เมื่อได้ขนาดตัวของคนที่ต้องตัดชุดให้แล้ว กลับมาถึงบ้านกินข้าวมื้อเย็น อาบน้ำเสร็จ ฉินเสี่ยวหรานรีบเข้าห้องนอนเพื่อออกแบบชุดทั้งสามตัว ของเด็กนั้นไม่เท่าไรของผู้ใหญ่นี่สิ ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่ ผ้าที่ใช้จึงใช้เยอะ
ภายในห้องมีไฟให้ใช้แต่ก็สลัวมาก ฉินเสี่ยวหรานจึงจุดตะเกียงช่วย ถึงแม้ว่าจะสิ้นเปลือง แต่เธอไม่มีเวลาพอ รีบทำให้เสร็จและเข้านอน พรุ่งนี้เช้าพันตรีเว่ยจะมารับเธอไปเลือกม้วนผ้าเพื่อตัดเย็บ ค่าผ้าในส่วนนี้คุณนายเว่ยเป็นคนจ่ายให้ หน้าที่ของเธอคือเลือกซื้อผ้าและตัดเย็บ
ตอนเช้าฉินเสี่ยวหรานรีบลุกไปรดน้ำผัก แล้วไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำเมื่อกลับมาก็เป็นเวลาที่พ่อเธอกลับมาจากวิ่งออกกำลังกาย ทั้งสองทักทายกันเล็กน้อยและแยกย้ายกันทำธุระของตนเอง
เป็นเวลาที่คนในบ้านตื่นพอดี ฉินเสี่ยวหลิงรับหน้าที่ในการทำอาหารตอนเช้า ฉินเสี่ยวหรานกวาดบ้านระหว่างรอรับประทานอาหาร ส่วนผู้เป็นแม่กำลังช่วยพ่อแต่งตัวในห้อง
"แม่คะ วันนี้ให้เสี่ยวหลิงไปกับแม่นะคะ หนูต้องออกไปซื้อม้วนผ้ากับพันตรีเว่ย หากให้น้องสาวไปด้วยก็เกรงใจเขา" ฉินเสี่ยวหรานบอกแม่ของเธอที่เดินออกมาพอดี
“จ้ะ"
ที่บ้านรู้กันหมดแล้วว่าฉินเสี่ยวหรานต้องตัดเย็บเสื้อผ้าถึงสามชุดจึงสนับสนุนไม่ได้ห้ามปราม ฉินหานในชุดทหารเดินออกมานอกห้อง "รักษาระยะห่างเอาไว้นะ ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ชายและผู้หญิง"
"ค่ะ"
ฉินเสี่ยวหรานไม่รู้ว่าเธอจะไปซื้อของนานแค่ไหน และไม่อยากให้น้องสาวอยู่คนเดียวนาน เธอเลือกที่จะให้ฉินเสี่ยวหลิงไปทำงานกับแม่จะสบายใจมากกว่า อีกทั้งต่อให้เธอกลับบ้านพักแล้วฉินเสี่ยวหลิงก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่ดี
รับประทานอาหารเช้าเสร็จ ทุกคนออกจากบ้านไปหมด เหลือเพียงฉินเสี่ยวหรานที่เตรียมตัวอยู่ เป็นผู้หญิงการแต่งหน้าย่อมเป็นเรื่องปกติและเธอใช้เวลาไม่นานก็มีคนเรียกอยู่หน้าบ้าน
"พันตรีเว่ย" เป็นเขาที่มาพร้อมรถยนต์ บ้านเว่ยมีเงินมากจริง ๆ ถึงขนาดยอมเช่ารถยนต์เพื่อเข้าไปซื้อม้วนผ้าในเมือง
"คุณหนูฉิน"
ฉินเสี่ยวหรานหยิบกระเป๋าผ้าในห้องนอน เธอจัดการล็อกบ้านอย่างแน่นหนาถึงขึ้นมานั่งข้างคนขับ เขาไม่ใช่คนขับรถของเธอ การที่ไปนั่งข้างหลังจะเป็นการไม่ให้เกียรติ
"ชุดที่ฉันออกแบบให้จะเป็นชุดกึ่งสุภาพกึ่งทางการ สามารถใส่ในงานเลี้ยงของกองทัพได้ค่ะ" ฉินเสี่ยวหรานหยิบแผ่นกระดาษที่ใช้เวลาออกแบบเพียงสามสิบนาทีของเมื่อคืนให้ดู
"ครับ"
เธอมาร้านเดิมที่ซื้อม้วนผ้ารอบที่แล้ว เพราะรู้สึกว่าเนื้อผ้าดีและมีคุณภาพ รวมถึงราคาค่อนข้างถูก หากให้เทียบกับร้านอื่น เสื้อที่ตัดออกมาแล้วจะใส่ได้นาน
ฉินเสี่ยวหรานเหลือบมองคนที่เดินตามหลังก่อนจะเข้าไปดูผ้าที่สามารถใช้เทียบกับผิวได้ พันตรีเว่ยเป็นทหาร แต่ผิวที่ควรดำคล้ำกลับขาวสว่างเหมือนไม่เคยตากแดด สีแรกที่ฉินเสี่ยวหรานคิดได้คือสีเขียว
"สีนี้เข้ากับคุณมากเลยค่ะ แต่ว่าคุณมีสีที่ชอบในใจหรือไม่คะ" ที่ฉินเสี่ยวหรานไม่เรียกเขาว่าพันตรีเพราะไม่ต้องการให้คนอื่นมองไม่ดี เธอเป็นผู้หญิงที่อายุยังน้อย กับเขาที่เป็นทหารยศใหญ่
"สีไหนก็ได้ทั้งหมดครับ"
เว่ยเซียวไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการตัดเย็บ ส่วนมากแม่ของเขาจะเป็นคนจัดการให้ เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าทำไมครั้งนี้ถึงให้เขาตามฉินเสี่ยวหรานมาเลือกผ้าและทำเรื่องอื่น ๆ เอง
"ฉันอยากดูสีนี้ค่ะ มีผ้าสีนี้อีกไหมคะ"
"มีค่ะ"
