สามวันที่ผ่านมา ฮวาอิงหลงนอนพักอยู่บนเตียงที่เก่ากับผ้าห่มผืนบาง ร่างกายของนางค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นเป็นอันมากทีเดียว ในขณะที่เสี่ยวม่านกลับต้องทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยทั้งในส่วนของตนเองและฮวาอิงหลง นางต้องวิ่งวุ่นทำงานตั้งแต่เช้าตรู่จนพลบค่ำ มือทั้งสองของเสี่ยวม่านแดงเถือกและแตกจนเป็นรอยแผลจากการซักผ้าจำนวนมากมายในช่วงอากาศที่หนาวจัดเช่นนี้
ฮวาอิงหลงที่รู้สึกว่าร่างกายของเธอเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว นางลุกขึ้นเดินไปโดยรอบเรือนพลางมองดูสถานที่อย่างละเอียด เรือนรับใช้ที่นางอาศัยอยู่ในขณะนี้ค่อนข้างทรุดโทรม มีรอยแตกตามผนังและพื้นจนแทบไม่สามารถกันอากาศที่หนาวเย็นจัดได้ สภาพของเรือนทำให้นางยิ่งรู้สึกอดสูใจกับความยากลำบากที่ต้องเผชิญ
ในขณะที่ฮวาอิงหลงกำลังสำรวจเรือนอยู่นั้น เสี่ยวม่านก็เดินเข้ามาพร้อมกับถ้วยโจ๊กสีใสที่แทบจะมองหาเนื้อไม่เจอ ฮวาอิงหลงยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะที่นางดึงมือเสี่ยวม่านขึ้นมาดูอย่างละเอียด ฮวาอิงหลงมองหน้าเสี่ยวม่านด้วยความสงสารจับใจ
"อดทนหน่อยนะ เสี่ยวม่าน ข้าต้องหาวิธีทำให้พวกเราออกจากสภาพน่าอดสูเช่นนี้ให้ได้" ฮวาอิงหลงพูดเบา ๆ พร้อมกับยกมือหยาบกร้านของเสี่ยวม่านขึ้นมาแนบที่ใบหน้าของตน
เสี่ยวม่านน้ำตารื้นด้วยความตื้นตัน "ขอเพียงมีคุณหนูอยู่ ข้ายินดีลำบากยิ่งกว่านี้เจ้าค่ะ" นางพูดออกมาด้วยความซื่อสัตย์และความภักดีที่มีต่อฮวาอิงหลง
ฮวาอิงหลงยิ้มขันกับความไร้เดียงสาของเสี่ยวม่าน นางยกถ้วยโจ๊กตรงหน้ายื่นให้เสี่ยวม่าน "เจ้ากินเถิด ข้ายังไม่หิวนัก" ฮวาอิงหลงพูดพร้อมกับยิ้มอ่อนโยน
เสี่ยวม่านรู้ดีว่าฮวาอิงหลงเป็นห่วงนาง เสี่ยวม่านจึงส่ายหน้าไปมาอย่างต้องการปฏิเสธ "คุณหนูยังร่างกายอ่อนแอ ทานเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ"
ฮวาอิงหลงยิ้มรับอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะยกถ้วยขึ้นดื่มเพียงครึ่งเดียวและยื่นให้เสี่ยวม่าน "ถ้วยนี้ถือเป็นคำสัตย์ของข้า วันหน้าหากข้ากลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง ข้าจะไม่มีวันลืมโจ๊กถ้วยนี้เป็นอันขาด"
เสี่ยวม่านร้องไห้ออกมาก่อนจะยกถ้วยโจ๊กขึ้นดื่มจนหมด ความตื้นตันใจของนางปรากฏชัดเจนผ่านน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสอง
ฮวาอิงหลงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะถามเสี่ยวม่านเกี่ยวกับแม่ทัพฟางซินเย่ และคนรอบกายเขา เสี่ยวม่านเล่าให้ฟังว่า ฟางซินเย่เดิมทีเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แต่เพราะฝีมือในการออกรบทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นแม่ทัพนายกอง จนกระทั่งเขาสามารถปราบพวกเจียงหลินเมืองข้าศึกได้สำเร็จ ฮ่องเต้จึงประทานตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ในที่สุด
"ฟางซินเย่..." ฮวาอิงหลงพึมพำชื่อนี้ขึ้นมา หากนางต้องการหลุดพ้นจากสภาพอันน่าเวทนานี้ คนเดียวที่สามารถช่วยนางได้ก็คงมีแต่ประมุขใหญ่ของจวน ฟางซินเย่ผู้นี้นั่นเอง ดวงตาของฮวาอิงหลงทอประกายความหวังขึ้นมาในทันใด
ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก เฉินเม่าสาวใช้รุ่นราวคราวเดียวกับทั้งสองก็เดินอาด ๆ เข้ามา นางมีรูปร่างค่อนข้างท้วมแต่หน้าตากลับดูจิ้มลิ้มสมส่วน
"พวกเจ้ามัวนั่งทำบื้ออะไรกัน งานการไม่มีให้ทำแล้วหรือถึงได้มานั่งอู้กันอยู่ที่นี่"
เสียงอันทรงพลังทำเอาเสี่ยวม่านถึงกับสะดุ้งโหยง นางรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวด้วยเสียงสั่น "ข้าซักผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ"
