เมื่อภายในห้องกลับมาสงบอีกครั้งฉันพยายามลืมตาที่หนักอึ้งเพื่อสำรวจในห้องนี้อีกครั้ง ห้องนี้ดูกว้างขวางมากดูสะอาดสะอ้านคงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเสียแต่ว่าโล่งไปหน่อย ฉันกวาดตาจนทั่วห้องจนมาสบกับสายตาแดงก่ำที่มองมายังฉันด้วยความตื่นเต้นระคนยินดีจนปิดไม่มิด ตามด้วยเสียงร้องไห้จนฉันสะดุ้ง คนยุคนี้แสดงอารมณ์ผ่านการร้องไห้หรืออย่างไร
"คุณหนู... คุณหนูของชิงชิงท่านฟื้นแล้ว"
ช่ายยยฉันฟื้นแล้ว แล้วตอนนี้อยากดื่มน้ำมากกกฉันอยากจะตะโกนออกไปแบบนั้นแต่เสียงที่เปล่งออกไปกลับเป็นแค่การอ้าปากพะงาบๆ
"น้ำ ดื่มน้ำก่อนนะเจ้าคะคุณหนู" ยังนับว่ารู้ความนะเราอะ ฉันมองมือผอมแห้งของเด็กสาวนามชิงชิง รินน้ำชาจากโต๊ะที่น่าจะเป็นเครื่องเรือนชิ้นเดียวภายในห้องนี้มาจ่อริมฝีปากที่แห้งแตก ฉันดื่มด้วยความกระหาย เอ่อ ค่อยยังชั่ว ในความทรงจำนี้ชิงชิง บ่าวรับใช้คนสนิทแก่กว่าเจ้าของร่างสองปีแต่อายุน้อยกว่าเธอในพบก่อนถึง13ปีด้วยความเอ็นดู ชิงชิงเป็นบ่าวที่จางฮูหยินช่วยไว้ตอนป้าของชิงชิงนำนางมาขายเป็นทาสถูกเฆี่ยนตีเพราะไม่มีแรงทำงานเพราะนางในตอนนั้นแค่เจ็ดหนาวส่วนจางเหมยลี่ห้าหนาว จางฮูหยินสงสารเลยซื้อตัวนางมาเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทของบุตรสาวเพราะเห็นว่าอายุไล่เลี่ยกันตั้งแต่นั้นทั้งสองเลยตัวติดกันตลอด ชิงชิงสัญญากับตัวเองว่าจะดูแลปกป้องคุณหนูของนางด้วยชีวิตเพื่อตอบแทนคุณที่ให้ชีวิตใหม่แก่นาง
"ฉัน... เอ่อ ข้า... ขอบใจเจ้ามาก" ฉันเอ่ยออกไปโดยไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดีเพราะในความทรงจำของร่างนี้ช่างเลือนรางเหลือเกิน
ชิงชิงมองคุณหนูของนางด้วยความสงสาร คุณหนูของนางตอนที่ฮูหยินยังมีชีวิตอยู่เดิมเป็นเด็กน้อยที่น่ารักช่างเจรจานักใครอยู่ใกล้เป็นหลงรักนาง จนเมื่อเกิดเรื่องคราวนั้นจากคุณหนูที่ช่างพูดช่างคุยก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่พูดไม่จาดีหน่อยที่ยังสามารถเดินไปไหนมาไหนได้บ้างจนมาสองปีหลังอาการป่วยก็ทรุดหนักต้องนอนติดเตียงรักษาอาการป่วยจนร่างกายที่เคยอ้วนท้วนสมบูรณ์ผ่ายผอมจนเหลือหนังหุ้มกระดูก
โคร้กกกกก เสียงท้องที่ดังขึ้นทำลายห้วงความคิดของสาวใช้ตัวน้อย นางมองน่าคุณหนูที่แดงก่ำอย่างนึกเอ็นดู
"บ่าวขอโทษเจ้าค่ะ คุณหนูคงหิวแล้วเดี๋ยวบ่าวไปหาข้าวต้มร้อนๆ ให้ทานนะเจ้าค่ะ จะได้ดื่มยา" กล่าวจบก็รีบออกไปด้วยความกระตือรือร้น
เผลอแป๊บเดียวข้าก็มาอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้เป็นเวลากว่าสองเดือนแล้วความเป็นอยู่ ณ ตอนนี้ถือว่าไม่แย่นัก ร่างกายที่ก่อนหน้าไม่มีแรงแม้แต่จะลุกนั่งถูกบำรุงอย่างดีจนตอนนี้สามารถเดินไปไหนมาไหนได้สะดวก ร่างบอบบางนั่งเหม่อมองดูดอกบัวในสระที่กำลังเบ่งบานสะพรั่งจวนแห่งนี้ถึงแม้จะไม่ได้รุ่งเรืองดังเก่าแต่ทุกอย่างยังคงสวยงามเพราะได้รับการดูแลอย่างดีจากพ่อบ้านหวังและชิงชิง ตอนนี้ข้ารู้ว่าภายในจวนกำลังกระเบียดกระเสียดเต็มทีเพราะมีแค่รายจ่ายไม่มีรายรับเลย เงินทองที่ใช้จ่ายอยู่ในขณะนี้ก็มาจากท่านพ่อนำของมีค่าในจวนไปขายจนไม่มีจะขายอีกแล้ว