ถึงแม้ว่าสีเขียวจะเข้ากับชายหนุ่มมากแค่ไหน ฉินเสี่ยวหรานยังต้องการดูผ้าสีอื่นอีก และสีเขียวที่ว่าภายในร้านมีให้เลือกหลายระดับ อ่อน เข้ม หรือสีที่ตัดกัน พนักงานร้านยังเอาออกมาให้ดู
ฉินเสี่ยวหรานเลือกผ้าด้วยความตั้งใจ เมื่อเห็นว่าสีไหนสวยก็นำมาทาบกับผิวของเจ้าของชุด ไม่เข้ากันก็แยกออก กว่าจะได้สีที่ตรงใจจริง ๆ ใช้เวลาไปสามชั่วโมง ไหนจะสีของเด็ก ๆ อีก
"แวะร้านอาหารก่อนครับ"
"ได้ค่ะ"
ร้านอาหารที่เว่ยเซียวเลือกเป็นร้านบะหมี่ที่ไม่มีคน เขาเลือกโต๊ะข้างในสุด ฉินเสี่ยวหรานไม่เรื่องมาก เธอเดินตามไปนั่งลงพร้อมสั่งบะหมี่หนึ่งชาม
เว่ยเซียวขยับตัวเบา ๆ สองครั้งก่อนถาม "บ้านฉินจะมาอยู่ในกองทัพตลอดเลยหรือไม่"
"ค่ะ พวกเราจะอยู่ที่นี่จนกว่าบ้านพักจะเต็มแล้ว"
เนื่องจากบ้านพักทหารเป็นสวัสดิการจากกองทัพ และยังมีบ้านพักหลายหลัง ต่อให้เกษียณไปแล้วก็ยังสามารถอยู่ต่อในกองทัพได้ ยกเว้นบ้านพักจะเต็ม ทหารที่เกษียณต้องย้ายออกจากที่นี่ หรือถ้ามีคนทำงานในกองทัพก็สามารถพักต่อได้
อีกทั้งการย้ายมาอยู่ในกองทัพไม่ใช่เหตุผลเพียงเพราะพ่อฉินได้เลื่อนยศเท่านั้น ย่าฉินไม่พอใจที่แม่ของเธอมีเพียงลูกสาวสองคนและไม่มีลูกชายให้สามี ต้องการให้พ่อฉินแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่ที่สามารถคลอดเด็กผู้ชายอ้วนกลมให้แก่พ่อได้ ถึงจะเหมาะสมกับยศพันตรี
แต่พ่อฉินไม่ยอม ตอนแต่งงานก็ถูกบังคับ ในตอนนี้รักกันดีกับภรรยาทำไมต้องแต่งงานใหม่อีก จึงยื่นขอบ้านพักก่อนกลับไปที่หมู่บ้านในชนบท แต่เมื่อกลับถึงบ้าน ย่าฉินก็พาเด็กรุ่นลูกมาที่บ้าน พ่อฉินโมโหขอแยกบ้าน และพาภรรยากับลูกสาวมาที่กองทัพ
ทั้งที่คิดเอาไว้ว่าจะย้ายหลังฉินเสี่ยวหรานกับฉินเสี่ยวหลิงจบมัธยมปลายและมัธยมต้น แต่ต้องผิดแผน และพ่อฉินยอมถูกด่าว่าอกตัญญูดีกว่าไปแต่งงานใหม่กับผู้หญิงอายุคราวลูกสาว
ฉินเสี่ยวหรานที่รู้เรื่องนี้ได้แต่โมโหในใจและทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อพวกเธอไม่สามารถที่จะกลับไปที่หมู่บ้านได้อีก ก็ถูกไล่มาเหมือนหมูเหมือนหมาขนาดนั้น
"ในกองทัพมีหลายหน่วยงานให้ทำ เมื่อชอบการตัดเย็บก็ลองเข้าไปทำงานในโรงตัดเย็บดูสิ" เว่ยเซียวแนะนำ "เงินเดือนในกองทัพยังดีกว่าหางาข้างนอกทำ"
ฉินเสี่ยวหรานไม่ตอบ เธอก้มหน้ากินบะหมี่ที่มาเสิร์ฟ การตัดเย็บของเธอตอนนี้ยังมองเห็นไม่ชัดเจน แต่ในอนาคตที่จะถึงเธอจะกลายเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าให้ได้
การค้าขายต้องบอกว่าเป็นทางลัดสู่ความร่ำรวยเร็วที่สุดแล้ว เธอต้องวางแผนอีกหลายอย่างเพื่อรับมือ พ่อแม่ของเธอต้องสบาย และไม่ต้องทำงานหนักเหมือนแต่ก่อน
ใช้เวลาสามสิบนาทีในการกินบะหมี่ เว่ยเซียวใช้ความเร็วในการจ่ายเงินและเดินออกจากร้าน เขาเดินเข้าร้านค้าร้านนี้เดินออกร้านนั้น ฉินเสี่ยวหรานเดินตามไม่ทันจึงขอรอที่รถแทน
เมื่อได้ของครบแล้ว ทั้งสองจึงกลับไปยังกองทัพเพื่อนำของไปเก็บและจะได้แยกย้ายกัน ฉินเสี่ยวหรานก็เหลือบมองถุงกระดาษหลายถุงที่พันตรีเว่ยซื้อมา
"แม่ของผมซื้อให้" เว่ยเซียวยื่นถุงกระดาษให้หญิงสาวที่มองอย่างงง ๆ หลังนำม้วนผ้าเข้าไปเก็บในห้อง
"คุณนายเว่ยซื้อให้จริง ๆ หรือคะ"
ในเมื่อไปด้วยกันสองคน และยุคนี้ไม่มีใครใช้โทรศัพท์ติดตัว จะซื้อให้ได้อย่างไร เหมือนเว่ยเซียวจะรู้ทันความคิด เขาจึงเอ่ยตอบ "อืม ก่อนที่จะมารับเธอน่ะ"
"ฝากขอบคุณคุณนายเว่ยด้วยค่ะ"
"อืม"
ในเมื่อผู้ใหญ่ให้ของ ฉินเสี่ยวหรานก็ไม่เสียมารยาท เธอรับของเอาไว้ มองรถยนต์ที่เคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้าน ก่อนจะรีบเข้าไปในบ้านเพื่อดูของที่พันตรีเว่ยบอกว่าคุณนายเว่ยซื้อให้
"หืม อาหารแห้ง?"
