บทที่ 6 อุ่นเตียง
ฟางซินเย่โน้มใบหน้าลงมาใกล้ จนกระทั่งริมฝีปากของเขาแตะที่ริมฝีปากของนางอย่างอ่อนโยน จูบแรกเริ่มด้วยความนุ่มนวล และพัฒนาไปเป็นความเร่าร้อนที่ไม่อาจควบคุมได้ ฮวาอิงหลงรู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่แพร่กระจายไปทั่วร่างกายของนาง
ฮวาอิงหลงคิดอย่างได้ใจ ทักษะการแสดงเลิฟซีนของนางมีแต่คนยกย่องว่าสมจริงแทบทั้งสิ้น ประสบการณ์ในการแสดงทำให้นางคิดอย่างย่ามใจ ฮวาอิงหลงตอบสนองจูบของเขาอย่างไม่ลดละ ลิ้นร้อนกระหวัดเกี่ยวพัวพันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทำเอาฟางซินเย่ถึงกับสติแตกกระเจิง
มือของเขาค่อยๆ ลูบไล้ไปที่แก้มนวลของนาง ก่อนที่จะเลื่อนลงมาที่ลำคอและไหล่ ลุกลามไปยังหน้าอกนูนนุ่มได้รูป เขาบีบเคล้นอย่างเมามัน สัมผัสของฟางซินเย่ทำให้ฮวาอิงหลงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหลอมละลายลงไปในพริบตา
"เจ้าหวานเหลือเกิน" เขากระซิบข้างหูของนาง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความปรารถนา นางรู้สึกถึงความอุ่นร้อนจากลมหายใจของเขาที่เป่ารดใบหู
ฮวาอิงหลงยกมือโอบรอบคอของฟางซินเย่อย่างยั่วยวน สายตาฉ่ำปรือมองเขาด้วยอารมณ์ปรารถนา “หากท่านแม่ทัพพอใจ ข้ายินดีให้ท่านลิ้มรสทั้งราตรีนี้เจ้าค่ะ” เสียงหวานออดอ้อนอย่างเอาใจ ทำให้ฟางซินเย่ถึงกับหัวใจกระตุกวูบ ความเคืองแค้นที่มีดับวูบลงไป หลงเหลือเพียงความต้องการครอบครองร่างบางตรงหน้าเพียงเท่านั้น
ฟางซินเย่ใช้มืออีกข้างหนึ่งโอบเอวฮวาอิงหลงเอาไว้ ก่อนที่จะค่อยๆ โน้มตัวลงมากระซิบข้างหู "ข้าต้องการเจ้า...คุณหนูฮวา"
ฮวาอิงหลงรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขาที่เป่ารดใบหู นางปิดตาลง ปล่อยให้ความรู้สึกท่วมท้นเข้ามาในใจ
ฟางซินเย่เริ่มจูบที่ลำคอของนาง จูบของเขาทั้งนุ่มนวลและรุนแรงในเวลาเดียวกัน สองมือของเขาบีบเคล้นไปตามเรือนร่างเปลือยเปล่าจนแทบไม่เหลือบริเวณใดให้ว่างเว้น
ฮวาอิงหลงรู้สึกถึงสัมผัสอันอบอุ่นของเขาที่ผ่านมาทุกส่วนของร่างกาย นางปิดตาลงและปล่อยให้ความรู้สึกทั้งหมดท่วมท้นเข้ามา สัมผัสของเขาทำให้นางรู้สึกถึงความสุขที่ไม่เคยมีมาก่อน ความใกล้ชิดที่มากเกินขอบเขตที่นางเคยได้รับสัมผัสทำเอาฮวาอิงหลงถึงกับสั่นสะท้าน ความรู้สึกแปลกใหม่ถาโถมเข้ามาราวกับอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง นางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยไปในความฝันที่แสนหวาน
“อืม....” เสียงครางเบาๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากของฮวาอิงหลง เมื่อฟางซินเย่เริ่มลูบไล้ร่างกายของนางด้วยมือที่เต็มไปด้วยความเชี่ยวชาญ
"ท่านแม่ทัพ...ได้โปรด..." ฮวาอิงหลงเพ้อออกมาอย่างลืมอาย แต่เสียงครางเบาๆ ที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของนาง กลับทำให้รู้สึกหวานล้ำราวกับกำลังเชื้อเชิญเขาไม่หยุด
"เจ้าช่างเป็นหญิงร่านยิ่งนัก" ฟางซินเย่ไม่ปล่อยให้นางพูดต่อ เขากระซิบด้วยน้ำเสียงดูถูกอย่างยิ่ง แต่ทว่าเวลานี้ความปรารถนาเข้าครอบงำจิตใจจนเขาไม่อาจละออกจากร่างหวานนุ่มละมุนนี้ไปได้
ฮวาอิงหลงรู้สึกถึงความสุขที่ไม่สามารถบรรยายออกได้ ความรัญจวนทำให้นางหมดสิ้นความยั้งคิด ฮวาอิงหลงเพียงต้องการเติมเต็มความปรารถนาที่ร่างกายเรียกร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว
ฟางซินเย่ค่อย ๆ กดแท่งร้อนที่แข็งชันลงที่ร่างกายของนาง ความคับแน่นและกระตุกเกร็งทำเอาเขาถึงกับใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเสียวซ่าน ก่อนจะกดแทงลงไปในคราวเดียวจนมิดด้าม
“อ๊ะ...ปล่อยข้า...ข้าเจ็บ...” ฮวาอิงหลงชะงักก่อนจะร้องออกมาเมื่อความเจ็บแปลบแทรกซึมไปทั่วร่างราวกับฉีกนางออกเป็นชิ้น ๆ