เฉินเม่าจ้องหน้าตาเขม็ง "เสร็จแล้วงั้นก็ไปทำอย่างอื่นเสียสิ งานในจวนมีตั้งมากมาย หรือว่าคิดจะกินแรงผู้อื่นเช่นนี้"
เสี่ยวม่านยืนตัวสั่นงันงกอยู่เช่นนั้น ทำเอาฮวาอิงหลงถึงกับนิ่วหน้า ก่อนจะรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ
ฮวาอิงหลงลุกขึ้นเดินตรงไปที่เฉินเม่าพร้อมรอยยิ้มหวานบนใบหน้า ก่อนจะย่อตัวคำนับอย่างนอบน้อม "พี่เฉินเม่ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว เป็นพวกข้าที่ไม่ดีเอง ต่อไปพวกข้าจะเชื่อฟังคำท่านเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ"
ท่าทางว่าง่ายของฮวาอิงหลงทำเอาทั้งเฉินเม่าและเสี่ยวม่านถึงกับตะลึง แต่ก่อนฮวาอิงหลงค่อนข้างถือตัวเป็นอย่างยิ่ง แม้นางจะกลายมาเป็นสาวใช้ แต่ท่าทีกลับหยิ่งยโสไม่เคยยอมก้มหัวให้กับผู้ใดมาก่อน
เฉินเม่ากระแอมออกมาอย่างวางหน้าไม่ถูก "เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว"
ฮวาอิงหลงยังคงยิ้มหวานก่อนจะเข้าไปประคองร่างท้วมอย่างเอาใจ "พี่เฉินเม่าเพิ่งเข้ามาเหนื่อย ๆ มานั่งพักสักครู่ก่อนเถิด หากพวกข้าทำให้ท่านอารมณ์เสียจนทำให้ใบหน้าที่อิ่มเอิบของท่านหมองคล้ำลง ข้าคงต้องรู้สึกผิดในใจเป็นแน่"
คำพูดของฮวาอิงหลงทำเอาเฉินเม่าถึงกับยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าของตนอย่างกังวล "หน้าข้าดูหมองคล้ำงั้นหรือ"
ฮวาอิงหลงทำสีหน้าแปลกใจ "ไม่เลยเจ้าค่ะ พี่เฉินเม่าใบหน้าขาวนวล สดใสยิ่งนัก ข้าเองยังนึกอิจฉาเสียเต็มประดา บางครั้งนึกอยากจะถามเคล็ดลับจากท่านดูเสียหน่อย แต่ก็เกรงว่าท่านจะหาว่าข้าเสียมารยาทจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ"
เฉินเม่าอารมณ์ดีขึ้นเป็นพิเศษเมื่อถูกฮวาอิงหลงยกยอจนตัวแทบลอย "เจ้าก็พูดเกินไป ข้าก็แค่ใช้น้ำซาวข้าวซับหน้าทุกวัน ไม่คิดว่าเจ้าจะตาถึงดูออกจนได้"
เฉินเม่ายิ้มแย้มออกมาอย่างมีความสุข นานแล้วที่ไม่มีคนมาชมความงามของนางเช่นนี้ เมื่อได้ยินคำพูดถูกใจของฮวาอิงหลง เฉินเม่าก็เปลี่ยนท่าทีเป็นกันเองขึ้นมาเสียแต่นั้น
"เสี่ยวม่านเจ้าดูสิ พอพี่เฉินเม่ายิ้มขึ้นมาที ข้าว่าหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ในจวนต้องเก็บท่านไปเพ้อหาเป็นแน่เจ้าค่ะ"
ฮวาอิงหลงยังคงหยิบยกคำเยินยอในบทละครออกมาพูดไม่หยุด ทำเอาเฉินเม่าถึงกับใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมา "เจ้านี่ พูดจาอะไรก็ไม่รู้ เอาละ ๆ ข้าไม่เสียเวลากับพวกเจ้าแล้ว หากเจ้าพักจนหายเหนื่อยก็ออกมาทำงานต่อแล้วกัน"
เฉินเม่าที่มีท่าทีเขินอายจนแทบม้วนรีบตัดบทก่อนจะเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี ฮวาอิงหลงมองตามร่างนางไปจนลับตา ก่อนจะหันไปมองเสี่ยวม่านที่ตอนนี้ยืนมองนางตาค้างตัวแข็งทื่อ
"เสี่ยวม่าน เจ้ากลายเป็นหินแล้วหรือ" ฮวาอิงหลงเอ่ยแซวนางขึ้นมา
เสี่ยวม่านกะพริบตาเมื่อมีสติขึ้น "คุณหนูท่านยังไม่หายดีเป็นแน่ เหตุใดท่านจึงเปลี่ยนไปมากเช่นนี้"
ฮวาอิงหลงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ "เสี่ยวม่าน เจ้าคอยดูเถอะ ฮวาอิงหลงคนใหม่ได้ถือกำเนิดแล้ว"
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เฉินเม่าก็มีท่าทีเป็นมิตรกับฮวาอิงหลงและเสี่ยวม่านมากขึ้น เมื่อใดที่ฮวาอิงหลงได้มีโอกาสพูดคุยกับเฉินเม่า นางก็มักจะพูดประจบเอาใจโดยมีเสี่ยวม่านคอยเป็นลูกคู่ให้อยู่เสมอ ส่งผลให้ในภายหลังฮวาอิงหลงและเสี่ยวม่านก็ได้รับงานที่น้อยและเบาลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดวันหนึ่งเฉินเม่าแวะมานั่งพูดคุยกับทั้งสองในช่วงบ่าย แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องผ่านหน้าต่างไม้ของห้องพักขนาดเล็ก ฮวาอิงหลงเห็นเป็นโอกาสที่เหมาะสมจึงแอบถามเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับฟางซินเย่เป้าหมายสำคัญของนางเฉินเม่าเป็นคนปากมากอยู่แล้ว