ฉินเสี่ยวหรานขมวดคิ้ว เมื่อของฝากปรากฏแก่สายตา ของทะเลแห้ง เนื้อแห้ง ผลไม้อบแห้ง และอาหารกระป๋องหลายกระป๋องวางอยู่ตรงหน้า ของพวกนี้มีราคาแพงพอสมควร เพราะเป็นของที่ทำมาแล้วและเก็บไว้ได้นาน
ยิ่งเปิดถุงสุดท้ายพบว่าเป็นเครื่องสำอางของผู้หญิงยิ่งตกใจ มันเหมือนเครื่องสำอางที่เธอมีอยู่ และฉินเสี่ยวหรานใช้มาแล้วเป็นปีเพราะต้องเก็บเงินซื้อ
คุณนายเว่ยซื้อให้จริง ๆ หรือ!
ตัดชุดให้พันตรีเว่ยใช้เวลาเพียงสามวันก็เสร็จแล้ว เนื่องจากเป็นของลูกค้าจะมัวโอ้เอ้ไม่ได้ ฉินเสี่ยวหรานจะให้น้องสาวเป็นคนนำอาหารไปส่งให้พ่อ ส่วนเธอใช้เวลาอันมีค่าในการตัดเย็บ แต่ว่าชุดของเด็กทั้งสองใช้เวลาสี่วันในการตัดเย็บรวม แล้วเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์พอดี เร็วกว่าที่คาดเอาไว้มากฉินเสี่ยวหรานนัดส่งชุดพรุ่งนี้เพราะต้องการตรวจสอบชุดใหม่ว่าจะไม่มีปัญหาตรงไหน ด้วยฝีมือของเธอราคาที่จะเรียกจึงแพง ถ้าเกิดมีตำหนิขึ้นมาจะเสียชื่อเอาได้หลังตรวจสอบชุดทั้งสามอย่างละเอียดดีแล้ว ฉินเสี่ยวหรานยังเย็บกระเป๋าผ้าเพื่อใส่ชุดอีกด้วย เพราะไม่มีถุงกระดาษ หรือถุงที่สามารถใส่เสื้อผ้าได้ ถ้าถือไปเลยเห็นถ้าว่าจะไม่ดี และกระเป๋าของเธอยังเก่าอีกด้วยจ้าวหยู่ฟางกำลังถักไหมพรมเงยหน้ามองลูกสาวที่เตรียมของจะไปส่ง "ลูกตัดเย็บเร็วมาก แม่นึกว่าต้องใช้เวลาอีกหลายวัน เหล่าคุณนายยังตกใจที่ชุดเสร็จเร็วมาก”"ไม่เร็วเลยค่ะแม่ ถ้ามีจักรเย็บผ้าจะดีกว่านี้""นั่นสิ มีจักรเย็บผ้าเร็วกว่าจริง ๆ" น่าเสียดายที่เธอกับสามีไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อจักรเย็บผ้า ไม่สิ จะว่ามีมันก็มีอยู่แต่ว่าเงินของบ้านก็จะลดลง อีกไม่นานก็จะเปิดภาคเรียนแล้
เผลอแป๊บเดียวก็ถึงวันเปิดภาคเรียนแรกของปีแล้ว ฉินเสี่ยวหราน ฉินเสี่ยวหลิงตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมตัว ทั้งสองเป็นเด็กใหม่ของโรงเรียนที่ย้ายมาชั้นปีสุดท้าย แน่นอนว่าต้องมีสายตาของคนที่มองมา ยิ่งไปเร็วเท่าไรยิ่งเป็นผลดีกับสองพี่น้องฉินหานแลกวันลากับเพื่อนเพื่อมาส่งลูกสาวเข้าโรงเรียนพร้อมภรรยาที่ลางานมาเหมือนกัน ปกติต้องเข้าโรงตัดเย็บทุกวัน และมีค่าแรงวันละห้าเหมา ถึงแม้จะขาดรายได้แต่ก็ไม่เสียหายอะไร"พ่อกับแม่มาส่งได้แค่นี้ มีอะไรให้ไปหาครูธุรการลู่ ระวังตัวด้วย" ฉินหานบอกลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ที่นี่ไม่ใช่อำเภอบ้านเกิดที่คุ้นเคย และไม่มีเพื่อน ลูกสาวต้องเริ่มต้นใหม่“ใช่ ระวังตัวด้วย""หนูจะระวังตัวค่ะ" ฉินเสี่ยวหรานผงกหัว เธอไม่คิดว่าในโรงเรียนจะอันตรายขนาดนั้น "พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงค่ะ เลิกเรียนหนูกับน้องจะรีบกลับบ้าน""อืม"ฉินเสี่ยวหลิงมองข้างในโรงเรียนอย่างตื่นเต้น มันกว้างกว่าโรงเรียนเดิมหลายเท่าตัว "ไปกันเถอะค่ะพี่สาวใหญ่ ได้ยินว่าวันนี้มีนักเรียนเข้าใหม่หลายคน บางทีฉันอาจจะได้เพื่อนเร็วขึ้น"ฉินเสี่ยวหรานพยักหน้าบอกลาพ่อแม่เล็กน้อยก่อนเดินเข้าโรงเรียนไปพร้อมน้องสาว คนที่นี่
วันถัดมาพันตรีเว่ยยังคงขับรถผ่านหน้าโรงเรียนในช่วงเวลาเลิกเรียนและยังมีอีกหลาย ๆ วันที่มาจอดรอรับอย่างกับนัดไว้ เพื่อรอรับสองสาวบ้านฉินกลับบ้านด้วย จนกระทั่งฉินเสี่ยวหรานคิดว่ามันไม่ใช่แล้ว และรู้สึกถึงความผิดปกตินี้เดิมทีหากพันตรีเว่ยผ่านมาสักวันสองวันคงคิดได้ว่าเป็นเพราะมีภารกิจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเป็นเดือน ฉินเสี่ยวหรานไม่เคยแม้กระทั่งต้องเดินกลับบ้านเอง หากไม่ติดว่าตอนเช้าพ่อของเธอเป็นคนมาส่ง คงมีรถคอยรับคอยส่งแล้วโรงเรียนและบ้านพักในกองทัพหวั่นอิ๋นนั้นถึงแม้ว่าจะอยู่ติดกัน แต่ว่าถ้าจะเข้าไปด้านในต้องเดินอ้อมอีกทาง ใช้เวลาเพียงห้านาทีเท่านั้นเอง แต่ฉินเสี่ยวหรานก็ไม่เคยได้เดินเหยาหนานรออยู่ตรงทางเข้าโรงเรียน พอเห็นฉินเสี่ยวหรานก็ร้องเรียก "เสี่ยวหรานทางนี้!"ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ฉินเสี่ยวหรานมีกลุ่มเพื่อนกลุ่มหนึ่ง เจิ้งฟางมี่ จูลี่ และหนานเหยา อันที่จริงเจิ้งฟางมี่กับจูลี่ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน ส่วนเหยาหนานนั้นเขามีเพื่อนผู้ชายอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพอฉินเสี่ยวหรานเข้ามาเรียนที่นี่เขาก็เข้าร่วมกลุ่มทันที"ฟางมี่ จูลี่ล่ะ""พวกเธอเข้าไปรอข้างในห้องเรียนแล้ว จูลี่ปวดท้อง เสี่ยว
ถึงแม้จะบอกว่าทบทวนความรู้สึกตัวเอง แต่ฉินเสี่ยวหรานก็ยังหลบหน้าเว่ยเซียวที่มาจอดรถรอรับที่หน้าโรงเรียน นั่นก็คือออกมาจากโรงเรียนก่อนเวลาปกติที่เว่ยเซียวจะมารอรับ ให้เพื่อนในกลุ่มดูต้นทาง ส่วนเธอกับน้องสาวรีบเดินกลับ นี่ทำให้เพื่อนในกลุ่มสงสัยไม่น้อยด้วยปกติทุกคนจะรู้กันดีว่าฉินเสี่ยวหรานกับน้องสาวจะมีพันตรีเว่ยมารอรับทุกวัน แต่จู่ ๆ ก็ไม่กลับไปด้วย ถ้าเป็นเรื่องซุบซิบในโรงเรียน ทุกคนรู้ว่าฉินเสี่ยวหรานไม่ได้สนใจ แต่ทำไมถึงเป็นแบบนี้กันล่ะในวันหยุดของสัปดาห์นี้ ฉินเสี่ยวหรานกำลังตัดชุดผู้หญิงวัยรุ่นอยู่ที่บ้าน เป็นชุดที่เพื่อนของเธอสั่งตัดเพราะอยากได้ชุดใหม่ จูลี่นำผ้ามาให้ตัดถึงบ้านพัก ค่าฝีมือคิดได้ไม่อั้นเพราะพ่อของเธอเป็นคนจ่าย และฉินเสี่ยวหรานดูแล้วไม่ติดการเรียนจึงยอมตัดเย็บให้ก๊อก! ก๊อก!"เสี่ยวหราน! เสี่ยวหลิง!"เสียงรถยนต์หน้าบ้านไม่ได้ดึงดูดความสนใจของสองพี่น้องที่นั่งอยู่ในบ้าน แต่กลับได้ยินเสียงคนเรียก ฉินเสี่ยวหรานก็รู้ดีว่าเป็นใคร และเธอยอมออกไปดู เผื่อคนข้างนอกมีธุระจะได้ไม่มาเสียเที่ยว เพราะที่ผ่านมา ต่อให้หลบหน้าหลายวันพันตรีเว่ยก็ไม่โผล่มาให้เห็นหน้าเลยสักนิด"แม่
หลังจากเปิดเผยความในใจกับผู้เป็นพ่อ ฉินเสี่ยวหรานได้นำเรื่องนี้กลับไปคิด ชีวิตก่อนเธอเป็นลูกคุณหนูจึงรู้เรื่องความสำคัญของที่บ้านดี แม้กระทั่งเมื่อก่อนตอนที่อาชายคนสุดท้ายยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่ยอมให้เธอคบกับคนที่ด้อยกว่า ไม่ว่าจะเพื่อน หรือกับเพศตรงข้ามยิ่งเว่ยเซียวเป็นพันตรีและที่บ้านเขาสนับสนุน ทำไมเธอถึงต้องกลัวด้วยล่ะ ดังนั้นเว่ยเซียวที่ตามตื้อฉินเสี่ยวหรานอยู่เป็นเดือนก็ได้รับโอกาสในครั้งนี้ฉินเสี่ยวหรานโบกมือลาเพื่อนในกลุ่มหน้าโรงเรียนเมื่อเห็นว่ารถยนต์คันเดิมมารอรับแล้ว ตั้งแต่ที่ทั้งสองกลับมาพูดคุยกันมันก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง นั่นก็คือไม่ต้องเดินกลับบ้านแล้ว ฉินเสี่ยวหลิงผู้เป็นน้องสาวชอบแบบนี้ที่สุด และว่าที่พี่เขย- อะแฮ่ม พี่เว่ยยังมีรถส่วนตัวที่ซื้อมาภายหลัง ถึงจะเป็นมือสองแต่ก็สภาพดีมากแต่ก่อนที่จะเดินไปถึงรถ สองพี่น้องฉินกลับถูกคนเอ่ยรั้งเอาไว้ก่อน "นักเรียนฉินเสี่ยวหราน นักเรียนฉินเสี่ยวหลิง""คุณครูหยู" ฉินเสี่ยวหรานก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพคุณครูในโรงเรียน ในขณะเดียวกันก็มีความสงสัยไม่น้อย "มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ"ค