ฮวาอิงหลงแม้จะไม่ใช่หญิงสาวไร้เดียงสา แต่ทว่านางกลับไม่เคยคิดว่าครั้งแรกจะเจ็บปวดมากมายเช่นนี้ มือบางดันร่างหนาออกจากตัวอย่างอัตโนมัติ แต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดกลับไม่ทำให้ร่างหนาขยับเขยื้อนออกไปจากตนได้ ฮวาอิงหลงกัดริมฝีปากแน่น น้ำตาไหลซึมออกจากปลายหางตาด้วยความเจ็บปวด
“สายไปแล้ว...คุณหนูฮวา” ฟางซินเย่เม้มปากแน่น เขายิ้มยกขึ้นมาอย่างภูมิใจที่ได้เป็นคนแรกที่ครอบครองนาง หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยดูแคลนเขาว่าเป็นคนไร้หัวนอนปลายเท้า สายตาที่ฉายแววรังเกียจที่จ้องมองเขาซึ่งเป็นเด็กกำพร้ายากจนยังคงติดตรึงในใจเขาอย่างไม่รู้คลาย บัดนี้ร่างบางกลับนอนสั่นสะท้านอยู่ใต้ร่างแกร่งของเขาอย่างศิโรราบ ทำให้ฟางซินเย่รู้สึกสมใจเป็นอย่างยิ่ง
ร่างหนาสะกดกลั้นตัวเองเอาไว้เพื่อไม่ให้นางเจ็บปวดมากไปกว่านี้ ภายในกระตุกรอดรัดเขาแน่น จนเขาแทบหายใจไม่ออก ฟางซินเย่พยายามข่มใจเอาไว้เพื่อไม่ให้ตนเองถึงฝั่งฝันเร็วกว่าเหตุ ริมฝีปากก้มจูบริมฝีปากบางอีกครั้งอย่างเรียกร้องอ่อนโยน มือใหญ่ลูบไล้บีบเคล้นไปที่อกอวบนุ่มเพื่อให้นางผ่อนคลายลง
ฮวาอิงหลงรู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของนาง ร่างกายเริ่มปรับตัวรับกับแท่งร้อนที่เบียดแน่นอยู่ภายในตัวนาง ความเจ็บปวดค่อยๆ คลายลงไปแทนที่ด้วยความวาบหวิวและเสียวซ่าน สัมผัสที่ทำให้หัวใจของนางเต้นแรงขึ้นราวกับกำลังจะระเบิดออกมา ฮวาอิงหลงเริ่มบิดตัวขยับรับแท่งร้อนอย่างโหยหา ร่างบางบดเบียดเข้าหาร่างแกร่งอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อฟางซินเย่เห็นว่าฮวาอิงหลงเริ่มปรับตัวได้แล้ว เขาก็ไม่รอช้าอีก ฟางซินเย่ยกกายขึ้นเล็กน้อยก่อนกดสะโพกลงไปอีกครั้ง ร่างหนาตอกตรึงร่างบางเอาไว้สร้างความเสียวซ่านจนฮวาอิงหลงถึงกับจิกเล็บลงบนบ่ากว้างอย่างลืมตัว
“ท่านแม่ทัพ...ข้าเสียว” ฮวาอิงหลงครางออกมาเมื่อแท่งร้อนตอกลงไปอีกครั้ง ครั้งนี้แท่งร้อนกดลึกจนนางถึงกับสะดุ้งเฮือก ร่างบางแอ่นตัวเกร็งรับสัมผัสที่กระแทกกระทั้นเข้ามาอย่างเร่งเร้า
“เจ้า...” ฟางซินเย่ครางออกมา เล็บที่จิกลงไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้เขาแม้แต่น้อยแต่กลับเพิ่มความวาบไหวจนร่างกายของเขาสั่นสะท้านด้วยความรัญจวน
ฟางซินเย่โถมกระหน่ำ กระแทกกระทั้นร่างบางอย่างเอาแต่ใจ “เจ้าช่างเป็นหญิงร่านจริงๆ” เขาพึมพำออกมาเมื่อร่างบางตอบสนองสัมผัสของเขาไม่หยุด ยิ่งเขาตอกอัดร่างลงไป ฮวาอิงหลงก็แอ่นรับสัมผัสอย่างได้จังหวะ ยิ่งทำให้อารมณ์รักเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
เมื่อความรู้สึกท่วมท้นถึงจุดสูงสุด ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงจุดสุดยอดพร้อมกัน ฮวาอิงหลงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยไปในความสุขที่ไม่มีที่สิ้นสุด นางรับรู้ความสุขที่ยากเกินบรรยาย เสียงครางของนางและเสียงหายใจของเขาผสมผสานกันเป็นหนึ่งเดียว
ฟางซินเย่ฟุบตัวลงตรงหน้าอกของฮวาอิงหลงอย่างหมดแรง ลมหายใจเป่าร้อนรดผิวกายที่เกิดร่องรอยแดงจ้ำเป็นด่างดวงจากการฝากรักของเขาไปทั่วบริเวณ
ฟางซินเย่นอนแผ่หลาลงเมื่อจบกิจ ความสุขสมที่ได้รับทำเอาหัวใจของเขาสั่นไหวได้ไม่น้อยทีเดียว เขาหมวดคิ้วพร้อมกับความคิดมากมายในหัว เหตุใดฮวาอิงหลงถึงได้เปลี่ยนท่าทีไปมากเช่นนี้ฟางซินเย่ยังจำเหตุการณ์ในวัยเยาว์ได้ดี วันนั้นเป็นวันหิมะตกหนัก เมืองหลวงมีการจัดเทศกาลโคมไฟขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ฟางซินเย่ที่ตอนนั้นเป็นเพียงเด็กกำพร้า ตั้งแต่จำความได้เขาก็ไม่มีพ่อแม่แล้ว ยังโชคดีที่ได้อาจารย์ของเขารับไปเลี้ยงดู พร้อมทั้งถ่ายทอดวิชาการต่อสู้ให้กับเขา ทำให้ฟางซินเย่พอมีฝีมืออยู่บ้างขณะที่ฟางซินเย่ออกไปเดินเล่นเพื่อชมความงดงามของโคมไฟหลากสี