โรงเตี๊ยมสมบัติที่เหลืออยู่ชิ้นสุดท้ายที่จะขายของสกุลจางหากไม่ถูกกดราคาจนไม่อาจตัดใจที่จะขายได้หาไม่แล้วคงจะไม่เหลืออยู่จนถึงตอนนี้ คงถึงเวลาที่ข้าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อความอยู่รอดของตนเองและทุกคน คิดได้ดังนั้นสมองน้อยๆ จึงต้องทำงานอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรให้มีรายได้มาฟื้นคืนตระกูลจางให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่นั่งคิดนอนคิดเปลี่ยนไปหลายท่าก็ยังคิดไม่ออกจนรู้สึกหิว เอ้อออ หาอะไรกินก่อนแล้วกัน กองทัพต้องเดินด้วยท้องนี่นาชิงชิงที่เดินมาตามคุณหนูของนางให้ไปทานข้าวเห็น
ชิงชิงนั่งมองคุณหนูของนางนอนกลิ้งไปกลิ้งมา ขีดๆ เขียนๆ อยู่บนเตียงนอนมาหลายชั่วยามแล้วตั้งแต่กลับมาจากทานอาหารกับนายท่านก็ให้นางไปนำกระดาษกับถ่านไม้มาให้แล้วก็ไม่ยอมลุกจากเตียงอีกเลย ท่านอนของคุณหนูก็ช่างงงเอ่อ ข้าไม่อยากจะพูด"คุณหนูเจ้าคะ ลุกขึ้นมานั่งเขียนที่โต๊ะดีๆ ดีหรือไม่เจ้าคะ นอนเยี่ยงนั้นมันไม่งามนะเจ้าค่ะ" ชิงชิงพูดเช่นนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วข้าคร้านจะนับ"ไม่งามก็ไม่เป็นไรหรอกชิงชิง ตอนนี้มีแค่เจ้ากับข้าจะกลัวไม่งามไปไย"ข้าพูดโดยไม่เงยหน้ามองชิงชิงน้อยว่าหน้านางนั้นงอง้ำเพียงใด หัวข้ากำลังลื่นไหลคิดหาเมนูอาหารรสเลิศสำหรับโรงเตี๊ยมของข้า วางแผนการจัดการงานต่างๆ และปรับปรุงยังไงให้โรงเตี๊ยมนี้เลิศที่สุดจนโรงเตี๊ยมอื่นเตรียมปิดกิจการไปได้เลย5555แต่การจะทำอะไรให้สำเร็จปัจจัยหลักๆ ก็ต้องมีเงินนี่น่ะสิปัญหาใหญ่คิดแล้วก็กลุ้ม ต้องใช้เงินก้อนใหญ่เลยนะนี่เอ่อออ ท่านพ่อคงไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น ทำไงดีหว่าคิดไปก็กลิ้งไปจนถ่านไม้ในมือตกลงกลิ้งหายไปใต้เตียง"เห็นไหมเจ้าคะ บ่าวบอกแล้วว่าให้นั่งเขียนดีๆ" ชิงชิงบ่นพลางจะคลานเข้าไปเก็บให้แต่เสียงท้องของคุณหนูดังประท้วงจนต้องหยุดชะงัก
เสียงร่ำไห้ที่ดังอยู่เป็นเวลากว่าครึ่งก้านธูป ทำให้ข้าต้องมานั่งซับน้ำตาให้เจ้าของเสียงร้องอยู่กว่าครึ่งก้านธูปเช่นกัน เอ่อ ท่านพ่อ เหตุใดน้ำตาท่านถึงมากมายเพียงนี้ ใช่แล้วเสียงร้องไห้คร่ำครวญที่ดังอยู่นี่คือท่านพ่อข้าเองก็หลังจากที่ข้ากับชิงชิงทองหล่นทับก็รีบนำหีบทองนั่นมาที่ห้องหนังสือที่ท่านพ่อข้ากับพ่อบ้านหวังหารือกันเรื่องค่าใช้จ่ายในจวนอย่างเคร่งเครียดกันอยู่ พอบอกว่าเป็นของท่านแม่ที่เก็บสะสมไว้เพื่อมอบให้แก่ข้าเป็นสินเจ้าสาวตามที่ท่านแม่เขียนไว้ในจดหมายในหีบก็เอาแต่ร้องไห้คิดถึงท่านแม่จนข้ากับชิงชิงต้องปลอบกันยกใหญ่ ส่วนพ่อบ้านหวังน่ะหรือเป็นลมไปตั้งแต่ข้าเปิดหีบทองแล้ว"ท่านพ่อเจ้าคะ สงบใจเสียเถอะนะเจ้าคะ หากท่านแม่รู้ว่าท่านเสียน้ำตามากถึงเพียงนี้วิญญาณท่านแม่จะไม่สงบเอานะเจ้าคะ" กล่าวจบข้าก็ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกสูดใหญ่มือเรียวขาวจึงส่งผ้าเช็ดหน้าในมือไปให้แก่บิดาอย่างรู้งาน"ลำบากเจ้าแล้วลูกรัก"ตามด้วยเสียงสั่งน้ำมูกจนพ่อบ้านหวังถึงกับสะดุ้งตื่น"เอ่อ ถ้าอย่างนั้นเรามาดูก้อนทองนี่ดีหรือไม่เจ้าคะ ว่าท่านแม่เก็บไว้เท่าไหร่ เราจะได้คิดกันว่าจะเอาอย่างไรต่อไป""แต่แม่เจ้าเก็บไว้