ปิดภาคเรียนแรกแล้ว ฉินเสี่ยวหรานเดินหน้าทำธุรกิจของเธอทันที นั่นก็คือการเปิดรับตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นรอบ ไม่เหมือนตลอดหลายเดือนที่เรียนอยู่ เธอจะรับเพียงครั้งละหนึ่งตัว พอเย็บเสร็จก็เว้นระยะแล้วรับใหม่ เฉลี่ยแล้วคือสามตัวต่อเดือน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอลำบากสักนิดผ้าที่ใช้ตัดเย็บหนึ่งม้วนตัดชุดผู้ชายร่างใหญ่ได้หนึ่งตัว ของผู้หญิงได้เกือบสองตัว และเสื้อหนึ่งตัวนั้นฉินเสี่ยวหรานก็ไม่ได้คิดราคาถูก มีเพียงคนสนิทเท่านั้นที่จะได้ลดราคาลงบ้างครั้งนี้มีเวลาว่างเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ฉินเสี่ยวหรานจึงเปิดรับรอบนี้เจ็ดตัว ตัวละแปดสิบหยวนไม่รวมรายละเอียดอื่น ๆ หากต้องการเพิ่มเติม และการตัดเย็บในตอนนี้เธอคล่องมือขึ้นมาก เสื้อหนึ่งตัวใช้เวลาเพียงสองวันก็เสร็จแล้วสำหรับฉินเสี่ยวหรานแล้ว เงินเดือนของพ่อเธอนั่นให้แม่ใช้ซื้ออาหารและของเข้าบ้าน เงินเก็บก็ได้รับจากเธอที่ได้จากค่าตัดเย็บเสื้อผ้า ค่าขนมของเธอและฉินเสี่ยวหลิงก็เอามาจากเธอ และได้ทำข้อตกลงกับคนในบ้านแล้วพ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยหาเงินเหมือนแต่ก่อน นี่ยังไม่รวมเงินเดือนจากโรงตัดเย็บของแม่อีกครั้งนี้ฉินเสี่ยวห
ไม่ใช่ว่ามีคำสั่งซื้อ มีฝีมือแล้วจะไม่มีอะไรที่ผิดพลาดได้ ในแต่ละวันฉินเสี่ยวหรานแทบไม่ได้มีเวลาพักผ่อน เนื่องจากรับงานมากเกินตัว ใช่ รายละเอียดแต่ละชุดต้องทำเพิ่ม และฉินเสี่ยวหรานต้องใช้เวลาตัดเย็บชุดทั้งเจ็ดภายในเวลาครึ่งเดือนหรือสิบห้าวันและพอส่งสินค้าให้ลูกค้าที่สั่งงานแล้ว ฉินเสี่ยวหรานก็รีบนำเงินที่ได้มาไปซื้อจักรเย็บผ้ามาเพื่อความรวดเร็ว เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะเปิดภาคเรียนที่สองแล้ว และการเรียนก็ยุ่งมาก คงต้องหาเงินเก็บเอาไว้ก่อนต้องบอกว่าฉินเสี่ยวหรานคิดถูก ก่อนเปิดภาคเรียนเหลือเวลาสิบสามวัน เธอใช้จักรเย็บผ้าตัดเย็บชุดออกมาขาย และรับคำสั่งตัดเย็บมาบ้าง ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนทำให้ฉินเสี่ยวหรานมีเงินเก็บเป็นพันหยวน ยังไม่รวมที่น้องสาวเย็บกระเป๋าขายและนำบางส่วนมาเป็นการต้นทุนในการซื้อผ้าอีกพอเปิดภาคเรียนที่สองฉินเสี่ยวหรานไม่ได้รับตัดเย็บชุดเพิ่มอีก แต่ก็ตัดเย็บชุดสำเร็จเอาไว้ เนื่องจากฉินเสี่ยวหลิงมาปรึกษาเรื่องการเรียนต่อมัธยมปลายและสนใจการเป็นหมอฉินเสี่ยวหรานผู้เป็นพี่สาวที่ได้ยิน รู้ว่าค่าใช้จ่ายมันต้องเยอะมากแน่ จึงตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่
ฉินหานมองลูกศิษย์หรือก็คือทหารใหม่ที่รับมาอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นพันตรีเขาก็กลายมาเป็นครูฝึกให้กับทหารใหม่ ต่างจากแต่ก่อนที่ได้เป็นเพียงผู้ช่วยครูฝึก ปีนี้ทหารใหม่มีมากถึงสองร้อยคน จำนวนครูฝึกจึงเพิ่มขึ้นหลายตำแหน่ง และยังมีเงินพิเศษที่ทำให้หลายคนอยากได้ตำแหน่งนี้"ครูฝึกฉินครับ มีญาติต้องการเข้าพบ" ครูฝึกอีกท่านที่ออกไปพักกลับเข้ามากระซิบบอก"ขอบคุณครับ"คงเป็นลูกสาวที่เอาอาหารมื้อกลางวันมาให้ จึงจัดการฝากทหารใหม่ในความดูแลให้คนอื่นก่อนจะเดินออกจากพื้นที่ ฉินหานเร่งฝีเท้าไปยังศาลารับรองเพื่อให้ถึงลูกสาว ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าคนที่มาหาไม่ใช่ลูกสาว"แม่" ใช่ ภาพตรงหน้าของฉินหานคือแม่ของเขาที่นอนนาบไปกับพื้นของศาลา ไม่ไกลจากที่นอนยังมีเหล่าคุณนายและทหารคนอื่น พวกเขาหันมามองเป็นตาเดียว"มาแล้วหรือ! ปล่อยให้แม่แก่ ๆ รอแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ฉันเลี้ยงแกมาตั้งหลายปีไม่คิดที่จะส่งเงินกลับบ้านเลี้ยงดูหน่อยหรือ ปล่อยให้ฉันต้องลำบากแต่ครอบครัวตัวเองสบาย ดีจริง ๆ!" แม่เฒ่าฉินตวาดออกมาด้วยความไม่พอใจหลายเดือนที่ลูกชายพาครอบครัวย้ายมา
