งานเลี้ยงต้อนรับครอบครัวทหารเต็มไปด้วยความอบอุ่น ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องกระอักกระอ่วนบ้างก็ตาม นาน ๆ ครั้ง กองทัพหวั่นอิ๋นถึงจะมีงานใหญ่สักงาน ทุกคนไม่อยากให้เสียบรรยากาศ
พ่อฉินยังเหลือวันลาอีกหลายวัน แต่ว่าในเมื่อกลับมาแล้วเขาจึงไปทำงานต่อ ได้รับค่าแรงสองเท่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่า เช้าวันนี้คุณนายทหารกลุ่มเมื่อคืนมาที่บ้านและชวนแม่ฉินไปโรงตัดเย็บของกองทัพแม่ฉินตามไปด้วย ที่บ้านจึงเหลือเพียงสองพี่น้องฉิน
ฉินเสี่ยวหรานลงมือออกแบบชุดที่จะตัด มีฉินเสี่ยวหลิงเป็นแบบให้ แม่ของพวกเธอรับจ้างตัดเย็บมาตลอดและนำอุปกรณ์มาด้วย ไม่ต้องออกไปซื้ออุปกรณ์ ฉินเสี่ยวหรานลงมือตัดเย็บทันที
"ทำไมพี่ถึงตัดชุดล่ะ ฉันว่าพวกเราอ่านหนังสือรอเปิดภาคเรียนกันดีกว่าไหมคะ ย้ายมาที่นี่หลักสูตรจะต่างกันมากน้อยแค่ไหนพวกเราไม่รู้เลย" ฉินเสี่ยวหลิงบอก
แต่หญิงสาวไม่ได้สนใจการเรียน เธอเชื่อมั่นในตัวเองเสมอ "เธออยากอ่านหนังสือก็อ่านหนังสือเถอะ เรื่องอื่นฉันจะจัดการเอง" ต้องรีบหาเงินก่อนโรงเรียนเปิด
ฉินเสี่ยวหรานวาดแบบคร่าว ๆ ให้มองออกว่าต้องทำไปในทิศทางไหน เธอไม่ใช่คนวาดรูปสวย แต่มีรายละเอียดที่ชัดเจนก็พอแล้ว อีกอย่างเธอเคยเป็นดีไซเนอร์ชื่อดัง เรื่องแค่นี้ใช้เวลาไม่นานก็ตัดเย็บออกมาได้ น่าเสียดายที่ไม่มีจักรเย็บผ้า ไม่อย่างนั้นคงสะดวกมากกว่านี้
ม้วนผ้าที่ซื้อมา ตัดเสื้อขนาดเดียวกับฉินเสี่ยวหลิงได้สามชุด เธอต้องหาลูกค้ามาตัดชุดด้วย ไม่อย่างนั้นการซื้อม้วนผ้าครั้งนี้จะเสียเปล่า ประตูบ้านเปิดออกให้เห็นแสงทางด้านนอก
อุปกรณ์ที่ได้มาพร้อมม้วนผ้ามีเข็ม ด้าย และกรรไกร ของอย่างอื่นเธอใช้ของแม่ฉิน ระหว่างลองวาดลงไปบนม้วนผ้า ข้างกันยังมีน้องสาวที่มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น
"ฉันไม่เคยเห็นพี่ตัดเย็บชุดใหญ่แบบนี้มาก่อนเลยค่ะ แน่ใจหรือคะว่าจะตัดเย็บเอง" ฉินเสี่ยวหลิงไม่ได้ดูถูกพี่สาว แต่ว่าเธอไม่เคยเห็นพี่สาวตัดเย็บชุดขนาดใหญ่มาก่อนจริง ๆ ปกติจะเป็นเพียงลูกมือของแม่
ฉินเสี่ยวหรานพยักหน้า ประสบการณ์เป็นสิบปีไม่ทำให้เธอกลัว "แน่นอนว่ามันจะสำเร็จ เธออย่าลืมสิว่าพวกเราช่วยแม่ตัดเย็บมาตลอด ถ้าผิดพลาดก็แค่เริ่มใหม่"
"ฉันเสียดายผ้านี่"
"เฮ้อ ไปเตรียมทำอาหารเถอะ มื้อกลางวันจะได้เอาไปส่งให้พ่อกับแม่" ฉินเสี่ยวหรานไล่น้องสาวก่อนที่จะพูดมากไปกว่านี้
"ก็ได้"
เสียงข้างในเงียบแล้ว ฉินเสี่ยวหรานมีสมาธิมากขึ้น เธอวาดโครงชุดบนผ้าที่ซื้อมา ชุดที่ตัดเย็บเป็นชุดที่คนนิยมใส่ในตอนนี้ แต่จะแตกต่างออกไปเธอจะเพิ่มบางอย่างที่คนที่นี่ไม่รู้จัก ส่วนมากคุณนายทหารจะมีเงินเอาไว้ใช้จ่ายและนี่คือเป้าหมายของเธอ
ต่อให้ชำนาญด้านนี้มากแค่ไหน แต่ไม่มีอุปกรณ์ ชุดที่ตัดออกมาก็ทำวันเดียวไม่เสร็จ และถ้าอารมณ์ไม่คงที่ ฉินเสี่ยวหรานจะตัดชุดที่ดีออกมาไม่ได้ เธอเก็บของในห้องโถง นำของเข้าไปเก็บไว้ ก่อนออกมาดูน้องสาวทำอาหาร ใกล้ถึงเวลามื้อกลางวันแล้ว
"ทำอะไร"
ฉินเสี่ยวหลิงส่ายหน้า "ที่บ้านมีไข่แค่ห้าฟองและผักนิดเดียวเท่านั้น ทำอะไรไม่ได้มาก พี่สาวใหญ่บอกให้พ่อซื้อของเข้ามาหน่อยนะคะ"
ที่บ้านพักไม่มีตู้เย็นจึงถนอมอาหารไม่ได้ แต่ก็ยังไม่ได้ซื้อของกินเข้ามา เมื่อเช้ามีอาหารที่เหลือจากเมื่อคืน พ่อของพวกเธอไปรับมา ที่บ้านจึงมีอาหารเช้ากิน ฉินเสี่ยวหรานพยักหน้า เธอจะเป็นคนนำปิ่นโตไปให้พ่อของเธอเอง
"อืม"
ใกล้ถึงเวลาหยุดพักของเหล่านายทหาร สองสาวบ้านฉินช่วยกันทำความสะอาดและเก็บของเข้าในบ้านพัก ล็อกกุญแจบ้านก่อนแยกย้ายนำอาหารไปส่ง ก่อนหน้านี้ฉินเสี่ยวหลิงไปส่งแม่จึงรู้ทางไปโรงตัดเย็บ และอาสานำปิ่นโตไปส่งให้แม่
ฉินเสี่ยวหรานเลือกนำปิ่นโตไปส่งให้พ่อเพราะกลัวว่าจะมีคนมารังแกน้องสาว พ่อของเธอทำงานในกองทัพคลุกคลีกับพวกผู้ชาย และยังอยู่ไกลต้องเดินไปอีกทาง
“นั่นฉินเสี่ยวหรานลูกสาวพันตรีฉินไม่ใช่หรือ"
ในขณะฉินเสี่ยวหรานกำลังเลือกทางเดินที่จะเข้าไปในเขตที่ทำงานของพ่อ เธอพบเข้ากับผู้ชายที่เคยเจอคือพันโทเว่ย พันตรีเว่ย แต่ผู้หญิงคนที่เอ่ยเรียกเธอไม่เคยเจอ แต่ว่าทั้งสามมีใบหน้าที่เหมือนกัน
"คะ?"