ตลาดที่นี่ให้ บรรยากาศเหมือนกับหนังจีนที่เคยดูเลย ผู้คนต่างหลั่งไหลกันมาจับจ่ายซื้อของพ่อค้าแม่ค้าร้านรวงต่างๆ เต็มทั้งสองข้างทางดูไปดูมาคล้ายๆ กับเยาวราชเลยอะ แต่ที่นี่มีกลิ่นอายโบราณมากกว่านัก"คุณหนูเจ้าคะเดินไปอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจางแล้วเจ้าค่ะ"ชิงชิงบอกคุณหนูของนางที่เดินดูนู่นนี่อย่างตื่นเต้นอย่างเอ็นดูนัก "นี่หรือโรงเตี๊ยมที่ว่า"ข้ามองสำรวจหลังชิงชิงพามาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าโรงเตี๊ยมแห่งนี้อย่างพอใจ ที่นี่มีพื้นที่กว้างขวางมากแต่ดูเก่าและล้าสมัยไปหน่อยแต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวข้าจะเนรมิตให้เลิศหรูอลังการเลยทีเดียว5555คิดแล้วก็มีความสุขยิ่งนัก"ฟู่"ป้ายชื่อโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีแค่คำเดียวหรือแปลกยิ่งแต่ถือว่าความหมายดี ร่ำรวย แต่ต่อไปคงต้องเปลี่ยนเป็น อภิมหึมามหาร่ำรวย 5555คิดแล้วก็เดินเข้าไปสำรวจในโรงเตี๊ยมที่มีเสี่ยวเออร์อายุไม่น่าจะเกิน14หนาวออกมาต้อนรับ"เชิญขอรับคุณหนู ท่านจะรับอะไรดีขอรับ" เสียงเสี่ยวเออร์เอ่ยอย่างนอบน้อม อืม การบริการถือว่าดี ใช้ได้"ข้าขอน้ำชาอย่างดีหนึ่งกา อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ทั้งหมดแล้วกัน"ก่อนอื่นต้องลองชิมอาหารก่อนละกันว่ารสชาติเป็นยังไง"ได้ข
โรงเตี๊ยม ชิงหลง พึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อสองปีก่อนแต่ได้รับการยอมรับมากในแวดวงคนชั้นสูงและผู้มีอันจะกินจนทำให้โรงเตี๊ยม ฟู่ ที่ตอนนั้นขาดสภาพคล่องทางการเงินมีสภาพที่เห็นเช่นในตอนนี้ แต่โรงเตี๊ยมชิงหลง กลับเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้กลายเป็นโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งของเมืองเจียงเป่ย แห่งแคว้นหยวน เมืองที่มีแต่ราชวงศ์ ขุนนาง คหบดีและผู้มีอันจะกินอาศัยอยู่มากที่สุดในแคว้นเพราะเป็นเมืองที่อยู่ติดเมืองหลวงมากที่สุด ทรัพยากรสมบูรณ์ที่สุดส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลังโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ที่อาฟงกล่าวว่าไม่ธรรมดาคือ ชินอ๋องหยางหมิงเฉิง อนุชาร่วมพระมารดาเพียงองค์เดียวของฮ่องเต้หยางอู่เจี๋ย แห่งแผ่นดินหยวน อันเกรียงไกรนี้ สืบเนื่องมาจากชินอ๋องนั้นทรงชื่นชอบและเชี่ยวชาญในการทำการค้าไม่ด้อยไปกว่าการทำศึกเลย เมื่อแผ่นดินสงบร่มเย็นจึงหันมาบริหารกิจการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรงเตี๊ยม ร้านเครื่องประดับ ร้านยาสมุนไพร หอประมูล และสถานที่ให้ความสำราญแก่สุภาพบุรุษแบบครบวงจรหรือที่เรียกง่ายๆ คือ หอนางโลมนั่นเอง ถ้ากล่าวถึงความร่ำรวยในแผ่นดินหยวน หากชินอ๋องอยู่ในอันดับสองคงไม่มีใครเป็นที่หนึ่ง นั่นก็รวมไปถึงรูปโฉมของชินอ๋อง
