าจะต้องปฏิบัติตัวเช่นไรถึงจะถูกใจหว่านหนิง ตำรากามสูตรก็มีแต่เพียงรูป ไม่เคยได้ร่ำเรียนหรือเที่ยวเตร่เหมือนองค์ชายอื่น
หว่านหนิงนั้นเล่าถึงจะเคยเรียนรู้มาบ้างก็เป็นหญิง จะออกหน้าก็เขินอาย
โน้มตัวลงหว่านหนิงหลับตา ลี่หยางประหม่าสิ้นดีจะทำอย่างไรก็กลัวจะไม่ถูกใจหว่านหนิงจ้องมองใบหน้าอยู่ถึงอึดใจใหญ่ๆ จึงกลายเป็นสุดท้ายลี่หยางต้องพลิกตัวลงนอนข้างๆ
"ไว้ให้ข้า ..มีความกล้ากว่านี้ก่อน"
น้ำเสียงจริงใจไร้การเสแสร้ง หว่านหนิงถอนใจ ชีวิตคู่จบลงเพียงเท่านี้หรือไร ไร้การร่วมหอไร้ความผูกพัน
หว่านหนิงข่มตาหลับใหล ลี่หยางนอนลืมตาโพลงจะหลับลงได้อย่างไรในเมื่อร่างอ้อนแอ้นหอมกรุ่นนอนอยู่ข้างกายเช่นนี้ แล้วยังจะบางอย่างในกายที่ถูกปลุกจน ไม่มีทางจะสงบลงง่ายๆ
แสงทองส่องลอดหน้าต่างลมเย็นพัดเข้ามาเบาๆ หว่านหนิงยกผ้าห่มที่ทับร่างอยู่สองผืนออก ลี่หยางลุกไปแล้วคงห่มผ้าห่มให้หว่านหนิงเมื่อเขาลุกจากแท่นนอน อย่างน้อยก็มีความห่วงใยเพิ่มมาในวันนี้
ออกมานอกห้องนอน ร่างสูงนั่งหันหลังบนเก้าอี้กำลังลงมือเกล้าผมเอง หว่านหนิงเดินเข้าไปจับมวยผมแต่จับโดนมือของลี่หยาง เขารีบหดมือกลับปล่อยให้ผมหลุดร่วงลงมา
"ข้าช่วยท่าน"
รวบผมเบาๆ กลัวอีกคนเจ็บเกล้าเสียเรียบร้อยสวยงามเดินไปหยิบหมวกมาส่งให้
เหลือบไปเห็นชายเสื้อขาดหลุดหลุย
"ข้าเย็บเสื้อให้ท่านดีไหม"
หยิบเข็มและด้ายนั่งคุกเข่าลงข้างหน้าก้มลงเย็บชายเสื้อที่อยู่ตรงเอวหนา ใจเต้นแรงหน้าแดงถึงหู ก็สายตาอยู่ระดับเป้ากางเกงพอดี ลี่หยางก้มมองหว่านหนิงเย็บเสื้อด้วยความรู้สึกหลากหลาย ใจคอกระวนกระวายกระสับกระส่ายไม่เป็นท่าแต่กลับข่มความรู้สึกไว้เสมองทางอื่นเสีย
เหมือนกับหยุดเวลาไว้ทุกอย่างผ่านไปเชื่องช้า
"องค์ชายนั่งรอเพียงครู่หว่านหนิงทำเครื่องเสวยเช้าให้ วันนี้ห้องเครื่องนำไก่ตัวหนึ่งมา ยังเช้าอยู่หว่านหนิงเร่งมือคงไม่นานเท่าไหร่"
"วันนี้ฝ่าบาทออกว่าราชการข้ารั้งอยู่จนสายก็ได้ ไม่ต้องถวายงานที่ตำหนักเพราะกว่าขุนนางจะมาจนครบก็สายพอดี"
นั่งลงหยิบหนังสือมาอ่าน หว่านหนิงหันหลังเดินเข้าไปในห้องที่ถูกดัดแปลงเป็นห้องเครื่อง อิงไถกับกุ้ยอิงจัดแจงวัตถุดิบจนเรียบร้อยเหลือแต่เพียงขั้นตอนการปรุง
อาหารบนโต๊ะหน้าตาและสีสันน่ากินรสชาติยิ่งไม่ต้องพูดถึง ลี่หยางส่งถ้วยข้าวให้อิงไถตักเพิ่มถึงสองครั้ง
หว่านหนิงได้แต่เพียงมองลี่หยางแบบยิ้มๆ
"องค์ชาย ข้าน้อยรับบัญชาฮองเฮาให้มาดูแล องค์ชาย"
ขันทีหนุ่มน้อยคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า
ลี่หยางขมวดคิ้ว ร้อยวันพันปีไม่เคยได้รับความเมตตา หลายวันมานี่หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย
"คนของฮองเฮา เช่นไรถึงให้มารับใช้ข้า"ถามแบบพาซื่อจริงๆ
"ฮองเฮาเห็นว่า องค์ชายทรงต้องมีคนดูแล เกรงว่า (เหลือบมองหว่านหนิง) พระชายาจะ …ไม่สบายใจที่องค์ชายไร้คนดูแล"
ทำไมต้องอ้างหว่านหนิงด้วย ลี่หยางใบหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม หว่านหนิงยิ้มบางๆ
"ดีแล้วมาคอยรับใช้องค์ชาย ช่วยกันดูแลตำหนักร้อยดาวอยู่ที่นี่เสียด้วยกัน"
หว่านหนิงคิดว่าต้องพูดอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการขอบคุณ หากคำพูดบางอย่างนี้จะไปถึงหูฮองเฮา ลี่หยางขยับตัวเดินออกจากตำหนักเสี่ยวกู้เดินตามติดๆ