"สวัสดีจ้ะ ฉันร้อยตรีพยาบาลหญิงเว่ยเฉินลู่ เป็นพยาบาลในหน่วยแพทย์ของที่นี่"
เว่ย? ต้องเป็นพี่น้องเว่ยแน่นอน "ฉินเสี่ยวหรานค่ะ เป็นลูกสาวของพันตรีฉินที่ย้ายมาอยู่ใหม่" เธอทำความเคารพผู้อาวุโสกว่าทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้า
"จะไปไหนหรือ ทางนี้เป็นทางไปสถานที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ทหารหลายฝ่าย" เป็นพันโทเว่ยที่เอ่ยถาม
"ฉันจะนำปิ่นโตไปส่งให้พ่อของฉันค่ะ แต่ไม่รู้จักทางไป แถวนี้ไม่เห็นคนที่จะให้ถาม" ใช่ ที่น่าหงุดหงิดใจก็คือเธอไม่พบคนที่นี่เลย แม้ว่าจะเดินมาหลายนาทีแล้ว
"คนอื่นคงไปพักกันแล้ว พวกเราจะไปทางที่พันตรีฉินทำงานพอดี ไปด้วยกันหรือไม่" เว่ยเฉินลู่เอ่ยเชิญชวน
"รบกวนด้วยค่ะ"
"ไม่รบกวน ๆ" ระหว่างเดินเท้าเพื่อไปยังที่หมาย เว่ยเฉินลู่เอ่ยชวนเด็กสาวตรงหน้า "ถ้าจำไม่ผิดเธอคงใกล้จบมัธยมปลายแล้วใช่หรือไม่ หน่วยแพทย์ของกองทัพต้องการคนหลังเรียนจบ เธอลองเข้ามาสมัครดูสิ เป็นลูกสาวพันตรีฉินอาจผ่านได้ง่าย"
เพราะเป็นลูกสาวของคนที่ทำงานอยู่ในกองทัพ ทางกองทัพจึงให้สิทธิ์ก่อนคนนอกที่มาสมัคร แต่ว่าถ้าไม่ใส่ใจหรือมาสมัครดู เผื่อผ่านเข้าทำงานแล้วแบบนั้นอาจถูกไล่ออกได้ง่าย
“ขอบคุณค่ะ แต่ว่าฉันถนัดตัดเย็บและชื่นชอบในการออกแบบชุดมากกว่า อีกอย่างที่บ้านอยากให้เรียนต่อมหาวิทยาลัย คงต้องปรึกษากันอีกทีค่ะ" ฉินเสี่ยวหรานผงกศีรษะเล็กน้อย
เธอไม่ได้พูดเล่น พ่อของเธออยากให้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ในอนาคตเผื่อแต่งงานออกไปจะได้ไม่ถูกครอบครัวสามีรังแก อีกอย่างหนึ่งคือพ่อฉินมีเพียงลูกสาว การเรียนสูงถือว่าเป็นการลบคำสบประมาทของครอบครัวได้
พันโทเว่ยพยักหน้า "เรียนมหาวิทยาลัยก็ดีเหมือนกัน เธอชอบอะไรก็เรียนอย่างนั้นจะดีกว่า น้องสาวของฉันไม่ชอบเรียน แต่เข้ามาเป็นพยาบาลในกองทัพเพราะชอบทางด้านนี้"
ฉินเสี่ยวหรานหลุดหัวเราะความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกันจริง ๆ
"เอ๊ะ! พ่อทำงานในกองทัพ พี่ทำงานในกองทัพ น้องชายก็จะทำงานในกองทัพ ถ้าฉันไม่ทำงานในกองทัพก็แปลกแยกสิ" เว่ยเฉินลู่โวยวาย
ระหว่างสองพี่น้องที่กำลังหยอกล้อกันอยู่ ฉินเสี่ยวหรานเหลือบมองผู้ชายที่เงียบที่สุดในกลุ่ม เขาทำเพียงเดินตามหลังมาอย่างเงียบ ๆ และพี่ชายพี่สาวของเขาคงรู้จักนิสัยดีถึงได้ไม่ชวนคุย
"อะ แฮ่ม คนนี้เว่ยเซียว เขาเป็นน้องชายคนเล็กของฉันเอง ไม่ค่อยพูดคุยเท่าไรเพราะขี้เกียจ ฮ่า ๆ" พันโทเว่ยที่เห็นฉินเสี่ยวหรานมองน้องชายก็รีบเอ่ยแนะนำ
"พี่ใหญ่" เขาส่งเสียงด้วยความรำคาญ
ฉินเสี่ยวหรานพยักหน้า เธอเห็นพ่อของเธอแล้วจึงขอตัว "ขอบคุณที่ให้เดินมาด้วยค่ะ ขอตัวก่อนนะคะพ่อรออยู่"
"โชคดี"
ลับหลังสาวน้อยที่เดินถือปิ่นโตเข้าไปหาพ่อของเธอ พลโทเว่ยสะกิดน้องชายที่มองไม่วางตา "เก็บอาการหน่อยสิ ตอนเธออยู่ไม่เห็นจะมอง แต่พอเธอไปกลับมองซะงั้น"
"เมื่อไหร่พี่จะหยุดพูด"
เว่ยเฉินลู่ลูกสาวคนรองของบ้านส่ายหน้า “ไป ๆ พ่อกับแม่คงรอกินข้าวแล้ว ไปช้าขึ้นมาเดี๋ยวจะบ่นอีก"
"ไปสิ"
หลังแยกจากสามพี่น้องเว่ย ฉินเสี่ยวหรานนำปิ่นโตไปส่งให้พ่อของเธอ และบอกให้ซื้ออาหารสดกลับบ้านพักก็กลับบ้านก่อน เพราะยังมีงานที่ตนเองต้องทำอยู่ ถ้ามัวแต่อ้อยอิ่งคงไม่เสร็จเร็วแน่