ชินอ๋องหยางหมิงเฉิง ผู้บ้าตัณหาถึงกับคิ้วกระตุก ที่โดนโฉมงามเกลียดแบบงงๆ วันนี้เป็นวันที่ชินอ๋องต้องมาตรวจบัญชีของโรงเตี๊ยมในรอบหนึ่งเดือน พระองค์ยังทรงคิดว่าวันนี้ช่างเป็นวันดีอย่างยิ่งที่เจอโฉมงามที่ทำให้หัวใจที่คิดว่าด้านชาเสียแล้วของพระองค์กระตุกได้เพียงเห็นแค่ดวงตากลมโตฉายแววดื้อรั้นคู่นั้นเท่านั้นชินอ๋องที่นั่งตรวจบัญชีอยู่บนชั้นสามของโรงเตี๊ยมชิงหลง ทรงเห็นนางตั้งแต่ร่างเย้ายวนใจย่างเท้าเข้ามาอยู่ในครรลองสายตาของพระองค์ใบหน้างามภายใต้ผ้าปิดหน้าผืนบางนั้นไม่อาจปิดบังสายตาดุจพญาอินทรีของพระองค์ได้ รู้ตัวอีกทีพระองค์ก็ไม่อาจถอนสายตาจากร่างนั้นเสียแล้ว จนนางเดินหายเข้าไปในโรงเตี๊ยมฝั่งตรงข้าม น่าแปลกใจนักที่นางมองข้ามโรงเตี๊ยมชิงหลง โรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งของที่นี่ แต่เลือกที่จะใช้บริการจากโรงเตี๊ยมนั่นที่ใกล้จะปิดกิจการเต็มที ชินอ๋องหยางหมิงเฉิงมั่นใจเหลือเกินว่าในความทรงของพระองค์ไม่เคยเห็นนางมาก่อนนางเป็นบุตรีบ้านใดกัน เหตุใดจึงพึ่งเคยเจอ รูปโฉมสะกดใจผู้คนแบบนางคงมิใช่ใครจะมองผ่านง่ายๆ หรือนางพึ่งมาจากเมืองอื่นกัน คิดแล้วก็แปลกใจตัวเองเหตุใดพระองค์จึงจดจ่อกับนางนัก พระองค์นั้นเจอ
จ้าวอวิ๋นซาน เป็นบุตรชายคนที่สามของ ตระกูลเจ้ามีพี่สาวฝาแฝดคือ จ้าวอวิ๋นเซียน และบุตรชายคนโต จ้าวอวิ๋นห้าว ซึ่งคุณชายน้อยซานเอ๋อ เป็นหลานชายที่ท่านอ๋องทั้งรักทั้งหวง เป็นผู้ประทานนามด้วยองค์เองและกำลังมีประสงค์จะรับคุณชายน้อยมาเป็นบุตรบุญธรรมเลี้ยงดูในปกครองของพระองค์ แต่คุณชายน้อยยังเยาว์เกินไปพึ่งอายุได้6เดือนเท่านั้น พอคุณชายน้อยครบหนึ่งหนาวก็จะทรงให้ดำรงตำแหน่งอ๋องน้อยของจวนอ๋อง เพราะพระองค์เองไม่คิดที่จะมีทายาทเสียงล้อรถม้าบดถนนมุ่งหน้าสู่จวน คหบดีจาง พร้อมเสียงถอนลมหายใจสลับเสียงบ่นของชิงชิง แต่หาได้ทำให้คุณหนูคนงามรู้สึกผิดแต่อย่างใดที่ทำให้สาวใช้ตัวน้อยอกสั่นขวัญแขวนที่เอ่ยถึง บุรุษผู้สูงศักดิ์อย่างอาจหาญปานนั้นหลังจากโดนบ่าวคนสนิทลากมายัดใส่รถม้าที่จ้างวานไว้เหมือนโดนพวกนักล่าค่าหัวไล่ล่า เหมยลี่ ก็หาได้รู้สึกผิดอันใดที่พาลใส่คนที่ไม่เคยพบเจอ กลับชื่นชมสองข้างทางอย่างสบายอารมณ์ เสียงบ่นของชิงชิงหาได้เข้าหูสักนิด แต่อารมณ์สุนทรีย์ก็พลันสะดุดเมื่อเสียงหนึ่งมากระทบประสาทเสียง! เสียงนั้น"หยุดรถ! " เพราะหยุดโดยกะทันหันทำให้ชิงชิงถึงกับหน้าคะมำ"คุณหนูมีอันใดเจ้าคะ" "ชิงชิง
วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่จวนตระกูลจางเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ คุณชายน้อยที่คุณหนูของจวนตั้งชื่อให้ใหม่ว่า จางหลี่หง ช่างน่ารักน่าชังยิ่งนัก รู้ความไปเสียหมดและดูท่าจะติดคุณหนูแจ เด็กน้อยคงคิดว่าคุณหนูคือมารดาของตนเสียแล้วเพราะทั้งสองตัวติดกันตลอดเวลาแม้แต่เวลานอนคุณหนูก็ให้คุณชายน้อยมานอนด้วย ชิงชิงยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความเอ็นดูรักใคร่ คุณหนูของนางดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและคล้ายจะเหมือนมารดาของบุตรตัวน้อยจริงๆ เอาใจใส่ดูแลคุณชายน้อยทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าคุณหนูของนางจะทำได้ดีมากอีกด้วย"ชิงชิง