นางจึงรู้สึกคันปากขึ้นมาในทันทีที่ได้ยินคำถามของฮวาอิงหลง นางจึงเริ่มเล่าเรื่องราวของฟางซินเย่อย่างออกรสออกชาติ"ท่านแม่ทัพใหญ่หรือ" เฉินเม่ามองซ้ายมองขวาอย่างกลัวว่าใครจะมาได้ยิน เมื่อนางเห็นว่าปลอดคน เฉินเม่าจึงเริ่มเล่าในทันที "ท่านแม่ทัพเป็นคนที่มีความเข้มงวดและเด็ดขาดมากแต่ก็มีความเมตตาต่อคนในจวนไม่น้อยทีเดียว ที่สำคัญท่านแม่ทัพยังไม่มีฮูหยินเสียด้วย สาวใช้ในจวนต่างจ้องมองท่านแม่ทัพตาเป็นมัน ทุกคนต่างหวังได้มีโอกาสปรนนิบัตินายท่านกันเสียถ้วนหน้า แต่ว่าข้าก็ไม่เคยเห็นนายท่านเลือกผู้ใ
“เรียนนายท่าน อิงหลงมาแล้วเจ้าค่ะ หากนายท่านไม่มีสิ่งใดแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” เจ้าหมัวมัวรีบรายงานฟางซินเย่ ชายหนุ่มจ้องมองร่างบางที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะยกมือสะบัดไล่เจ้าหมัวมัวออกจากห้องไป เจ้าหมัวมัวยิ้มออกมาอย่างตื่นเต้น นางคิดถึงรางวัลที่จะได้รับจากผลงานชิ้นดังกล่าว เมื่อได้เห็นฟางซินเย่มีท่าทีพึงพอใจฮวาอิงหลงอย่างมาก เจ้าหมัวมัวรีบโค้งตัวและเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วหลังจากเจ้าหมัวมัวจากไป ฮวาอิงหลงก็ก้าวเข้ามายืนอยู่บริเวณกลางห้องนอนของฟางซินเย่ นางมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างสำรวจ ห้องนอนหลังใหญ่ประดับประดาไปด้วยข้าวของราคาแพง ทุกอย่างถูกจัดตกแต่งอย่างประณีตและเป็นระเบียบฟางซินเย่กำลังนั่งอยู่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ เสื้อคลุมที่ถูกปลดเชือกออกเผยให้เห็นแผงหน้าอกที่มีมัดกล้ามแน่นเป็นลอนหนา รอยแผลเป็นจำนวนมากที่คาดอยู่ตามแผงอก บ้างขนาดใหญ่บ้างขนาดเล็ก แต่กลับยิ่งทำให้ฮวาอิงหลงรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมา นางลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบากฮวาอิงหลงพบว่าฟางซินเย่มีรูปร่างหน้าตาดีมากทีเดียว ดวงตารียาวแฝงด้วยความเด็ดขาด รับกับจมูกที่เชิดรั้นอย่างหยิ่งทะนง ใบหน้าคมเข้มกรามเป็นสันยิ่งทำให้ดึง
บทที่ 6 อุ่นเตียงฟางซินเย่โน้มใบหน้าลงมาใกล้ จนกระทั่งริมฝีปากของเขาแตะที่ริมฝีปากของนางอย่างอ่อนโยน จูบแรกเริ่มด้วยความนุ่มนวล และพัฒนาไปเป็นความเร่าร้อนที่ไม่อาจควบคุมได้ ฮวาอิงหลงรู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่แพร่กระจายไปทั่วร่างกายของนางฮวาอิงหลงคิดอย่างได้ใจ ทักษะการแสดงเลิฟซีนของนางมีแต่คนยกย่องว่าสมจริงแทบทั้งสิ้น ประสบการณ์ในการแสดงทำให้นางคิดอย่างย่ามใจ ฮวาอิงหลงตอบสนองจูบของเขาอย่างไม่ลดละ ลิ้นร้อนกระหวัดเกี่ยวพัวพันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทำเอาฟางซินเย่ถึงกับสติแตกกระเจิงมือของเขาค่อยๆ ลูบไล้ไปที่แก้มนวลของนาง ก่อนที่จะเลื่อนลงมาที่ลำคอและไหล่ ลุกลามไปยังหน้าอกนูนนุ่มได้รูป เขาบีบเคล้นอย่างเมามัน สัมผัสของฟางซินเย่ทำให้ฮวาอิงหลงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหลอมละลายลงไปในพริบตา"เจ้าหวานเหลือเกิน" เขากระซิบข้างหูของนาง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความปรารถนา นางรู้สึกถึงความอุ่นร้อนจากลมหายใจของเขาที่เป่ารดใบหูฮวาอิงหลงยกมือโอบรอบคอของฟางซินเย่อย่างยั่วยวน สายตาฉ่ำปรือมองเขาด้วยอารมณ์ปรารถนา “หากท่านแม่ทัพพอใจ ข้ายินดีให้ท่านลิ้มรสทั้งราตรีนี้เจ้าค่ะ” เสียงหวานออดอ้อนอย่างเอาใจ ทำให้ฟางซินเย่