เพราะไม่มีตัวช่วยอย่างจักรเย็บผ้าและร่างกายที่ไม่ค่อยถนัดของฉินเสี่ยวหราน ชุดแรกที่ออกแบบและลงมือตัดเย็บใช้เวลานานถึงห้าวันกว่าจะได้หนึ่งชุด ฉินเสี่ยวหลิงลองใส่แล้วพบว่ามันพอดีตัวมาก"ชุดสวยมากเลยค่ะพี่สาวใหญ่ นึกไม่ถึงว่าพี่จะตัดเย็บได้สวยมากขนาดนี้" ฉินเสี่ยวหลิงเอ่ยชม ชุดที่เธอใส่เมื่อตัดกับผิวแล้วขับผิวให้ขาวขึ้น ไหนจะขนาดตัวที่ไม่คับและไม่หลวมเกินไป"ฝีมือของฉันไม่เคยพลาด"ใช่ ไม่ว่าจะลองตัดเย็บครั้งแรกหรือครั้งไหน ๆ ดีไซเนอร์อย่างลิลลี่ไม่เคยทำพลาด ยิ่งฉินเสี่ยวหรานมีพื้นฐานการตัดเย็บอยู่แล้ว ชุดที่ได้มาจึงไร้ที่ติ หากชุดนี้ถูกขายด้วยชื่อของเธอ มันจะขายได้หลายล้านบาทเลยทีเดียวฉินเสี่ยวหรานปล่อยให้น้องสาวตื่นเต้นไปกับชุดใหม่ เธอเข้าครัวเพื่อทำอาหารไปส่งให้แม่ที่โรงตัดเย็บ ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของสมาคมแม่บ้านทหาร ต่อให้ไม่ได้ทำงาน พวกคุณนายทหารก็ชอบไปรวมตัวกันที่นั่น วันนี้พ่อฉินถูกเรียกตัวออกไปช่วยภารกิจนอกกองทัพ ไม่ต้องนำปิ่นโตอาหารไปส่งวันก่อนที่บ้านซื้อเนื้อหมู ขาหมูมา ฉินเสี่ยวหรานใช้วิธีทำหมูน้ำค้างเพื่อให้มีเนื้อกินในทุกวัน และพ่อไม่ต้องออกไปซื้อของที่ตลาดให้เหนื่อย เพียงแค
เมื่อได้ขนาดตัวของคนที่ต้องตัดชุดให้แล้ว กลับมาถึงบ้านกินข้าวมื้อเย็น อาบน้ำเสร็จ ฉินเสี่ยวหรานรีบเข้าห้องนอนเพื่อออกแบบชุดทั้งสามตัว ของเด็กนั้นไม่เท่าไรของผู้ใหญ่นี่สิ ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่ ผ้าที่ใช้จึงใช้เยอะภายในห้องมีไฟให้ใช้แต่ก็สลัวมาก ฉินเสี่ยวหรานจึงจุดตะเกียงช่วย ถึงแม้ว่าจะสิ้นเปลือง แต่เธอไม่มีเวลาพอ รีบทำให้เสร็จและเข้านอน พรุ่งนี้เช้าพันตรีเว่ยจะมารับเธอไปเลือกม้วนผ้าเพื่อตัดเย็บ ค่าผ้าในส่วนนี้คุณนายเว่ยเป็นคนจ่ายให้ หน้าที่ของเธอคือเลือกซื้อผ้าและตัดเย็บตอนเช้าฉินเสี่ยวหรานรีบลุกไปรดน้ำผัก แล้วไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำเมื่อกลับมาก็เป็นเวลาที่พ่อเธอกลับมาจากวิ่งออกกำลังกาย ทั้งสองทักทายกันเล็กน้อยและแยกย้ายกันทำธุระของตนเองเป็นเวลาที่คนในบ้านตื่นพอดี ฉินเสี่ยวหลิงรับหน้าที่ในการทำอาหารตอนเช้า ฉินเสี่ยวหรานกวาดบ้านระหว่างรอรับประทานอาหาร ส่วนผู้เป็นแม่กำลังช่วยพ่อแต่งตัวในห้อง"แม่คะ วันนี้ให้เสี่ยวหลิงไปกับแม่นะคะ หนูต้องออกไปซื้อม้วนผ้ากับพันตรีเว่ย หากให้น้องสาวไปด้วยก็เกรงใจเขา" ฉินเสี่ยวหรานบอกแม่ของเธอที่เดินออกมาพอดี“จ้ะ"ที่บ้านรู้กันหมดแล้วว่าฉินเสี่ยวหรานต้องตัดเย็
ตัดชุดให้พันตรีเว่ยใช้เวลาเพียงสามวันก็เสร็จแล้ว เนื่องจากเป็นของลูกค้าจะมัวโอ้เอ้ไม่ได้ ฉินเสี่ยวหรานจะให้น้องสาวเป็นคนนำอาหารไปส่งให้พ่อ ส่วนเธอใช้เวลาอันมีค่าในการตัดเย็บ แต่ว่าชุดของเด็กทั้งสองใช้เวลาสี่วันในการตัดเย็บรวม แล้วเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์พอดี เร็วกว่าที่คาดเอาไว้มากฉินเสี่ยวหรานนัดส่งชุดพรุ่งนี้เพราะต้องการตรวจสอบชุดใหม่ว่าจะไม่มีปัญหาตรงไหน ด้วยฝีมือของเธอราคาที่จะเรียกจึงแพง ถ้าเกิดมีตำหนิขึ้นมาจะเสียชื่อเอาได้หลังตรวจสอบชุดทั้งสามอย่างละเอียดดีแล้ว ฉินเสี่ยวหรานยังเย็บกระเป๋าผ้าเพื่อใส่ชุดอีกด้วย เพราะไม่มีถุงกระดาษ หรือถุงที่สามารถใส่เสื้อผ้าได้ ถ้าถือไปเลยเห็นถ้าว่าจะไม่ดี และกระเป๋าของเธอยังเก่าอีกด้วยจ้าวหยู่ฟางกำลังถักไหมพรมเงยหน้ามองลูกสาวที่เตรียมของจะไปส่ง "ลูกตัดเย็บเร็วมาก แม่นึกว่าต้องใช้เวลาอีกหลายวัน เหล่าคุณนายยังตกใจที่ชุดเสร็จเร็วมาก”"ไม่เร็วเลยค่ะแม่ ถ้ามีจักรเย็บผ้าจะดีกว่านี้""นั่นสิ มีจักรเย็บผ้าเร็วกว่าจริง ๆ" น่าเสียดายที่เธอกับสามีไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อจักรเย็บผ้า ไม่สิ จะว่ามีมันก็มีอยู่แต่ว่าเงินของบ้านก็จะลดลง อีกไม่นานก็จะเปิดภาคเรียนแล้