พลันเขาก็ได้เห็นเด็กสาวคนหนึ่ง นางมีหน้าตางดงามจนเป็นที่สะดุดตาผู้ที่ได้พบเห็นเด็กสาวกำลังเอื้อมมือเพื่อคว้าโคมไฟที่แขวนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ด้วยท่าทางกระตือรือร้น ทำให้ฟางซินเย่ถึงกับยิ้มกว้างออกมาอย่างลืมตัว เขาเดินเข้าไปยืนด้านข้างพร้อมยกมือขึ้นเกี่ยวโคมไฟดังกล่าว ก่อนจะยื่นให้กับเด็กสาวตรงหน้า“นี่ข้ามอบให้ท่าน” ฟางซินเย่ยิ้มกว้างพร้อมมองหน้าเด็กสาวอย่างรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นคนหยิบยื่นโคมไฟที่นางต้องการฉับพลันเด็กสาวคนดังกล่าวก็ยกมือขึ้นปัดโคมไฟจนตกลงกับพื
ฟางซินเย่ยังคงนอนนิ่งอย่างกำลังใช้ความคิด ฮวาอิงหลงหันไปมองเขาด้วยความครุ่นคิดเช่นเดียวกัน หลังจากนางยอมพลีกายให้เขาเชยชมจนสมใจ ทว่าท่าทีของเขากลับไม่เป็นที่น่าพอใจนัก เขาดูไม่ได้ยินดียินร้ายกับนางอีกเลยฮวาอิงหลงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ นางไม่มีวันยอมแพ้เป็นแน่ ดาราสาวสวยอย่างนางจะยอมให้เขาเด็ดดมแล้วทิ้งขว้างได้อย่างไรกันฮวาอิงหลงพลิกกายพร้อมยกมือขึ้นโอบกอดร่างหนา ใบหน้าแนบชิดไปที่แผงอกใหญ่อย่างออดอ้อน มือเรียวบางเลื่อนไล้ไปตามหน้าอกอย่างเอาใจ“ท่านแม่ทัพ อิงเอ๋อร์รับใช้ท่านได้ดีหรือไม่” ฮวาอิงหลงพูดเสียงหวานออกมาพร้อมส่งสายตาเว้าวอนฟางซินเย่หรี่ตามองฮวาอิงหลงอย่างพิเคราะห์อีกหน “ข้าก็อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมาไม้ไหนกันแน่” เขาได้แต่คิดในใจพร้อมแสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์“เจ้าคิดว่าข้าควรพอใจหรือไม่” ฟางซินเย่ถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พร้อมกระชับร่างบางเข้าแนบกับร่างกายของเขาอีกครั้งฮวาอิงหลงถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบที่น่าหงุดหงิดเช่นนี้ ก่อนจะปรับสีหน้ายิ้มหวานออกมาเท่าที่นางจะยิ้มได้ “ท่านแม่ทัพช่างอารมณ์ขันนัก หากท่านพูดเช่นนี้ ข้าคงต้องขอแก้ตัวอีกสักหนแล้วกัน”ฮวาอิงหลงไม่เ
เช้าวันต่อมา ฮวาอิงหลงลืมตาตื่นขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย ร่างกายปวดร้าวไปแทบทุกส่วน นางเหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบๆ ห้องก็ไม่พบฟางซินเย่ ฮวาอิงหลงรีบลุกขึ้น พร้อมใช้ความคิดอย่างหนักฟางซินเย่ไม่พอใจอะไรในตัวนางกันแน่ หากเป็นคนปกติทั่วไปเจอมารยาที่นางงัดมาใช้แทบทุกเม็ด อย่างน้อยก็ย่อมต้องเอ็นดูนางบ้างเป็นแน่ ผิดกับท่าทีของฟางซินเย่ที่มีต่อนาง เขาสุขสมกับสิ่งที่นางปรนเปรอให้อย่างไม่อาจปฏิเสธ แต่ภายหลังกลับทำท่าทีบึ้งตึงราวกับคนที่มีความเคียดแค้นกันมายาวนานอย่างไรอย่างนั้นเชียวยังไม่ทันที่ฮวาอิงหลงจะได้คิดหาคำตอบ เจ้าหมัวมัวก็เดินเข้ามาพร้อมถาดอาหาร “ท่านแม่ทัพให้เจ้าทานข้าวให้เรียบร้อย แล้วรีบกลับเรือนพักของเจ้าเสีย” น้ำเสียงที่ดูไม่เป็นมิตรมากนัก ทำเอาฮวาอิงหลงถึงกับขมวดคิ้วแน่นเจ้าหมัวมัวรู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก นางนึกว่าเช้านี้นายท่านจะเรียกให้ไปรับรางวัลใหญ่ แต่เรื่องราวกลับกลายเป็นนายท่านกลับมีท่าทางเย็นชา พร้อมสั่งให้นางพาฮวาอิงหลงกลับเรือนพักเสียนี่ นี่ไม่เท่ากับท่านแม่ทัพไม่โปรดปรานฮวาอิงหลงหรอกหรือ เสียแรงที่นางทุ่มเทไปไม่น้อย นึกว่าจะได้ประจบเอาใจนายท่านเสียหน่อยฮวาอิงหลงเม้มปากแน่น