ใบหน้าใสซื่อและท่าทีเงอะงะไร้ซึ่งไหวพริบสร้างความขบขันให้กับอิงไถและกุ้ยอิง
"พระชายา ตอนนี้ตำหนักร้อยดาว เกือบจะสมบูรณ์แบบแล้วนับว่าพระชายาเก่งไม่น้อยตำหนักร้อยดาวจึงสดใสขึ้นมาเมื่อมีพระชายาแต่เดิมไม่มีใครกล้าย่างกราย”
“เรื่องเล่าใดกัน ที่ทำให้ผู้คนเกลียดกลัว”
แม้จะเคยผ่านหูมาบ้างแต่ก็ยังอยากได้ยินจากคนในอยู่ดี
“ เรื่องเล่าที่ว่าองค์ชายเกิดมาพร้อมกับดวงพิฆาต หากผู้ใดย่างกรายเข้าใกล้มักจะประสบเคราะห์กรรมแล้วยังจะเรื่องเล่าเรื่องวิญญาณพระสนมที่วนเวียนคอยดูแลองค์ชาย”
“มีใครเคยเห็น”
กุ้ยอิงทำท่าทีขนลุกขนพองเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่อิงไถส่ายหัวไปมา
“ไม่มีเพคะ แต่เป็นเรื่องเล่า ตั้งแต่องค์ชายห้าเสด็จมาอยู่ที่นี่เพียงลำพังตั้งแต่ห้าขวบ”
“ห้าขวบ อายุยังน้อยทำไมถึงต้องอาศัยในตำหนักเพียงลำพัง”
“ไม่มีใครกล้ารับเข้าตำหนักฝ่าบาทก็จนใจ องค์ชายตอนนั้นทรงโตเกินตัวบอกกับฝ่าบาทว่าขอมาอยู่ที่นี่เอง”
หว่านหนิง ทอดถอนหายใจคนผู้หนึ่งจะเผชิญความทุกข์ตรมโดดเดี่ยวได้แค่ไหนกัน
“แล้วตั้งแต่นั้นมา ก็มีเสียงร่ำลือเรื่องดึกดื่นได้ยินเสียงคร่ำครวญของ พระสนมมารดาขององค์ชาย หรือบางทีก็มักมีคนเห็นเงาวูบวาบ”กุ้ยอิงพูดที่ขึ้นด้วยท่าที หวาดกลัว หว่านหนิงขมวดคิ้วลี่หยาง ฟุบหน้าลงบนโต๊ะร่างอักษรหลับสนิท ฮ่องเต้และขันทีข้างกายฝานกงกงเดินเข้ามาพร้อมกัน“คนหนุ่มเพิ่งจะแต่งชายาเข้ามาในตำหนักเมื่อคืนคงจะอดนอน เอาเบาะมา”ฝานกงกงรีบไปหยิบเบาะมาจากแท่นบรรทม ฮองเต้ยกคอของลี่หยางขึ้นเบาๆ สอดเบาะไปรองศีรษะไว้ให้อย่างอ่อนโยน“ปล่อยเขานอนไปให้พอ ห้ามใครปลุก”ฝานกงกงยิ้ม รวบเก็บกระดาษม้วนไว้ให้อย่างเรียบร้อย ก่อนจะปิดห้องปล่อยให้ลี่หยางหลับอยู่ตรงนั้น ก็จะไม่อดนอนได้อย่างไรในเมื่อทั้งคืนใจเต้นตุมๆต่อมๆตลอดคืน ทั้งหักห้ามใจด้วยบางครั้งก็อยากจะลองแต่อีกใจก็ไม่กล้าตำหนักร้อยดาวฮองเฮาในอาภรณ์เต็มยศสวยสง่า แม้อายุจะล่วงเลยไปวัยกลางคนแล้วก็ตาม เดิน เข้ามาในเขตตำหนักร้อยดาวที่สะอาดสะอ้าน ต้นไม้ใบหญ้าผลิดอกออกใบเขียวชอุ่ม ด้วยมีคนดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ย นางกำนัลเดินตามเข้ามาถึงแปดคนข้างละสี่คนแทบจะไม่ต้องเดินเองด้วยซ้ำไป“ฮองเฮาเสด็จจจจ” หว่านหนิง อิงไถกับกุ้ยอิง รีบเดินมาประสานมือคุกเข่าตรงห
นึกว่าวันนี้จะกล้ากว่าเมื่อวานใบหน้าที่เคยเรียบเฉยซีดขาวบัดนี้กลับมีสีแดงระเรื่อเหมือนเด็กสาว“องค์ชาย หว่านหนิงออกไปก่อนแล้วองค์ชายค่อยไปอาบน้ำ”“ข้าไม่อาบแล้ว”พาตัวเองออกจากผ้าม่านลืมเสียสนิทว่าเปลือยอยู่ พอโผล่ออกมาก็นึกได้ หว่านหนิงเขินเหมือนกันจึงหลับตาเสีย ใจลี่หยางเต้นแรงยิ่งกว่ากลองศึก หว่านหนิงพาตัวเองออกมาจากห้องน้ำคนอะไรไม่ประสาเรื่องแบบนี้บ้างเลยหรือ หว่านหนิงอมยิ้มนึกขำ“เสี่ยวกู้ดูแลองค์ชายอย่างไรกันถึงให้องค์ชายอาบน้ำเพียงลำพัง”หว่านหนิงแก้เก้อโดยการว่ากล่าวเสี่ยวกู้ที่ยืนเก้กังอยู่ตรงนั้น“องค์ชายบอกไม่คุ้นชินกับการปรนนิบัติ พระชายาโปรดอภัย”หว่านหนิงถอนหายใจ ชีวิตที่ผ่านมาคงเคยชินแต่การใช้ชีวิตลำพังลี่หยางหย่อนตัวลงในน้ำ ทอดถอนหายใจยาวเหยียด นางเป็นภรรยาทำไมเขาถึงต้องเขินอายขนาดนั้นด้วยเครื่องเสวยเย็นรสชาติถูกปากอีกตามเคย เป็นเพราะเขาไม่เคยได้กินของดีหรือว่าของที่กินมีแต่ของเหลือจากตำหนักต่างๆ ที่แอบไปหยิบมาจากห้องเครื่องค่ำคืนหนึ่งในวันครบรอบวันตายของมารดาเขาจุดธูปกลิ่นฟุ้งไปไกล ไม่มี งานครบรอบไม่มีการรำลึกถึง ฮ่องเต้ให้ฝานกงกงนำป้ายชื่อมารดามาวางไว้ในตำหนักให