เจ็ดปีแล้วที่ลิลลี่ ลลิลิล ได้มายังที่นี่ ได้ใช้ชีวิตเป็นฉินเสี่ยวหราน จากเด็กมัธยมปลายที่ตามพ่อแม่จากต่างเมืองมาใช้ชีวิตในกองทัพ สู่เจ้าของร้านเสื้อผ้าหรานหลิงที่เป็นที่จดจำของผู้คน มามีครอบครัวที่อบอุ่นสี่ปีที่ฉินเสี่ยวหรานได้แต่งงานมีครอบครัว หลังน้องสาวแต่งงานออกไปฉินเสี่ยวหรานก็ย้ายกลับมาอยู่บ้านใหญ่ดูแลพ่อแม่ ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสามปีสำหรับการมีฉินเสี่ยวเว่ยลูกชายตัวน้อยของฉินเสี่ยวหรานกับเว่ยเซียว เขาเป็นแก้วตาดวงใจของบ้าน และฉินเสี่ยวหรานไม่ได้มีลูกเพิ่มด้วยประชากรที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในแต่ละปี รัฐบาลจึงมีนโยบายลูกคนเดียว ยกเว้นชาวบ้านตามชนบทที่อนุญาตให้มีลูกสองคน ในกรณีลูกคนแรกไม่ใช่ลูกชาย อันที่จริงหากฉินเสี่ยวหรานอยากมีลูกคนที่สองเธอสามารถมีได้แต่ฉินเสี่ยวหรานต้องการทุ่มเทให้ลูกชายคนเดียวของเธอมากกว่า หากมีลูกก็ต้องหยุดทำงานไปอีก และฉินเสี่ยวหรานไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ไหน ๆ ก็มีลูกชายแล้ว"ฮ่า ๆ เสี่ยวเว่ยชิมนี่ดูสิ" ฉินเสี่ยวหรานยื่นแตงโมให้ลูกชายด้วยความเอ็นดู"แม่ ผมอยากกินแอปเปิล" ฉินเสี่ยวเว่ยส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็วฉินเสี่ยวหรานถอนหายใจ "แอปเปิลมัน
ฉินเสี่ยวเว่ยตามแม่ไปทำงานที่ร้านเสื้อผ้าทุกวัน และกลายเป็นดาวเด่นของร้าน ด้วยความที่เป็นเด็กพูดเก่ง ไม่งอแง และขี้อ้อน ลูกค้าที่มาซื้อเสื้อผ้าโดนเด็กชายตกแบบงง ๆ เวลาตามแม่ของเขามาทำงานก็จะได้รับขนมติดมือมาตลอดแต่ฉินเสี่ยวหรานไม่ได้ให้ลูกของเธอกินขนมพวกนี้ เนื่องจากว่าเป็นขนมที่เด็กไม่ควรกิน อีกทั้งไม่รู้ว่าคนให้ใส่อะไรมาบ้าง ป้องกันได้ก็ควรป้องกันเอาไว้ก่อน และฉินเสี่ยวเว่ยก็รับของมาทุกวันวันไหนที่ลูกชายของฉินเสี่ยวหรานออกมาหน้าร้านก็จะมีลูกค้ามามุงดู แต่ถ้ามาที่ร้านแต่อยู่ภายในห้องก็เยอะเหมือนกันแต่ไม่ได้เยอะขนาดนั้นวันที่เจ็ด เดือนมีนาคม ปี1987 เหยาหนานและบ้านเหยามาสู่ขอฉินเสี่ยวหลิงไปเป็นสะใภ้ หลังฉินเสี่ยวหลิงตกลงคบหากับเหยาหนานได้หนึ่งปีเต็ม ต้องบอกว่าบ้านเหยานั้นรีบมาก กลัวจะไม่ได้ฉินเสี่ยวหลิงเป็นสะใภ้ ถึงขั้นมาขอหมั้นตั้งแต่ที่รู้ว่าทั้งสองคบกันแรก ๆ ด้วยซ้ำเพียงแต่ฉินเสี่ยวหรานถามน้องสาวแล้ว และทั้งสองลงความเห็นกันว่ารออีกหน่อย รอให้ฉินเสี่ยวหลิงใช้ชีวิตอีกสักปี และพอครบพวกเขาก็รีบมาทันทีครั้งนี้ฉินเสี่ยวหรานอนุญาต น้องสาวของเธอได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและพร้อมที่จะมีสามีแ
ฉินเสี่ยวหรานต่อเติมคูหายื่นออกมาจากตึกร้านเสื้อผ้าหรานหลิงเพื่อใช้ในการเปิดร้านขายดอกไม้ ซึ่งดอกไม้ที่นำมาขายเป็นดอกไม้ในที่ดินของสามีฉินเสี่ยวหรานเอง แต่ว่าสองสามีภรรยาเปิดร้านนี้ให้พ่อแม่ฉิน โดยที่ช่วยจ่ายค่าอื่น ๆ แต่พ่อแม่ของฉินเสี่ยวหรานรับเงินเพียงเท่านั้นที่จริงแล้วทั้งสองไม่คิดว่าจะขายดอกไม้ด้วยซ้ำ แต่ว่าดอกไม้ที่ได้พันธุ์มาจากสวนผักของโรงแรมในตอนนั้นเกิดขายดีขึ้นมา และเพาะปลูกไม่ทันจึงนำดอกไม้ที่ปลูกในไร่ออกมาขาย ใครจะคิดว่ามันก็ขายได้ จึงเกิดเป็นธุรกิจใหม่ร้านดอกไม้ที่ไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่ว่าในแต่ละวันมีรายได้เดือนละมากกว่าร้อยหยวน เงินส่วนต่างจ้าวหยู่ฟางเก็บไว้ให้หลานชายทั้งหมดในตอนนี้ฉินเสี่ยวเว่ยอายุสองขวบแล้ว ฉินเสี่ยวหรานที่ติดลูกชายก็ได้ฤกษ์กลับไปทำงานสักที ตลอดสองปีที่ผ่านมาถึงแม้จะดูแลทางเบื้องหลังมาตลอด แต่ฉินเสี่ยวหรานก็ไม่ได้เข้าไปดูหน้าร้าน เพราะบางครั้งคนเยอะก็ไม่อยากให้ลูกชายไป อีกอย่างแม่ของเธอยังสนับสนุน ไป ๆ มา ๆ ก็เข้าสองปี"วันนี้จะเอาเสี่ยวเว่ยไปด้วยหรือ แม่ว่าลูกไปทำงานก่อนไหม ตอนบ่ายแม่จะพาหลานไปที่ร้านเอง" จ้าวหยู่ฟางมองหลานชายที่แม่ของเขาแต่งตัวใ