หลังจากผ่านไปอยู่หลายวัน ฮวาอิงหลงก็ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับฟางซินเย่เพิ่มขึ้นสักนิด หนำซ้ำเขายังอันตรธานหายไปราวกับไม่เคยมีเรื่องราวค่ำคืนนั้นเกิดขึ้นฮวาอิงหลงเอาแต่กระสับกระส่ายด้วยความร้อนรน นางรู้สึกคับแค้นใจอย่างหนัก ตั้งแต่เกิดมาฮวาอิงหลงไม่เคยคิดจะยอมแพ้ และไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบนางง่ายๆ เช่นนี้เป็นแน่ฮวาอิงหลงยืนอยู่หน้าเรือนโกโรโกโส พร้อมทอดสายตามองไปเบื้องบน ฟ้าส่งข้ามาเช่นนี้ก็ควรให้โชคกับข้าเสียบ้างสิ เหตุใดจึงต้องกลั่นแกล้งข้าขนาดนี้ด้วยเล่า ฮวาอิงหลงนึกโกรธเคืองฟ้าดินที่นำพาโชคชะตาอันเลวร้ายนี้มาให้กับนาง“คุณหนู เข้าไปภายในบ้านก่อนเถิดเจ้าค่ะ ท่านเพิ่งหายไข้ได้ไม่นาน ระวังจะล้มป่วยขึ้นมาอีกหน” เสี่ยวม่านร้องท้วงออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ร่างกายของนายหญิงยังไม่แข็งแรงมากนัก นางเพิ่งจะหายป่วยหนัก ซ้ำยังต้องไปปรนนิบัติท่านแม่ทัพอีก เสี่ยวม่านจึงเกรงว่าร่างกายของฮวาอิงหลงจะรับไม่ไหวเอาฮวาอิงหลงได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างด้วยความดีใจ นางนึกแผนการดีๆ ขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว ต้องขอบคุณเสี่ยวม่านจริงๆ ที่กระตุ้นให้นางได้ฉุกคิดขึ้นมา แผนทรมานกายมีอยู่ในบทละครทั้งหลายที่นางเล
บทที่ 11 ร้อนรนฟางซินเย่เดินจ้ำอ้าวอย่างเร่งร้อนมาจนถึงหน้าเรือนพักของฮวาอิงหลง เขากวาดสายตามองรอบๆ ด้วยความรู้สึกหดหู่ ก่อนจะผลักประตูเข้าไปภายในเรือน สภาพด้านในเก่าโทรมจนแทบจะไม่อาจป้องกันภัยอันใดได้ ลมหนาวพัดผ่านเข้ามายังช่องไม้ทำให้ด้านในเย็นยะเยือก กลิ่นอับชื้นแตะเข้าที่จมูกของเขาอย่างแรง จนเขานิ่วหน้าลง ยิ่งเมื่อได้เห็นฮวาอิงหลงที่นอนหลับใหลอย่างไม่ได้สติ ดวงตาของเขาก็ยิ่งหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด ฟางซินเย่รู้สึกผิดในใจต่อร่างบางตรงหน้าเป็นอย่างยิ่งฟางซินเย่ช้อนร่างบางขึ้นมาแนบอกอย่างทะนุถนอม ก่อนจะอุ้มฮวาอิงหลงเดินกลับไปที่เรือนนอนของเขาด้วยความเร่งรีบ“ข้าคิดถึงบ้าน...ข้าอยากกลับบ้าน...ท่านแม่ทัพ...ท่านช่างใจร้ายกับข้าเหลือเกิน” ฮวาอิงหลงเพ้อออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยฟางซินเย่เหลือบมองฮวาอิงหลงด้วยความรู้สึกผิดระคนสงสาร ร่างบางยังคงสั่นเทาอยู่ใต้อ้อมกอดของเขาราวกับลูกนกที่พลัดหลงทางร่างบางของฮวาอิงหลงที่ร้อนราวกับเปลวไฟแนบเข้ากับแผงอกหนา ลมหายใจร้อนเป่ารดลงบนเสื้อผ้า ความร้อนแผ่ซ่านแทรกลงไปยังเสื้อหนาจนร่างกายเขาสัมผัสถึงความร้อนผ่าว ฟางซินเย่ถึงกับตื่นตระหนกที่เห็นนางป่วยหน
บทที่ 12 ขอความเมตตาฮวาอิงหลงหลับไปราวสองวัน นางปรือตาตื่นขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลีย ร่างกายเริ่มสร่างไข้ลงไปมาก นางเหลียวหน้ามองไปด้านข้าง ฮวาอิงหลงเห็นฟางซินเย่ที่กำลังฟุบหลับอยู่ข้างเตียง ใบหน้าสงบเรียบราวกับไร้พิษสง ฮวาอิงหลงถึงกับยิ้มออกมาเมื่อแผนทรมานกายของนางสำเร็จไปอีกขั้นฮวาอิงหลงยกมือขึ้นลูบศีรษะของฟางซินเย่อย่างแผ่วเบา สัมผัสดังกล่าวทำให้ฟางซินเย่รู้สึกตัวตื่นขึ้น เขาสะบัดหน้าเล็กน้อยไล่ความเมื่อยขบ ก่อนจะมองฮวาอิงหลงอย่างเต็มตา“คุณหนูฮวา เจ้าตื่นแล้วเหรอ” ฟางซินเย่เอ่ยขึ้นพร้อมยกมือขึ้นอังที่หน้าผากของฮวาอิงหลง เมื่อเห็นว่าความร้อนเริ่มลดลงไปจนเกือบเป็นปกติ เขาจึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเบาใจท่าทางที่อ่อนโยนทำให้ฮวาอิงหลงรู้สึกย่ามใจ นางมองตาฟางซินเย่ด้วยแววตาหวานซึ้ง ก่อนจะโผตัวเข้ากอดฟางซินเย่ไว้แน่น น้ำตาเอ่อคลอออกมาพร้อมร่วงหล่นลงบนแผงอก ร่างบางสะอื้นไห้จนตัวโยนให้ความรู้สึกสงสารจับใจ“ข้าคิดว่าท่านจะไม่สนใจข้าอีกแล้ว ท่านช่างใจร้ายกับข้ายิ่งนัก” คำพูดตัดพ้อพรั่งพรูออกมา พร้อมสายตาที่น้อยใจอย่างยิ่ง“ข้าไม่รู้ว่าข้าทำสิ่งใดผิดต่อท่าน จึงทำให้ท่านหมางเมินกับข้าถึงเ