เผลอแป๊บเดียวก็ถึงวันเปิดภาคเรียนแรกของปีแล้ว ฉินเสี่ยวหราน ฉินเสี่ยวหลิงตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมตัว ทั้งสองเป็นเด็กใหม่ของโรงเรียนที่ย้ายมาชั้นปีสุดท้าย แน่นอนว่าต้องมีสายตาของคนที่มองมา ยิ่งไปเร็วเท่าไรยิ่งเป็นผลดีกับสองพี่น้องฉินหานแลกวันลากับเพื่อนเพื่อมาส่งลูกสาวเข้าโรงเรียนพร้อมภรรยาที่ลางานมาเหมือนกัน ปกติต้องเข้าโรงตัดเย็บทุกวัน และมีค่าแรงวันละห้าเหมา ถึงแม้จะขาดรายได้แต่ก็ไม่เสียหายอะไร"พ่อกับแม่มาส่งได้แค่นี้ มีอะไรให้ไปหาครูธุรการลู่ ระวังตัวด้วย" ฉินหานบอกลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ที่นี่ไม่ใช่อำเภอบ้านเกิดที่คุ้นเคย และไม่มีเพื่อน ลูกสาวต้องเริ่มต้นใหม่“ใช่ ระวังตัวด้วย""หนูจะระวังตัวค่ะ" ฉินเสี่ยวหรานผงกหัว เธอไม่คิดว่าในโรงเรียนจะอันตรายขนาดนั้น "พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงค่ะ เลิกเรียนหนูกับน้องจะรีบกลับบ้าน""อืม"ฉินเสี่ยวหลิงมองข้างในโรงเรียนอย่างตื่นเต้น มันกว้างกว่าโรงเรียนเดิมหลายเท่าตัว "ไปกันเถอะค่ะพี่สาวใหญ่ ได้ยินว่าวันนี้มีนักเรียนเข้าใหม่หลายคน บางทีฉันอาจจะได้เพื่อนเร็วขึ้น"ฉินเสี่ยวหรานพยักหน้าบอกลาพ่อแม่เล็กน้อยก่อนเดินเข้าโรงเรียนไปพร้อมน้องสาว คนที่นี่
วันถัดมาพันตรีเว่ยยังคงขับรถผ่านหน้าโรงเรียนในช่วงเวลาเลิกเรียนและยังมีอีกหลาย ๆ วันที่มาจอดรอรับอย่างกับนัดไว้ เพื่อรอรับสองสาวบ้านฉินกลับบ้านด้วย จนกระทั่งฉินเสี่ยวหรานคิดว่ามันไม่ใช่แล้ว และรู้สึกถึงความผิดปกตินี้เดิมทีหากพันตรีเว่ยผ่านมาสักวันสองวันคงคิดได้ว่าเป็นเพราะมีภารกิจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเป็นเดือน ฉินเสี่ยวหรานไม่เคยแม้กระทั่งต้องเดินกลับบ้านเอง หากไม่ติดว่าตอนเช้าพ่อของเธอเป็นคนมาส่ง คงมีรถคอยรับคอยส่งแล้วโรงเรียนและบ้านพักในกองทัพหวั่นอิ๋นนั้นถึงแม้ว่าจะอยู่ติดกัน แต่ว่าถ้าจะเข้าไปด้านในต้องเดินอ้อมอีกทาง ใช้เวลาเพียงห้านาทีเท่านั้นเอง แต่ฉินเสี่ยวหรานก็ไม่เคยได้เดินเหยาหนานรออยู่ตรงทางเข้าโรงเรียน พอเห็นฉินเสี่ยวหรานก็ร้องเรียก "เสี่ยวหรานทางนี้!"ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ฉินเสี่ยวหรานมีกลุ่มเพื่อนกลุ่มหนึ่ง เจิ้งฟางมี่ จูลี่ และหนานเหยา อันที่จริงเจิ้งฟางมี่กับจูลี่ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน ส่วนเหยาหนานนั้นเขามีเพื่อนผู้ชายอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพอฉินเสี่ยวหรานเข้ามาเรียนที่นี่เขาก็เข้าร่วมกลุ่มทันที"ฟางมี่ จูลี่ล่ะ""พวกเธอเข้าไปรอข้างในห้องเรียนแล้ว จูลี่ปวดท้อง เสี่ยว
ถึงแม้จะบอกว่าทบทวนความรู้สึกตัวเอง แต่ฉินเสี่ยวหรานก็ยังหลบหน้าเว่ยเซียวที่มาจอดรถรอรับที่หน้าโรงเรียน นั่นก็คือออกมาจากโรงเรียนก่อนเวลาปกติที่เว่ยเซียวจะมารอรับ ให้เพื่อนในกลุ่มดูต้นทาง ส่วนเธอกับน้องสาวรีบเดินกลับ นี่ทำให้เพื่อนในกลุ่มสงสัยไม่น้อยด้วยปกติทุกคนจะรู้กันดีว่าฉินเสี่ยวหรานกับน้องสาวจะมีพันตรีเว่ยมารอรับทุกวัน แต่จู่ ๆ ก็ไม่กลับไปด้วย ถ้าเป็นเรื่องซุบซิบในโรงเรียน ทุกคนรู้ว่าฉินเสี่ยวหรานไม่ได้สนใจ แต่ทำไมถึงเป็นแบบนี้กันล่ะในวันหยุดของสัปดาห์นี้ ฉินเสี่ยวหรานกำลังตัดชุดผู้หญิงวัยรุ่นอยู่ที่บ้าน เป็นชุดที่เพื่อนของเธอสั่งตัดเพราะอยากได้ชุดใหม่ จูลี่นำผ้ามาให้ตัดถึงบ้านพัก ค่าฝีมือคิดได้ไม่อั้นเพราะพ่อของเธอเป็นคนจ่าย และฉินเสี่ยวหรานดูแล้วไม่ติดการเรียนจึงยอมตัดเย็บให้ก๊อก! ก๊อก!"เสี่ยวหราน! เสี่ยวหลิง!"เสียงรถยนต์หน้าบ้านไม่ได้ดึงดูดความสนใจของสองพี่น้องที่นั่งอยู่ในบ้าน แต่กลับได้ยินเสียงคนเรียก ฉินเสี่ยวหรานก็รู้ดีว่าเป็นใคร และเธอยอมออกไปดู เผื่อคนข้างนอกมีธุระจะได้ไม่มาเสียเที่ยว เพราะที่ผ่านมา ต่อให้หลบหน้าหลายวันพันตรีเว่ยก็ไม่โผล่มาให้เห็นหน้าเลยสักนิด"แม่