มาดูนี่เร็วเจ้าหมูขี้เกียจตัวนี้สงสัยจะเริ่มนั่งเองได้แล้ว ช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก" ภาพคุณชายน้อยที่พยายามลุกขึ้นนั่งเองด้วยท่าทางทุลักทุเลเรียกเสียงหัวเราะกังวานใสของโฉมงามที่นั่งเป็นองครักษ์ระวังภัยอยู่ใกล้ๆ เพราะกลัวว่าเจ้าตัวเล็กจะเจ็บตัวเรียกสติของแขกที่ไม่ได้รับเชิญที่แอบมองทั้งสองอยู่นานให้รู้สึกตัวตื่นจากอาการตกตะลึงที่ได้เห็นโฉมงามที่ไม่มีผ้าปิดหน้าเหมือนวันก่อน ชินอ๋องหยางหมิงเฉิง พระองค์คิดไว้อยู่แล้วว่าใบหน้าภายใต้ผ้าผืนบางของนางต้องงดงามมากแต่ไม่คิดว่าจะงามจนทำให
"นี่อ๋องหมิงยังไม่คิดที่จะกลับจวนเจ้าอีกหรือ ยาก็ได้ไปแล้วหนิ" ราชครูเว่ยที่กลับมานั่งทำงานต่อ แขกสูงศักดิ์ก็ยังตามมานั่งร่ำสุรา จนป่านนี้ยังไม่คิดจะกลับจวนตัวเอง"นี่ข้าจะเข้านอนแล้วนะ" "ไปสิข้าจะกลับแล้ว คงจะสมควรแก่เวลาแล้วกระมัง" กล่าวพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วลุกขึ้นราชครูเว่ยรู้ทันคนเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการนัก พอคนอื่นทำบ้างมาว่าเขาซะงั้น"เจ้าก็ร้ายกาจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าข้าเลย อ๋องหมิง" หึหึ เหมยลี่เมื่อได้ยินเสียงที่ดังอยู่หน้าห้องก็รู้ว่าท่านอ๋องทรงกลับมาแล้ว จึงรีบหลับตาลง คิดว่าหากพระองค์ทรงอยากรักนาง นางก็จะยอมตามใจ เสียงเปิดและปิดประตูดังแผ่วเบา ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาเงียบๆ จมูกนั้นได้กลิ่นสุราจากร่างสูง ทรงดื่มมา กับใครกัน สักพักเสียงก็เงียบไปเพราะท่านอ๋องได้เดินไปยังห้องอาบน้ำเสียแล้ว เหมยลี่จึงลืมตาขึ้นในอกรู้สึกถึงความจุกแน่นแล้ววูบโหวง ใจสั่น มือสั่นเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดเหมือนจะกระอัก มือบางกำแน่นอย่างพยายามระงับความรู้สึก เมื่อได้ยินเสียงร่างสูงออกมาจากห้องอาบน้ำก็พลิกกายนอนหันหลังให้คนร่วมเตียง ข่มตาหลับเก็บกักทุกความรู้สึกกลับเข้าไป เสียงขยับไหวของเตียงนอ
ยามซื่อแล้วแต่เหมยลี่ยังนอนลืมตาโพลงเพราะตอนนี้สามีตัวดียังไม่กลับมา เป็นข้าเองที่ผิด นางกำลังกลัวการนอกใจใช่หรือไม่พยายามที่จะไม่คิดแต่ไม่รู้ทำไมสมองนางถึงคิดวนไปวนมาและจะมาลงเอยตรงที่พระองค์จะต้องมีคนอื่น บุรุษที่มีความต้องการสูงอย่างท่านอ๋องจะทนได้อย่างไร ตั้งแต่อยู่ร่วมกันมาหากไม่มีราชการหรือต้องเข้าวังด่วนพระองค์แทบจะไม่ไปไหนเลย จะไปไหนก็จะบอกกล่าวนางตลอดไม่เคยเงียบไปเฉยๆ แบบนี้มาก่อน คิดพลางน้ำตาเจ้ากรรมที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนก็ไหลออกมา การเป็นแม่และภรรยาที่ดีนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ นี่ข้าต้องเป็นแม่พันธุ์ให้ท่านอ๋องใช่หรือไม่ ท่านอ๋องหยางหมิงเฉิง ตอนนี้ที่นั่งร่ำสุราอยู่ที่จวนราชครูเว่ยกำลังร้อนใจนัก พระองค์ที่ออกมาปรึกษาหนานจิ้งถึงเรื่องที่โดนชายารักยื่นคำขาด จนไม่รู้จะทำอย่างไรเลยต้องออกมาหาตัวช่วย แต่ตัวช่วยผู้นี้นั้นพระองค์อยากฆ่าให้ตายนัก ที่ทำให้พระองค์จนมุมหมดสิ้นทางเลือก ย้อนไปหลังออกมาจากจวนก็ตรงมาจวนราชครูเว่ยทันที"วันนี้ลมอะไรหอบเอาท่านพ่อตาข้ามาหาข้าที่นี่ได้กัน"ใบหน้าหล่อเหลาส่งทั้งเสียงและรอยยิ้มยียวนมาให้แขกผู้มาเยือนที่ไม่มีมารยาทมาถึงก็ทำให้บ่าวไพร่ของเขาแตกตื่นสั่