บทที่ 13 รุกคืบฮวาอิงหลงเห็นท่าทางลังเลใจของฟางซินเย่ นางยิ้มกริ่มขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมกับคิดในใจว่านางจะไม่ยอมปล่อยโอกาสที่มีให้หลุดมือไปอีกเป็นแน่ นางต้องเร่งลงมือทำอะไรสักอย่างให้ฟางซินเย่ยอมใจอ่อนและยกโทษให้กับนางให้จงได้ฮวาอิงหลงรีบขยับตัวเข้าซุกไซร้ใบหน้าลงบนแผงอกของเขาอีกครั้งอย่างเอาใจ “ท่านแม่ทัพ...ได้โปรดเมตตาอิงเอ่อร์สักครั้งนะเจ้าคะ” เสียงหวานยังคงอ้อนวอนฟางซินเย่ต่อไปอีกครั้ง สายตาหวานเยิ้มจ้องมองหน้าฟางซินเย่อย่างไม่กะพริบตา ท่าทางงอนง้อดั่งคนที่รู้สำนึก เมื่อฮวาอิงหลงยังคงเห็นฟางซินเย่มีท่าทีนิ่งเฉย ร่างบางก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นมาขึ้นคร่อมเขาไว้ ก่อนที่ริมฝีปากบางจะกดลงไปยังริมฝีปากหนาอย่างรุกเร้า ลิ้นร้อนเลียไล้ไปตามริมฝีปากคลอเคลียไปมา ก่อนจะแทรกเข้าไปในโพรงปากอย่างชำนาญ ลิ้นร้อนพันเกี่ยวกระวัดรัดรึงดูดดึงอย่างต้องการยั่วยวนให้หลงเคลิ้มฮวาอิงหลงยังคงทำหน้าที่อย่างต่อเนื่อง นางซุกไซร้ใบหน้าไปที่ติ่งหู ก่อนจะขบเม้มให้เขารู้สึกเสียวซ่าน จากนั้นจึงเลื่อนไล้ลงต้องบริเวณซอกคอ ริมฝีปากขบเม้มผิวหนาอย่างจงใจเอาคืน ปรากฏเป็นรอยแดงระเรื่อขึ้นเป็นจุดเป็นดวงๆ ไปทั่วบริเว
บทที่ 14 เหตุใดจึงเป็นข้าในยามเช้าวันต่อมาฟางซินเย่ลืมตาตื่นขึ้นมา ในอ้อมกอดของเขามีร่างบางซุกไซร้อยู่อย่างแนบแน่น บทรักที่ฮวาอิงหลงปรนเปรอให้เขาอย่างสุขสมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำเอาเขายิ้มกว้างออกมาอย่างมีความสุขแต่แล้วฟางซินเย่ก็ถึงกับขมวดคิ้ว เมื่อพบความผิดปกติที่เกิดขึ้น ฮวาอิงหลงร่างกายร้อนผ่าวราวกับเปลวไฟ ฟางซินเย่ยกมือขึ้นอังหน้าผากของนางอย่างร้อนใจ ก่อนจะพบว่าไข้ที่เริ่มลดลงก่อนหน้านี้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้งฟางซินเย่รีบลุกขึ้น เขาสวมเสื้อคลุมทับอย่างรีบร้อน พร้อมเร่งฝีเท้าเดินออกไปภายนอกทันที“พวกเจ้าเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณหนูฮวาเสีย พ่อบ้านรีบให้คนไปตามหมอมาดูอาการของนางเดี๋ยวนี้” ฟางซินเย่รีบตะโกนเรียกบ่าวรับใช้เข้ามา พร้อมสั่งพ่อบ้านให้ไปตามหมอมาดูอาการของฮวาอิงหลงทันทีด้วยความร้อนใจฮวาอิงหลงสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา เมื่อเสี่ยวม่านเข้ามาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางอย่างร้อนรน “คุณหนู ไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ ท่านแม่ทัพส่งคนไปตามหมอมาแล้วเจ้าค่ะ” น้ำเสียงร้อนรนทำให้ฮวาอิงหลงถึงกับปรือตาขึ้นมามอง ก่อนจะยิ้มอ่อนให้นางเบาใจ แต่เพราะพิษไข้ที่มีทำให้ฮวาอิงหลงถึงกับร่างกายอ่อนปวกเปียก ร่างกายอ
บทที่ 72 เริ่มต้นวันใหม่ค่ำคืนอันเงียบสงบ แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดออกเล็กน้อย ลมพัดเบาๆ พาเอากลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งอยู่รอบจวนลอยมาแตะจมูก ภายในห้องนอนใหญ่ท่ามกลางแสงสลัวนั้น ฟางซินเย่นอนมองหน้าฮวาอิงหลงนอนคุดคู้อยู่บนเตียง นางดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้นเมื่อแสงจันทร์ตกกระทบบนใบหน้าที่ผุดผาดฮวาอิงหลงยิ้มยั่วยวนเมื่อเห็นสายตาของฟางซินเย่ที่มองมาด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อนที่ไม่อาจซ่อนเร้น“อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่ยื่นมือขึ้นลูบไล้ไปตามลำแขนขาวก่อนจะไล่ลงมาตามลำตัวจนกระทั่งถึงหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นมา “พ่อเจ้าต้องการแม่เจ้าเหลือเกิน เจ้าอนุญาตหรือไม่” ฟางซินเย่เพ้อออกมาด้วยเสียงกระเส่า เขาพูดไปพลางปรายตามองฮวาอิงหลงด้วยสายตากรุ้มกริ่มฮวาอิงหลงยิ้มเขินออกมาอย่างรู้ทัน นางโน้มตัวขึ้นเกยบนร่างหนาของฟางซินเย่ในทันที สองมือของฟางซินเย่ช้อนร่างบางขึ้นคร่อมตัวเขาอย่างระมัดระวังด้วยเกรงจะกระทบถึงบุตรในท้องฟางซินเย่หยัดกายขึ้นเล็กน้อยพร้อมสองมือที่ยังคงลูบไล้ไปตามหน้าอกอิ่มนูนของฮวาอิงหลงอย่างหลงใหล ลมหายใจเริ่มติดขัดขึ้นมาพร้อมกับปากที่เป่าลมร้อนออกอย่างต้องการสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ฮว
