ฉินเสี่ยวหรานต่อเติมคูหายื่นออกมาจากตึกร้านเสื้อผ้าหรานหลิงเพื่อใช้ในการเปิดร้านขายดอกไม้ ซึ่งดอกไม้ที่นำมาขายเป็นดอกไม้ในที่ดินของสามีฉินเสี่ยวหรานเอง แต่ว่าสองสามีภรรยาเปิดร้านนี้ให้พ่อแม่ฉิน โดยที่ช่วยจ่ายค่าอื่น ๆ แต่พ่อแม่ของฉินเสี่ยวหรานรับเงินเพียงเท่านั้นที่จริงแล้วทั้งสองไม่คิดว่าจะขายดอกไม้ด้วยซ้ำ แต่ว่าดอกไม้ที่ได้พันธุ์มาจากสวนผักของโรงแรมในตอนนั้นเกิดขายดีขึ้นมา และเพาะปลูกไม่ทันจึงนำดอกไม้ที่ปลูกในไร่ออกมาขาย ใครจะคิดว่ามันก็ขายได้ จึงเกิดเป็นธุรกิจใหม่ร้านดอกไม้ที่ไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่ว่าในแต่ละวันมีรายได้เดือนละมากกว่าร้อยหยวน เงินส่วนต่างจ้าวหยู่ฟางเก็บไว้ให้หลานชายทั้งหมดในตอนนี้ฉินเสี่ยวเว่ยอายุสองขวบแล้ว ฉินเสี่ยวหรานที่ติดลูกชายก็ได้ฤกษ์กลับไปทำงานสักที ตลอดสองปีที่ผ่านมาถึงแม้จะดูแลทางเบื้องหลังมาตลอด แต่ฉินเสี่ยวหรานก็ไม่ได้เข้าไปดูหน้าร้าน เพราะบางครั้งคนเยอะก็ไม่อยากให้ลูกชายไป อีกอย่างแม่ของเธอยังสนับสนุน ไป ๆ มา ๆ ก็เข้าสองปี"วันนี้จะเอาเสี่ยวเว่ยไปด้วยหรือ แม่ว่าลูกไปทำงานก่อนไหม ตอนบ่ายแม่จะพาหลานไปที่ร้านเอง" จ้าวหยู่ฟางมองหลานชายที่แม่ของเขาแต่งตัวใ
ฉินเสี่ยวเว่ยตามแม่ไปทำงานที่ร้านเสื้อผ้าทุกวัน และกลายเป็นดาวเด่นของร้าน ด้วยความที่เป็นเด็กพูดเก่ง ไม่งอแง และขี้อ้อน ลูกค้าที่มาซื้อเสื้อผ้าโดนเด็กชายตกแบบงง ๆ เวลาตามแม่ของเขามาทำงานก็จะได้รับขนมติดมือมาตลอดแต่ฉินเสี่ยวหรานไม่ได้ให้ลูกของเธอกินขนมพวกนี้ เนื่องจากว่าเป็นขนมที่เด็กไม่ควรกิน อีกทั้งไม่รู้ว่าคนให้ใส่อะไรมาบ้าง ป้องกันได้ก็ควรป้องกันเอาไว้ก่อน และฉินเสี่ยวเว่ยก็รับของมาทุกวันวันไหนที่ลูกชายของฉินเสี่ยวหรานออกมาหน้าร้านก็จะมีลูกค้ามามุงดู แต่ถ้ามาที่ร้านแต่อยู่ภายในห้องก็เยอะเหมือนกันแต่ไม่ได้เยอะขนาดนั้นวันที่เจ็ด เดือนมีนาคม ปี1987 เหยาหนานและบ้านเหยามาสู่ขอฉินเสี่ยวหลิงไปเป็นสะใภ้ หลังฉินเสี่ยวหลิงตกลงคบหากับเหยาหนานได้หนึ่งปีเต็ม ต้องบอกว่าบ้านเหยานั้นรีบมาก กลัวจะไม่ได้ฉินเสี่ยวหลิงเป็นสะใภ้ ถึงขั้นมาขอหมั้นตั้งแต่ที่รู้ว่าทั้งสองคบกันแรก ๆ ด้วยซ้ำเพียงแต่ฉินเสี่ยวหรานถามน้องสาวแล้ว และทั้งสองลงความเห็นกันว่ารออีกหน่อย รอให้ฉินเสี่ยวหลิงใช้ชีวิตอีกสักปี และพอครบพวกเขาก็รีบมาทันทีครั้งนี้ฉินเสี่ยวหรานอนุญาต น้องสาวของเธอได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและพร้อมที่จะมีสามีแ