ตอนนี้เจ้าก้อนแป้งคู่ย่างเข้าสามเดือนแล้ว จวนอ๋องนั้นทุกวันล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแห่งความสุขต้าเก้อและเจี๋ยเจี๋ย ทั้งสองก็ช่างรู้ความนักช่วยดูแลน้องๆ อย่างน่ารักน่าเอ็นดูไม่ยอมออกห่างกันเลยทีเดียวหยางหมิงเฉิงที่ส่งสายตาอ้ออดอ้อนมาให้ชายารักแต่นางก็ไม่สนใจแล้วยังทำท่าปั้นปึ่งใส่พระองค์อีก แค่พระองค์มองหน้านางด้วยสายตาละห้อย นางก็จะเอ่ยอย่างรู้ทันข้าเหนื่อยบ้างละข้าเจ็บเจียนตายบ้างละหรือแม้กระทั่งท่านไม่รักข้าแล้วใช่หรือไม่ ถึงอยากเห็นข้าเจ็บปวดอีกหยางหมิงเฉิงอยากจะร้องไห้นักตั้งแต่คลอดลูกแฝดครั้งนี้เหมยลี่รู้สึกกลัวการตั้งครรภ์นัก หากมีวิธีผ่าคลอดนางก็พอทนอยู่หรอก จึงได้ยื่นคำขาดให้สามี"หากท่านหาวิธีป้องกันการตั้งครรภ์ให้ข้าไม่ได้ก็อย่ามาเข้าใกล้ข้าเด็ดขาด" ท่านอ๋อง ก็รีบผลุนผลันออกจากจวนไม่พูดไม่จา จนนางอดคิดมากไม่ได้ "จะไปไหนของเขากัน" หรือว่าจะไปหอนางโลมหรือแอบมีบ้านเล็กกันนะ"พระชายาเจ้าคะ" ซู่ซู่ที่เอ่ยเรียกพระชายาตนพร้อมกับหน้าแดงๆ " บ่าวมีอะไรจะบอกเจ้าค่ะ"" มีอะไรหรือ หรือว่าเจ้าไปรู้อะไรเกี่ยวกับท่านอ๋องมา" ถามพร้อมกับหันมองอย่างกดดัน"ไม่ใช่เจ้าค่
อุแว้ อุแว้เสียงทารกน้อยที่ร้องดังขึ้น ทำให้คนที่นั่งจ้องตาฟาดฟันกันอยู่ด้านนอกผลุดลุกขึ้นอย่างตื่นเต้นยินดี"คลอดแล้ว คลอดแล้ว" "พระชายาคลอดแล้วคนหนึ่งเหลืออีกคนอดทนไว้เพคะ" "พวกเจ้ารีบป้อนยาให้พระชายาเร็วเข้า" ท่านหมอที่ทำคลอดให้เหมยลี่รีบเร่งให้ผู้ช่วยป้อนยาที่เตรียมให้เหม่ยลี่ เพราะการคลอดลูกแฝดนั้นถือว่าอันตรายหากเกิดมารดาสลบก่อนจะคลอด คงเกิดปัญหาใหญ่ขึ้น " พระชายาคนแรกเป็นคุณชายน้อยเพคะ"ผู้ช่วยท่านหมอกล่าวขึ้น แล้วทำความสะอาดห่อด้วยผ้าอ่อนนุ่มอุ้มออกมาหาบิดาที่เดินส่งยิ้มมารับไปไว้ในอ้อมแขน"เป็นท่านอ๋องน้อยเพคะ" หยางหมิงเฉิง ยิ้มกว้างอย่างยินดีนัก"ซานเอ๋อ ซื่อเอ๋อ มาดูเจ้าก้อนแป้งน้อยสิลูก น่าชังนัก "หยางหมิงเฉิงนั่งลงให้บุตรทั้งสองเห็นน้องน้อย"เจ้าก้อนแป้งชื่ออะไรดีขอรับท่านพ่อ" ซานเอ๋อถามพลางเอานิ้วเล็กจิ้มแก้มขาวนวลเนียนดังซาลาเปา" พ่อยังไม่ได้คิดเลย รอน้องของเจ้าอีกคนก่อนดีหรือไม่" " ขอรับ""ตี้ตีของต้าเจี่ย ตัวนิดเดียว" คำกล่าวน่ารักน่าชังของซื่อเอ๋อเรียกเสียงหัวเราะด้วยความเอ็นดูจากทุกคน โดยเฉพาะหนานจิ้งที่เห็นแล้วนึกเอ็นดูซื่อเอ๋อน้อยนัก แต่รู้สึกได้ถึงสายต