หว่านหนิงดันอกกว้างพาตัวเองออกมาจากอ้อมกอดลี่กวงเดินเข้ามาข้างในอย่างถือวิสาสะทันได้ เห็นหว่านหนิงในอ้อมกอดของลี่หยางพอดี“พี่ห้าหมั่นเติมความหวานเช่นนี้ด้วยหรือ”ลี่หยางหน้าแดงด้วยความโกรธหาใช่ความอาย“ถวายพระพรไท่จือ" หว่านหนิงย่อกาย ลี่หยางหันมองหน้าหว่านหนิงเหมือนจะบอกว่ารู้ได้อย่างไรว่าลี่กวงคือองค์รัชทายาท“ป่วยหรือ ข้าเห็นขันทีตำหนักร้อยดาวหอบยามา”สายตาเย้ยหยัน เหมือนจะบอกว่าอย่ารีบหาย รีบๆ ตายไปเสียกระนั้น“องค์ชาย ตัวร้อนจับไข้หว่านหนิงเลยช่วยป้อนยา องค์ชายเป็นคนไม่ชอบรสขมหว่านหนิงจึงจำเป็นต้องใช้ปากป้อนตามประสาสามีภรรยา”ลี่หยางไม่เข้าใจว่าทำไมหว่านหนิงต้องอธิบายวิธี ป้อนยาแบบนั้นให้ลี่กวงฟังด้วย หว่านหนิงตั้งใจบอกให้ลี่กวงรู้ว่าลี่หยางเป็นที่รักแววตาลุกโชนด้วยความอิจฉา“ข้าคงต้องยืมวิธีนี้ไปป้อนยากับไท่จือเฟยบ้าง เห็นจะดีไม่น้อย”หว่านหนิงยิ้ม“หากคนผู้นั้นไม่ดื้อดึงก็คงไม่ต้องใช้วิธีนี้ องค์ชายห้าหากเชื่อฟังหว่านหนิงสักนิดก็คง จะไม่ต้องให้ป้อนกัน”ยิ้มเอียงอาย ไท่จือคิดว่ารอยยิ้มช่างน่ามองไม่น้อยแต้ลี่หยางกลับคิดว่านางจงใจยิ้มให้ลี่กวงหรือไร"ไท่จือท่านมีธุระอันใด""ข
“กงกง”ลี่หยางยืนอยู่ในตำหนักของฮ่องเต้ ข้างหน้าฝานกงกง“องค์ชาย มีเรื่องใดให้ฝานกงกง รับใช้” ประสานมือคารวะอ่อนน้อม“ข้า (อายจนหน้าแดง) ....ต้องการตำรากามสูตร..”ฝานกงกงอมยิ้ม เอ็นดูบุรุษหนุ่มตรงหน้าไม่น้อยก็ในเมื่อไม่มีโอกาสได้เที่ยวเตร่พบปะใคร วันๆ ต้องรับใช้ฮ่องเต้ทำงานเยี่ยงขันที“เช่นไร ที่ผ่านมาไม่ดีพอ พระชายาตำหนิองค์ชายมาหรือไร”เผลอยิ้มด้วยความอายเมื่อแย้มยิ้มใบหน้ากลับสว่างสดใส หล่อเหลากว่าบรรดาองค์ชายทั้งหลายด้วยพระมารดา ใบหน้างดงามราวกับเทพีสวรรค์จึงส่งต่อมายังลี่หยางได้ไม่ยากนัก“ข้ากับนาง..ข้ากับนางเรา..เรา”ฝานกงกงโบกมือห้าม"ตำรากามสูตรอยู่ที่ห้องหนังสือข้างในสุดขอให้ทรงพระสำราญ”ฝานกงกง เดินถอยออกมาอดยิ้มไม่ได้ลี่หยางรีบสาวเท้ายังห้องหนังสือ ชั้นในสุดรีบค้นหาตำราที่ต้องการ ตำรากามสูตรเล่มหนาถูกวางไว้บนชั้นเด่นสะดุดตา“ฮะแฮ่ม”ลี่หยางถือตำราอยู่ในมือตกใจจนทำตำราร่วงลงพื้น คนมาใหม่ก้มหยิบมาเปิดดูสีหน้ายิ้มแย้ม ในบรรดาพี่น้องเจ้าสิบสองนับว่าไม่เคยรังแกเขาเลยเพราะเป็นองค์ชายจากสนมสามัญชนจึงมักเป็นฝ่ายถูกรังแก แต่เขาก็สามารถเอาตัวรอดด้วยความหลักแหลมของเขาเอง“โอ้ น้องสิบสอ