เจ็ดปีแล้วที่ลิลลี่ ลลิลิล ได้มายังที่นี่ ได้ใช้ชีวิตเป็นฉินเสี่ยวหราน จากเด็กมัธยมปลายที่ตามพ่อแม่จากต่างเมืองมาใช้ชีวิตในกองทัพ สู่เจ้าของร้านเสื้อผ้าหรานหลิงที่เป็นที่จดจำของผู้คน มามีครอบครัวที่อบอุ่นสี่ปีที่ฉินเสี่ยวหรานได้แต่งงานมีครอบครัว หลังน้องสาวแต่งงานออกไปฉินเสี่ยวหรานก็ย้ายกลับมาอยู่บ้านใหญ่ดูแลพ่อแม่ ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสามปีสำหรับการมีฉินเสี่ยวเว่ยลูกชายตัวน้อยของฉินเสี่ยวหรานกับเว่ยเซียว เขาเป็นแก้วตาดวงใจของบ้าน และฉินเสี่ยวหรานไม่ได้มีลูกเพิ่มด้วยประชากรที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในแต่ละปี รัฐบาลจึงมีนโยบายลูกคนเดียว ยกเว้นชาวบ้านตามชนบทที่อนุญาตให้มีลูกสองคน ในกรณีลูกคนแรกไม่ใช่ลูกชาย อันที่จริงหากฉินเสี่ยวหรานอยากมีลูกคนที่สองเธอสามารถมีได้แต่ฉินเสี่ยวหรานต้องการทุ่มเทให้ลูกชายคนเดียวของเธอมากกว่า หากมีลูกก็ต้องหยุดทำงานไปอีก และฉินเสี่ยวหรานไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ไหน ๆ ก็มีลูกชายแล้ว"ฮ่า ๆ เสี่ยวเว่ยชิมนี่ดูสิ" ฉินเสี่ยวหรานยื่นแตงโมให้ลูกชายด้วยความเอ็นดู"แม่ ผมอยากกินแอปเปิล" ฉินเสี่ยวเว่ยส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็วฉินเสี่ยวหรานถอนหายใจ "แอปเปิลมัน
ชีวิตของลิลลี่เป็นชีวิตที่ใครหลาย ๆ คนใฝ่ฝันอยาจะเป็นแบบเธอ แต่คนเหล่านั้นไม่เคยรู้เลยว่ามันโดดเดี่ยวมากแค่ไหน เกิดในตระกูลเศรษฐีหมื่นล้าน แต่คนในครอบครัวค่อย ๆ จากไปทีละคน อายุเพียงยี่สิบ อาชายผู้ที่เป็นญาติผู้ใหญ่คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็ด่วนจากไป ลิลลี่ ลลิลิล จึงกลายเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลมีเงินแล้วอย่างไร สุดท้ายคนเราก็ต้องจากไป มีเงินหมื่นล้านยื้อชีวิตใครไม่ได้สักคน ลิลลี่ในวัยยี่สิบปี เธอรู้ว่าธุรกิจของตระกูลไม่อาจสานต่อได้อีก ขายหุ้นให้คนอื่น รอรับเพียงเงินปันผลก็พออายุยี่สิบสามเรียนจบปริญญาตรีด้านแฟชั่น ก่อนเรียนต่อปริญญาโท ปริญญาเอก ในปีที่สามสิบของชีวิต ลิลลี่ประสบความสำเร็จในด้านดีไซเนอร์ เป็นดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตหลังเรียนจบ เธอก็เสียชีวิตจากความเครียดที่สะสมมาตลอด คิดว่าหลังความตายคงจะถูกบรรพบุรุษสาปแช่งที่ดูแลตระกูลไม่ได้ ใครจะรู้ว่าลืมตาแล้วจะมาอยู่ในร่างของคนอื่นวันที่เจ็ดเดือนมกราคมปี 1980 ลิลลี่ตื่นขึ้นในในร่างของลูกสาวคนโตของบ้านฉิน ชื่อฉินเสี่ยวหราน มีน้องสาวหนึ่งคน พ่อเป็นทหารเพิ่งได้รับเลื่อนขั้นเป็นพันตรี แม่เป็นหญิงชาวบ้านในชนบทฉ