ฟางซินเย่นอนแผ่หลาลงเมื่อจบกิจ ความสุขสมที่ได้รับทำเอาหัวใจของเขาสั่นไหวได้ไม่น้อยทีเดียว เขาหมวดคิ้วพร้อมกับความคิดมากมายในหัว เหตุใดฮวาอิงหลงถึงได้เปลี่ยนท่าทีไปมากเช่นนี้ฟางซินเย่ยังจำเหตุการณ์ในวัยเยาว์ได้ดี วันนั้นเป็นวันหิมะตกหนัก เมืองหลวงมีการจัดเทศกาลโคมไฟขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ฟางซินเย่ที่ตอนนั้นเป็นเพียงเด็กกำพร้า ตั้งแต่จำความได้เขาก็ไม่มีพ่อแม่แล้ว ยังโชคดีที่ได้อาจารย์ของเขารับไปเลี้ยงดู พร้อมทั้งถ่ายทอดวิชาการต่อสู้ให้กับเขา ทำให้ฟางซินเย่พอมีฝีมืออยู่บ้างขณะที่ฟางซินเย่ออกไปเดินเล่นเพื่อชมความงดงามของโคมไฟหลากสี พลันเขาก็ได้เห็นเด็กสาวคนหนึ่ง นางมีหน้าตางดงามจนเป็นที่สะดุดตาผู้ที่ได้พบเห็นเด็กสาวกำลังเอื้อมมือเพื่อคว้าโคมไฟที่แขวนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ด้วยท่าทางกระตือรือร้น ทำให้ฟางซินเย่ถึงกับยิ้มกว้างออกมาอย่างลืมตัว เขาเดินเข้าไปยืนด้านข้างพร้อมยกมือขึ้นเกี่ยวโคมไฟดังกล่าว ก่อนจะยื่นให้กับเด็กสาวตรงหน้า“นี่ข้ามอบให้ท่าน” ฟางซินเย่ยิ้มกว้างพร้อมมองหน้าเด็กสาวอย่างรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นคนหยิบยื่นโคมไฟที่นางต้องการฉับพลันเด็กสาวคนดังกล่าวก็ยกมือขึ้นปัดโคมไฟจนตกลงกับพื
ฟางซินเย่ยังคงนอนนิ่งอย่างกำลังใช้ความคิด ฮวาอิงหลงหันไปมองเขาด้วยความครุ่นคิดเช่นเดียวกัน หลังจากนางยอมพลีกายให้เขาเชยชมจนสมใจ ทว่าท่าทีของเขากลับไม่เป็นที่น่าพอใจนัก เขาดูไม่ได้ยินดียินร้ายกับนางอีกเลยฮวาอิงหลงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ นางไม่มีวันยอมแพ้เป็นแน่ ดาราสาวสวยอย่างนางจะยอมให้เขาเด็ดดมแล้วทิ้งขว้างได้อย่างไรกันฮวาอิงหลงพลิกกายพร้อมยกมือขึ้นโอบกอดร่างหนา ใบหน้าแนบชิดไปที่แผงอกใหญ่อย่างออดอ้อน มือเรียวบางเลื่อนไล้ไปตามหน้าอกอย่างเอาใจ“ท่านแม่ทัพ อิงเอ๋อร์รับใช้ท่านได้ดีหรือไม่” ฮวาอิงหลงพูดเสียงหวานออกมาพร้อมส่งสายตาเว้าวอนฟางซินเย่หรี่ตามองฮวาอิงหลงอย่างพิเคราะห์อีกหน “ข้าก็อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมาไม้ไหนกันแน่” เขาได้แต่คิดในใจพร้อมแสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์“เจ้าคิดว่าข้าควรพอใจหรือไม่” ฟางซินเย่ถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พร้อมกระชับร่างบางเข้าแนบกับร่างกายของเขาอีกครั้งฮวาอิงหลงถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบที่น่าหงุดหงิดเช่นนี้ ก่อนจะปรับสีหน้ายิ้มหวานออกมาเท่าที่นางจะยิ้มได้ “ท่านแม่ทัพช่างอารมณ์ขันนัก หากท่านพูดเช่นนี้ ข้าคงต้องขอแก้ตัวอีกสักหนแล้วกัน”ฮวาอิงหลงไม่เ
เช้าวันต่อมา ฮวาอิงหลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย ร่างกายปวดร้าวไปแทบทุกส่วน นางเหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบๆ ห้องก็ไม่พบฟางซินเย่ ฮวาอิงหลงรีบลุกขึ้น พร้อมใช้ความคิดอย่างหนักฟางซินเย่ไม่พอใจอะไรในตัวนางกันแน่ หากเป็นคนปกติทั่วไปเจอมารยาที่นางงัดมาใช้แทบทุกเม็ด อย่างน้อยก็ย่อมต้องเอ็นดูนางบ้างเป็นแน่ ผิดกับท่าทีของฟางซินเย่ที่มีต่อนาง เขาสุขสมกับสิ่งที่นางปรนเปรอให้อย่างไม่อาจปฏิเสธ แต่ภายหลังกลับทำท่าทีบึ้งตึงราวกับคนที่มีความเคียดแค้นกันมายาวนานอย่างไรอย่างนั้นเชียวยังไม่ทันที่ฮวาอิงหลงจะได้คิดหาคำตอบ เจ้าหมัวมัวก็เดินเข้ามาพร้อมถาดอาหาร “ท่านแม่ทัพให้เจ้าทานข้าวให้เรียบร้อย แล้วรีบกลับเรือนพักของเจ้าเสีย” น้ำเสียงที่ดูไม่เป็นมิตรมากนัก ทำเอาฮวาอิงหลงถึงกับขมวดคิ้วแน่นเจ้าหมัวมัวรู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก นางนึกว่าเช้านี้นายท่านจะเรียกให้ไปรับรางวัลใหญ่ แต่เรื่องราวกลับกลายเป็นนายท่านกลับมีท่าทางเย็นชา พร้อมสั่งให้นางพาฮวาอิงหลงกลับเรือนพักเสียนี่ นี่ไม่เท่ากับท่านแม่ทัพไม่โปรดปรานฮวาอิงหลงหรอกหรือ เสียแรงที่นางทุ่มเทไปไม่น้อย นึกว่าจะได้ประจบเอาใจนายท่านเสียหน่อยฮวาอิงหลงเม้มปากแน่น