ก่อนหน้านั้นลี่เจินที่ทำท่าทีขึ้งขังเหมือนผู้คงแก่เรียนหรือปรมาจารย์"พี่ห้าต้องอ่อนโยนกับนาง แบบนี้…"โน้มตัวลี่หยางที่แข็งขืนลงช้าๆ ยื่นหน้า จื่อปากเข้าไปใกล้ๆ ลี่หยางขืนตัวไว้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจแต่ลี่เจินไม่สนใจยังตั้งหน้าตั้งตาสอน ดัดเสียงให้ทุ้มเหมือนเสียงของลี่หยาง"ข้ารักเจ้า…."ยื่นปากเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ลี่หยางผลักร่างลี่เจินกระเด็นกระดอน"พี่ห้า ท่านไม่ยอมให้ข้าสอนเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่นางจะกล่าวชื่นชมท่านเล่า บุรุษเราคำกล่าวชมในเรื่องแบบนี้นับว่าน่าชื่นชมที่สุด เป็นยอดคนที่เดียว""แค่อธิบาย ไม่ต้องแสดงให้ข้าดูก็ได้"ปัดไหล่ที่โดนลี่เจินจับเหมือนกับมีฝุ่นผง"ไม่ได้เลย เรื่องแบบนี้สำคัญนัก ว่าแต่พี่ห้าบอกว่ายังไม่ถึงขั้นไหนนี่พี่ห้ากับนางถึงขั้นไหนกันแล้ว"ก้มหน้านิ่งไม่กล้าบอกลี่เจิน หน้าแดงถึงใบหู"จูบ""จูบนางแล้วหรือ"น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ ลี่หยางพยักหน้า"นาง ป้อนยาข้า"ลี่เจินส่ายหน้า"อย่างนั้นเขาไม่เรียกว่าจูบ ถึงว่าพี่ห้าถึงต้องหาตำรากามสูตร การจูบต้องออกมาจากใจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความบังเอิญทำให้ใจสั่นไหวก็จริงแต่ไม่หอมหวานเท่าจูบแบบจงใจ"ผู้เชี่ยวชาญมาเองทีเดียว ก็ล
นอนพักจนรู้สึกว่าสดชื่นไม่น้อยหว่านหนิงใช้เงินส่วนตัวเพราะองค์ชายห้า ไม่ได้มีเงินทองมากมายตั้งแต่เข้ามาอยู่ในตำหนักร้อยดาว เขายังไม่เคยหยิยยื่นให้แม้แต่แดงเดียว ออกเดินทางไปที่ตลาดกับอิงไถ่ตามที่คิดไว้แต่แรกร้านผ้าในตลาดที่ผู้คนในวังหลวงมักแวะเวียนเสมอ เพราะมีทั้งผ้าแพรและผ้าไหม หลากสีสันเก่าใหม่งดงาม จากต่างแคว้นก็มีขาย หว่านหนิงเข้าไปในร้านทันทีไม่รอช้า“นายหญิงวันนี้มีผ้าสวยๆ มากมายลองมาเลือกชมดูก่อน”หว่านหนิงเดินเลือกดูผ้าที่ถูกพับไว้ถูกใจผ้าไหมสีขาวมุก ดูเด่นสะดุดตาใช้มือลูบบนเนื้อผ้าตรวจตราดูความนุ่มของเนื้อผ้าว่าจะระคายเคืองหรือไม่ นึกชอบความนุ่มสบายของมันเจ้าเฟยเยี่ยนไท่จือเฟยที่เดินเข้ามาทีหลัง กลับดึงผ้าผืนนั้นไปถือไว้ในมือ“เถ้าแก่เนี้ยข้าชอบผ้าพับนี้”หว่านหนิงดึงพับผ้าในมือเจ้าเฟยเยียนมาไว้กับตัวจนเจ้าเฟยเยี่ยนเซถลา“ข้าตกลงใจว่าจะเอาผ้าพับนี้ก่อนเจ้า”อิงไถกระตุกชายเสื้อเบาๆ“ถวายพระพรไท่จือเฟย”อิงไถรีบย่อตัวลงช้าๆ“อ๋อ..เจ้า คงเป็นสะใภ้ห้าของลี่หยางตำหนักร้อยดาวใช่หรือไม่ เหตุใดยังไม่คารวะไท่จือเฟยอีกหรือ”ด้วยความที่ไม่เคยเคารพลี่หยางเป็นทุนเดิมอยู่แล้วคำพูดของเจ้าเฟยเห
งานคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ ทั่วหล้ามีการเฉลิมฉลอง ลี่หยางในอาภรณ์สีขาวมุกที่หว่านหนิงตัดเย็บให้ รูปร่างสูงโปร่งใบหน้าหล่อเหลา จนหว่านหนิงอดชื่นชมไม่ได้ คนอะไรจะหน้าตาดีได้ปานนั้น แล้วเหตุใดถึงไร้ผู้คนรักใคร่ได้ปานนี้ การสวมผ้าใหม่ในวันมงคล องค์ชายยังอยากปฏิบัติเหมือนคนทั่วไปแต่จนป่านนี้ยังไม่มีใครส่งข่าวให้ลี่หยางร่วมงานมงคล ที่น่าจะเป็นงานรื่นเริงสำหรับทุกคนในวังหลวง หว่านหนิงกวาดใบไม้รวมกันตรงหน้าตำหนัก หยิบมันมาเผาแกะเปลือกส่งให้สามี อากาศยังคงหนาวเหน็บไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ยออกมาคงจะรู้สึกเจ็บซ้ำ จนเกินจะกล่าวคำใด หว่านหนิงเองก็ไม่กล่าวคำใดให้ระคายหูเสียงแซ่ซ้องโห่ร้องจากงานเฉลิมฉลองดังแว่วมาแต่ไกลอิงไถกับกุ้ยอิงหอบอาหารจากงานเลี้ยงมาวางให้ทั้งสองคน ลี่หยางพูดขึ้นเบาๆจนเกือบจะเป็นเสียงกระซิบ“จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อพวกเขา เฉลิมฉลองสนุกสนานแต่เราต้องเร้นกายกินของเหลือที่พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันหายไป”เขาไม่แตะอาหารเหล่านั้น หว่านหนิงครุ่นคิดบางอย่าง ฮ่องเต้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเรื่องราวมากมายสามารถจัดการได้ แต่เรื่องภายในกลับไม่สามารถรับมือเสี่ยวกู้ยืนนิ่งรับรู้ถึงความเศร้าหมองนั้น