จ้าวหยู่ฟางรออยู่ที่บ้าน ในขณะที่สองสาวตามพ่อของพวกเธอไปสมัครเรียนในโรงเรียนมัธยมข้างกองทัพหวั่นอิ๋น โรงเรียนที่นี่มีนักเรียนไม่เยอะและเป็นโรงเรียนที่นักเรียนส่วนมากจะเป็นลูกหลานของคนในกองทัพ ไม่มีค่าเล่าเรียน เพียงแต่มีค่าอุปกรณ์เล็กน้อยฉินเสี่ยวหรานกำลังกรอกเอกสาร ด้านหน้าของเธอเป็นครูธุรการที่ประสานงานด้านการเข้าเรียน "ฉินเสี่ยวหรานหรือจ๊ะ ครูเป็นครูธุรการของที่นี่มีปัญหาอะไรแจ้งได้ คนอื่น ๆ จะเรียกครูว่าครูลู่จ้ะ""สวัสดีค่ะ""ฝากคุณครูดูแลเด็ก ๆ ด้วยนะครับ พวกเธอมาจากต่างมณฑล ภาษาการพูดแตกต่างจากคนที่นี่" ฉินหานรีบบอก มีหลายคนที่พูดภาษาท้องถิ่น ยิ่งเฉพาะเวลาต้องการนินทาใครสักคน"ยินดีค่ะ""คุณครูลู่คะ ที่นี่มีนักเรียนเยอะหรือไม่คะ" ฉินเสี่ยวหรานถามด้วยความสงสัย เนื่องจากข้างในเป็นโรงเรียนที่ใหญ่พอสมควร แต่ไม่เห็นว่าแถวนี้จะมีบ้านคน"ห้องเรียนละสามสิบคนจ้ะ""อ๋อ"ฉินเสี่ยวหรานพยักหน้าและก้มหน้ากรอกเอกสารต่อ เนื่องจากเธอย้ายมากลางคันจึงต้องทำเอกสารเยอะกว่าคนอื่น แต่ว่าใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เสร็จแล้ว"อีกสองเดือนข้างหน้าเข้ามาเรียนได้เลย หากเอกสารตกหล่นครูจะติดต่อไปยังพันตรีฉินนะค
เฮ้ พี่ชายฉิน เชิญ ๆ"กลุ่มผู้ชายที่อยู่ไม่ไกลโบกมือเรียกฉินหานที่เดินนำครอบครัวเข้ามาในงาน ฉินเสี่ยวหรานมองเห็นแล้ว พวกเขาอยู่ในชุดทหารและยังมีตราที่บ่งบอกยศ แต่ละคนล้วนมีตำแหน่งเล็กกว่า หากให้เดา คงเป็นตำแหน่งเดิมของพ่อเธอ เพราะห้าปีที่ผ่านเพิ่งได้รับการเลื่อยศ"มา มา"ฉินหานมองกลุ่มเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาหลายปี "นี่ภรรยาของฉันเอง พี่สะใภ้ของพวกนายจ้าวหยู่ฟาง หลานสาวใหญ่ฉินเสี่ยวหราน หลานสาวรองฉินเสี่ยวหลิง""พี่สะใภ้ฉิน""พี่สะใภ้"พวกเขาต่างเดินเข้ามาทักทายอย่างเป็นกันเอง "หลานสาวใหญ่ หลานสาวรอง หน้าตาดีกันจริง ๆ โตเป็นสาวแล้ว ทำงานกับพี่ชายฉินมานานหลายปีเพิ่งได้เห็นหน้าหลานสาว"ฉินเสี่ยวหรานยิ้มเล็กน้อยมองบรรดาเพื่อนของพ่อ "สวัสดีค่ะคุณอา ฉินเสี่ยวหรานหรือเรียกเสี่ยวหรานก็ได้ค่ะ" ไหน ๆ แล้ว ได้ชีวิตใหม่ทั้งที เธอควรทำความรู้จักกับผู้คน"เสี่ยวหราน"คุณนายทหารเดินมาตั้งแต่ไกลเพื่อมาหาจ้าวหยู่ฟาง และเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา "นี่หรือภรรยาของพันตรีฉิน ฉันเหวยฉิงภรรยาของพันเอกเหยา ไปกับฉันสิ จะแนะนำให้คนอื่นได้รู้จัก"“คุณนายเหยา ฝากพวกเธอด้วยครับ""แน่นอน"คุณนายเหยาดึงมือจ้าวหยู่ฟา
งานเลี้ยงต้อนรับครอบครัวทหารเต็มไปด้วยความอบอุ่น ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องกระอักกระอ่วนบ้างก็ตาม นาน ๆ ครั้ง กองทัพหวั่นอิ๋นถึงจะมีงานใหญ่สักงาน ทุกคนไม่อยากให้เสียบรรยากาศพ่อฉินยังเหลือวันลาอีกหลายวัน แต่ว่าในเมื่อกลับมาแล้วเขาจึงไปทำงานต่อ ได้รับค่าแรงสองเท่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่า เช้าวันนี้คุณนายทหารกลุ่มเมื่อคืนมาที่บ้านและชวนแม่ฉินไปโรงตัดเย็บของกองทัพแม่ฉินตามไปด้วย