เผลอแป๊บเดียวฉินเสี่ยวเว่ยก็อายุหนึ่งขวบแล้ว เป็นหนึ่งปีที่บอกได้ว่าฉินเสี่ยวหรานไม่ได้ไปทำงานนอกบ้าน เธออยู่บ้านเลี้ยงลูกเองหนึ่งปีเต็ม ๆ เนื่องด้วยว่าจู่ ๆ ช่วงหลังมานี้น้ำนมค่อนข้างเยอะมาก ถ้าไปทำงานกลัวว่าเชื้อโรคข้างนอกจะติดตัวมาด้วย ฉินเสี่ยวหรานจึงมอบหน้าที่ตรงนี้ให้กับแม่ของเธอแทนบ้านฉินไม่พลาดที่จะจัดงานเลี้ยงฉลองครบหนึ่งปีของฉินเสี่ยวเว่ย หลังจากงานเลี้ยงจบมัธยมปลายของฉินเสี่ยวหลิงเมื่อกลางปีที่แล้ว บ้านฉินก็ไม่ได้มีงานเลี้ยงอะไรอีก วันนี้จึงจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ฉินเสี่ยวหลิงเดินหน้าทำงานในหน่วยแพทย์ของกองทัพ ตอนนี้ได้รับการเลื่อนยศแรกของหน่วยแพทย์แล้ว รอสอบเลื่อนขั้น ที่สำคัญคือเธอมีผู้ชายมาตามจีบคน ๆ นั้นไม่ใช่คนอื่นที่ไหน เป็นเหยาหนานที่ไปรับภารกิจนอกกองทัพนานหลายปี มาเจอฉินเสี่ยวหลิงที่วันฉลองการจบการศึกษาถึงได้ตามจีบ โดยมีคุณนายเหยากับพันโทเหยาผู้เป็นพ่อแม่สนับสนุนฉินเสี่ยวหรานไม่ได้ต้องการจัดงานใหญ่โต แต่ว่าพอนับดูจำนวนคนแล้วได้เป็นร้อยคน ฉินเสี่ยวหรานรู้ว่าการทำอาหารมันเหนื่อยมาก รอบนี้ถึงได้แตกต่างจากครั้งอื่น ตรงที่ว่าฉินเสี่ยวหรานนั้นจ้างแม่ครัวมาทำอาหารให้ อาหาร
ช่วงเวลาที่ฉินเสี่ยวหรานคิดว่าผ่านไปเพียงไม่นาน แต่ว่าลูกชายของเธอก็ได้หกเดือนแล้ว และฉินเสี่ยวหลิงน้องสาวของเธอก็เรียนจบมัธยมปลาย ยังจำปีนั้นที่เข้ามาเรียนได้อยู่เลย เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆฉินเสี่ยวหลิงชื่นชอบในวิชาแพทย์ ได้ศึกษางานมานานถึงสามปี จึงตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย และขอขมาพ่อแม่รวมถึงพี่สาวที่ไม่อาจไปเรียนต่อตามความหวังได้ เพราะงานในกองทัพที่เธอทำจนอยู่ตัวไม่ต้องผ่านการประเมินก่อน ที่สำคัญไม่มีการทดสอบ รวมถึงเงินเดือนที่ได้รับก็ได้เป็นจำนวนมาก สวัสดิการก็ดีสำหรับฉินเสี่ยวหรานกับพ่อแม่ พวกเธอไม่ได้ว่าน้องสาวในเรื่องนี้ การที่อีกฝ่ายตัดสินชีวิตของตัวเองได้แล้ว มีเพียงการสนับสนุนเท่านั้นฉินเสี่ยวหรานอุ้มลูกชายวัยหกเดือนนั่งตรงโต๊ะที่สั่งทำ พร้อมกับวางจานอาหารให้เขาได้จับกิน มันเป็นการกินชนิดหนึ่งพ่อแม่ไม่ต้องป้อนและสอนให้เขากินข้าวเป็นตลอดหกเดือนที่่ผ่านมาเธอเลี้ยงลูกด้วยวิธีของตนเอง อาหารที่บำรุงน้ำนมที่เขาว่าดีก็ให้แม่ทำให้ ช่วงหลัง ๆ มาพอจะมีน้ำนมบ้างก็ไม่ให้ดื่มนมผง เป็นหกเดือนที่ฉินเสี่ยวหรานบำรุงตัวเองจนมีเนื้อมีนวลและสามีคอยตามหวง"เสี่ยวเว่ย น้าเล็กทำ
แต่ก่อนการคลอดลูกในเดือนธันวาคมเป็นอะไรที่ลำบากมาก นอกจากอากาศที่หนาวแล้วยังต้องอด ๆ อยาก ๆ แต่ค่านิยมของคนในชนบทก็คือยิ่งมีลูกเยอะยิ่งดียังดีที่ฉินหานกับภรรยาเล็งเห็นว่าตรงนี้คือปัญหาที่ทำให้บ้านลำบาก พอมีลูกคนที่สองเป็นผู้หญิงเขาก็ไม่ได้มีคนที่สามต่อ เรื่องนี้จึงเป็นอีกเรื่องที่บ้านของเขาถูกคนอื่นมองว่าแปลก ยิ่งไม่มีลูกชายยิ่งต้องมีลูกเพิ่มในตอนนี้บ้านฉินมีเงินแล้ว ไหนจะบ้านของสามีที่รับขวัญหลานหลายพันหยวน จึงไม่ได้ลำบากอะไร ในบ้านเต็มไปด้วยความอบอุ่นจากปล่องไฟที่ฉินเสี่ยวหรานออกแบบมาเอง และภายในตัวบ้านคืออบอุ่นมากฉินเสี่ยวหรานคลอดลูกชายตัวอวบอ้วน ตั้งชื่อว่าฉินเสี่ยวเว่ย ฉินเสี่ยวมาจากแซ่และชื่อตัวแรกของแม่ ส่วนเว่ยมากจากแซ่ของพ่อ ในตอนแรกฉินเสี่ยวหรานจะตั้งว่าฉินเสี่ยวเซียว แต่พอคิดอีกทีเอาฉินเสี่ยวเว่ยจะดีกว่าฉินเสี่ยวเว่ยคลอดมาได้เพียงสิบวันเหล่าคุณย่า คุณยายต่างเดินทางมารับขวัญหลาน แต่ละคนที่รับขวัญหลานนอกจากบ้านเว่ยแล้ว แต่ละคนล้วนให้ไม่ต่ำกว่าร้อยหยวน ซึ่งมันเป็นเงินจำนวนมาก"ดูสิ ตั้งแต่ออกมาก็ตัวอวบอ้วนแล้ว ตอนนี้ยังดื่มนมเก่งตุ้ยนุ้ยเชียว" คุณนายเว่ยที่อาบน้ำเสร็จแล้วเ