หลังจากผ่านไปอยู่หลายวัน ฮวาอิงหลงก็ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับฟางซินเย่เพิ่มขึ้นสักนิด หนำซ้ำเขายังอันตรธานหายไปราวกับไม่เคยมีเรื่องราวค่ำคืนนั้นเกิดขึ้นฮวาอิงหลงเอาแต่กระสับกระส่ายด้วยความร้อนรน นางรู้สึกคับแค้นใจอย่างหนัก ตั้งแต่เกิดมาฮวาอิงหลงไม่เคยคิดจะยอมแพ้ และไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบนางง่ายๆ เช่นนี้เป็นแน่ฮวาอิงหลงยืนอยู่หน้าเรือนโกโรโกโส พร้อมทอดสายตามองไปเบื้องบน ฟ้าส่งข้ามาเช่นนี้ก็ควรให้โชคกับข้าเสียบ้างสิ เหตุใดจึงต้องกลั่นแกล้งข้าขนาดนี้ด้วยเล่า ฮวาอิงหลงนึกโกรธเคืองฟ้าดินที่นำพาโชคชะตาอันเลวร้ายนี้มาให้กับนาง“คุณหนู เข้าไปภายในบ้านก่อนเถิดเจ้าค่ะ ท่านเพิ่งหายไข้ได้ไม่นาน ระวังจะล้มป่วยขึ้นมาอีกหน” เสี่ยวม่านร้องท้วงออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ร่างกายของนายหญิงยังไม่แข็งแรงมากนัก นางเพิ่งจะหายป่วยหนัก ซ้ำยังต้องไปปรนนิบัติท่านแม่ทัพอีก เสี่ยวม่านจึงเกรงว่าร่างกายของฮวาอิงหลงจะรับไม่ไหวเอาฮวาอิงหลงได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างด้วยความดีใจ นางนึกแผนการดีๆ ขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว ต้องขอบคุณเสี่ยวม่านจริงๆ ที่กระตุ้นให้นางได้ฉุกคิดขึ้นมา แผนทรมานกายมีอยู่ในบทละครทั้งหลายที่นางเล
บทที่ 11 ร้อนรนฟางซินเย่เดินจ้ำอ้าวอย่างเร่งร้อนมาจนถึงหน้าเรือนพักของฮวาอิงหลง เขากวาดสายตามองรอบๆ ด้วยความรู้สึกหดหู่ ก่อนจะผลักประตูเข้าไปภายในเรือน สภาพด้านในเก่าโทรมจนแทบจะไม่อาจป้องกันภัยอันใดได้ ลมหนาวพัดผ่านเข้ามายังช่องไม้ทำให้ด้านในเย็นยะเยือก กลิ่นอับชื้นแตะเข้าที่จมูกของเขาอย่างแรง จนเขานิ่วหน้าลง ยิ่งเมื่อได้เห็นฮวาอิงหลงที่นอนหลับใหลอย่างไม่ได้สติ ดวงตาของเขาก็ยิ่งหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด ฟางซินเย่รู้สึกผิดในใจต่อร่างบางตรงหน้าเป็นอย่างยิ่งฟางซินเย่ช้อนร่างบางขึ้นมาแนบอกอย่างทะนุถนอม ก่อนจะอุ้มฮวาอิงหลงเดินกลับไปที่เรือนนอนของเขาด้วยความเร่งรีบ“ข้าคิดถึงบ้าน...ข้าอยากกลับบ้าน...ท่านแม่ทัพ...ท่านช่างใจร้ายกับข้าเหลือเกิน” ฮวาอิงหลงเพ้อออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยฟางซินเย่เหลือบมองฮวาอิงหลงด้วยความรู้สึกผิดระคนสงสาร ร่างบางยังคงสั่นเทาอยู่ใต้อ้อมกอดของเขาราวกับลูกนกที่พลัดหลงทางร่างบางของฮวาอิงหลงที่ร้อนราวกับเปลวไฟแนบเข้ากับแผงอกหนา ลมหายใจร้อนเป่ารดลงบนเสื้อผ้า ความร้อนแผ่ซ่านแทรกลงไปยังเสื้อหนาจนร่างกายเขาสัมผัสถึงความร้อนผ่าว ฟางซินเย่ถึงกับตื่นตระหนกที่เห็นนางป่วยหน
บทที่ 72 เริ่มต้นวันใหม่ค่ำคืนอันเงียบสงบ แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดออกเล็กน้อย ลมพัดเบาๆ พาเอากลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งอยู่รอบจวนลอยมาแตะจมูก ภายในห้องนอนใหญ่ท่ามกลางแสงสลัวนั้น ฟางซินเย่นอนมองหน้าฮวาอิงหลงนอนคุดคู้อยู่บนเตียง นางดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้นเมื่อแสงจันทร์ตกกระทบบนใบหน้าที่ผุดผาดฮวาอิงหลงยิ้มยั่วยวนเมื่อเห็นสายตาของฟางซินเย่ที่มองมาด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อนที่ไม่อาจซ่อนเร้น“อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่ยื่นมือขึ้นลูบไล้ไปตามลำแขนขาวก่อนจะไล่ลงมาตามลำตัวจนกระทั่งถึงหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นมา “พ่อเจ้าต้องการแม่เจ้าเหลือเกิน เจ้าอนุญาตหรือไม่” ฟางซินเย่เพ้อออกมาด้วยเสียงกระเส่า เขาพูดไปพลางปรายตามองฮวาอิงหลงด้วยสายตากรุ้มกริ่มฮวาอิงหลงยิ้มเขินออกมาอย่างรู้ทัน นางโน้มตัวขึ้นเกยบนร่างหนาของฟางซินเย่ในทันที สองมือของฟางซินเย่ช้อนร่างบางขึ้นคร่อมตัวเขาอย่างระมัดระวังด้วยเกรงจะกระทบถึงบุตรในท้องฟางซินเย่หยัดกายขึ้นเล็กน้อยพร้อมสองมือที่ยังคงลูบไล้ไปตามหน้าอกอิ่มนูนของฮวาอิงหลงอย่างหลงใหล ลมหายใจเริ่มติดขัดขึ้นมาพร้อมกับปากที่เป่าลมร้อนออกอย่างต้องการสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ฮว