หลังจากเปิดเผยความในใจกับผู้เป็นพ่อ ฉินเสี่ยวหรานได้นำเรื่องนี้กลับไปคิด ชีวิตก่อนเธอเป็นลูกคุณหนูจึงรู้เรื่องความสำคัญของที่บ้านดี แม้กระทั่งเมื่อก่อนตอนที่อาชายคนสุดท้ายยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่ยอมให้เธอคบกับคนที่ด้อยกว่า ไม่ว่าจะเพื่อน หรือกับเพศตรงข้ามยิ่งเว่ยเซียวเป็นพันตรีและที่บ้านเขาสนับสนุน ทำไมเธอถึงต้องกลัวด้วยล่ะ ดังนั้นเว่ยเซียวที่ตามตื้อฉินเสี่ยวหรานอยู่เป็นเดือนก็ได้รับโอกาสในครั้งนี้ฉินเสี่ยวหรานโบกมือลาเพื่อนในกลุ่มหน้าโรงเรียนเมื่อเห็นว่ารถยนต์คันเดิมมารอรับแล้ว ตั้งแต่ที่ทั้งสองกลับมาพูดคุยกันมันก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง นั่นก็คือไม่ต้องเดินกลับบ้านแล้ว ฉินเสี่ยวหลิงผู้เป็นน้องสาวชอบแบบนี้ที่สุด และว่าที่พี่เขย- อะแฮ่ม พี่เว่ยยังมีรถส่วนตัวที่ซื้อมาภายหลัง ถึงจะเป็นมือสองแต่ก็สภาพดีมากแต่ก่อนที่จะเดินไปถึงรถ สองพี่น้องฉินกลับถูกคนเอ่ยรั้งเอาไว้ก่อน "นักเรียนฉินเสี่ยวหราน นักเรียนฉินเสี่ยวหลิง""คุณครูหยู" ฉินเสี่ยวหรานก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพคุณครูในโรงเรียน ในขณะเดียวกันก็มีความสงสัยไม่น้อย "มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ"ค
ปิดภาคเรียนแรกแล้ว ฉินเสี่ยวหรานเดินหน้าทำธุรกิจของเธอทันที นั่นก็คือการเปิดรับตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นรอบ ไม่เหมือนตลอดหลายเดือนที่เรียนอยู่ เธอจะรับเพียงครั้งละหนึ่งตัว พอเย็บเสร็จก็เว้นระยะแล้วรับใหม่ เฉลี่ยแล้วคือสามตัวต่อเดือน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอลำบากสักนิดผ้าที่ใช้ตัดเย็บหนึ่งม้วนตัดชุดผู้ชายร่างใหญ่ได้หนึ่งตัว ของผู้หญิงได้เกือบสองตัว และเสื้อหนึ่งตัวนั้นฉินเสี่ยวหรานก็ไม่ได้คิดราคาถูก มีเพียงคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ลดราคาลงบ้างครั้งนี้มีเวลาว่างเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ฉินเสี่ยวหรานจึงเปิดรับรอบนี้เจ็ดตัว ตัวละแปดสิบหยวนไม่รวมรายละเอียดอื่น ๆ หากต้องการเพิ่มเติม และการตัดเย็บในตอนนี้เธอคล่องมือขึ้นมาก เสื้อหนึ่งตัวใช้เวลาเพียงสองวันก็เสร็จแล้วสำหรับฉินเสี่ยวหรานแล้ว เงินเดือนของพ่อเธอนั่นให้แม่ใช้ซื้ออาหารและของเข้าบ้าน เงินเก็บก็ได้รับจากเธอที่ได้จากค่าตัดเย็บเสื้อผ้า ค่าขนมของเธอและฉินเสี่ยวหลิงก็เอามาจากเธอ และได้ทำข้อตกลงกับคนในบ้านแล้วพ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยหาเงินเหมือนแต่ก่อน นี่ยังไม่รวมเงินเดือนจากโรงตัดเย็บของแม่อีกครั้งนี้ฉินเสี่ยวห
หลังจากบ้านฉินกลับไป เหตุการณ์ในกองทัพก็ไม่มีเรื่องวุ่นวายกวนใจอีก ฉินเสี่ยวหรานออกแบบร้านเสื้อผ้าของเธอเป็นตึกคูหาสองชั้น เป็นตึกที่ต้องใช้เวลาในการสร้างและใช้เงินจำนวนมาก ผู้รับเหมาที่เข้ามาทำงานเป็นคนที่เว่ยเซียวหามา ตกลงแบ่งจ่ายห้าครั้ง ครั้งละห้าร้อยหยวน นั่นหมายความว่าค่ารับเหมามีมูลค่าถึงสองพันห้าร้อยหยวน ยังไม่รวมราคาวัสดุที่ต้องจ่ายแยกอีกฉินเสี่ยวหรานคำนวณการจ่ายในแต่ละครั้ง ผู้รับเหมาให้เวลาห้าเดือนหรือก็คือเดือนละห้าร้อยหยวน เธอวางแผนออกแบบชุดเอาไว้เพื่อรับตัดชุดและตัดชุดสำเร็จเก็บเอาไว้เพื่อวางขายในระยะเวลาหนึ่งเดือนฉินเสี่ยวหรานต้องตัดชุดให้ได้มากกว่าสิบตัวถึงจะมีเงินเหลือใช้จ่ายในแต่ละเดือน ยังดีที่ฉินเสี่ยวหลิงตัดเย็บกระเป๋าไว้บางส่วนจึงขายออกไป ทำให้ฉินเสี่ยวหรานไม่ต้องทำงานหนักแบบไม่ได้พักหลังจ่ายค่าก่อสร้างงวดที่สอง ฉินเสี่ยวหรานก็ไม่ให้แม่ของเธอทำงานในโรงปักเย็บต่อ ให้อยู่ทำอาหารที่บ้าน หรือจะไปในนั่งเล่นที่สมาคมแม่บ้านกับคุณนายอื่น ๆ ได้ แต่ไม่ให้ทำงานแล้ว นั่นเพราะก่อนหน้านี้จ้าวหยู่ฟางวูบอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้งานจะไม่หนักแต่มีผลข้างเคียงจา