องค์ชายสิบสองพูดขึ้นดังๆ“พี่ห้ากับพระชายาแม้จะไม่ได้มาร่วมอวยพร แต่ดูสิ่งที่พวกเขาทำช่างยิ่งใหญ่เกินใคร”ฮ่องเต้ยิ้ม“ฝานกงกง ตามเจ้าห้ากับชายามาที่นี่เดี๋ยวนี้”ฝานกงกงก้มตัวก่อนจะรีบเร่งออกไปตามลี่หยางที่ตำหนักร้อยดาว“องค์ชายฝ่าบาทมีบัญชาให้องค์ชายและพระชายา เสด็จที่ลานพระราชวัง”หว่านหนิงตรงเข้าขยับเสื้อคลุมสีขาวมุกให้เข้าที่ กุมมือลี่หยางเดินตามฝานกงกงผู้คนนับร้อยที่จ้องมองบุรุษรูปงามในอาภรณ์สีขาวมุกสูงสง่า ก้าวเดินด้วยท่าทีมั่นคงข้างกายร่างบางระหงใบหน้างดงามสมกันราวกิ่งทองใบหยก เดินเคียงคู่กันมาเบื้องหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้“ เจ้าห้าพลุอักษรนั่นสวยเงิมโดดเด่น ข้าไม่เคยคิดว่าใครจะมีความสามารถในการประดิษฐ์พลุอักษรได้ดีเพียงนั้น คงต้องใช้เงินทองมิใช่น้อยในการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นเลิศเช่นนี้”“ทุกอย่างเป็นสิ่งที่...ชายาข้าหว่านหนิงเป็นผู้เตรียมการไว้แม้กระทั่งหม่อมฉันเองยังไม่เคยรู้มาก่อนว่ามี พลุอักษรงดงามเพียงนี้”“ชายาห้าเจ้าทำเช่นไรจึงสามารถสรรหาพลุอักษรมาได้ ในแคว้นของเรายังมีที่ใดที่ข้าไม่เคยรู้ ว่าทำเรื่องเก่งกาจเช่นนี้ได้”“ฝ่าบาททั้งหมดเป็นท่านแม่ ที่แม้เรื่องงานบ้านงานเรือนไม่
เกี้ยวสีแดงถูกหามส่งเข้าวังในตอนเย็นย่ำวันหนึ่ง หว่านหวงลู่รู้ดีว่าไม่ต้องมาส่งหว่านหนิง สิ่งที่หว่านหนิงต้องการคือการเข้าไปในตำหนักร้อยดาวแบบเงียบๆ ก็ในเมื่อลี่หยางมิได้เป็นที่สนใจ และไม่ได้มีพิธีรีตองอะไร“คุณหนู ข้าเห็นทีต้องกลับแล้วเช่นกัน ท่านนั่งรออยู่ในห้องบรรทมขององค์ชายห้า เพียงครู่คาดว่า องค์ชายคงเสด็จในไม่ช้าเพราะมิได้มีการเลี้ยงฉลอง งานแต่งอย่างที่ควรจะเป็น “แม่สื่อที่มีหน้าที่เดินนำเกี้ยว ตามธรรมเนียมเอ่ยขึ้นเมื่อมาถึงตำหนักร้อยดาว“ท่านป้ากลับไปเถิดข้าทำใจไว้แล้ว ว่าต้องเป็นแบบนี้ หลายอย่างไม่เกินคาดหมายนัก”แม่สื่อยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะถอยออกไปทันทีหว่านหนิงยืนนิ่งหน้าตำหนักรกร้างไม่มีการเลี้ยงฉลองไม่มีแม้กระทั่งการคารวะบรรพบุรุษ หรือญาติผู้ใหญ่มีเพียงส่งตัวหว่านหนิงเข้ามาในตำหนักร้อยดาวเพียงลำพัง“ท่านแม่ หว่านหนิงจะพยายามให้ถึงที่สุด”สูดลมหายใจเข้าลึกๆผลักบานประตูเข้าไปช้าๆ ภาพเบื้องหน้าคนผู้หนึ่งในอาภรณ์สีแดงรูปร่างสูงโปร่ง แต่ซูบผอมปากคอคิ้วคางแม้จะรับกับใบหน้าคิ้วดกดำผิวขาวจนกลายเป็นซีด ริมฝีปากบางแต่ทว่าซีดขาว หากมีสีเลือดกว่านี้ บุรุษผู้นี้อาจจะนับได้ว่าหล่อเหลาเราเ