บทที่ 71 อำลาเมืองหลวงเสียงกลองและแตรสัญญาณดังกึกก้องไปทั่วบริเวณลานวังหลวง ขันทียกราชโองการขึ้นประกาศ “ฮ่องเต้มีราชโองการ ด้วยบุญบารมีของราชวงศ์โจวทำให้เชื้อพระวงศ์กลับคืนสู่ราชวงศ์ ข้าขอแต่งตั้งฟางซินเย่เป็นองค์ชายโจวซินเย่ แต่งตั้งฮวาอิงหลงเป็นพระชายาอ๋อง และแต่งตั้งเฉินเม่าเป็นองค์หญิงโจวเหยาหยาง จบราชโองการ” ฟางซินเย่โน้มรับราชโองการด้วยใบหน้าเรียบสงบ เผยให้เห็นความสง่าผ่าเผยอยู่ในที ในขณะที่ฮวาอิงหลงและเฉินเม่ากลับแสดงสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเกร็งด้วยความตื่นเต้นกังวลกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ จากสาวใช้ในจวนแม่ทัพคนหนึ่งได้เป็นองค์หญิง ส่วนอีกคนได้เป็นพระชายาอ๋องช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนักหลังเสร็จสิ้นการประกาศแต่งตั้งเฉินเม่าก็ได้ย้ายไปอยู่ที่จวนโจวหนานเอ๋อร์ ผู้เป็นมารดาของนาง ทว่าสำหรับฟางซินเย่นั้นกลับเลือกที่จะขอพำนักที่จวนแม่ทัพตามเดิมโจวหนานเอ๋อร์แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจมากนัก แต่ก็ไม่ต้องการหักหาญน้ำใจของบุตรชาย นางจึงเพียงกำชับฮวาอิงหลงให้หมั่นไปเยี่ยมเยียนตนที่จวนให้บ่อยครั้งในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ฟางซินเย่และฮวาอิงหลงเดินทางไปยังจวนฉางกงจู่ โจวหนานเอ๋อร์และเฉ
บทที่ 70 ลูกของข้าราชโองการถูกประกาศปล่อยตัวฟางซินเย่ในวันต่อมาโดยทันที ในที่สุดฟางซินเย่ก็ถูกปล่อยตัวหลังจากถูกคุมขังมาเป็นเวลาหลายวันเมื่อฟางซินเย่ได้รับอิสรภาพ เขาก้าวออกจากคุกด้วยความมุ่งมั่นและดวงตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงฮวาอิงหลง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความถวิลหานาง ดั่งว่านี่คือการเดินทางที่ยาวนานที่สุดของชีวิตเขา“อิงเอ๋อร์...ข้าไม่ยอมสูญเสียเจ้าไปเป็นอันขาด” ฟางซินเย่กล่าวกับตนเองขณะที่ก้าวขึ้นม้าด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะพุ่งตรงไปยังจวนอ๋องเมื่อฟางซินเย่ถึงจวนอ๋อง เขาปรี่ตรงเข้าไปหาโจวอี้เสวียนในทันที สองมือกุมคอเสื้อของโจวอี้เสวียนอย่างไม่นึกหวั่นเกรงสิ่งใดอีกต่อไป ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะที่มี พร้อมกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกัดฟันกรอด “อิงเอ๋อร์...อยู่ที่ใด”โจวอี้เสวียนหันมามองเขาด้วยดวงตาเย็นชา ใบหน้าของชายหนุ่มที่พรากหัวใจของหญิงสาวคนรักของตนไปทำให้เขานึกครึ้มอย่างจะกลั่นแกล้งฟางซินเย่อีกสักหน่อย โจวอี้เสวียนยิ้มเยาะขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ...เหตุใดข้าต้องตอบคำถามเจ้าด้วยเล่า”คำพูดยียวนทำเอาฟางซินเย่ถึงกับบันดาลโทสะ เขาง้างมือขึ้นเตรียมจะชกหน้าโจวอี้เสวียน แต่องครักษ์ข้างกายของโจวอ
บทที่ 69 ฝืนยอมรับในท้องพระโรงที่โอ่โถง บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดัน โจวจางเย่วประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเข้มขรึมและดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว โจวอี้เสวียนที่ยืนหน้าเครียดอยู่ด้านข้าง ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอย่างดุดัน“อี้เสวียน...