บทที่ 71 อำลาเมืองหลวงเสียงกลองและแตรสัญญาณดังกึกก้องไปทั่วบริเวณลานวังหลวง ขันทียกราชโองการขึ้นประกาศ “ฮ่องเต้มีราชโองการ ด้วยบุญบารมีของราชวงศ์โจวทำให้เชื้อพระวงศ์กลับคืนสู่ราชวงศ์ ข้าขอแต่งตั้งฟางซินเย่เป็นองค์ชายโจวซินเย่ แต่งตั้งฮวาอิงหลงเป็นพระชายาอ๋อง และแต่งตั้งเฉินเม่าเป็นองค์หญิงโจวเหยาหยาง จบราชโองการ” ฟางซินเย่โน้มรับราชโองการด้วยใบหน้าเรียบสงบ เผยให้เห็นความสง่าผ่าเผยอยู่ในที ในขณะที่ฮวาอิงหลงและเฉินเม่ากลับแสดงสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเกร็งด้วยความตื่นเต้นกังวลกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ จากสาวใช้ในจวนแม่ทัพคนหนึ่งได้เป็นองค์หญิง ส่วนอีกคนได้เป็นพระชายาอ๋องช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนักหลังเสร็จสิ้นการประกาศแต่งตั้งเฉินเม่าก็ได้ย้ายไปอยู่ที่จวนโจวหนานเอ๋อร์ ผู้เป็นมารดาของนาง ทว่าสำหรับฟางซินเย่นั้นกลับเลือกที่จะขอพำนักที่จวนแม่ทัพตามเดิมโจวหนานเอ๋อร์แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจมากนัก แต่ก็ไม่ต้องการหักหาญน้ำใจของบุตรชาย นางจึงเพียงกำชับฮวาอิงหลงให้หมั่นไปเยี่ยมเยียนตนที่จวนให้บ่อยครั้งในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ฟางซินเย่และฮวาอิงหลงเดินทางไปยังจวนฉางกงจู่ โจวหนานเอ๋อร์และเฉ
บทที่ 70 ลูกของข้าราชโองการถูกประกาศปล่อยตัวฟางซินเย่ในวันต่อมาโดยทันที ในที่สุดฟางซินเย่ก็ถูกปล่อยตัวหลังจากถูกคุมขังมาเป็นเวลาหลายวันเมื่อฟางซินเย่ได้รับอิสรภาพ เขาก้าวออกจากคุกด้วยความมุ่งมั่นและดวงตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงฮวาอิงหลง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความถวิลหานาง ดั่งว่านี่คือการเดินทางที่ยาวนานที่สุดของชีวิตเขา“อิงเอ๋อร์...ข้าไม่ยอมสูญเสียเจ้าไปเป็นอันขาด” ฟางซินเย่กล่าวกับตนเองขณะที่ก้าวขึ้นม้าด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะพุ่งตรงไปยังจวนอ๋องเมื่อฟางซินเย่ถึงจวนอ๋อง เขาปรี่ตรงเข้าไปหาโจวอี้เสวียนในทันที สองมือกุมคอเสื้อของโจวอี้เสวียนอย่างไม่นึกหวั่นเกรงสิ่งใดอีกต่อไป ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะที่มี พร้อมกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกัดฟันกรอด “อิงเอ๋อร์...อยู่ที่ใด”โจวอี้เสวียนหันมามองเขาด้วยดวงตาเย็นชา ใบหน้าของชายหนุ่มที่พรากหัวใจของหญิงสาวคนรักของตนไปทำให้เขานึกครึ้มอย่างจะกลั่นแกล้งฟางซินเย่อีกสักหน่อย โจวอี้เสวียนยิ้มเยาะขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ...เหตุใดข้าต้องตอบคำถามเจ้าด้วยเล่า”คำพูดยียวนทำเอาฟางซินเย่ถึงกับบันดาลโทสะ เขาง้างมือขึ้นเตรียมจะชกหน้าโจวอี้เสวียน แต่องครักษ์ข้างกายของโจวอ
บทที่ 69 ฝืนยอมรับในท้องพระโรงที่โอ่โถง บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดัน โจวจางเย่วประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเข้มขรึมและดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว โจวอี้เสวียนที่ยืนหน้าเครียดอยู่ด้านข้าง ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอย่างดุดัน“อี้เสวียน...