ที่บ้านจึงเหลือเพียงสองพี่น้องฉินฉินเสี่ยวหรานลงมือออกแบบชุดที่จะตัด มีฉินเสี่ยวหลิงเป็นแบบให้ แม่ของพวกเธอรับจ้างตัดเย็บมาตลอดและนำอุปกรณ์มาด้วย ไม่ต้องออกไปซื้ออุปกรณ์ ฉินเสี่ยวหรานลงมือตัดเย็บทันที"ทำไมพี่ถึงตัดชุดล่ะ ฉันว่าพวกเราอ่านหนังสือรอเปิดภาคเรียนกันดีกว่าไหมคะ ย้ายมาที่นี่หลักสูตรจะต่างกันมากน้อยแค่ไหนพวกเราไม่รู้เลย" ฉินเสี่ยวหลิงบอกแต่หญิงสาวไม่ได้สนใจการเรียน เธอเชื่อมั่นในตัวเองเสมอ "เธออยากอ่านหนังสือก็อ่านหนังสือเถอะ เรื่องอื่นฉันจะจัดการเอง" ต้องรีบหาเงินก่อนโรงเรียนเปิดฉินเสี่ยวหรานวาดแบบคร่าว ๆ ให้มองออกว่าต้องทำไปในทิศทางไหน เธอไม่ใช่คนวาดรูปสวย แต่มีรายละเอียดที่ชัดเจนก็พอแล้ว อีกอย่างเธอเคยเป็นดีไซ
เพราะไม่มีตัวช่วยอย่างจักรเย็บผ้าและร่างกายที่ไม่ค่อยถนัดของฉินเสี่ยวหราน ชุดแรกที่ออกแบบและลงมือตัดเย็บใช้เวลานานถึงห้าวันกว่าจะได้หนึ่งชุด ฉินเสี่ยวหลิงลองใส่แล้วพบว่ามันพอดีตัวมาก"ชุดสวยมากเลยค่ะพี่สาวใหญ่ นึกไม่ถึงว่าพี่จะตัดเย็บได้สวยมากขนาดนี้" ฉินเสี่ยวหลิงเอ่ยชม ชุดที่เธอใส่เมื่อตัดกับผิวแล้วขับผิวให้ขาวขึ้น ไหนจะขนาดตัวที่ไม่คับและไม่หลวมเกินไป"ฝีมือของฉันไม่เคยพลาด"ใช่ ไม่ว่าจะลองตัดเย็บครั้งแรกหรือครั้งไหน ๆ ดีไซเนอร์อย่างลิลลี่ไม่เคยทำพลาด ยิ่งฉินเสี่ยวหรานมีพื้นฐานการตัดเย็บอยู่แล้ว ชุดที่ได้มาจึงไร้ที่ติ หากชุดนี้ถูกขายด้วยชื่อของเธอ มันจะขายได้หลายล้านบาทเลยทีเดียวฉินเสี่ยวหรานปล่อยให้น้องสาวตื่นเต้นไปกับชุดใหม่ เธอเข้าครัวเพื่อทำอาหารไปส่งให้แม่ที่โรงตัดเย็บ ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของสมาคมแม่บ้านทหาร ต่อให้ไม่ได้ทำงาน พวกคุณนายทหารก็ชอบไปรวมตัวกันที่นั่น วันนี้พ่อฉินถูกเรียกตัวออกไปช่วยภารกิจนอกกองทัพ ไม่ต้องนำปิ่นโตอาหารไปส่งวันก่อนที่บ้านซื้อเนื้อหมู ขาหมูมา ฉินเสี่ยวหรานใช้วิธีทำหมูน้ำค้างเพื่อให้มีเนื้อกินในทุกวัน และพ่อไม่ต้องออกไปซื้อของที่ตลาดให้เหนื่อย เพียงแค
เจ็ดปีแล้วที่ลิลลี่ ลลิลิล ได้มายังที่นี่ ได้ใช้ชีวิตเป็นฉินเสี่ยวหราน จากเด็กมัธยมปลายที่ตามพ่อแม่จากต่างเมืองมาใช้ชีวิตในกองทัพ สู่เจ้าของร้านเสื้อผ้าหรานหลิงที่เป็นที่จดจำของผู้คน มามีครอบครัวที่อบอุ่นสี่ปีที่ฉินเสี่ยวหรานได้แต่งงานมีครอบครัว หลังน้องสาวแต่งงานออกไปฉินเสี่ยวหรานก็ย้ายกลับมาอยู่บ้านใหญ่ดูแลพ่อแม่ ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสามปีสำหรับการมีฉินเสี่ยวเว่ยลูกชายตัวน้อยของฉินเสี่ยวหรานกับเว่ยเซียว เขาเป็นแก้วตาดวงใจของบ้าน และฉินเสี่ยวหรานไม่ได้มีลูกเพิ่มด้วยประชากรที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในแต่ละปี