เจ้าช่างบังอาจนัก เจ้ากล้าทำเรื่องเช่นนี้เพียงเพื่อสตรีนางเดียวอย่างนั้นหรือ” โจวจางเย่วชี้นิ้วไปยังโจวอี้เสวียนด้วยความเกรี้ยวกราดโจวอี้เสวียนยืนนิ่งเงียบแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ข้าไม่มีทางเลือก ในเมื่อเสด็จพ่อมิทรงทำสิ่งใด เช่นนั้นข้าก็จำเป็นต้องหาทางของข้าเอง”“เจ้านี่ช่างโง่เขลายิ่งนัก” โจวจางเย่วแค่นเสียงออกมาด้วยความขัดเคืองใจ “ความรักของเจ้าทำให้เจ้าลืมเลือนความเป็นบุตรหลานแห่งราชวงศ์แล้วหรือ เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้ามีสถานะเช่นใด เจ้าลืมแล้วหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้วันหน้าต้องเป็นของเจ้า เจ้ากลับผิดแผนชั่วเพื่อแย่งชิงภรรยาผู้อื่น เช่นนั้นต่อไปจะมีผู้ใดในแคว้นเคารพและนับถือเจ้า จะมีผู้ใดยอมรับใช้ถวายหัวให้กับเจ้า แม่ทัพฟางเป็นเสาหลักของแคว้น หากเจ้ากำจัดเขาทิ้ง เจ้าคิดหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้จะมั่นคงอยู่ได้”โจวอี้เสวียนกัด
บทที่ 68 พบพานภายในห้องขังที่แสนอับชื้นและเหน็บหนาว เสียงกุญแจที่บานประตูคุกหลวงสะท้อนเสียงดังไปทั่ว ฟางซินเย่ที่นั่งพิงผนังหินเย็นเฉียบตาแดงก่ำมองดูหนังสือหย่าที่เพิ่งได้รับ มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ริมฝีปากแห้งผากเผยอเบาๆ ออกมาราวกับจะกล่าวคำใด แต่ทุกคำกลายเป็นเพียงเสียงหายใจที่ตัดรอน “อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่พร่ำเอ่ยชื่อของฮวาอิงหลงออกมาด้วยดวงตาสั่นไหวที่คงความขมขื่นไว้ในห้วงแห่งความโศกเศร้า“อิงเอ๋อร์...เหตุใดต้องทำเช่นนี้เพื่อข้า” ฟางซินเย่คร่ำครวญออกมา ใบหน้าเปลี่ยนสีแดงก่ำราวกับเปลวเพลิงร้อนรุ่ม “เจ้ายอมแต่งงานกับโจวอี้เสวียนเพียงเพื่อรักษาชีวิตข้า...ข้าคือผู้ชายที่ไร้ค่าเพียงนี้เชียวหรือ...” เขาหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ขาดหายราวกับจะกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา ความรันทดอดสูใจทำให้เขาถึงกับกุมหมัดขึ้นทุบผนังหิน เลือดไหลซึมออกมาหยดลงเป็นทางยาว ความเจ็บปวดของร่างกายกลับไม่อาจเทียบความเจ็บปวดภายในใจที่มีได้ในขณะที่บรรยากาศคุกขังอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ภายในเฉินเม่าและเสี่ยวม่านกลับไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป ความทุกข์ร้อนของพี่น้องร่วมสาบานเช่นฮวาอิง
บทที่ 67 แผนร้ายภายในโถงใหญ่ในจวนอ๋อง โจวอี้เสวียนที่หน้าตาเคร่งเครียดยืนอยู่อย่างหัวเสีย ความหงุดหงิดก่อตัวภายในใจที่นึกไว้ใจคนที่ไม่ได้เรื่องเช่นเฉินเฉียวเหยา หากนางไม่ไร้ความสามารถเช่นนี้โอกาสที่เขาจะกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจอย่างฟางซินเย่ย่อมเห็นเป็นรูปร่างมากขึ้น ข้าวของถูกปาแตกกระจายด้วยโทสะที่คุกรุ่นอยู่ภายใน เขาก้าวเดินวนไปมาอย่างต้องการใช้ความคิดสักครู่หนึ่งโจวอี้เสวียนตะโกนเรียกองครักษ์คนสนิทเข้ามา “พวกเจ้าจงไปทำตามที่ข้าสั่งให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้” โจวอี้เสวียนออกคำสั่งด้วยเสียงเข้มขรึม ดวงตาคมเข้มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่รู้จักพ่ายแพ้องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่งทันที “ขอรับท่านอ๋อง”โจวอี้เสวียนเหม่อมองออกไปภายนอกห้องด้วยความคิดอันแยบยล หากแผนการแรกผิดพลาด เขาย่อมต้องมีแผนที่สองเตรียมรับมือไว้เป็นแน่ผ่านไปเพียงไม่ถึงเดือน กองกำลังทหารของโจวอี้เสวียนก็เข้าปิดล้อมจวนแม่ทัพอย่างรวดเร็ว ฟางซินเย่เดินอย่างอาจหาญออกมาเผชิญหน้าเหล่าทหารของโจวอี้เสวียน โดยมีเหล่าทหารกองทัพของฟางซินเย่ยืนประจัญบานเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี“แม่ทัพฟางซินเย่ ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ตรวจค้นจวนของท่าน โปรดใ