เจ้าช่างบังอาจนัก เจ้ากล้าทำเรื่องเช่นนี้เพียงเพื่อสตรีนางเดียวอย่างนั้นหรือ” โจวจางเย่วชี้นิ้วไปยังโจวอี้เสวียนด้วยความเกรี้ยวกราดโจวอี้เสวียนยืนนิ่งเงียบแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ข้าไม่มีทางเลือก ในเมื่อเสด็จพ่อมิทรงทำสิ่งใด เช่นนั้นข้าก็จำเป็นต้องหาทางของข้าเอง”“เจ้านี่ช่างโง่เขลายิ่งนัก” โจวจางเย่วแค่นเสียงออกมาด้วยความขัดเคืองใจ “ความรักของเจ้าทำให้เจ้าลืมเลือนความเป็นบุตรหลานแห่งราชวงศ์แล้วหรือ เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้ามีสถานะเช่นใด เจ้าลืมแล้วหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้วันหน้าต้องเป็นของเจ้า เจ้ากลับผิดแผนชั่วเพื่อแย่งชิงภรรยาผู้อื่น เช่นนั้นต่อไปจะมีผู้ใดในแคว้นเคารพและนับถือเจ้า จะมีผู้ใดยอมรับใช้ถวายหัวให้กับเจ้า แม่ทัพฟางเป็นเสาหลักของแคว้น หากเจ้ากำจัดเขาทิ้ง เจ้าคิดหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้จะมั่นคงอยู่ได้”โจวอี้เสวียนกัด
บทที่ 68 พบพานภายในห้องขังที่แสนอับชื้นและเหน็บหนาว เสียงกุญแจที่บานประตูคุกหลวงสะท้อนเสียงดังไปทั่ว ฟางซินเย่ที่นั่งพิงผนังหินเย็นเฉียบตาแดงก่ำมองดูหนังสือหย่าที่เพิ่งได้รับ มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ริมฝีปากแห้งผากเผยอเบาๆ ออกมาราวกับจะกล่าวคำใด แต่ทุกคำกลายเป็นเพียงเสียงหายใจที่ตัดรอน “อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่พร่ำเอ่ยชื่อของฮวาอิงหลงออกมาด้วยดวงตาสั่นไหวที่คงความขมขื่นไว้ในห้วงแห่งความโศกเศร้า“อิงเอ๋อร์...เหตุใดต้องทำเช่นนี้เพื่อข้า” ฟางซินเย่คร่ำครวญออกมา ใบหน้าเปลี่ยนสีแดงก่ำราวกับเปลวเพลิงร้อนรุ่ม “เจ้ายอมแต่งงานกับโจวอี้เสวียนเพียงเพื่อรักษาชีวิตข้า...ข้าคือผู้ชายที่ไร้ค่าเพียงนี้เชียวหรือ...” เขาหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ขาดหายราวกับจะกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา ความรันทดอดสูใจทำให้เขาถึงกับกุมหมัดขึ้นทุบผนังหิน เลือดไหลซึมออกมาหยดลงเป็นทางยาว ความเจ็บปวดของร่างกายกลับไม่อาจเทียบความเจ็บปวดภายในใจที่มีได้ในขณะที่บรรยากาศคุกขังอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ภายในเฉินเม่าและเสี่ยวม่านกลับไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป ความทุกข์ร้อนของพี่น้องร่วมสาบานเช่นฮวาอิง
บทที่ 67 แผนร้ายภายในโถงใหญ่ในจวนอ๋อง โจวอี้เสวียนที่หน้าตาเคร่งเครียดยืนอยู่อย่างหัวเสีย ความหงุดหงิดก่อตัวภายในใจที่นึกไว้ใจคนที่ไม่ได้เรื่องเช่นเฉินเฉียวเหยา หากนางไม่ไร้ความสามารถเช่นนี้โอกาสที่เขาจะกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจอย่างฟางซินเย่ย่อมเห็นเป็นรูปร่างมากขึ้น ข้าวของถูกปาแตกกระจายด้วยโทสะที่คุกรุ่นอยู่ภายใน เขาก้าวเดินวนไปมาอย่างต้องการใช้ความคิดสักครู่หนึ่งโจวอี้เสวียนตะโกนเรียกองครักษ์คนสนิทเข้ามา “พวกเจ้าจงไปทำตามที่ข้าสั่งให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้” โจวอี้เสวียนออกคำสั่งด้วยเสียงเข้มขรึม ดวงตาคมเข้มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่รู้จักพ่ายแพ้องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่งทันที “ขอรับท่านอ๋อง”โจวอี้เสวียนเหม่อมองออกไปภายนอกห้องด้วยความคิดอันแยบยล หากแผนการแรกผิดพลาด เขาย่อมต้องมีแผนที่สองเตรียมรับมือไว้เป็นแน่ผ่านไปเพียงไม่ถึงเดือน กองกำลังทหารของโจวอี้เสวียนก็เข้าปิดล้อมจวนแม่ทัพอย่างรวดเร็ว ฟางซินเย่เดินอย่างอาจหาญออกมาเผชิญหน้าเหล่าทหารของโจวอี้เสวียน โดยมีเหล่าทหารกองทัพของฟางซินเย่ยืนประจัญบานเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี“แม่ทัพฟางซินเย่ ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ตรวจค้นจวนของท่าน โปรดใ