รัฐบาลจึงมีนโยบายลูกคนเดียว ยกเว้นชาวบ้านตามชนบทที่อนุญาตให้มีลูกสองคน ในกรณีลูกคนแรกไม่ใช่ลูกชาย อันที่จริงหากฉินเสี่ยวหรานอยากมีลูกคนที่สองเธอสามารถมีได้แต่ฉินเสี่ยวหรานต้องการทุ่มเทให้ลูกชายคนเดียวของเธอมากกว่า หากมีลูกก็ต้องหยุดทำงานไปอีก และฉินเสี่ยวหรานไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ไหน ๆ ก็มีลูกชายแล้ว"ฮ่า ๆ เสี่ยวเว่ยชิมนี่ดูสิ" ฉินเสี่ยวหรานยื่นแตงโมให้ลูกชายด้วยความเอ็นดู"แม่ ผมอยากกินแอปเปิล" ฉินเสี่ยวเว่ยส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็วฉินเสี่ยวหรานถอนหายใจ "แอปเปิลมัน
ฉินเสี่ยวเว่ยตามแม่ไปทำงานที่ร้านเสื้อผ้าทุกวัน และกลายเป็นดาวเด่นของร้าน ด้วยความที่เป็นเด็กพูดเก่ง ไม่งอแง และขี้อ้อน ลูกค้าที่มาซื้อเสื้อผ้าโดนเด็กชายตกแบบงง ๆ เวลาตามแม่ของเขามาทำงานก็จะได้รับขนมติดมือมาตลอดแต่ฉินเสี่ยวหรานไม่ได้ให้ลูกของเธอกินขนมพวกนี้ เนื่องจากว่าเป็นขนมที่เด็กไม่ควรกิน อีกทั้งไม่รู้ว่าคนให้ใส่อะไรมาบ้าง ป้องกันได้ก็ควรป้องกันเอาไว้ก่อน และฉินเสี่ยวเว่ยก็รับของมาทุกวันวันไหนที่ลูกชายของฉินเสี่ยวหรานออกมาหน้าร้านก็จะมีลูกค้ามามุงดู แต่ถ้ามาที่ร้านแต่อยู่ภายในห้องก็เยอะเหมือนกันแต่ไม่ได้เยอะขนาดนั้นวันที่เจ็ด เดือนมีนาคม ปี1987 เหยาหนานและบ้านเหยามาสู่ขอฉินเสี่ยวหลิงไปเป็นสะใภ้ หลังฉินเสี่ยวหลิงตกลงคบหากับเหยาหนานได้หนึ่งปีเต็ม ต้องบอกว่าบ้านเหยานั้นรีบมาก กลัวจะไม่ได้ฉินเสี่ยวหลิงเป็นสะใภ้ ถึงขั้นมาขอหมั้นตั้งแต่ที่รู้ว่าทั้งสองคบกันแรก ๆ ด้วยซ้ำเพียงแต่ฉินเสี่ยวหรานถามน้องสาวแล้ว และทั้งสองลงความเห็นกันว่ารออีกหน่อย รอให้ฉินเสี่ยวหลิงใช้ชีวิตอีกสักปี และพอครบพวกเขาก็รีบมาทันทีครั้งนี้ฉินเสี่ยวหรานอนุญาต น้องสาวของเธอได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและพร้อมที่จะมีสามีแ
ฉินเสี่ยวหรานต่อเติมคูหายื่นออกมาจากตึกร้านเสื้อผ้าหรานหลิงเพื่อใช้ในการเปิดร้านขายดอกไม้ ซึ่งดอกไม้ที่นำมาขายเป็นดอกไม้ในที่ดินของสามีฉินเสี่ยวหรานเอง แต่ว่าสองสามีภรรยาเปิดร้านนี้ให้พ่อแม่ฉิน โดยที่ช่วยจ่ายค่าอื่น ๆ แต่พ่อแม่ของฉินเสี่ยวหรานรับเงินเพียงเท่านั้นที่จริงแล้วทั้งสองไม่คิดว่าจะขายดอกไม้ด้วยซ้ำ แต่ว่าดอกไม้ที่ได้พันธุ์มาจากสวนผักของโรงแรมในตอนนั้นเกิดขายดีขึ้นมา และเพาะปลูกไม่ทันจึงนำดอกไม้ที่ปลูกในไร่ออกมาขาย ใครจะคิดว่ามันก็ขายได้ จึงเกิดเป็นธุรกิจใหม่ร้านดอกไม้ที่ไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่ว่าในแต่ละวันมีรายได้เดือนละมากกว่าร้อยหยวน เงินส่วนต่างจ้าวหยู่ฟางเก็บไว้ให้หลานชายทั้งหมดในตอนนี้ฉินเสี่ยวเว่ยอายุสองขวบแล้ว ฉินเสี่ยวหรานที่ติดลูกชายก็ได้ฤกษ์กลับไปทำงานสักที ตลอดสองปีที่ผ่านมาถึงแม้จะดูแลทางเบื้องหลังมาตลอด แต่ฉินเสี่ยวหรานก็ไม่ได้เข้าไปดูหน้าร้าน เพราะบางครั้งคนเยอะก็ไม่อยากให้ลูกชายไป อีกอย่างแม่ของเธอยังสนับสนุน ไป ๆ มา ๆ ก็เข้าสองปี"วันนี้จะเอาเสี่ยวเว่ยไปด้วยหรือ แม่ว่าลูกไปทำงานก่อนไหม ตอนบ่ายแม่จะพาหลานไปที่ร้านเอง" จ้าวหยู่ฟางมองหลานชายที่แม่ของเขาแต่งตัวใ
เผลอแป๊บเดียวฉินเสี่ยวเว่ยก็อายุหนึ่งขวบแล้ว เป็นหนึ่งปีที่บอกได้ว่าฉินเสี่ยวหรานไม่ได้ไปทำงานนอกบ้าน เธออยู่บ้านเลี้ยงลูกเองหนึ่งปีเต็ม ๆ เนื่องด้วยว่าจู่ ๆ ช่วงหลังมานี้น้ำนมค่อนข้างเยอะมาก ถ้าไปทำงานกลัวว่าเชื้อโรคข้างนอกจะติดตัวมาด้วย ฉินเสี่ยวหรานจึงมอบหน้าที่ตรงนี้ให้กับแม่ของเธอแทนบ้านฉินไม่พลาดที่จะจัดงานเลี้ยงฉลองครบหนึ่งปีของฉินเสี่ยวเว่ย หลังจากงานเลี้ยงจบมัธยมปลายของฉินเสี่ยวหลิงเมื่อกลางปีที่แล้ว บ้านฉินก็ไม่ได้มีงานเลี้ยงอะไรอีก วันนี้จึงจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ฉินเสี่ยวหลิงเดินหน้าทำงานในหน่วยแพทย์ของกองทัพ ตอนนี้ได้รับการเลื่อนยศแรกของหน่วยแพทย์แล้ว รอสอบเลื่อนขั้น ที่สำคัญคือเธอมีผู้ชายมาตามจีบคน ๆ นั้นไม่ใช่คนอื่นที่ไหน เป็นเหยาหนานที่ไปรับภารกิจนอกกองทัพนานหลายปี มาเจอฉินเสี่ยวหลิงที่วันฉลองการจบการศึกษาถึงได้ตามจีบ โดยมีคุณนายเหยากับพันโทเหยาผู้เป็นพ่อแม่สนับสนุนฉินเสี่ยวหรานไม่ได้ต้องการจัดงานใหญ่โต แต่ว่าพอนับดูจำนวนคนแล้วได้เป็นร้อยคน ฉินเสี่ยวหรานรู้ว่าการทำอาหารมันเหนื่อยมาก รอบนี้ถึงได้แตกต่างจากครั้งอื่น ตรงที่ว่าฉินเสี่ยวหรานนั้นจ้างแม่ครัวมาทำอาหารให้ อาหาร
ช่วงเวลาที่ฉินเสี่ยวหรานคิดว่าผ่านไปเพียงไม่นาน แต่ว่าลูกชายของเธอก็ได้หกเดือนแล้ว และฉินเสี่ยวหลิงน้องสาวของเธอก็เรียนจบมัธยมปลาย ยังจำปีนั้นที่เข้ามาเรียนได้อยู่เลย เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆฉินเสี่ยวหลิงชื่นชอบในวิชาแพทย์ ได้ศึกษางานมานานถึงสามปี จึงตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย และขอขมาพ่อแม่รวมถึงพี่สาวที่ไม่อาจไปเรียนต่อตามความหวังได้ เพราะงานในกองทัพที่เธอทำจนอยู่ตัวไม่ต้องผ่านการประเมินก่อน ที่สำคัญไม่มีการทดสอบ รวมถึงเงินเดือนที่ได้รับก็ได้เป็นจำนวนมาก สวัสดิการก็ดีสำหรับฉินเสี่ยวหรานกับพ่อแม่ พวกเธอไม่ได้ว่าน้องสาวในเรื่องนี้ การที่อีกฝ่ายตัดสินชีวิตของตัวเองได้แล้ว มีเพียงการสนับสนุนเท่านั้นฉินเสี่ยวหรานอุ้มลูกชายวัยหกเดือนนั่งตรงโต๊ะที่สั่งทำ พร้อมกับวางจานอาหารให้เขาได้จับกิน มันเป็นการกินชนิดหนึ่งพ่อแม่ไม่ต้องป้อนและสอนให้เขากินข้าวเป็นตลอดหกเดือนที่่ผ่านมาเธอเลี้ยงลูกด้วยวิธีของตนเอง อาหารที่บำรุงน้ำนมที่เขาว่าดีก็ให้แม่ทำให้ ช่วงหลัง ๆ มาพอจะมีน้ำนมบ้างก็ไม่ให้ดื่มนมผง เป็นหกเดือนที่ฉินเสี่ยวหรานบำรุงตัวเองจนมีเนื้อมีนวลและสามีคอยตามหวง"เสี่ยวเว่ย น้าเล็กทำ