กรี๊ด"เจ้าคนชั้นต่ำ ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง อยากตายหรืออย่างไร" "หยุดเดี๋ยวนี้ ข้าบอกให้หยุด เจ้ารู้หรือไม่ดูหมิ่นเบื้องสูงมีโทษสถานใด" เล่อคังที่พาบ่าวรับใช้มายังเรือนรับรองก็เห็นองค์หญิงอิ๋นลู่เสียน ยังคงนั่งสั่งให้ข้ารับใช้ที่ติดตามมาเก็บข้าวของอย่างสบายอารมณ์ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจว่าได้ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจเจ้าของจวน จึงสั่งให้บ่าวไพร่ทำตามคำสั่งที่ได้รับจากเจ้านายตนโดยไม่สนใจความไม่ยินยอมของผู้อาศัยสูงศักดิ์จึงได้รับทั้งคำบริภาษทั้งเสียงกรีดร้องแต่ก็หาสะเทือนไม่สั่งบ่าวรับใช้ให้เก็บของทุกอย่างขององค์หญิงอิ๋นลู่เสียนใส่หีบอย่าให้เหลือแม้แต่ชิ้นเดียวและอย่าให้ของที่อยู่ในจวนอ๋องอยู่แล้วหลุดลอดออกไปเช่นกัน อันนี้อยู่นอกเหนือคำสั่งเพราะคิดว่าหากพระชายาผู้เป็นนายสามารถสั่งการเองได้จะต้องทำเช่นนี้แน่ เมื่อเก็บของทุกอย่างเรียบร้อยเเล้วก็สั่งให้นำขึ้นรถม้าที่มารอรับเสด็จสมฐานะองค์หญิงเตรียมออกเดินทาง"ข้าไม่ไป เจ้าไม่เห็นหรืออย่างไรว่าคนของข้ายังมาไม่ถึง" เล่อคังเห็นท่าทางไม่ยินยอมของอีกฝ่ายก็รู้ได้ว่าคงไม่ยอมออกไปเป็นแน่ จึงแจ้งรับสั่งของท่านอ๋อง"ท่านอ๋องมีรับสั่งว่าให้พระองค์
เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นด้านหน้าเรือนคงไม่ต้องเดาว่าเป็นใคร"ท่านอ๋องเสด็จมาแล้วเจ้าค่ะพระชายา" ซู่ซู่รีบเอ่ยบอก แต่ต้องทำหน้าเหลอหลาเพราะพระชายาของนางแสร้งหลับตาเสียแล้วชิงชิงจึงเอ่ยว่า"ทรงแสร้งหลับตั้งแต่ได้ยินเสียงฝีเท้าแล้ว" เมื่อชินอ๋องก้าวเข้ามา มองไปยังร่างบอบบางก็รู้ว่านางตื่นแล้วแต่แสร้งหลับเลยโบกพระหัตถ์ให้ออกไป บ่าวทั้งสองจึงรีบถอยออกมาอย่างรู้หน้าที่"ลี่เอ๋อ ลืมตามาคุยกับพี่หน่อยเถิด" เงียบนางจะลืมตาได้ยังไง อาละวาดเสียปานนั้น ช่างน่าอับอายนัก" ลี่เอ๋อ เด็กดี" ว่าพลางสอดกายหนาลงไปนอนเคียงข้าง มือแกร่งกอดเอวเล็กก็รู้สึกได้ว่าหน้าท้องของนางนูนขึ้นเล็กน้อย ร่างบางพลันแข็งทื่อท่านอ๋องที่รับรู้ถึงปฏิกิริยาคนในอ้อมแขนก็กอดกระชับร่างบาง"พี่ขอโทษ" ได้ยินคำขอโทษจากร่างหนาที่แสนอบอุ่นนี้เหมยลี่น้ำตาไหลพราก รับรู้ได้ถึงความรักที่คนตรงหน้ามีให้ นางขอเพียงแค่นี้ แค่รักและซื่อสัตย์ต่อนาง ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว "ข้าขอโทษเจ้าค่ะ ขอโทษที่ทำตัวไม่ดี ขอโทษที่ระแวงจนขาดสติ และขอบคุณท่านที่ไม่ถือโทษโกรธเคืองความไม่เอาไหนของข้า" เงยหน้าที่เปรอะเปื้อนน้ำตามองใบหน้าหล่อเหลาเห็
หันมาจะอธิบายให้นางฟัง สตรีในอ้อมแขนก็ดึงพระองค์มาจุมพิต แล้วกัดที่ลำคอพระองค์อย่างแรง จึงรีบผลักนางออกเหมือนโดนของร้อน รีบหันไปหาร่างบางของชายา นางก็หันหลังจากไปเสียแล้ว"เจ้า ช่างไร้ยางอายนัก""ขอบคุณที่ชมเพคะ"นางกล่าวพร้อมยกยิ้มขึ้น ดึงกระโปรงจนถึงเข่าแล้วเอาแผ่นไม้บางๆ ที่รองเข่าออก"หม่อมฉันตัดสินใจแล้วก่อนจะจากไปถึงไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนาแต่ต้องทำให้หญิงชั้นต่ำนั่น กระอักเลือดให้ได้ โทษฐานที่บังอาจมาแย่งวาสนาของหม่อมฉัน ขอให้ปรับความเข้าใจกันไม่สำเร็จนะเพคะ ทูลลา"กล่าวแล้วรีบหันหลังจากไปทันที"สตรีร้ายกาจ"ร่างหนารีบสาวเท้าไปยังเรือนของชายารักทันทีเหมยลี่ที่ตอนนี้สองตาแดงก่ำ ร่างบอบบางสั่นไปหมด ความรู้สึกนี้อีกแล้ว มันเกิดขึ้นอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะเจ็บหนักกว่าครั้งก่อนมากนัก ไหนบอกว่าหากนางสู้จะไม่แพ้อย่างไรเล่า"พระชายา พระชายาเจ้าค่ะ ทรงใจเย็นๆ นะเจ้าคะ"ชิงชิงที่ร้องไห้สงสารนายตนนักซู่ซู่รีบเอ่ยขึ้น"พระชายาจำไม่ได้หรือเจ้าคะว่าท่านราชครูเว่ยกล่าวว่าอย่าเชื่อสิ่งที่ตาเห็นบางทีอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้"อย่าเชื่อสิ่งที่ตาเห็นหรือ ไม่เชื่อได้หรือ ไม่เชื่อได้หรือ