หว่านหนิงในอาภรณ์เต็มพระยศในแบบของฮองเฮา ยืนเคียงข้างลี่หยางฮ่องเต้รูปงามแต่ใจเดียวสมกันราวกิ่งทองใบหยกมือข้างขวาถูกมือของลี่หยางเกาะกุมไว้ จุดธูปเทียนบูชาสวรรค์และบรรพบุรุษ เตรียมที่จะขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร ฉีกวนลี่ยืนอยู่ข้างหน้าสวมมงกุฎสีทองอร่ามลงบนศีรษะของลี่หยาง“นับแต่นี้เจ้าคือฮ่องเต้แคว้นจ้าวองค์ใหม่ ลี่หยางฮ่องเต้พ่อหวังว่าเจ้าจะทำนุบำรุงศาสนาและปกป้องดูแลราษฎรดุจลูกหลานของเจ้า”ฝานกงกง ยื่นตราประทับของฮ่องเต้ ให้ฉี่กวนลี่ที่มอบมันให้กับลี่หยางหน้ามุขสูง ทั้งสองคนลี่หยางและหว่านหนิงยืนเคียงข้างกันเสียงแซ่ซ้องจากราษฎรดังไปทั่วลานกว้าง ลี่หยางยิ้มกว้าง ชีวิตเขาแม้ผ่านความลำเค็ญมากมายเพียงใดแต่เมื่อมองย้อนกลับไปกลับคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องราวที่เป็นบทเรียนสอนใจเท่านั้นต่อจากนี้ ชีวิตขององค์ชายห้าผู้อับเฉามีพร้อมแล้วซึ่งความสุขและครอบครัวในวันนั้นลี่หยางนั่งซุกอยู่ในมุมมืด เดียวดายเหน็บหนาวความมืดปกคลุมไปทั่วบริเวณท้องไส้ปั่นป่วนด้วยความหิว ในคืนไหว้พระจันทร์ที่หลายคนต่างสนุกสนาน แต่เขากลับเดียวดาย ครึ่งหลับครึ่งตื่นเด็กหญิงตัวอ้วนป้อมยกมืออุ่นขึ้นลูบใบหน้าเบาๆ แล้ววางขนมไหว้พระ
ลี่หยาง สืบเสาะหาสมุนไพรนานาชนิดมาบำรุงร่างกายให้หว่านหนิงทั้งสมุนไพรสำหรับช่วยให้การคลอดไหลลื่น และสุมนไพรบำรุงร่างกายทั้งทารกในครรภ์และตัวหว่านหนิงเอง อาหารทุกอย่างล้วนถูกลี่หยางชิมเสียก่อน ท่องจำเรื่องราวอาหารคาวหวานที่หว่านหนิงกินว่าสิ่งใดทำให้แพ้ท้อง สิ่งไหนที่หว่านหนิงไม่ชอบ วันว่าง ก็จะฝึกการนั่งการนอนและการหายใจ ตำราต่างๆ มากมายนำมากองรวมกัน ลี่หยางใช้เวลาทั้งหมดในการอ่านตำราเกี่ยวกับการตั้งครรภ์“ลี่เจินส่งสาสน์เรื่องการสถาปนาฮ่องเต้ของเแค้วนเหว่ย”“ส่งของกำนัลยังแคว้นเหว่ย ความจริงข้าอยากให้ไท่จือเดินทางเข้าร่วมงานพิธีในครั้งนี้ หากแต่ไท่จือเฟยใกล้จะคลอดเต็มที คงไม่เหมาะนักที่จะให้ไท่จือเดินทางแรมเดือน”“ฝานกงกง อาสาเดินทางนำของกำนัล ร่วมแสดงความยินดีกับองค์ชายสิบสองลี่เจิน”ฉีกวนลี่พยักหน้าเห็นด้วย“ลูกคิดว่ารอให้ไท่จือเฟยคลอดองค์ชาย จึงจะส่งสาสน์ให้ลี่เจินและอันฝูร่วมเฉลิมฉลองแสดงความยินดีอีกครั้ง ลูกเองก็คิดถึงลี่เจินไม่น้อยอยู่ต่างแคว้นต้องปรับตัว คงลำบากมากหน่อย”“ลี่เจินไม่นานก็จะขึ้นนั่งบัลลังก์ เป็นเขาที่จัดการบางอย่างได้ดีกว่าที่ข้าคิดไว้”ฉีกวนลี่ชื่นชมลี่เจิน ออกนอก
"หญิงผู้หนึ่งที่ยอมแต่งกับองค์ชายที่มีดวงพิฆาตไม่สนใจเสียงร่ำลืออีกทั้งพยายามฉุดดึงและสร้างองค์ชายที่แข็งแกร่งยอมทนลำบากเพื่อรอวันที่สวยงามวันที่ฟ้าสดใส แต่เมื่อวันนั้นมาถึงกลับต้องถูกปล่อยให้เดียวดายในตำแหน่งที่สูงส่ง"องครักษ์วิ่งเข้ามาข้างใน"ฝ่าบาทไท่จือเฟยเป็นลมหมดสติ อยู่ข้างๆ ที่ไท่จือคุกเข่าอยู่"ฉีกวนลี่ลุกขึ้นยืน ฝานกงกงถลาออกไปด้านนอกพบลี่หยางกำลังเขย่าร่างไร้สติของหว่านหนิง ปากก็ร้องเรียกหาหมอหลวง หยาดฝนยังโปรยปรายไม่หยุดลี่หยางและหว่านหนิงเปียกปอนร่มที่ถือมาถูกกางกันฝนให้ลี่หยางแต่ตัวเองยอมเปียกฝน ลี่หยางพยายามจะลุกขึ้นยืนทั้งที่ปวดหัวเข่าเพราะคุกเข่าอยู่เสียนาน"พาไท่จือเฟยเข้าไปข้างในตำหนักก่อน"ฉีกวนลี่พูดขึ้นดังๆ ลี่หยางมองสบตาฉีกวนลี่สายตาเจ็บซ้ำ ฝานกงกงช่วยพยุงทั้งสองคนให้ลุกขึ้นพาเข้าไปด้านใน"ตามหมอหลวง"ฉี่กวนลี่ออกคำสั่งด้วยเสียงอันดังฝานกงกง เตรียมอาภรณ์ชุดใหม่ให้ลี่หยาง"ให้ห้องเครื่องต้มน้ำขิงแล้วนำมาที่นี่ทันที"ตำหนักฮ่องเต้บังเกิดความวุ่นวายไม่น้อย หมอหลวงถือหลวมยาเข้ามา ลี่หยางถลาเข้าไปข้างๆหว่านหนิง"ไท่จือเฟยเป็นอย่างไรบ้าง แล้วลูกของข้าล่ะ"ฉีกวนลี่หันขวั