แต่ก่อนการคลอดลูกในเดือนธันวาคมเป็นอะไรที่ลำบากมาก นอกจากอากาศที่หนาวแล้วยังต้องอด ๆ อยาก ๆ แต่ค่านิยมของคนในชนบทก็คือยิ่งมีลูกเยอะยิ่งดียังดีที่ฉินหานกับภรรยาเล็งเห็นว่าตรงนี้คือปัญหาที่ทำให้บ้านลำบาก พอมีลูกคนที่สองเป็นผู้หญิงเขาก็ไม่ได้มีคนที่สามต่อ เรื่องนี้จึงเป็นอีกเรื่องที่บ้านของเขาถูกคนอื่นมองว่าแปลก ยิ่งไม่มีลูกชายยิ่งต้องมีลูกเพิ่มในตอนนี้บ้านฉินมีเงินแล้ว ไหนจะบ้านของสามีที่รับขวัญหลานหลายพันหยวน จึงไม่ได้ลำบากอะไร ในบ้านเต็มไปด้วยความอบอุ่นจากปล่องไฟที่ฉินเสี่ยวหรานออกแบบมาเอง และภายในตัวบ้านคืออบอุ่นมากฉินเสี่ยวหรานคลอดลูกชายตัวอวบอ้วน ตั้งชื่อว่าฉินเสี่ยวเว่ย ฉินเสี่ยวมาจากแซ่และชื่อตัวแรกของแม่ ส่วนเว่ยมากจากแซ่ของพ่อ ในตอนแรกฉินเสี่ยวหรานจะตั้งว่าฉินเสี่ยวเซียว แต่พอคิดอีกทีเอาฉินเสี่ยวเว่ยจะดีกว่าฉินเสี่ยวเว่ยคลอดมาได้เพียงสิบวันเหล่าคุณย่า คุณยายต่างเดินทางมารับขวัญหลาน แต่ละคนที่รับขวัญหลานนอกจากบ้านเว่ยแล้ว แต่ละคนล้วนให้ไม่ต่ำกว่าร้อยหยวน ซึ่งมันเป็นเงินจำนวนมาก"ดูสิ ตั้งแต่ออกมาก็ตัวอวบอ้วนแล้ว ตอนนี้ยังดื่มนมเก่งตุ้ยนุ้ยเชียว" คุณนายเว่ยที่อาบน้ำเสร็จแล้วเ
ช่วงขึ้นบ้านใหม่เป็นช่วงปลายปีหรือก็คือเดือนตุลาคม มีคนมาร่วมงานอย่างล้นหลาม ทั้งที่เป็นแขกรับเชิญและคนที่เข้ามาเอง แต่เพราะเป็นงานมงคลฉินเสี่ยวหรานจึงไม่ได้ว่าอะไร โชคดีที่เตรียมของเอาไว้เยอะหลังขึ้นบ้านใหม่ พันโทฉินที่ได้รับตำแหน่งได้ไม่กี่เดือนขอคืนบ้านพักให้รุ่นน้องที่จะเข้ามาทำงาน ก่อนพากันขนของไปอยู่บ้านใหม่ใกล้ตลาด ถึงแม้ว่าจะย้ายไปแล้ว แต่เหล่าคุณนายก็ยังคงติดต่อกันตลอด และยังมีนัดหมายรับประทานอาหารร่วมกันอีกด้วยส่วนฉินเสี่ยวหรานนั้นยินดีต้อนรับบรรดาคุณนายกับลุง ๆ เพื่อนของพ่อ สำหรับเธอการมีเพื่อนเป็นความสุขอย่างหนึ่ง และในแต่ละวันเธอเอาแต่ทำงาน ถ้าแม่ไม่อยู่กับพวกคุณนายคงไม่มีคนคุยด้วยต้นปี 1984 ฉินเสี่ยวหรานแต่งสามีเข้าบ้าน และคน ๆ นั้นคือพันโทเว่ยเซียว หลายคนที่รู้กำหนดการในตอนแรกถึงกับคัดค้าน บอกว่าการที่เว่ยเซียวแต่งเข้าบ้านภรรยาเป็นการหยามเกียรติของตระกูลเว่ยโดยปกติแต่ละตระกูล แต่ละแซ่ล้วนต้องการขยายวงศ์ตระกูลให้ใหญ่ ตระกูลเว่ยในกองทัพตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น การที่เว่ยเซียวแต่งงานออกไปจึงคิดว่ามันไม่สมควรแน่นอนว่าคนตระกูลเว่ยต่างเพิกเฉยไม่คิดสนใจเรื่องนี้ พ