ชินอ๋องที่กำลังทรงงานอยู่ในห้องหนังสือตลอดหลายวันที่ผ่านมา รู้สึกล้านัก หลายวันมานี้พระองค์ไม่มีเวลาให้ลี่เอ๋อเลย เพราะต้องเดินทางระหว่างจวนกับวังหลวงเป็นว่าเล่น ด้วยหัวเมืองสำคัญของแคว้นอีกเมืองหนึ่งกำลังเกิดน้ำท่วมจึงต้องส่งรายงานเรื่องการส่งเสบียงที่กองทัพพระองค์ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบส่งเสบียงอาหารลงไปช่วยผู้ประสบภัย เสร็จจากเรื่องคราวนี้หวังว่าจะไม่มีเรื่องใดมากวนพระทัยอีก พระองค์จะได้ใช้ชีวิตแบบสุขสงบกับชายาเสียที พระองค์ไม่ได้นอนกอดร่างนุ่มมาหลายราตรีแล้ว คิดพลางรีบเร่งทำงานตรงหน้าให้แล้วเสร็จ"ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงอิ๋นลู่เสียนขอเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ" เฮ้อ นี่ก็อีกเรื่อง พระองค์ใกล้จะหมดความอดทนกับองค์หญิงผู้นี้เต็มที หาเรื่องให้ลี่เอ๋อเข้าใจผิดพระองค์ได้ตลอด ถึงแม้นางจะเป็นฝ่ายที่.. เอ่อ ค่อนข้างที่จะดูไม่ได้เสียทุกครั้งที่ปะทะกันก็เถอะแต่นางก็หาหลาบจำไม่ ทั้งสองฝ่ายจะมีเรื่องมาให้พระองค์ตัดสินอยู่ตลอด ทั้งๆ ที่พระองค์ก็มีเรื่องยุ่งพออยู่แล้วอย่างเรื่องเมื่อสองวันก่อนที่ไม่รู้ว่าจะทรงขำหรือร้องไห้ดี เมื่อลี่เอ๋อนางนำสีผึ้งทาปากสินค้าทดลองของนางมาโอ้อวดถึงโต๊ะอาหารถึงสรรพคุณท
เหมยลี่ที่เดินมาถึงเรือนก็ตรงเข้าห้องนอนทันที"พระชายาไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ" ชิงชิงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง"ข้าไม่เป็นไรชิงชิง" ชิงชิงและซู่ซู่ที่เห็นสายตาขององค์หญิงจากแคว้นเหลียงก็นึกชังนัก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านอ๋องจะไม่หลงกลมารยาผู้สูงศักดิ์ เหมยลี่กำลังคิดว่าจะรับมือกับองค์หญิงนั่นอย่างไรดี ดูท่าจะร้ายไม่เบา นางไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนด้วยสิ จะเคยก็แต่ดูในละครเท่านั้น หรือนางจะลองสวมบทตามละครดู แต่องค์หญิงนั่นจะมาไม้ไหนนะ จะทำตัวเป็นนางเอกผู้อ่อนหวานอ่อนแอ หรือ นางร้ายผู้มากเล่ห์เจ้าแผนการกัน แล้วสามีนางจะเป็นแบบพระเอกผู้โง่เง่าเหมือนในละครหรือไม่ นางคงต้องปรับตัวตามสถานการณ์เสียแล้ว นางจะไม่ยอมเดินจากมาแล้วอุ้มท้องคนเดียวอีกเด็ดขาดอย่างไรก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด"ลี่เอ๋อ" น้ำเสียงนุ่มนวลที่เอ่ยเรียกทำให้เหมยลี่หลุดจากภวังค์ หันมองสามีอย่างค้นหาความผิดปกติในแววตา แต่พบแค่เพียงแววตาที่มีแต่นางในนั้น จึงส่งยิ้มให้"ท่านพี่" ชินอ๋องที่ทรงมาหานางอย่างกลัวว่านางจะเข้าใจผิด เห็นร่างบางนั่งเหม่อเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่มากมายจึงเดินเข้ามาสวมกอดร่างบางอย่างแสนรัก"คิดอะไรอยู่หรือ"