“ข้า..ข้า..ข้ากำลังจะเป็นพ่อเจ้าได้ยินไหม ลูกของเรา”หว่านหนิงยิ้มบางๆ ยกมือขึ้นลูบที่ท้องอย่างทะนุถนอมตอนที่55ยอม"เจ้าเป็นสิ่งมีค่าที่สุดเท่าที่ข้าเคยมีบัดนี้กับให้สิ่งมีค่าที่สุดแกข้าเพิ่มเติม อย่างนี้จะไม่ให้รักเจ้าได้อย่างไร"กอดประคองหว่านหนิงแน่น"ท่านพี่ท่านกับลูกก็คือสิ่งเดียวที่ข้าหวงแหนที่สุด"ลี่หยางกลับพูดน้อยลงกว่าเดิม เขามีเรื่องให้ทำมากมายแต่รอยยิ้มกลับเพิ่มมากขึ้น เฝ้ามองหว่านหนิงทุกอย่างก้าว จะนั่งหรือเดินต้องคอยประคอง ดังกลัวว่าจะหกล้ม“กุ้ยอิงกับอิงไถต่อแต่นี้อย่าให้ไท่จือเฟยทำงานใดใดในตำหนักร้อยดาว พวกเจ้าต้องมั่นดูแลอย่าให้ไท่จือเฟยต้องลงมือทำสิ่งใดไม่อย่างนั้นข้าคงต้องสั่งลงโทษเจ้าทั้งสอง อีกไม่นานข้าจะหานางกำนัลที่ไว้ใจได้สักหลายคนหน่อยมาคอยดูแล ไท่จือเฟย”หว่านหนิงยิ้ม“ข้าให้หมอหลวงส่งยาบำรุงที่ดีที่สุดมาที่ตำหนักร้อยดาวข้าตั้งใจเคี่ยวยาให้เจ้าด้วยตัวเอง”“ท่านพี่จะทรงลำบากไปไย”“เพื่อเจ้า เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ เมื่อเทียบกับสิ่งที่เจ้าทำเพื่อข้าอีกทั้งยังอุ้มท้องลูกของข้า ทนลำบากอยู่หลายเดือนเรื่องที่ข้าทำจึงถือว่าเล็กน้อยเหลือเกิน”"อีกอย่างข้าเห็นท่าน หาซื้อผ
“องค์ชายน้อยอยู่ในครรภ์ของเจ้าแล้วตอนนี้ ข้าจะทูลให้เสด็จพ่อยกเลิกกฎการมีชายารองและแต่งตั้งสนมมากมายให้เกิดเรื่องวุ่นวายเหมือนที่ผ่านมาเสียที”หว่านหนิงซุกหน้าลงบนอกกว้างที่บัดนี้กับอบอุ่นมิได้เย็นชาเหมือนที่ผ่านมา อ้อมกอดที่กระชับแน่นทั้งคืนไม่เขินอายหรือแอบประคองกอดเหมือนเมื่อครั้งแต่งเข้าตำหนักร้อยดาวใหม่ๆ“หว่านหนิงไม่ขอสิ่งใดขอเพียงได้เคียงข้างเช่นนี้ทุกค่ำคืน” หว่านหนิงตกใจใน คำพูดของตัวเองไม่น้อย ก่อนหน้านั้นยังคิดว่าการแต่งเข้าตำหนักร้อยดาวเป็นการตกนรกหรือไร แต่มาวันนี้กลับรู้สึกว่าตำหนักร้อยดาวแห่งนี้เป็นดั่งสวรรค์ เมื่อมีลี่หยางประคองกอดอยู่อย่างนี้ทุกค่ำคืนทั้งคืนหว่านหนิงสวมเสื้อคุลมมังกรสีน้ำเงินเข้มให้ลี่หยาง ใบหน้าหล่อเหลาช่างดูเหมาะกับเสื้อคลุมมังกรเหลือเกิน เหล่าขุนนางราชสำนักคุกเข่าส่งเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ“ไท่จือทรงพระเจริญ พันปี”หว่านหนิงยิ้มอย่างเป็นสุข ลี่หยางหันสบตากับหว่านหนิง ส่งยิ้มกว้างกว่าทุกครั้งที่หว่านหนิงเคยเห็นมา“เจ้าคิดว่าได้อย่างนั้นหรือ การที่เจ้าจะตัดสินใจสิ่งใดโดยใช้ความรู้สึกของตัวเองตัดสิน”“เสด็จพ่อ ฝ่าบาทลูกเห็นทีจะ ขอสละตำแหน่งไท่จือ”หว่านหนิ
“สวีเยียน เชื่อข้าเถอะ ลี่จางคือลูกของเราเป็นเจ้าสิบสี่ เจ้าคิดหรือว่าหากเขาไม่ใช่ลูกข้าข้ายังจะให้เขามีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้หรือ ข้าไม่ไว้ใจเจ้าแต่ทว่าเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ เลือดของเจ้าสิบสี่ถูกนำมาพิสูจน์ความเป็นพ่อลูกกับข้าตั้งแต่ลืมตามาดูโลกคิดหรือไรว่าหากข้ารู้ว่าเขาไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของข้าแล้วเขาจะมีชีวิตยืนยาวเพียงนี้”ลี่จางทรุดกายลงกับพื้นก้มหน้าร้องไห้เหมือนคนเสียสติ เสียงร้องโหยหวน ด้วยดวงใจที่แหลกสลาย ลี่เจินเข้าไปพยุงแต่ลี่จางกลับสะบัดตัวหนี ภาพตรงหน้า สะเทือนใจไม่น้อย ฮองเฮาสวีเยียนเองก็ไม่ต่างจากลี่จาง ทรุดกายลงกับพื้นหมดเรี่ยวแรงดวงตาเหม่อลอยพร่ำพูดแต่คำพูดเดิมๆ“ไม่จริง ไม่จริง ไม่ใช่ ไม่จริง”น้ำตาไหลนองเต็มตาแต่ปราศจากเสียงสะอื้นฉีกวนลี่หลับตาลงช้าช้าไล่หยาดน้ำตา ให้ไหลคืนลงในอกกล้ำกลืนอย่างที่สุด หากจะโทษใครสักคน ให้โทษตัวเขาที่มีใจเดียวรักมั่นแต่จินเฟยคนเดียวไม่มีสายตาไว้มองใคร ความรักนั้นยังถูกถ่ายทอดไปยังลี่หยางรักเขายิ่งแแก้วตาทำทุกวิถีทางให้ลี่หยางรอดพ้นเงื้อมมือฮองเฮา แม้จะแสร้งไม่รักแต่กลับซ่อนไม่มิด หันมองลี่หยาง ที่จับตัวหวานหนิงมาสำรวจว่าบาดเจ็บตรงไหนห
“555 ฉีกวนลี่ผู้นี้ ปกป้องใครได้กัน แม้แต่สนมที่รักอย่างเช่นแม่ของเจ้ายังถูกแม่ข้าฮองเฮาส่งคนฆ่าวางเพลิง แม้จะเรียกตัวเองว่าพ่อแต่ปกป้องใครได้กัน เจ้าเองก็รู้ดีนี่ลี่หยางตลอดเวลาเขาเคยปกป้องเจ้าหรือไร”ฉีกวนลี่กัดฟันแน่น ทั้งๆ ที่ระแคะระคายมาบ้างแล้วว่าฮองเฮาเป็นคนส่งคนไปลอบสังหารสนมจินเฟยแต่ครั้งนี้ได้ยินกับหูจึงเกือบระงับความแค้นเคืองไว้ไม่ได้“ความผิดของข้าอย่างเดียว คือปล่อยให้เจ้าสองคนแม่ลูกมีชีวิต อยู่เสียนานคิดว่า อาจจะกลับตัวกลับใจได้”“ข้าเคยบอกแล้วว่าเป็นเพราะท่านฉีกวนลี่ ข้าเคยรักเคยเทิดทูนท่าน เหมือนที่ลูกพึงจะกระทำ หากท่านใส่ใจเราสองคนแม่ลูกสักนิดไม่เฉยชา เราสองคนอาจจะดีกับท่านอย่างจริงใจ”“จะให้ข้าดีกับพวกเจ้าอย่างจริงใจทั้งๆ ที่รู้ว่าฮองเฮาผิดต่อข้าเช่นนั้นหรือ”“เสด็จแม่จะไม่ผิดต่อท่าน หากท่านไม่มัวแต่อาลัยอาวรณ์คร่ำควรญกับการจากไปของสนมจินเฟย เสด็จแม่บอกว่าหัวใจของท่านอยู่ที่สนมจินเฟย ลี่หยางเป็นดั่งแก้วตาในเมื่ออยากให้ท่านตายคงต้องสังหารหัวใจและแก้วตาของท่านเสีย”“ทหารจับพวกมันไปขังไว้พรุ่งนี้ประหารเสียพร้อมกันให้หมด”องครักษ์นับรอยล้อม ลี่หยางและหว่านหนิงที่หันหลังชนกั
“ละทิ้งความโกรธเกลียดไม่ได้ เจ้าจะมีความสุขได้เช่นไร”“ฝ่าบาทเดิมทีตำแหน่งฮองเฮาต้องได้ความรักมากกว่าผู้ใด แต่ฝ่าบาทกลับละเลยมอบความรักให้แต่จินเฟยเพียงคนเดียว แล้วจะให้สวีเยียนยิ้มและเป็นสุขได้อีกหรือ เช่นนั้นข้าจำต้องหาความสุขเพียงลำพัง”กระซิบเบาๆ ข้างหูหัวหน้าขันทีออกมายืนด้านหน้า ตรงช่องทางเดินที่สองข้างขนาบซ้ายขวาด้วยเหล่าขุนนาง“พิธีเริ่มได้….”ฉีกวนลี่เชิดหน้านั่งตัวตรง“บัดนี้ถึงเวลา ข้าฉีกวนลี่จะประกาศอาณัติจากสวรรค์ แม้จะรวดเร็วไปบ้างแต่เมื่อเป็นลิขิตจากสวรรค์จึงไม่อาจทัดทาน”เหล่าขุนนางต่างซุบซิบบ้างก็สงสัยว่ามีเรื่องใดกันที่เป็นอาณัติสวรรค์บ้างก็บอกเล่าสิ่งที่ระแคะระคายมาเมื่อไม่นานมานี้นอกกำแพงเมือง ลี่เจินและฝานกงกง ยืนอยู่หน้าประตูวัง และทหารที่ติดตามหลายร้อยคนเสียงอื้ออึงโกลาหล กระบี่ในมือปัดป้องลูกดอกที่ถูกยิงลงมาจากกำแพงเมือง ทหารหลายนายกำลังใช้เครื่องทุ่นแรงกระทุ้งบานประตูใหญ่ให้เปิดออก การบาดเจ็บล้มตายหลีกเลี่ยงไม่ได้แต่ทหารแปดกองธงหาได้มีแค่เพียงหยิบมือจำนวนมากมายคณานับกองหน้าล้มตายก็มีกองหนุนเข้ามาเสริม เลือดไหลนองพื้นดั่งสายน้ำสวีถงนำองครักษ์เสื้อแพรช่วยกันต้า