ในที่สุดเวลาที่หลายคนรอคอยก็มาถึง บ้านอิฐเจ็ดห้องนอน หนึ่งห้องโถง หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องรับประทานอาหารที่ถูกสร้างด้วยวัสดุอุปกรณ์อย่างดีราคาสูงก็เสร็จแล้วสไตล์ของบ้านต่างจากบ้านทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด เป็นฉินเสี่ยวหรานที่ลงมือออกแบบเองโดยเฉพาะ ทั้งยังคุมผู้รับเหมาและคนงานเองแทบจะตลอด ยิ่งวันไหนมีปัญหาเธอจะเข้าไปดูทันทีเพื่อจะได้แก้ไขทันแต่ก็ไม่ได้ถึงกับแปลกไปซะทีเดียว หลายคนในอำเภอต่างหาช่างฝีมือ ช่างออกแบบ เพื่อออกแบบแต่ละอย่างให้ทันสมัย อย่างเช่นเสื้อผ้าเช่นเดียวกัน มีหลายร้านที่ต้องการหาคนมาออกแบบ ก่อนหน้านี้มีร้านเสื้อผ้า โรงงานผ้าเข้ามาติดต่อขอซื้อแบบเสื้อ แต่ฉินเสี่ยวหรานไม่ยอมขายให้ เธอให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้แบบเสื้อกระจายมากเกินไปเพราะชุดที่ออกแบบมาในแต่ละครั้ง ฉินเสี่ยวหรานวางขายให้ลูกค้าในร้านไม่สามารถนำออกไปข้างนอกได้ หลังจากตัดเย็บเสร็จก็มีการทำลายทิ้งต่อหน้าลูกค้า เป็นการการันตีได้ว่าแบบนี้ไม่มีใครใช้แล้วจริง ๆอีกทั้งภาพจำของทุกคนคือลายผ้า ลวดลาย และการตัดเย็บไม่เหมือนใครอื่น ถ้าไปอยู่ร้านอื่นหลายคนจะจำสับสนได้ ที่สำคัญก็คือฉินเสี่ยวหรานไม่ได้มีเวลาออกแบบเยอะขนาดนั้น
การเลื่อนขั้นในครั้งนี้เป็นการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากพันตรีสองคนได้รับเลื่อนขั้นเป็นพันโทพร้อมกันในกรณีพิเศษ หลังเข้าช่วยเหลือคนสำคัญที่แม้แต่คนช่วยก็ไม่รู้ว่าเป็นใครครอบครัวเว่ย ครอบครัวฉิน ได้รับการต้อนรับเข้างานเลี้ยงเป็นอย่างดี และถูกจัดให้นั่งโต๊ะเดียวกัน นั่งรวมกับคนที่ได้ช่วยชีวิตเอาไว้ มีเพียงนายพลเว่ยที่รู้ว่าบุคคลสำคัญเป็นใครจริง ๆ พิธีเลื่อนขั้นเสร็จไปตั้งแต่ช่วงเช้า ตอนเย็นมีเพียงงานเลี้ยงและการพูดคุย มีคนใหญ่คนโตเข้าร่วมงานเลี้ยง ทหารตัวเล็ก ๆ มีหรือจะไม่พาครอบครัวมาให้เห็นหน้าค่าตาฉินเสี่ยวหรานถูกจัดที่นั่งให้นั่งทางด้านซ้ายของพ่อเธอที่ติดกับที่นั่งของคนรัก ส่วนแม่และน้องสาวนั่งอีกทางของพ่อ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออย่างไร"นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะพากันจัดงานใหญ่โตแบบนี้ รอบที่แล้วยังเล็กกว่านี้เสียอีก" ฉินเสี่ยวหรานเอ่ยขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางคนในโต๊ะที่มีเพียงคนกันเองจริงอยู่ว่านายพลเว่ยเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพ แต่ในกองทัพมีแยกหน้าที่ออกเป็นหลายหน่วย อย่างเช่นหน่วยแพทย์ หน่วยตัดเย็บ หน่วยลาดตะเวน หน่วยครูฝึก หน่วยต่าง ๆ และภายในกองทัพยังมีหน่วยเตรียมสถานที่