ฉินเสี่ยวหรานไม่เข้าไปดูแม่เฒ่าฉินที่ถูกคุมไว้ในห้องขัง และไม่ให้แม่ของเธอได้เข้าเยี่ยม จะหาว่าใจร้ายก็ได้ แต่ย่าของเธอคนนี้เป็นคนใจร้ายมากกว่า ฉินเสี่ยวหลิงก็ไม่เข้าไปเยี่ยม มีเพียงพ่อของเธอที่เข้าไป และเธอก็ไม่ได้ห้ามถึงอย่างไรก็เป็นแม่ลูกกันเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากติดต่อบ้านฉินไป ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงกองทัพ ฉินเสี่ยวหลิงวิ่งเข้ามาในบ้านด้วยความเหนื่อยหอบ "บ้านฉินขนกันมาทั้งบ้านเลยค่ะ!""มากันทั้งบ้าน?" มือที่กำลังเย็บกระเป๋าชะงักก่อนจะวางไว้บนโต๊ะ "ถ้าจำไม่ผิดพ่อบอกให้มารับคนไม่ใช่หรือ ทำไมถึงต้องขนกันมาทั้งบ้าน"“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แค่ย่ามาก็วุ่นวายมากพอแล้ว ตอนนี้ยิ่งวุ่นวายมากกว่าเดิม พี่รีบไปดูเถอะค่ะก่อนที่จะแย่ไปมากกว่านี้ คนในกองทัพซุบซิบกันหมดแล้ว""อืม"จากที่ทำงานอยู่ต้องละมือ และจัดการล็อกบ้านอย่างแน่นหนาก่อนจะไปยังจุดที่บ้านฉินมาโวยวาย คนพวกนี้ไม่มีมารยาท และตอนนี้คงทำให้พ่อของเธอลำบากใจไม่น้อย ด้วยนิสัยของพ่อ แต่ก่อนเป็นคนที่ไม่เถียงคนอื่น แต่ก็ใช่ว่าจะรังแกได้ อีกทั้งยังแยกบ้านกันแล้ว คนพวกนี้น่ารังเกียจจริง ๆเป็นตามท
ฉินหานมองลูกศิษย์หรือก็คือทหารใหม่ที่รับมาอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นพันตรีเขาก็กลายมาเป็นครูฝึกให้กับทหารใหม่ ต่างจากแต่ก่อนที่ได้เป็นเพียงผู้ช่วยครูฝึก ปีนี้ทหารใหม่มีมากถึงสองร้อยคน จำนวนครูฝึกจึงเพิ่มขึ้นหลายตำแหน่ง และยังมีเงินพิเศษที่ทำให้หลายคนอยากได้ตำแหน่งนี้"ครูฝึกฉินครับ มีญาติต้องการเข้าพบ" ครูฝึกอีกท่านที่ออกไปพักกลับเข้ามากระซิบบอก"ขอบคุณครับ"คงเป็นลูกสาวที่เอาอาหารมื้อกลางวันมาให้ จึงจัดการฝากทหารใหม่ในความดูแลให้คนอื่นก่อนจะเดินออกจากพื้นที่ ฉินหานเร่งฝีเท้าไปยังศาลารับรองเพื่อให้ถึงลูกสาว ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าคนที่มาหาไม่ใช่ลูกสาว"แม่" ใช่ ภาพตรงหน้าของฉินหานคือแม่ของเขาที่นอนนาบไปกับพื้นของศาลา ไม่ไกลจากที่นอนยังมีเหล่าคุณนายและทหารคนอื่น พวกเขาหันมามองเป็นตาเดียว"มาแล้วหรือ! ปล่อยให้แม่แก่ ๆ รอแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ฉันเลี้ยงแกมาตั้งหลายปีไม่คิดที่จะส่งเงินกลับบ้านเลี้ยงดูหน่อยหรือ ปล่อยให้ฉันต้องลำบากแต่ครอบครัวตัวเองสบาย ดีจริง ๆ!" แม่เฒ่าฉินตวาดออกมาด้วยความไม่พอใจหลายเดือนที่ลูกชายพาครอบครัวย้ายมา
ไม่ใช่ว่ามีคำสั่งซื้อ มีฝีมือแล้วจะไม่มีอะไรที่ผิดพลาดได้ ในแต่ละวันฉินเสี่ยวหรานแทบไม่ได้มีเวลาพักผ่อน เนื่องจากรับงานมากเกินตัว ใช่ รายละเอียดแต่ละชุดต้องทำเพิ่ม และฉินเสี่ยวหรานต้องใช้เวลาตัดเย็บชุดทั้งเจ็ดภายในเวลาครึ่งเดือนหรือสิบห้าวันและพอส่งสินค้าให้ลูกค้าที่สั่งงานแล้ว ฉินเสี่ยวหรานก็รีบนำเงินที่ได้มาไปซื้อจักรเย็บผ้ามาเพื่อความรวดเร็ว เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะเปิดภาคเรียนที่สองแล้ว และการเรียนก็ยุ่งมาก คงต้องหาเงินเก็บเอาไว้ก่อนต้องบอกว่าฉินเสี่ยวหรานคิดถูก