ช่วงขึ้นบ้านใหม่เป็นช่วงปลายปีหรือก็คือเดือนตุลาคม มีคนมาร่วมงานอย่างล้นหลาม ทั้งที่เป็นแขกรับเชิญและคนที่เข้ามาเอง แต่เพราะเป็นงานมงคลฉินเสี่ยวหรานจึงไม่ได้ว่าอะไร โชคดีที่เตรียมของเอาไว้เยอะหลังขึ้นบ้านใหม่ พันโทฉินที่ได้รับตำแหน่งได้ไม่กี่เดือนขอคืนบ้านพักให้รุ่นน้องที่จะเข้ามาทำงาน ก่อนพากันขนของไปอยู่บ้านใหม่ใกล้ตลาด ถึงแม้ว่าจะย้ายไปแล้ว แต่เหล่าคุณนายก็ยังคงติดต่อกันตลอด และยังมีนัดหมายรับประทานอาหารร่วมกันอีกด้วยส่วนฉินเสี่ยวหรานนั้นยินดีต้อนรับบรรดาคุณนายกับลุง ๆ เพื่อนของพ่อ สำหรับเธอการมีเพื่อนเป็นความสุขอย่างหนึ่ง และในแต่ละวันเธอเอาแต่ทำงาน ถ้าแม่ไม่อยู่กับพวกคุณนายคงไม่มีคนคุยด้วยต้นปี 1984 ฉินเสี่ยวหรานแต่งสามีเข้าบ้าน และคน ๆ นั้นคือพันโทเว่ยเซียว หลายคนที่รู้กำหนดการในตอนแรกถึงกับคัดค้าน บอกว่าการที่เว่ยเซียวแต่งเข้าบ้านภรรยาเป็นการหยามเกียรติของตระกูลเว่ยโดยปกติแต่ละตระกูล แต่ละแซ่ล้วนต้องการขยายวงศ์ตระกูลให้ใหญ่ ตระกูลเว่ยในกองทัพตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น การที่เว่ยเซียวแต่งงานออกไปจึงคิดว่ามันไม่สมควรแน่นอนว่าคนตระกูลเว่ยต่างเพิกเฉยไม่คิดสนใจเรื่องนี้ พ
ในที่สุดเวลาที่หลายคนรอคอยก็มาถึง บ้านอิฐเจ็ดห้องนอน หนึ่งห้องโถง หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องรับประทานอาหารที่ถูกสร้างด้วยวัสดุอุปกรณ์อย่างดีราคาสูงก็เสร็จแล้วสไตล์ของบ้านต่างจากบ้านทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด เป็นฉินเสี่ยวหรานที่ลงมือออกแบบเองโดยเฉพาะ ทั้งยังคุมผู้รับเหมาและคนงานเองแทบจะตลอด ยิ่งวันไหนมีปัญหาเธอจะเข้าไปดูทันทีเพื่อจะได้แก้ไขทันแต่ก็ไม่ได้ถึงกับแปลกไปซะทีเดียว หลายคนในอำเภอต่างหาช่างฝีมือ ช่างออกแบบ เพื่อออกแบบแต่ละอย่างให้ทันสมัย อย่างเช่นเสื้อผ้าเช่นเดียวกัน มีหลายร้านที่ต้องการหาคนมาออกแบบ ก่อนหน้านี้มีร้านเสื้อผ้า โรงงานผ้าเข้ามาติดต่อขอซื้อแบบเสื้อ แต่ฉินเสี่ยวหรานไม่ยอมขายให้ เธอให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้แบบเสื้อกระจายมากเกินไปเพราะชุดที่ออกแบบมาในแต่ละครั้ง ฉินเสี่ยวหรานวางขายให้ลูกค้าในร้านไม่สามารถนำออกไปข้างนอกได้ หลังจากตัดเย็บเสร็จก็มีการทำลายทิ้งต่อหน้าลูกค้า เป็นการการันตีได้ว่าแบบนี้ไม่มีใครใช้แล้วจริง ๆอีกทั้งภาพจำของทุกคนคือลายผ้า ลวดลาย และการตัดเย็บไม่เหมือนใครอื่น ถ้าไปอยู่ร้านอื่นหลายคนจะจำสับสนได้ ที่สำคัญก็คือฉินเสี่ยวหรานไม่ได้มีเวลาออกแบบเยอะขนาดนั้น
การเลื่อนขั้นในครั้งนี้เป็นการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากพันตรีสองคนได้รับเลื่อนขั้นเป็นพันโทพร้อมกันในกรณีพิเศษ หลังเข้าช่วยเหลือคนสำคัญที่แม้แต่คนช่วยก็ไม่รู้ว่าเป็นใครครอบครัวเว่ย ครอบครัวฉิน ได้รับการต้อนรับเข้างานเลี้ยงเป็นอย่างดี และถูกจัดให้นั่งโต๊ะเดียวกัน นั่งรวมกับคนที่ได้ช่วยชีวิตเอาไว้ มีเพียงนายพลเว่ยที่รู้ว่าบุคคลสำคัญเป็นใครจริง ๆ พิธีเลื่อนขั้นเสร็จไปตั้งแต่ช่วงเช้า ตอนเย็นมีเพียงงานเลี้ยงและการพูดคุย มีคนใหญ่คนโตเข้าร่วมงานเลี้ยง ทหารตัวเล็ก ๆ มีหรือจะไม่พาครอบครัวมาให้เห็นหน้าค่าตาฉินเสี่ยวหรานถูกจัดที่นั่งให้นั่งทางด้านซ้ายของพ่อเธอที่ติดกับที่นั่งของคนรัก ส่วนแม่และน้องสาวนั่งอีกทางของพ่อ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออย่างไร"นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะพากันจัดงานใหญ่โตแบบนี้ รอบที่แล้วยังเล็กกว่านี้เสียอีก" ฉินเสี่ยวหรานเอ่ยขึ้นเบา ๆ ท่ามกลางคนในโต๊ะที่มีเพียงคนกันเองจริงอยู่ว่านายพลเว่ยเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพ แต่ในกองทัพมีแยกหน้าที่ออกเป็นหลายหน่วย อย่างเช่นหน่วยแพทย์ หน่วยตัดเย็บ หน่วยลาดตะเวน หน่วยครูฝึก หน่วยต่าง ๆ และภายในกองทัพยังมีหน่วยเตรียมสถานที่