บทที่ 66 กำจัดทิ้งภายในห้องโถงอันโอ่อ่าของจวนสกุลเฉิน เสียงแผดคำรามของเฉินเซียวหยงดังกึกก้องไปทั้งห้องโถง พ่อบ้านได้แต่ยืนตัวสั่นเทาด้วยกลัวแรงโทสะของนายท่านที่มี มือของเฉินเซียวหยงกำขยุ้มกระดาษรายงานที่เพิ่งส่งข่าวมาให้เขารับรู้ หัวใจเต้นเร็วแรงด้วยความโกรธแค้น เขาขบฟันแน่นจนสันกรามขึ้นเป็นริ้ว ดวงตาแดงก่ำของเขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความอาฆาต"พวกมันช่างอาจหาญยิ่งนัก กล้าข่มเหงรังแกบุตรสาวของข้า ทำเช่นนี้มิเท่ากับกล้าลบหลู่ข้าอย่างนั้นหรือ" เฉินเซียวหยงสบถออกมา เมื่อได้รับรู้ถึงอาการบาดเจ็บของเฉินเฉียวเหยา ทั้งยังเรื่องที่นางถูกละเลยและถูกลบหลู่สารพัดจากคนในจวนแม่ทัพ“พ่อบ้านเตรียมรถม้าข้าจะไปพบแม่ทัพฟางที่จวนแม่ทัพ เร็วเข้า” คำสั่งดังก้องด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ พ่อบ้านลนลานรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจัดการในทันทีขณะที่เฉินเซียวหยงกำลังจะก้าวออกจากห้องโถง ฉับพลันพ่อบ้านก็รีบเดินปรี่เข้ามาแจ้ง “เรียนนายท่าน ท่านอ๋องโจวอี้เสวียนมาขอพบขอรับ”เฉินเซียวหยงได้ฟังก็รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันที เขาเร่งเดินออกมาต้อนรับโจวอี้เสวียนในทันที ใบหน้าของเขายิ้มกว้างออกมา ดวงตาทอประกายความยินดีอย่างยิ่ง“ค
บทที่ 65 ข่าวดีภายในเรือนหนิงหลง เฉินเฉียวเหยากำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง มือบางทั้งสองข้างบวมขึ้นจนน่าตกใจ ผิวที่เคยขาวซีดของนางบัดนี้แดงก่ำจากการถูกน้ำร้อนลวก เฉินเฉียวเหยาเจ็บแสบจนแทบทนไม่ไหว นางนึกเคืองแค้นจนเผลอตัวกำหมัดแต่เพราะผิวที่เป่งตึงทำให้นางถึงกับร้องครางออกมา เฉินเฉียวเหยาได้แต่ขบฟันแน่น ใบหน้าบูดบึ้งจนทำให้หน้าที่เคยสวยหวานกลับดูน่าเกลียดขึ้นมาหว่านหลงรีบเอาผ้าชุบน้ำเย็นมาประคบให้นายหญิงของตนด้วยความทะนุถนอม นางเช็ดไปพลางเป่าไปพลางเพื่อให้เฉินเฉียวเหยาคลายความเจ็บลงไป “คุณหนู เจ็บมาหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะต้องรายงานใต้เท้าแล้วนะเจ้าคะ บ่าวทนเห็นคุณหนูถูกรังแกเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”ยังไม่ทันที่เฉินเฉียวเหยาจะตอบกลับอันใดออกมา พ่อบ้านก็พาตัวหมอเข้ามาดูอาการ เฉินเฉียวเหยาจึงได้แต่เม้มปากก่อนจะตีสีหน้าเศร้าหมองออกไปหมอรีบเข้ามาดูอาการของเฉินเฉียวเหยาในทันที ความเจ็บปวดเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทันทีที่หมอแตะต้องบริเวณที่บวมแดง เฉินเฉียวเหยาก็ร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดทางกายที่นางได้รับยังไม่ถึงเศษเสี้ยวความรู้สึกเจ็บปวดทางใจที่มี ดวงตาสั่นไหวระริกไปด้วยค
บทที่ 64 เล่ห์กลนี้ใช้กับข้าไม่ได้ช่วงบ่ายของวันฮวาอิงหลงกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาภายในสวนโดยมีเสี่ยวม่านคอยปรนนิบัติอย่างรู้ใจ นางนึกย้อนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้ฮวาอิงหลงถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง“คุณหนูเป็นอันใดหรือเจ้าคะ” เสี่ยวม่านถามออกมาด้วยความห่วงใย“ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถิด” ฮวาอิงหลงกล่าวออกมาอย่างเลื่อนลอย “เจ้าค่ะ” เสี่ยวม่านรีบย่อกายพร้อมถอยหลังออกไปอย่างไม่ต้องการรบกวนนายหญิงของตนอีกฮวาอิงหลงนั่งปล่อยความคิดได้เพียงสักครู่หนึ่ง ฉับพลันก็มีเสียงหวานดังขึ้นมา “เหยาเอ๋อร์คารวะฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” เฉินเฉียวเหยาเดินเข้ามาหาภายในศาลาพร้อมย่อกายคำนับฮวาอิงหลงปรายตาขึ้นมองอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย แต่นางก็มิได้คิดจะหนีหน้าแต่อย่างใด“เชิญนั่งสิ แม่นางเฉิน”" ฮวาอิงหลงเอ่ยเบาๆ พร้อมผายมือให้เฉินเฉียวเหยานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเฉินเฉียวเหยาปั้นหน้ายิ้มหวาน ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งตามคำเชิญ “ข้ามาอยู่ที่นี่รู้สึกเหงายิ่งนัก หากได้พูดคุยกับสหายเก่าเช่นท่านคงคลายความคิดถึงบ้านลงได้บ้าง” เฉินเฉียวเหยากล่าวออกมาอย่างสนิทสนมดั่งเช่นพวก