บทที่ 66 กำจัดทิ้งภายในห้องโถงอันโอ่อ่าของจวนสกุลเฉิน เสียงแผดคำรามของเฉินเซียวหยงดังกึกก้องไปทั้งห้องโถง พ่อบ้านได้แต่ยืนตัวสั่นเทาด้วยกลัวแรงโทสะของนายท่านที่มี มือของเฉินเซียวหยงกำขยุ้มกระดาษรายงานที่เพิ่งส่งข่าวมาให้เขารับรู้ หัวใจเต้นเร็วแรงด้วยความโกรธแค้น เขาขบฟันแน่นจนสันกรามขึ้นเป็นริ้ว ดวงตาแดงก่ำของเขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความอาฆาต"พวกมันช่างอาจหาญยิ่งนัก กล้าข่มเหงรังแกบุตรสาวของข้า ทำเช่นนี้มิเท่ากับกล้าลบหลู่ข้าอย่างนั้นหรือ" เฉินเซียวหยงสบถออกมา เมื่อได้รับรู้ถึงอาการบาดเจ็บของเฉินเฉียวเหยา ทั้งยังเรื่องที่นางถูกละเลยและถูกลบหลู่สารพัดจากคนในจวนแม่ทัพ“พ่อบ้านเตรียมรถม้าข้าจะไปพบแม่ทัพฟางที่จวนแม่ทัพ เร็วเข้า” คำสั่งดังก้องด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ พ่อบ้านลนลานรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจัดการในทันทีขณะที่เฉินเซียวหยงกำลังจะก้าวออกจากห้องโถง ฉับพลันพ่อบ้านก็รีบเดินปรี่เข้ามาแจ้ง “เรียนนายท่าน ท่านอ๋องโจวอี้เสวียนมาขอพบขอรับ”เฉินเซียวหยงได้ฟังก็รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันที เขาเร่งเดินออกมาต้อนรับโจวอี้เสวียนในทันที ใบหน้าของเขายิ้มกว้างออกมา ดวงตาทอประกายความยินดีอย่างยิ่ง“ค
บทที่ 65 ข่าวดีภายในเรือนหนิงหลง เฉินเฉียวเหยากำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง มือบางทั้งสองข้างบวมขึ้นจนน่าตกใจ ผิวที่เคยขาวซีดของนางบัดนี้แดงก่ำจากการถูกน้ำร้อนลวก เฉินเฉียวเหยาเจ็บแสบจนแทบทนไม่ไหว นางนึกเคืองแค้นจนเผลอตัวกำหมัดแต่เพราะผิวที่เป่งตึงทำให้นางถึงกับร้องครางออกมา เฉินเฉียวเหยาได้แต่ขบฟันแน่น ใบหน้าบูดบึ้งจนทำให้หน้าที่เคยสวยหวานกลับดูน่าเกลียดขึ้นมาหว่านหลงรีบเอาผ้าชุบน้ำเย็นมาประคบให้นายหญิงของตนด้วยความทะนุถนอม นางเช็ดไปพลางเป่าไปพลางเพื่อให้เฉินเฉียวเหยาคลายความเจ็บลงไป “คุณหนู เจ็บมาหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะต้องรายงานใต้เท้าแล้วนะเจ้าคะ บ่าวทนเห็นคุณหนูถูกรังแกเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”ยังไม่ทันที่เฉินเฉียวเหยาจะตอบกลับอันใดออกมา พ่อบ้านก็พาตัวหมอเข้ามาดูอาการ เฉินเฉียวเหยาจึงได้แต่เม้มปากก่อนจะตีสีหน้าเศร้าหมองออกไปหมอรีบเข้ามาดูอาการของเฉินเฉียวเหยาในทันที ความเจ็บปวดเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทันทีที่หมอแตะต้องบริเวณที่บวมแดง เฉินเฉียวเหยาก็ร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดทางกายที่นางได้รับยังไม่ถึงเศษเสี้ยวความรู้สึกเจ็บปวดทางใจที่มี ดวงตาสั่นไหวระริกไปด้วยค
บทที่ 64 เล่ห์กลนี้ใช้กับข้าไม่ได้ช่วงบ่ายของวันฮวาอิงหลงกำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาภายในสวนโดยมีเสี่ยวม่านคอยปรนนิบัติอย่างรู้ใจ นางนึกย้อนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้ฮวาอิงหลงถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง“คุณหนูเป็นอันใดหรือเจ้าคะ” เสี่ยวม่านถามออกมาด้วยความห่วงใย“ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถิด” ฮวาอิงหลงกล่าวออกมาอย่างเลื่อนลอย “เจ้าค่ะ” เสี่ยวม่านรีบย่อกายพร้อมถอยหลังออกไปอย่างไม่ต้องการรบกวนนายหญิงของตนอีกฮวาอิงหลงนั่งปล่อยความคิดได้เพียงสักครู่หนึ่ง ฉับพลันก็มีเสียงหวานดังขึ้นมา “เหยาเอ๋อร์คารวะฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ” เฉินเฉียวเหยาเดินเข้ามาหาภายในศาลาพร้อมย่อกายคำนับฮวาอิงหลงปรายตาขึ้นมองอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย แต่นางก็มิได้คิดจะหนีหน้าแต่อย่างใด“เชิญนั่งสิ แม่นางเฉิน”" ฮวาอิงหลงเอ่ยเบาๆ พร้อมผายมือให้เฉินเฉียวเหยานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเฉินเฉียวเหยาปั้นหน้ายิ้มหวาน ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งตามคำเชิญ “ข้ามาอยู่ที่นี่รู้สึกเหงายิ่งนัก หากได้พูดคุยกับสหายเก่าเช่นท่านคงคลายความคิดถึงบ้านลงได้บ้าง” เฉินเฉียวเหยากล่าวออกมาอย่างสนิทสนมดั่งเช่นพวก