ก่อนเปิดภาคเรียนเหลือเวลาสิบสามวัน เธอใช้จักรเย็บผ้าตัดเย็บชุดออกมาขาย และรับคำสั่งตัดเย็บมาบ้าง ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนทำให้ฉินเสี่ยวหรานมีเงินเก็บเป็นพันหยวน ยังไม่รวมที่น้องสาวเย็บกระเป๋าขายและนำบางส่วนมาเป็นการต้นทุนในการซื้อผ้าอีกพอเปิดภาคเรียนที่สองฉินเสี่ยวหรานไม่ได้รับตัดเย็บชุดเพิ่มอีก แต่ก็ตัดเย็บชุดสำเร็จเอาไว้ เนื่องจากฉินเสี่ยวหลิงมาปรึกษาเรื่องการเรียนต่อมัธยมปลายและสนใจการเป็นหมอฉินเสี่ยวหรานผู้เป็นพี่สาวที่ได้ยิน รู้ว่าค่าใช้จ่ายมันต้องเยอะมากแน่ จึงตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่
ปิดภาคเรียนแรกแล้ว ฉินเสี่ยวหรานเดินหน้าทำธุรกิจของเธอทันที นั่นก็คือการเปิดรับตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นรอบ ไม่เหมือนตลอดหลายเดือนที่เรียนอยู่ เธอจะรับเพียงครั้งละหนึ่งตัว พอเย็บเสร็จก็เว้นระยะแล้วรับใหม่ เฉลี่ยแล้วคือสามตัวต่อเดือน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอลำบากสักนิดผ้าที่ใช้ตัดเย็บหนึ่งม้วนตัดชุดผู้ชายร่างใหญ่ได้หนึ่งตัว ของผู้หญิงได้เกือบสองตัว และเสื้อหนึ่งตัวนั้นฉินเสี่ยวหรานก็ไม่ได้คิดราคาถูก มีเพียงคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ลดราคาลงบ้างครั้งนี้มีเวลาว่างเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ฉินเสี่ยวหรานจึงเปิดรับรอบนี้เจ็ดตัว ตัวละแปดสิบหยวนไม่รวมรายละเอียดอื่น ๆ หากต้องการเพิ่มเติม และการตัดเย็บในตอนนี้เธอคล่องมือขึ้นมาก เสื้อหนึ่งตัวใช้เวลาเพียงสองวันก็เสร็จแล้วสำหรับฉินเสี่ยวหรานแล้ว เงินเดือนของพ่อเธอนั่นให้แม่ใช้ซื้ออาหารและของเข้าบ้าน เงินเก็บก็ได้รับจากเธอที่ได้จากค่าตัดเย็บเสื้อผ้า ค่าขนมของเธอและฉินเสี่ยวหลิงก็เอามาจากเธอ และได้ทำข้อตกลงกับคนในบ้านแล้วพ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยหาเงินเหมือนแต่ก่อน นี่ยังไม่รวมเงินเดือนจากโรงตัดเย็บของแม่อีกครั้งนี้ฉินเสี่ยวห
หลังจากเปิดเผยความในใจกับผู้เป็นพ่อ ฉินเสี่ยวหรานได้นำเรื่องนี้กลับไปคิด ชีวิตก่อนเธอเป็นลูกคุณหนูจึงรู้เรื่องความสำคัญของที่บ้านดี แม้กระทั่งเมื่อก่อนตอนที่อาชายคนสุดท้ายยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่ยอมให้เธอคบกับคนที่ด้อยกว่า ไม่ว่าจะเพื่อน หรือกับเพศตรงข้ามยิ่งเว่ยเซียวเป็นพันตรีและที่บ้านเขาสนับสนุน ทำไมเธอถึงต้องกลัวด้วยล่ะ ดังนั้นเว่ยเซียวที่ตามตื้อฉินเสี่ยวหรานอยู่เป็นเดือนก็ได้รับโอกาสในครั้งนี้ฉินเสี่ยวหรานโบกมือลาเพื่อนในกลุ่มหน้าโรงเรียนเมื่อเห็นว่ารถยนต์คันเดิมมารอรับแล้ว ตั้งแต่ที่ทั้งสองกลับมาพูดคุยกันมันก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง นั่นก็คือไม่ต้องเดินกลับบ้านแล้ว ฉินเสี่ยวหลิงผู้เป็นน้องสาวชอบแบบนี้ที่สุด และว่าที่พี่เขย- อะแฮ่ม พี่เว่ยยังมีรถส่วนตัวที่ซื้อมาภายหลัง ถึงจะเป็นมือสองแต่ก็สภาพดีมากแต่ก่อนที่จะเดินไปถึงรถ สองพี่น้องฉินกลับถูกคนเอ่ยรั้งเอาไว้ก่อน "นักเรียนฉินเสี่ยวหราน นักเรียนฉินเสี่ยวหลิง""คุณครูหยู" ฉินเสี่ยวหรานก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพคุณครูในโรงเรียน ในขณะเดียวกันก็มีความสงสัยไม่น้อย "มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ"ค
ถึงแม้จะบอกว่าทบทวนความรู้สึกตัวเอง แต่ฉินเสี่ยวหรานก็ยังหลบหน้าเว่ยเซียวที่มาจอดรถรอรับที่หน้าโรงเรียน นั่นก็คือออกมาจากโรงเรียนก่อนเวลาปกติที่เว่ยเซียวจะมารอรับ ให้เพื่อนในกลุ่มดูต้นทาง ส่วนเธอกับน้องสาวรีบเดินกลับ นี่ทำให้เพื่อนในกลุ่มสงสัยไม่น้อยด้วยปกติทุกคนจะรู้กันดีว่าฉินเสี่ยวหรานกับน้องสาวจะมีพันตรีเว่ยมารอรับทุกวัน แต่จู่ ๆ ก็ไม่กลับไปด้วย ถ้าเป็นเรื่องซุบซิบในโรงเรียน ทุกคนรู้ว่าฉินเสี่ยวหรานไม่ได้สนใจ แต่ทำไมถึงเป็นแบบนี้กันล่ะในวันหยุดของสัปดาห์นี้ ฉินเสี่ยวหรานกำลังตัดชุดผู้หญิงวัยรุ่นอยู่ที่บ้าน เป็นชุดที่เพื่อนของเธอสั่งตัดเพราะอยากได้ชุดใหม่ จูลี่นำผ้ามาให้ตัดถึงบ้านพัก ค่าฝีมือคิดได้ไม่อั้นเพราะพ่อของเธอเป็นคนจ่าย และฉินเสี่ยวหรานดูแล้วไม่ติดการเรียนจึงยอมตัดเย็บให้ก๊อก! ก๊อก!"เสี่ยวหราน! เสี่ยวหลิง!"เสียงรถยนต์หน้าบ้านไม่ได้ดึงดูดความสนใจของสองพี่น้องที่นั่งอยู่ในบ้าน แต่กลับได้ยินเสียงคนเรียก ฉินเสี่ยวหรานก็รู้ดีว่าเป็นใคร และเธอยอมออกไปดู เผื่อคนข้างนอกมีธุระจะได้ไม่มาเสียเที่ยว เพราะที่ผ่านมา ต่อให้หลบหน้าหลายวันพันตรีเว่ยก็ไม่โผล่มาให้เห็นหน้าเลยสักนิด"แม่
วันถัดมาพันตรีเว่ยยังคงขับรถผ่านหน้าโรงเรียนในช่วงเวลาเลิกเรียนและยังมีอีกหลาย ๆ วันที่มาจอดรอรับอย่างกับนัดไว้ เพื่อรอรับสองสาวบ้านฉินกลับบ้านด้วย จนกระทั่งฉินเสี่ยวหรานคิดว่ามันไม่ใช่แล้ว และรู้สึกถึงความผิดปกตินี้เดิมทีหากพันตรีเว่ยผ่านมาสักวันสองวันคงคิดได้ว่าเป็นเพราะมีภารกิจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเป็นเดือน ฉินเสี่ยวหรานไม่เคยแม้กระทั่งต้องเดินกลับบ้านเอง หากไม่ติดว่าตอนเช้าพ่อของเธอเป็นคนมาส่ง คงมีรถคอยรับคอยส่งแล้วโรงเรียนและบ้านพักในกองทัพหวั่นอิ๋นนั้นถึงแม้ว่าจะอยู่ติดกัน แต่ว่าถ้าจะเข้าไปด้านในต้องเดินอ้อมอีกทาง ใช้เวลาเพียงห้านาทีเท่านั้นเอง แต่ฉินเสี่ยวหรานก็ไม่เคยได้เดินเหยาหนานรออยู่ตรงทางเข้าโรงเรียน พอเห็นฉินเสี่ยวหรานก็ร้องเรียก "เสี่ยวหรานทางนี้!"ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ฉินเสี่ยวหรานมีกลุ่มเพื่อนกลุ่มหนึ่ง เจิ้งฟางมี่ จูลี่ และหนานเหยา อันที่จริงเจิ้งฟางมี่กับจูลี่ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน ส่วนเหยาหนานนั้นเขามีเพื่อนผู้ชายอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพอฉินเสี่ยวหรานเข้ามาเรียนที่นี่เขาก็เข้าร่วมกลุ่มทันที"ฟางมี่ จูลี่ล่ะ""พวกเธอเข้าไปรอข้างในห้องเรียนแล้ว จูลี่ปวดท้อง เสี่ยว
เผลอแป๊บเดียวก็ถึงวันเปิดภาคเรียนแรกของปีแล้ว ฉินเสี่ยวหราน ฉินเสี่ยวหลิงตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมตัว ทั้งสองเป็นเด็กใหม่ของโรงเรียนที่ย้ายมาชั้นปีสุดท้าย แน่นอนว่าต้องมีสายตาของคนที่มองมา ยิ่งไปเร็วเท่าไรยิ่งเป็นผลดีกับสองพี่น้องฉินหานแลกวันลากับเพื่อนเพื่อมาส่งลูกสาวเข้าโรงเรียนพร้อมภรรยาที่ลางานมาเหมือนกัน ปกติต้องเข้าโรงตัดเย็บทุกวัน และมีค่าแรงวันละห้าเหมา ถึงแม้จะขาดรายได้แต่ก็ไม่เสียหายอะไร"พ่อกับแม่มาส่งได้แค่นี้ มีอะไรให้ไปหาครูธุรการลู่ ระวังตัวด้วย" ฉินหานบอกลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ที่นี่ไม่ใช่อำเภอบ้านเกิดที่คุ้นเคย และไม่มีเพื่อน ลูกสาวต้องเริ่มต้นใหม่“ใช่ ระวังตัวด้วย""หนูจะระวังตัวค่ะ" ฉินเสี่ยวหรานผงกหัว เธอไม่คิดว่าในโรงเรียนจะอันตรายขนาดนั้น "พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงค่ะ เลิกเรียนหนูกับน้องจะรีบกลับบ้าน""อืม"ฉินเสี่ยวหลิงมองข้างในโรงเรียนอย่างตื่นเต้น มันกว้างกว่าโรงเรียนเดิมหลายเท่าตัว "ไปกันเถอะค่ะพี่สาวใหญ่ ได้ยินว่าวันนี้มีนักเรียนเข้าใหม่หลายคน บางทีฉันอาจจะได้เพื่อนเร็วขึ้น"ฉินเสี่ยวหรานพยักหน้าบอกลาพ่อแม่เล็กน้อยก่อนเดินเข้าโรงเรียนไปพร้อมน้องสาว คนที่นี่